27 พ.ย. 2568 | 16:00 น.

KEY
POINTS
เมื่อกล่าวถึง ‘ภัยพิบัติทางธรรมชาติ’ (Natural Disaster) อาจทำให่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องของลมฟ้าอากาศหรือแม้แต่ความโชคร้ายที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น จะเห็นว่าพายุลูกเดียวกันกลับให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันเลย เมื่อเกิดขึ้นกับพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป ในบางพื้นที่อาจมีผู้สูญเสียจำนวนมาก ขณะที่อีกประเทศแทบไม่มีผู้เสียชีวิต ความต่างตรงนี้ไม่ได้อยู่ที่ท้องฟ้าเพียงเท่านั้น แต่รวมไปถึงวิธีการรับมือของรัฐเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้มากกว่า
‘คิวบา’ (Cuba) คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดที่สุด ประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวย ทรัพยากรจำกัด แถมต้องเจอวิกฤตเศรษฐกิจเรื้อรัง แต่องค์การสหประชาชาติ (United Nations) และองค์กรอย่างออกซ์แฟม อเมริกา (Oxfam America) กลับยกให้เป็น ‘ต้นแบบ’ ในการรับมือกับภัยพิบัติอย่างพายุเฮอร์ริเคน
ทว่าคำถามสำคัญอาจไม่ใช่ ‘คิวบาชำนาญกับการรับมือแค่ไหน?’ แต่คือ ‘คิวบาสามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?’ บทความนี้จะชวนย้อนกลับไปดูบาดแผลจากฮูริเคนฟลอรา (Hurricane Flora) ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้ทั้งประเทศต้องทบทวนบทบาทของรัฐ ต่อด้วยการมองยุคของ ‘ฟิเดล คาสโตร’ (Fidel Castro) ที่นิยามภัยพิบัติให้กลายเป็นศัตรูที่รัฐต้องสู้สุดกำลัง และออกแบบโครงสร้างที่คอยคุ้มกันสวัสดิภาพชาวคิวบามาถึงทุกวันนี้
แม้ว่าในปัจจุบันนี้คิวบาจะมีโครงสร้างที่สามารถต้านทานกับภัยพิบัติโดยเฉพาะกับเฮอร์ริเคนได้อย่างโดดเด่นที่สุดประเทศหนึ่งในแถบลาตินอเมริกาและแคริบเบียน แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาปราศจากบาดแผล
ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคม ปี 1963 ฮูริเคนฟลอรา (Hurricane Flora) เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าเข้าถล่มฝั่งตะวันออกของคิวบา จนกลายเป็นหนึ่งในพายุที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์แอตแลนติก ทั้งด้วยแรงลมระดับเฮอริเคนและฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ยอมหยุดจนพื้นที่กว้างใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ บ้านเรือน ถนน สะพาน และทางรถไฟจำนวนมากถูกน้ำป่าและดินถล่มกวาดหายไป
สรุปแล้ว ฟลอราคร่าชีวิตผู้คนในคิวบามากกว่าหนึ่งพันคน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในมูลค่า ณ ปี 1963 ซึ่งถือว่าหนักหน่วงอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่มีประชากรราว 7 ล้านคนในเวลานั้น
เฮอร์ริเคนฟลอรานับเป็นหายนะระดับชาติที่ไม่มีใครเคยเผชิญมาก่อน พื้นที่ภาคตะวันออกซึ่งเป็นฐานสำคัญของการปฏิวัติ ถูกน้ำท่วมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหมู่บ้านจำนวนมากเสียหายแทบไม่เหลือเค้าเดิม มีการประเมินว่ามีประชาชนหลายหมื่นคนต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง บ้านเรือนนับหมื่นหลังเสียหายหรือพังราบ พืชผลสำคัญอย่างอ้อย ข้าว กาแฟถูกทำลายไปเป็นสัดส่วนสูงในระดับประเทศ กระทบทั้งปากท้องของชาวบ้านและรายได้ของรัฐในคราวเดียว
แต่ในขณะเดียวกัน บาดแผลครั้งใหญ่นี้ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ผลักให้คิวบาปรับตัวที่จะรับมือกับหายนะครั้งนี้อย่างมีประสิทธิภาพที่ยังได้ผลมาจนถึงทุกวันนี้
บาดแผลในครั้งนั้นทิ้งคำถามใหญ่ไว้ให้กับคิวบาว่า ‘รัฐแบบไหนกันแน่ที่คู่ควรกับชีวิตของเรา’ พายุลูกนั้นถล่มประเทศที่เพิ่งผ่านการปฏิวัติ รัฐใหม่ยังไม่ทันได้พิสูจน์ตัวเอง ก็ต้องเผชิญตัวเลขผู้เสียชีวิตหลักพันและความเสียหายทางเศรษฐกิจในระดับที่สั่นคลอนทั้งระบบ บางนักวิชาการจึงมองว่าฟลอราไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่เป็น ‘การทดสอบความชอบธรรมของระบอบปฏิวัติ’ ว่าจะสามารถปกป้องประชาชนคนธรรมดาได้จริงหรือไม่?
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือระบอบที่กล่าวว่ามาเพื่อ ‘ประชาชน’ สามารถจะกอบกู้สวัสดิภาพของ ‘ประชาชน’ ได้จริงหรือเปล่า?
ในห้วงเวลานั้น ผู้นำสูงสุดของประเทศคือ ฟิเดล คาสโตร ผู้นำกองกำลังกบฏที่เพิ่งยึดอำนาจได้ไม่กี่ปี คาสโตรบินเข้าสู่เขตภัยพิบัติ ลงพื้นที่บัญชาการช่วยเหลือด้วยตัวเอง เหตุการณ์นี้ทำให้ ‘กองกำลังกบฏ’ ที่เคยถูกมองว่าเป็นผู้ยึดทรัพย์ กลายเป็น ‘กองกำลังช่วยชีวิต’ ในสายตาประชาชน และตอกตรึงความคิดว่า ในยามวิกฤต รัฐปฏิวัตินี้จะไม่ทอดทิ้งคนของตัวเอง
คาสโตรและชนชั้นนำปฏิวัติเริ่มนิยามภัยพิบัติใหม่ ไม่ใช่เพียง ‘เรื่องฟ้าฝน’ ที่ต้องทำใจ แต่เป็นสมรภูมิที่รัฐต้องพิสูจน์ว่าให้คุณค่ากับชีวิตประชาชนมากแค่ไหน วาทกรรมของรัฐในเวลาต่อมาจึงผูกการรับมือเฮอริเคนเข้ากับภาษาการต่อสู้และการป้องกันประเทศ ทุกครั้งที่คิวบาผ่านพายุใหญ่โดยมีผู้เสียชีวิตน้อย หนังสือพิมพ์ของรัฐมักพาดหัวว่าเป็น ‘ชัยชนะเหนือเฮอริเคน’ การปกป้องชีวิตจึงเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์การปฏิวัติ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้คนยอมรับอำนาจของรัฐใหม่ เพราะเขาได้พิสูจน์ว่ารัฐคุ้มครองชีวิตพวกเขาได้
หลังจากเฮอร์ริเคนฟลอรา คิวบาจัดตั้งและยกระดับโครงสร้างป้องกันพลเรือน หรือ ‘เดเฟนซา ซีบิล’ (Defensa Civil) ให้เป็นเสาหลักของการบริหารภัยพิบัติ ตั้งแต่ระดับชาติ จังหวัด เทศบาล ไปจนถึงคณะกรรมการระดับบล็อกบ้าน ขณะเดียวกันก็ลงทุนเสริมศักยภาพของสถาบันอุตุนิยมวิทยาคิวบา (Cuban Institute of Meteorology) ให้เป็นดวงตาของประเทศที่จับตาเส้นทางพายุและส่งสัญญาณเตือนตรงถึงเดเฟนซา ซีบิล
เมื่อเวลาผ่านไป โครงสร้างเหล่านี้ค่อย ๆ ถูกฝังลึกในชีวิตประจำวัน ทั้งในหลักสูตรโรงเรียน การอบรมในที่ทำงาน และการฝึกซ้อมระดับชาติอย่าง ‘เมเตโอโร’ (Meteoro) ปีละครั้ง ซึ่งจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่สงครามไปจนถึงเฮอริเคน ชาวคิวบาจำนวนมากจึงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้และความเคยชินว่า หากพายุมา เขาควรไปที่ไหน ฟังใคร และต้องช่วยใครบ้าง
หากดูจากตัวเลขหลังยุคฮูริเคนฟลอราจะเห็นชัดว่าระบบรับมือภัยธรรมชาติของคิวบาได้ช่วยชีวิตของผู้คนไปมหาศาล งานศึกษาของ Oxfam ระบุว่า ระหว่างปี 1996–2002 คิวบาถูกพายุเฮอร์ริเคนลูกใหญ่ 6 ลูกเล่นงาน แต่มีผู้เสียชีวิตรวมเพียง 16 ราย ในขณะที่ประเทศอื่นในแถวแคริบเบียนซึ่งเผชิญพายุชุดเดียวกันมีตัวเลขผู้เสียชีวิตหลักร้อยถึงพันคนในเหตุการณ์เดียว
ยกตัวอย่างเช่น เฮอร์ริเคนจอร์จส์ (Hurricane Georges) ในปี 1998 คร่าชีวิตผู้คนราว 600 คนในประเทศรอบข้าง แต่ในคิวบามีรายงานผู้เสียชีวิตเพียง 4–6 คน หลังรัฐอพยพประชาชนหลายแสนคนออกจากแนวเสี่ยงก่อนพายุขึ้นฝั่ง
ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เฮอร์ริเคนไอแวน (Hurricane Ivan) และเดนนิส (Hurricane Dennis) บางการประเมินระบุว่ารัฐคิวบาสามารถอพยพประชาชนมากกว่า 1.5 ล้านคนในแต่ละครั้ง ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่หลักหน่วยหรือหลักสิบต้น ๆ แม้บ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานจะเสียหายหนัก
หรืออย่างกรณีล่าสุดอย่าง เฮอร์ริเมลิสซา (Hurricane Melissa) ปี 2025 บทวิเคราะห์ของนักวิชาการด้านภูมิอากาศและสังคมระบุว่า เมลิสซาทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 75 ราย โดย 43 รายอยู่ในเฮติ และ 32 รายในจาเมกา ขณะที่รัฐบาลคิวบาระบุว่าไม่มีผู้เสียชีวิตเลย หลังจากอพยพประชาชนราว 735,000 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้าหลายชั่วโมงก่อนพายุขึ้นฝั่ง
เมื่อวางตัวเลขเหล่านี้เรียงต่อกันจากฟลอราที่คร่าชีวิตผู้คนมากกว่าพันคน มาจนถึงยุคที่คิวบาผ่านเฮอร์ริเคนระดับ 3–5 ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตหลักหน่วยหรือศูนย์ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ปาฏิหาริย์จากธรรมชาติแต่คือผลสะสมของระบบเตรียมพร้อม การอพยพเชิงรุก และรากฐานการรับมือที่ถูกฝังลึกมาเป็นเวลานาน
ตัวเลขทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องฟ้าฝนล้วน ๆ เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของการจัดการและการเตรียมพร้อม พายุอาจแรงเท่าเดิมหรือรุนแรงกว่าเดิม แต่เมื่อคิวบามีระบบเตือนภัยล่วงหน้า มีคำสั่งอพยพที่ชัดเจน และมีชุมชนที่ถูกจัดระเบียบให้รู้หน้าที่ของตัวเอง ตัวเลขผู้เสียชีวิตจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งสำคัญในที่นี้อาจไม่ใช่ความชินชาต่อท้องฟ้าและอากาศ หากคือรัฐที่เลือกจะเอาชีวิตคนเป็นตัวตั้ง และวางรากฐานให้การรับมือพายุกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างประเทศ มากกว่าจะปล่อยให้มันเป็น ‘ความโชคร้าย’ ที่มาและผ่านไป
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง
Thompson, Martha, and Izaskun Gaviria. Cuba: Weathering the Storm – Lessons in Risk Reduction from Cuba. Oxfam America, 2004.
“Cuba emergency response system.” Wikipedia.
Cederlöf, Gustav. “Disaster Risk Reduction and the Cuban Exception: Infrastructural and Ideological Power after Hurricane Flora (1963).” Annals of the American Association of Geographers, 2025.
Cederlöf, Gustav. “Why Hurricanes Rarely Kill in Cuba.” University of Reading / Connecting Research blog.
“Cuba Is No Stranger to Hurricanes.” The New York Times.)
“CUBA: A Model in Hurricane Risk Management.” United Nations International Strategy for Disaster Reduction (ISDR) Press Release, 2004.
Wisner, Ben. “Lessons from Cuba? Hurricane Michelle.” RADIX, 2001.
“Cuba leads the world in managing disasters.” Workers World, 2017.