โบว์-ปัณฑิตา มีบุญสบาย เมื่อศิลปะแฟนตาซี ถูกสร้างสรรค์ใหม่ ผ่านฝีแปรงและจินตนาการชวนฝัน

โบว์-ปัณฑิตา มีบุญสบาย เมื่อศิลปะแฟนตาซี ถูกสร้างสรรค์ใหม่ ผ่านฝีแปรงและจินตนาการชวนฝัน
       เมื่อจินตนาการของศิลปินถูกเล่าผ่านพู่กันและผ้าใบ จนกลายออกมาเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่เรียกว่างาน ‘ศิลปะ’ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมรวมถึงวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น และถ้าพูดถึงสถานที่ที่คอยบ่มเพาะศิลปินมากฝีมือในบ้านเรามาช้านาน ชื่อของคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร น่าจะเป็นชื่อต้น ๆ ที่ผู้คนต่างนึกถึง โบว์-ปัณฑิตา มีบุญสบาย ศิลปินรุ่นใหม่มาแรง ที่กำลังโด่งดังกับภาพวาดแนว ‘แฟนตาซี อาร์ต’ ก็เป็นอีกหนึ่งศิษย์เก่าของรั้วศิลปากร ที่มีฝีไม้ลายมือฉกาจฉกรรจ์จนสร้างผลงานสุดสร้างสรรค์ชนิดที่ว่าระดับศิลปินแห่งชาติอย่าง อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ยังต้องออกปากชม ในวันที่จินตนาการและฝีแปรงของเธออยู่ในจุดที่ตกตะกอน ผลงานรูปแบบใหม่ที่เธอเนรมิตออกมา กลายเป็นงานศิลปะชวนฝันที่บอกเล่าตัวตน รวมถึงสะท้อนลายเส้นและลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ วันนี้ชื่อของ ‘ปัณฑิตา มีบุญสบาย’ กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในวงการศิลปะ The People ได้มีโอกาสนั่งคุยกับศิลปินวัย 23 ปีคนนี้ ผู้ที่กำลังพาเรากลับไปยังจุดเริ่มต้นของเธอ ในวันที่ก้าวเท้าเข้าสู่โลกของศิลปะจนผลงาน ‘แฟนตาซี อาร์ต’ ของเธอกลายเป็นที่นิยม รวมไปถึงการบอกเล่าประสบการณ์ในวันที่มหาวิทยาลัยศิลปากรสร้างเธอให้กลายเป็นศิลปินเต็มตัว The People : จุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จักการวาดภาพ ปัณฑิตา : จำความได้ก็รู้สึกว่าวาดภาพได้ก่อนเขียนหนังสือเลยเหมือนทางคุณพ่อคุณแม่ก็จะให้พัฒนากล้ามเนื้อข้อมือโดยการวาดรูป หรือจับดินสอ จับสี มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการวาดภาพหลาย ๆ อย่าง และทางที่บ้านเองคุณพ่อคุณแม่ไม่มีเวลาดูแลขนาดนั้น คือที่บ้านก็จะทำสวนทำอะไรด้วย เขาก็เลยจะทิ้งให้อยู่กับอุปกรณ์ศิลปะและกระดาษ จนคิดว่านี่แหละอาจจะเป็นความสามารถพิเศษของเราหรือเปล่าในตอนนั้น คือตอนนั้นทำแค่พอชอบ ไม่ได้ชอบเรียนศิลปะ แต่ชอบทำงานศิลปะมากกว่า The People : ก่อนมาเรียนที่ศิลปากร เคยติวเข้าสัตวแพทย์ด้วย? ปัณฑิตา : คือช่วงมัธยมฯ ตอนนั้นค่อนข้างเรียนได้ดี แล้วก็ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แต่ว่าก็ยังชอบทำงานศิลปะอยู่ แต่ยังลังเลกับการทำงานศิลปะก็เลยผลักให้มันเป็นชอยส์สุดท้ายที่สุด บวกกับตอนนั้นชอบสัตว์ด้วย แล้วที่บ้านเขาก็เลี้ยงพวกเป็ด พวกหมูป่า ก็เลยรู้สึกว่าอยากเรียน ตอนนั้นอยากเลือกปศุสัตว์ก็เลยไปติว แต่ว่าที่บ้านก็ไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ เพราะว่ามันต้องทำงานอยู่ที่ฟาร์ม พวกเขารู้สึกว่าเป็นลูกสาว อยากให้มีบุคลิกภาพดูน่ารัก ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นติวสถาปัตย์ มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนมาเรื่อย ๆ ช่วงนั้นก็พยายามค้นหาตัวเองอยู่ ตอนนั้นไปถามครูแนะแนวด้วยว่าชอบเรียนศิลปะ ก็มีอาจารย์ที่จบจิตรกรรมมา เขาแนะนำว่าถ้าอยากเรียนจิตรกรรม พวกพี่ ๆ ศิลปินเขาจบจากศิลปากรทั้งนั้นเลย เราก็ลองไปสอบดูแล้วก็ติด ติดแล้วก็เครียดค่ะ เพราะคิดว่าตัวเองฝีมือต้องแย่ที่สุดในคณะแน่เลย ก็เลยพยายามฝึก ๆ มาเรื่อย ๆ แล้วก็โชคดีเจอเพื่อน ๆ ดีด้วย เพื่อน ๆ ที่เขาจบจากสายศิลปะมาโดยตรงเขาก็ช่วยสอนช่วยเทรน ก็รู้สึกว่าเก่งได้เพราะเพื่อนเลย ที่นี่ทำให้เรารู้สึกว่าสังคมเพื่อนดีมาก  โบว์-ปัณฑิตา มีบุญสบาย เมื่อศิลปะแฟนตาซี ถูกสร้างสรรค์ใหม่ ผ่านฝีแปรงและจินตนาการชวนฝัน The People : แล้วทำไมถึงเลือกเรียนคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัณฑิตา : มันมีเหตุผลประหลาดมาก ตอน ป.5 เคยเก็บเหรียญพระพิฆเนศเล็ก ๆ ได้แล้วข้างหลังเขียนว่าศิลปากร ก็เลยรู้สึกว่าสิ่งนี้นำพาไปสู่ศิลปากร ตอนนั้นคิดแค่นั้น ไม่มีอะไรเลย คิดแค่ว่านี่แหละเขาให้เราเข้าศิลปากรแน่เลย ขนาดแม่ซื้อนาฬิกามายังเป็นเวอร์ริเดียน (สีประจำมหาวิทยาลัย) เลย The People : สิ่งที่ได้รับจากรั้วศิลปากร ปัณฑิตา : ถ้าเป็นสิ่งที่ได้รับอันดับหนึ่งในใจก็คือเป็นเรื่องเพื่อนเลย คือโชคดีที่มีเพื่อนที่ดีมาก เวลาว่างจากการทำงาน ว่างจากการเรียนหรืออะไรหลายอย่างก็มาช่วยกันฝึก ก็จะมีกลุ่มที่เราทำงานด้วยกันตลอด อาจารย์ก็จะใช้กลุ่มเราทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเอง ทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ มันจะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็คือเป็นกลุ่มเพื่อนเดียวกันที่ช่วยกันทำงาน ก็รู้สึกว่าศิลปากรทำให้เราเจอเพื่อนกลุ่มที่เก่งในด้านเดียวกัน แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสารกัน  The People : ทางเลือกที่ แตกต่าง’ ของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ปัณฑิตา : เพิ่งมาเริ่มคิดเอาจริง ๆ ว่าจะไปทางไหนต่อคือช่วงปี 3 ที่เลือกเอก ตอนนั้นเครียดมาก เพราะพอแยกเอกมันก็ต้องจริงจังกับสิ่งที่ทำมากขึ้น ก็เลยทักไปหาศิลปินที่ชอบว่าพี่เตรียมตัวยังไง คือทุกคนก็จะให้คำแนะนำแนวปลอบใจว่าอย่าเพิ่งคิดมากเลย เราแค่ปี 3 เอง แต่เราก็รู้สึกว่าถ้าเราอยากประสบความสำเร็จเร็วมันต้องเริ่มคิดตั้งแต่ตอนนี้ คือมันต้องเริ่มคิดได้แล้ว มันก็เลยเป็นจุดประกายไอเดียขึ้นมาว่าเราต้องเริ่มได้แล้ว จากนั้นเราก็เริ่มทำจนแสดงงานครั้งแรกตอนปี 4 ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ค่อนข้างเร็วมากที่ปี 4 ได้แสดงงาน ทางอาจารย์เขาก็ตกใจเหมือนกัน ซึ่งมันเป็นก้าวแรกของการเข้าสู่วงการ แล้วหลังจากนั้นก็ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ The People : จุดที่ทำให้ค้นพบลายเซ็นและสายเส้นของตัวเอง ปัณฑิตา : พอย้อนไปดูงานสมัยเก่า ๆ ย้อนไปถึงจนช่วงมัธยมฯ ก็รู้สึกว่าวิธีการลงสี หรือการวางคอมโพสต์ องค์ประกอบในงานมันค่อนข้างจะคล้าย ๆ เดิมมาตั้งแต่เด็ก ถ้าถามว่าลายเส้นมันมาตั้งแต่ตอนไหน ก็คงย้อนไปตั้งแต่สมัยเด็กเลย The People : นิยามงานศิลปะของตัวเองในรูปแบบใด ปัณฑิตา : ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจว่าเป็นงานเหนือจริง (งาน surreal) แต่ว่าจริง ๆ มันอาจจะมีอีกแขนงหนึ่งที่เขาเรียกว่าแฟนตาซี คือเป็น แฟนตาซี อาร์ต (fantasy art) ซึ่งเราชอบให้มันเป็นแฟนตาซีมากกว่า คือวิธีการทำงานของเรามันจะคล้ายกับกระบวนการของการทำหนังที่จะมีฉาก มีตัวละครเอก ตัวละครรอง และเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้น เหมือนเป็นซีนหนึ่ง จริง ๆ ไม่ค่อยอยากนิยามว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่อยากนิยามว่าเป็นเหนือจริงหรือเป็นแฟนตาซี แต่ว่าก็แล้วแต่คนจะมองมากกว่าว่าเป็นอะไร โบว์-ปัณฑิตา มีบุญสบาย เมื่อศิลปะแฟนตาซี ถูกสร้างสรรค์ใหม่ ผ่านฝีแปรงและจินตนาการชวนฝัน The People : ลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ ตามความนิยมที่ได้รับมากขึ้น ปัณฑิตา : มันได้รับความนิยมเพราะว่าคนให้ความสนใจมันมากกว่า รู้สึกว่าเหมือนทุกคนมาโฟกัสที่เรา ช่วงนั้นแหละมันเป็นช่วงที่ลายเส้นเราชัดที่สุด แต่จริง ๆ ถ้าเขาย้อนไปในช่วงที่ไม่มีใครสนใจก็คือมันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว The People : ศิลปะล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากการก๊อบปี้ ย้อนกลับไปตอนเรียน คุณค้นพบหนทางที่จะหลุดกรอบออกจากงานเดิม ๆ ได้อย่างไร ปัณฑิตา : จริง ๆ ศิลปะมันเกิดจากความจำและประสบการณ์จากการที่เรามองเห็น หลาย ๆ อย่างมันเกิดจากประสบการณ์ที่เราเคยเห็นมาแล้ว เอามาบวก เอามารวมกัน แต่มันต้องผ่านการกรองจากเราอีกทีว่าเราจะกลั่นเอาตรงไหนออกมาใช้บ้าง มันก็เลยทำให้ยุคสมัยนี้ยากมากที่เราจะไม่เหมือนใครเลย เพราะว่าศิลปะมันถูกสร้างถูกทำมา ทุกรูปแบบทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะ แบบสองมิติที่เป็น Painting เอง มันถูกขัด มันถูกแย้งมาทุกอย่างจนมาเป็นปัจจุบัน มันก็ยากที่เราจะสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นเลยโดยที่ไม่มีใครเคยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ นอกจากที่เราจะดู ๆ แล้วนำมาปรับใช้เป็นเรา The People : วิธีคิดที่ทำให้เราหลุดออกจากกรอบ ดูเหมือนจะเป็นหนทางสู่งานสร้างสรรค์ที่แท้จริงหรือเปล่า? ปัณฑิตา : คือตอนนี้ก็เรียนปริญญาโทอยู่ เป็นหลักสูตรใหม่ที่เหมือนเรียนแบบศิลปิน ก็คือไม่ต้องเข้าเรียนเลย ไม่ต้องเจออาจารย์ ไม่ต้องเจออะไร เจออีกทีก็ตอนแสดงงาน เรารู้สึกว่าแฮปปี้กับวิธีการเรียนแบบนี้มาก อาจารย์เขาปล่อยให้เราไปค้นหาความรู้ด้วยตัวเอง คือช่วงนี้เราก็พยายามเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง การเรียนแบบนี้มันดีกว่าการเรียนในห้องเรียนที่เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะงานศิลปะเอาจริง ๆ มันเรียนในห้องเรียนยาก การประกวดงานด้วยรสนิยมของคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นอาจารย์ การดูงานของอาจารย์ อาจารย์ก็จะมีรูปแบบบางอย่างที่เขาชอบ เขาก็จะให้คะแนนค่อนข้างดี แต่ว่างานที่ได้คะแนนดีมันก็ไม่ได้เป็นข้อวัดว่าดีกว่างานคนที่ได้ B หรือ C ในโลกภายนอก คนเสพงานไม่เหมือนกัน โบว์-ปัณฑิตา มีบุญสบาย เมื่อศิลปะแฟนตาซี ถูกสร้างสรรค์ใหม่ ผ่านฝีแปรงและจินตนาการชวนฝัน The People : ศิลปะคืออะไรในมุมมองของคุณ ปัณฑิตา : ศิลปะในตอนแรกเข้าใจก็คือทุกอย่างที่อยู่ในแกลเลอรี ทั้งหมดมันคืองานศิลปะหมดเลย ต่อให้หอบขยะมากองไว้ในแกลเลอรีก็คืองานศิลปะ จนมีอยู่ครั้งหนึ่งเข้าไปใน BACC (หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) ก็สับสนว่าไอ้กองขยะนี้คือแม่บ้านเอามากองไว้หรือมันเป็นงานศิลปะ พอเดินดูไปแล้วมีแท็กเล็ก ๆ เขียนชื่อผลงาน ขนาด เทคนิค และชื่อศิลปิน จนรู้ว่าชิ้นนั้นมันเป็นงานศิลปะ ซึ่งมันแยกยากมากเลยระหว่างกองขยะที่แม่บ้านเขากองอยู่กับงานศิลปะที่เขามีแท็กติดอยู่ ก็เลยรู้สึกว่า นี่มันเป็นปัญหาโลกแตก รู้สึกว่ามันกว้างมาก มันไม่ใช่หลักการ เมื่อก่อนมันจะมีศิลปะเกิดจากทัศนธาตุ การเห็นจุด เส้น สี ความรู้สึก พอเขาเริ่มอธิบายหลาย ๆ อย่าง มันก็คือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เราว่ามันเกี่ยวกับความตั้งใจของคนทำคนสร้างว่าเราให้คำนิยามของมันว่าอะไร หรือว่าเราให้ความสำคัญหรือคุณค่ากับมันว่ายังไง มันเกิดจากความตั้งใจของเราว่าเราให้สิ่งนั้นเป็นงานศิลปะหรือเปล่า มันเกี่ยวกับตัวศิลปินที่ทำมากกว่า เพราะว่าบางคนอาจจะทำแล้วเรามอง เฮ้ย! เราดูแล้วมันเป็นศิลปะ แต่เปล่าเลยเขาแค่ทำอะไรบางอย่าง แบบทัศนะการมองเห็น เรามองว่ามันสวย เฮ้ย! มันคือศิลปะ แต่คนทำเขาไม่ได้ตั้งใจมันเป็นงานศิลปะ นี่ก็ยังเป็นเรื่องที่ตอบยาก The People : ความทรงจำเกี่ยวกับการขายงานศิลปะชิ้นแรก ๆ เป็นอย่างไร ปัณฑิตา : ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานลายเส้น แล้วก็มีงานที่ใช้สีน้ำพลาสติก ส่วนใหญ่ญาติ ๆ เขาจะซื้อเชิงให้กำลังใจ ด้วยราคาไม่กี่บาท แต่ตอนนั้นรู้สึก เฮ้ย! เราต้องอยู่ได้ในวงการ เรารู้สึกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของการเป็นศิลปิน แต่ก็รู้สึกโชคดีมากที่กลุ่มญาติ ๆ เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจกับการทำงานศิลปะของเรา ทำให้ไม่เคยถูกที่จะโดนกดดันหรืออะไร มันทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ The People : ความรู้สึกตอนขายงานศิลปะชิ้นแรกกับชิ้นล่าสุดต่างกันไหม ปัณฑิตา : ต่าง คือเมื่อก่อนทำแล้วก็จะลุ้นมากว่าจะขายได้ไหม คือมันจะมีเรื่องของการลุ้น เราจะตั้งใจกับการทำงานชิ้นแรก ๆ มาก ตั้งใจมากจนมันก็มาเรื่อย ๆ ก็จะมีชิ้นเก่า ๆ ที่ขายไม่ได้ มีช่วงหนึ่งที่พอเราเริ่มดังขึ้น ทุกคนกลับมามองงานชิ้นเก่านั้น ทุกคนกลับไปดู กลับไปซื้อ เราก็รู้สึกว่างานศิลปะมันสร้างมูลค่าด้วยตัวชื่อเสียงของคนทำมากกว่า มันแปรผันไปกับชื่อเสียงของเรา มันทำให้งานเหล่านั้นดูมีคุณค่าและมีมูลค่าตามมาด้วย คือตอนนี้เรารู้สึกว่าความตื่นเต้นในการขายงานน้อยลงไปกว่าแต่ก่อนมาก ทั้ง ๆ ที่ราคาต่างจากแต่เดิมมาก รู้สึกว่าเงิน 1,000 บาทตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมากกว่าเงิน 100,000 บาทในตอนนี้ โบว์-ปัณฑิตา มีบุญสบาย เมื่อศิลปะแฟนตาซี ถูกสร้างสรรค์ใหม่ ผ่านฝีแปรงและจินตนาการชวนฝัน The People : คิดว่าศิลปะให้อะไรกับเราบ้าง ปัณฑิตา : ถ้าพูดว่าให้เงินมันจะดู… (หัวเราะ) คือเราไม่อยากพูดว่ามันให้ตังค์เลย แต่มันก็เลี้ยงชีพได้ ให้ทั้งที่บ้านได้ ถ้าย้อนไปตอนที่ขายงานไม่ได้ ตอนที่เราไม่อยากทำงานแล้ว ไป ๆ มา ๆ เราก็วาดรูปเล่นอยู่ดี เลยรู้สึกว่างานศิลปะมันก็คงเป็นชีวิตของเรานี่แหละ ต่อให้ไปเที่ยวก็จะพกกระดาษสเก็ตช์ พกสมุด พกสี พกอุปกรณ์ไปอยู่ดี รู้สึกว่าวิถีชีวิตเราก็วน ๆ เวียน ๆ กับการวาดรูปตลอดเลย เราก็คงหลุดพ้นยาก มันก็คงหยุดทำยากด้วย The People : ‘ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น’ ในมุมมองของคุณ ปัณฑิตา : คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงนะ ถ้ายกตัวอย่างไปถึงแวนโก๊ะ ช่วงที่เขาทำงานศิลปะช่วงนั้นเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จเลย เขาใช้ชีวิตค่อนข้างลำบากมากจนเขาเลือกที่จะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายงานเขากลับกลายเป็นที่รู้จัก มันก็เหมือนกับการที่เราได้จารึกอะไรบางอย่างไว้ จารึกสิ่งที่มันจับต้องได้ไว้ในความทรงจำของหลาย ๆ คน หรือมันกลายเป็นประวัติศาสตร์เป็นตำนาน แต่ว่าตัวเราจากไปแล้ว ไม่นานคนก็จะลืมชื่อเรา แต่เขาก็อาจจะจำงานศิลปะเราได้อยู่ เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นคีย์เวิร์ดที่มันตรงที่สุดที่เคยฟังมา