02 ก.ย. 2568 | 17:00 น.
KEY
POINTS
เคยสงสัยไหมว่าทำไมผู้หญิงถึงสืบเก่ง เพียงแค่เพื่อนมาถามว่ารู้จักคนนี้ไหม ช่วยสืบให้หน่อย ใช้เวลาไม่นาน เหล่าเพื่อนหญิงก็ส่งข้อมูลกลับมาอย่างรวดเร็ว มาทั้งโซเชียลมีเดีย ข้อมูลส่วนตัว ทำงานอะไร เปลี่ยนแฟนมาแล้วกี่คน ตอนนี้กำลังคุยกับใครอยู่ เรียกได้ว่าเป็นทักษะพิเศษของเพื่อนหญิงหลายคนก็ว่าได้
บางคนถึงขั้นกล่าวติดตลกว่า อย่าให้ผู้หญิงอยากรู้เรื่องอะไร เพราะเธอสามารถขุดข้อมูลได้ทุกอย่าง และความสามารถนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หญิงไทยเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าในต่างประเทศเองก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
นี่คือเรื่องราวของ มาริสสา เปียนโก (Marissa Pianko), เจนนี วิลสัน (Jeannie Wilson), ซามิรา พูลอส (Samira Poulos) และ นิโคล แลนด์เซ็ต แบลงก์ (Nicole Landset Blank) คุณแม่ทั้งสี่ที่ร่วมกันไขคดีฆาตกรรมที่ถูกปิดตายมานานถึง 15 ปีจนสำเร็จ
ในโลกของการสืบสวน คำว่า ‘นักสืบ’ มักทำให้เรานึกถึงชายในชุดสูทหรือเครื่องแบบตำรวจ แต่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียกลับพลิกภาพจำเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้ที่ช่วยคลี่คลายคดีฆาตกรรมที่ปิดไม่ลงมานานกว่าทศวรรษ กลับเป็นคุณแม่บ้าน 4 คนที่รู้จักกันจากการนั่งรอรถรับส่งลูกไปโรงเรียน
พวกเธอไม่ได้เลือกไปเล่นพิลาทิสหรือดื่มชายามว่าง แต่คุณแม่ทั้งสี่ กลับตัดสินใจลงมือสืบสวนคดีฆาตกรรมแทนเสียอย่างนั้น
นี่คือเรื่องจริงของคุณแม่ที่ปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มใหม่ของ ‘ชัค โฮแกน’ (Chuck Hogan) เรื่อง The Carpool Detectives: A True Story of Four Moms, Two Bodies and One Mysterious Cold Case ที่จะมาถ่ายทอดความจริงว่า บนโลกนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่มาก และหนึ่งในนั้นคือกลุ่มคุณแม่ที่ใช้เวลาว่าง มาช่วยคลี่คลายคดีฆาตกรรมอันโหดเหี้ยมเมื่อ 15 ปีก่อน ที่แม้แต่นักสืบผู้มากประสบการณ์ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
“ความสามารถของพวกเธอในฐานะผู้หญิง ที่ทำให้ผู้คนเชื่อใจและยอมเปิดใจ นั่นคือพลังวิเศษของพวกเธอในการสืบสวนและไขคดีนี้” โฮแกนระบุ โดยหลังจากศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์แม่ก็ทำให้เขาเข้าใจบางอย่างว่า ความเป็นแม่ และเป็นผู้หญิง ทำให้พวกเธอมีความละเอียดอ่อน สามารถจับสัญญาณความผิดปกติบางอย่างได้ง่ายกว่าเพศชาย
“ความเป็นแม่ไม่ได้กำหนดตัวตนพวกเธออีกต่อไป มันเป็นเพียงหนึ่งในหลายบทบาทที่พวกเธอเป็น”
มาริสซา เปียนโก คุณแม่ผู้ริเริ่มให้กลุ่มแม่ ๆ หันมาสนใจคดีฆาตกรรม เธอเล่าว่ารู้จักคดีนี้ครั้งแรกตอนเรียนวิชาสื่อสารมวลชนที่ UCLA ในปี 2020 โดยศาสตราจารย์ได้เปิดภาพสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ภาพตรงหน้าได้จุดประกายความสงสัยของมาริสสาขึ้นมาแทบทันทีว่า สิ่งที่เธอเห็นอยู่ เป็นเพียงอุบัติเหตุ หรือจริง ๆ แล้วคือการฆาตกรรมกันแน่?
เปียนโกซึ่งเคยเป็นนักบัญชีนิติวิทยาศาสตร์ ก่อนจะหันมาเป็นคุณแม่เต็มเวลา ได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้เพื่อนอีกสามคนฟัง ได้แก่ นิโคล นักวิจัยการเมือง, ซามิรา ผู้จัดการโฆษณาดิจิทัล และเจนนี นักเขียนฟรีแลนซ์ พวกเธอต่างเห็นพ้องต้องกันว่าคดีนี้ไม่ควรถูกลืม และตัดสินใจ รวมทีมสืบสวนกันในที่สุด
จากนั้นทีมคุณแม่ก็เริ่มทำในสิ่งที่ตำรวจเคยทำ เริ่มจากการโทรหาญาติของเหยื่อ ขอแฟ้มคดีจากตำรวจ สัมภาษณ์นักสืบทีมเก่า และพูดคุยกับเพื่อนบ้าน ซึ่งเปิดเผยว่าพวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องสุดสยองในคืนหนึ่ง ขณะที่ไม่กี่วันก่อนที่คู่สามีภรรยาจะหายตัวไป ก็มีคนได้ยินสามีอ้อนวอนให้ชายคนหนึ่งซื้อกิจการของเขา
ความสงสัยของเปียนโกว่าการตายครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ ถูกเสริมด้วย ‘สัญญาณอันตราย’ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วงหนึ่งสัปดาห์หลังจากคู่สามีภรรยาหายตัวไป ลูกชายของพวกเขาได้ปิดกิจการบริษัทมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ของพ่อทันที เจอหลักฐานการฉ้อโกงบัญชี ไปจนถึงการที่ทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของทายาทโดยตรง หลักฐานเหล่านี้ค่อย ๆ ปะติดปะต่อจนกลายเป็นภาพชัดว่า เบื้องหลังการตายมีคนคอยบงการอยู่
ทีมคุณแม่ยังเจอเอกสารธนาคาร ระบุว่า ผู้ขายบางรายปลอมแปลงใบแจ้งหนี้ และธนาคารก็จ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้ตาย อีกทั้งการเสียชีวิตของทั้งคู่ ทำให้หนี้บริษัททั้งหมดเป็นโมฆะ ทรัพย์สิน รวมถึงอสังหาริมทรัพย์จึงตกเป็นของลูกชายและลูกเขย
มาริสสาและทีมจึงได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ลูกชายเป็น “ไอ้สารเลว เป็นนักบัญชีที่แทบไม่ทำงาน แล้วยังเอาแต่ได้ไม่สนใจความลำบากของพ่อแม่ กลางวันก็เอาแต่ดื่มเหล้า สัญญาณอันตรายเหล่านี้ ชี้ชัดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนไม่ดี” โฮแกนเขียน
หลังจากเหตุการณ์อันน่าเศร้าเกิดขึ้น มีเพียง ‘แครี วัตกินส์’ (นามสมมติ) ลูกสาวของเหยื่อ สมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวที่กังวลเรื่องการตายของพ่อแม่ ความสูญเสียที่แครีได้รับ กระแทกใจของนักสืบมือสมัครเล่นอยู่ไม่น้อย โดยนิโคลบอกว่าเธอเองก็สูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก เมื่อใกล้ถึงวันเกิดของแม่ทีไร ก็ทำให้เธอรู้สึกโหยหาอ้อมกอดของแม่มากเป็นพิเศษ เพราะหากแม่ยังอยู่หัวใจของเธอคงไม่โหวงหวิวเช่นนี้
และอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าแม่ยังอยู่จะคิดอย่างไรที่เธอลงมือสืบสวนคดีนี้ เธอมั่นใจว่าแม่คงภูมิใจที่ลูกสาวทำสิ่งนี้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ยากที่สุดกลับไม่ใช่การหาหลักฐาน แต่คือการเข้าหาครอบครัวเหยื่อ ทีมคุณแม่ไม่รู้เลยว่าคำขอสัมภาษณ์จะถูกตอบรับอย่างไร นิโคลพยายามวางตัวเองในสถานะของเหยื่อ ถ้าเป็นเธอจะรู้สึกอย่างไรที่มีคนแปลกหน้า 4 คนเข้ามายุ่งกับชีวิตส่วนตัว ถึงแม้จะมีเจตนาดี แต่บางครั้งก็อาจทำให้เรื่องแย่ลงได้
แต่ทุกคนก็รู้ว่านี่คือความเสี่ยงที่ต้องลอง มาริสสาได้ส่งอีเมลอย่างสุภาพถึงแครีที่ออฟฟิศ หลายวันผ่านไปจนเกือบถอดใจ แต่แล้วเธอก็ได้รับข้อความเสียงกลับมาว่า
“สวัสดีค่ะ ฉันคือแครี วัตกินส์”
ทั้งสี่คนดีใจกันมาก เพราะนี่คือโอกาสครั้งใหญ่ที่จะทำให้ความลับในอดีตได้รับการคลี่คลายลงเสียที
“คุณมีแค่ครั้งเดียวที่จะสร้างความประทับใจแรก” หลังจากโต้ตอบข้อความกันเล็กน้อย มาริสสาได้นัดพบในบ่ายวันอาทิตย์ ที่สวนหลังบ้านของแครี ทันทีที่พวกเธอเดินไปเคาะประตูบ้านแครี ความจริงจังของภารกิจนี้ก็ถาโถมเข้ามา ไม่มีใครเคยเจอเหตุการณ์ที่เตรียมใจได้เลย มันคืออีกสถานการณ์หนึ่งที่คุณแม่ไม่เคยพบเจอ
“เรากำลังทำอะไรกันอยู่?”
การที่แครียอมเปิดประตูต้อนรับคือการแสดงให้เห็นว่า ‘เธอไว้ใจ’ และตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับทีมคุณแม่ที่จะต้องพิสูจน์ตัวเอง
เมื่อได้เริ่มคุยกัน แครีสุภาพแต่ยังเก็บตัว เลือกถ้อยคำอย่างระมัดระวัง เธอบอกว่ารู้สึกซาบซึ้งในความสนใจต่อคดีฆาตกรรมพ่อแม่ แต่ขอให้ค่อย ๆ เป็นไปก่อน คุณแม่ทั้งสี่ยืนยันว่าจะเดินตามจังหวะที่แครีสบายใจ และบอกว่าเพียงจินตนาการก็พอเข้าใจถึงสิ่งที่เธอต้องเผชิญมาตลอดตั้งแต่พ่อแม่หายตัวไป
เจนนีเสริมว่า ในฐานะที่ทุกคนก็มีครอบครัว สิ่งสุดท้ายที่อยากทำคือสร้างความเจ็บปวดให้เธอและพี่น้องเพิ่มขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” แครีตอบ “เรื่องนี้มันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่ชายและพี่สาวพังไปนานแล้ว” เธอยังติดต่อสนิทสนมกับลิลลี่ ฝาแฝดของเธอ ที่ย้ายไปอินเดียนา ก่อนพ่อแม่หายตัวไป
“ความสูญเสียเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีอะไรที่ฉันคาดว่าจะเลวร้ายไปกว่านี้ คุณอาจจะย้ำเตือนถึงความสงสัยที่ฉันมีอยู่ หรือบางทีนี่อาจนำไปสู่การค้นพบใหม่ แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือทำให้บาดแผลที่ไม่เคยหายสนิทถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง”
เมื่อสนทนาต่อไป แครีเริ่มลดกำแพงลงทีละน้อย เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่เคยก้าวผ่านสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ได้เลย 15 ปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่เธอไม่คิดถึงชั่วโมงสุดท้ายของทั้งคู่
การได้เห็นว่าแครีกระหายคำตอบเพียงใด ทำให้ทีมของคุณแม่ทั้งสี่ มองความสนใจของตัวเองในคดีนี้อย่างถ่อมตน การฆาตกรรมที่พรากพ่อแม่ของเธอได้ทิ้งช่องว่างใหญ่หลวงในชีวิต นิโคลที่ยังคิดถึงแม่ของตัวเองอยู่ ก็ไม่อาจจินตนาการถึงการสูญเสียพ่อแม่พร้อมกันได้
“แม้ฉันจะซาบซึ้งที่พวกคุณสนใจคดีนี้” แครีบอก “แต่ฉันยังไม่เข้าใจแรงจูงใจของพวกคุณ ฉันอยากสร้างความไว้วางใจกัน และยินดีที่จะเริ่มตอบคำถามของพวกคุณ”
ซามิราที่พกสมุดจด ซึ่งบรรจุคำถามเอาไว้ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่านั่นอาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะ “บางที” ซามิรากล่าว “คุณอาจจะเล่าเรื่องของคุณให้ฟัง ว่าหลังรู้ว่าพ่อแม่หายตัวไป คุณเจออะไรบ้างในเวลาต่อมา”
แครีพยักหน้า “ก็ได้ คุณอยากฟังอะไร?”
“ทุกอย่างเลย” ซามิราตอบ
แครีเอนตัวลงบนเก้าอี้ อนุญาตให้บันทึกเสียง และเริ่มเล่าเรื่องราวของเธอ…
แม้หนังสือของโฮแกนจะเป็นงานสารคดี แต่ก็มีการเรียบเรียงขึ้นใหม่ และใช้ชื่อสมมุติเรียกเหยื่อ โดยเปลี่ยนรายละเอียดที่สามารถบ่งชี้คดีได้
“สิ่งที่เราโฟกัสมากที่สุดคือการปกป้องตัวตนของครอบครัวเหยื่อ เราเปลี่ยนสถานที่ของคดีในหนังสือ และขอให้นักเขียนปกป้องครอบครัวนี้” เปียนโกให้สัมภาษณ์กับ The Post
“พวกเขาต้องการความเป็นส่วนตัว และก็ใจดีกับเรามากที่ยอมให้เราถ่ายทอดเรื่องราวนี้”
สุดท้ายผู้หญิงทั้งสี่พบว่าการตายของคู่สามีภรรยาไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่เป็นการฆาตกรรมที่วางแผนโดยมาเฟีย องค์กรอาชญากรรมได้เข้ายึดกิจการ และนั่นนำไปสู่การสังหารโหด
เมื่อได้หลักฐานครบถ้วน มาริสสาได้ติดต่ออัยการเขต (ซึ่งเกษียณแล้ว) ที่เคยดูแลคดี จนทำให้คดีถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำเตือนว่า “จำไว้นะ คุณกำลังรับมือกับฆาตกร”
ทีมจึงได้ทบทวนข้อมูลดิบทั้งหมดของคดี ซึ่งเปิดเผยตัวตนของสมาชิกแก๊งมาเฟีย 2 คน ที่มีส่วนในคดีฉ้อโกงการเงินของบริษัท
ปัจจุบัน คุณแม่ทั้งสี่กำลังสืบสวนคดีที่ยังไม่คลี่คลายอีกหนึ่งคดี คราวนี้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงราว 20 คนที่ถูกฆาตกรรมในช่วงทศวรรษ 1970–1980 ซึ่งอาจเป็นฝีมือฆาตกรต่อเนื่อง ไม่ว่าผลการสืบสวนจะออกมาอย่างไร เปียนโกก็รู้สึกดีที่ได้หันไปสืบคดีที่อยู่ไกลออกไปในประวัติศาสตร์
เพราะคดีแรกนั้น บางครั้งมันก็ใกล้ตัวจนเกินไป
“ผู้ต้องสงสัยหลักโทรเข้ามือถือฉัน ตอนที่ฉันกำลังทำแซนด์วิชให้ลูก และเขาถามว่าทำไมฉันถึงไปขุดคุ้ยเรื่องเขา ฉันรู้สึกหนาวสั่นไปหมด และในตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่า เราเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่อันตรายเกินไปสำหรับพวกเราแล้ว”
เรื่องราวคล้ายกันกำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ในวัฒนธรรมร่วมสมัย ผ่านนิยายชุด The Thursday Murder Club ของ ‘ริชาร์ด ออสมัน’ (Richard Osman) ที่ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ฉายใน Netflix โดยได้มือเขียนบทชาวอังกฤษ ‘แคที แบรนด์’ (Katy Brand) กับ ‘ซูแซนน์ ฮีธโคท’ (Suzanne Heathcote) มาช่วยทำให้ข้อความในหนังสือโลดแล่นในจอเงิน
อีกทั้งยังเป็นการรวมตัวของนักแสดงรุ่นเก๋า ไม่ว่าจะเป็น เฮเลน เมียร์เรน (Helen Mirren) เพียร์ซ บรอสแนน (Pierce Brosnan) เบน คิงสลีย์ (Ben Kingsley) ซีเลีย อิมเรย์ (Celia Imrie) นาโอมิ แอคกี้ (Naomi Ackie) โดยจะเป็นการบอกเล่าเรื่องของกลุ่มผู้สูงวัยในบ้านพักคนชรา รวมตัวกันไขคดีฆาตกรรมในวันพฤหัสฯ ดูเหมือนจะไม่ต่างอะไรจากนิยายสืบสวนทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่ทำให้ผลงานนี้โดดเด่นคือการชี้ให้เห็นว่า ประสบการณ์ชีวิต คืออาวุธลับของผู้สูงวัยในการตามหาความจริง
สิ่งที่ The Carpool Detectives และ The Thursday Murder Club (2025) มีร่วมกันคือ การพลิกกรอบว่า ‘นักสืบ’ ไม่จำเป็นต้องเป็นชายหนุ่มสุดแกร่ง พร้อมลุยทุกสถานการณ์ได้โดยไม่กลัวเกรง การคงอยู่ของพวกเธอเข้ามาทลายกรอบที่มองว่า นักสืบอาจจะต้องเป็นไม่ใช่แค่ชายหนุ่มแข็งแรง แต่อาจจะเป็นแค่ผู้หญิง แม่ หรือคนวัยเกษียณ ที่สังคมมักมองว่าเปราะบาง ทว่าแท้จริงแล้วพวกเธอกลับมีทักษะและมุมมองที่เฉียบคมยิ่งกว่า
คำถามคือ ทำไมผู้หญิงจึงเก่งในการสืบคดี?
นักจิตวิทยาอธิบายว่าผู้หญิงมักมีทักษะเชิงอารมณ์ในระดับสูง พวกเธออ่านสีหน้า น้ำเสียง และบรรยากาศได้ดีกว่า อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะสร้างความไว้วางใจกับผู้อื่นได้รวดเร็ว ความสามารถเหล่านี้คือหัวใจของงานสืบสวน เพราะเบาะแสสำคัญหลายครั้งไม่ได้อยู่ที่หลักฐานเชิงกายภาพ แต่อยู่ในถ้อยคำเล็ก ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในท่าทีของคู่สนทนา
และเมื่อพูดถึง The Thursday Murder Club เราไม่อาจละเลยบริบทใหญ่ ‘สังคมสูงวัย’ ของอังกฤษ ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 11 ล้านคน หรือคิดเป็นเกือบ 19% ของประชากรทั้งหมด และสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 24% ภายในปี 2043 บ้านพักผู้สูงอายุจึงไม่ได้เป็นเพียงที่พักอาศัยบั้นปลายชีวิต แต่กำลังกลายเป็นเวทีใหม่ของเรื่องเล่า ที่โลกทั้งโลกจับตามอง
ในสังคมที่มักทำให้ผู้สูงวัยกลายเป็น “ตัวประกอบเงียบ ๆ” ผลงานอย่าง The Thursday Murder Club จึงยกพวกเขามาเป็น “พระเอก” ของเรื่อง ขณะเดียวกัน The Carpool Detectives ก็ยืนยันว่าแม้แต่แม่บ้านธรรมดาที่ไม่เคยจับปืน ก็สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ นั่นคือการมอบความยุติธรรมให้เหยื่อที่ถูกลืม
สองเรื่องราวนี้ เรื่องจริงจากแคลิฟอร์เนีย และนิยายจากเกาะอังกฤษ อาจดูห่างไกลกันคนละซีกโลก แต่กลับสะท้อนเสียงเดียวกันว่า “ความจริง” ไม่ได้ผูกขาดอยู่กับอำนาจหรือเครื่องแบบ หากอยู่กับใครก็ตามที่ยังไม่หยุดตั้งคำถาม
และบางที เสียงกระซิบจากผู้หญิงธรรมดา หรือเสียงหัวเราะจากผู้สูงวัยในบ้านพัก อาจทรงพลังยิ่งกว่าไฟไซเรนของรถตำรวจเสียอีก
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
อ้างอิง