30 ธ.ค. 2568 | 12:11 น.

KEY
POINTS
ปลายปีมักเป็นช่วงเวลาที่คำบางคำถูกเรียกกลับมาใช้งานซ้ำ ๆ คำว่า “ให้อภัย” “เริ่มต้นใหม่” และ “ปล่อยวาง” กลายเป็นถ้อยคำประจำฤดูกาล ราวกับว่าการเปลี่ยนหน้าปฏิทินจะช่วยปิดบัญชีความรู้สึกของปีเก่าได้โดยอัตโนมัติ
แต่ในบรรดาคำทั้งหมด คำว่า “ขอโทษ” คือคำที่ถูกเข้าใจง่ายเกินไป และถูกใช้โดยไม่ตั้งคำถามมากพอ
ในภาพจำของคนยุคนี้ คำขอโทษถูกวางไว้ในตำแหน่งของ ‘การเยียวยา’ เป็นสัญญาณของความสำนึกผิด และเป็นประตูไปสู่การให้อภัย แต่ในชีวิตจริง คำขอโทษจำนวนไม่น้อยกลับไม่ได้ทำหน้าที่ซ่อมแซมความสัมพันธ์ หากแต่ทำหน้าที่ ‘ผลักภาระ’ ทางอารมณ์จากคนพูดไปสู่คนฟัง ผู้พูดได้พูดในสิ่งที่ควรพูดแล้ว รู้สึกโล่งใจขึ้น ขณะที่คนฟังต้องเป็นฝ่ายจัดการกับความรู้สึกทั้งหมดที่ยังค้างอยู่ต่อไป
ในทางจิตวิทยา ภาระลักษณะนี้เรียกว่า ‘emotional labor’ หรือ ‘ภาระทางอารมณ์’ หมายถึงความพยายามภายในที่มนุษย์ต้องใช้เพื่อควบคุม ทำความเข้าใจ หรือปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดำรงอยู่ได้ในความสัมพันธ์ คำขอโทษที่พูดออกมาโดยไม่รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ มักผลักแรงงานทางอารมณ์ทั้งหมดไปให้ผู้ฟัง ต้องเป็นฝ่าย “เข้าใจ” “ให้อภัย” และ “ก้าวข้าม” ให้ทันกับจังหวะของคนพูด โดยที่คนฟังแทบไม่มีความพร้อมทางใจ
สิ่งที่ทำให้คำขอโทษแบบนี้ดูไม่รุนแรง คือมันมักมาในรูปของถ้อยคำสุภาพและเหตุผลที่ฟังดูสมเหตุสมผล คำอธิบายเกี่ยวกับแรงกดดันในชีวิต ความไม่พร้อมในช่วงเวลานั้น หรือบาดแผลในอดีต ถูกนำมาใช้ประกอบอย่างละเอียด ในเชิงจิตวิทยา นี่คือกลไกป้องกันตนเองตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่ในเชิงความสัมพันธ์ มันอาจทำให้ความเจ็บปวดของอีกฝ่ายถูกลดทอนลงอย่างเงียบ ๆ และทำให้การขอโทษกลายเป็นพื้นที่ของผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง
อีกลักษณะหนึ่งของคำขอโทษที่พบได้บ่อย คือคำขอโทษที่เร่งรัดผลลัพธ์ มันมาพร้อมความคาดหวังว่า เมื่อพูดแล้ว เรื่องควรจบ อีกฝ่ายควรให้อภัย และความสัมพันธ์ควรกลับไปเดินต่อได้เหมือนเดิม ความคาดหวังนี้อาจไม่ถูกพูดออกมาตรง ๆ แต่แฝงอยู่ในความเงียบ ความน้อยใจ หรือความผิดหวังเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่หวัง ในมุมมองทางจิตวิทยาความสัมพันธ์ นี่คือการผูกกระบวนการเยียวยาไว้กับเวลาของผู้ทำผิด มากกว่าเวลาของผู้ที่ต้องรับผลกระทบทางอารมณ์จริง ๆ
สิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้ามคือ ความจริงพื้นฐานที่ว่า อารมณ์ของคนสองคนในเหตุการณ์เดียวกันไม่จำเป็นต้องสมดุลกัน ผู้ทำผิดอาจรู้สึกเสียใจ รู้สึกผิด หรือแม้แต่เจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความรู้สึกนั้นไม่ได้เท่ากับความรู้สึกของคนที่ถูกกระทำ การยอมรับความไม่สมดุลนี้ไม่ใช่การโทษตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เป็นการยอมรับว่า ประสบการณ์ของอีกฝ่ายมีน้ำหนักในแบบของมันเอง และไม่ควรถูกเร่งให้เบาลงเพียงเพื่อให้เราสบายใจเร็วขึ้น
แนวคิดนี้สอดคล้องกับจิตวิทยาที่มองบาดแผลทางใจในฐานะ ‘กระบวนการ’ ไม่ใช่ ‘เหตุการณ์’ บาดแผลไม่ได้เยียวยาด้วยคำพูดเพียงครั้งเดียว แต่เกิดจากความรู้สึกปลอดภัย ความสม่ำเสมอ และความรับผิดชอบที่ต่อเนื่อง คำขอโทษจึงไม่ใช่ ‘จุดจบ’ ของเรื่อง แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่อาจยังต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ตาม การพูดถึงการไม่เร่งให้อภัย ไม่ได้หมายความว่า การไม่ให้อภัยตลอดไปคือคำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป ในอีกด้านหนึ่ง การแบกความค้างคาไว้โดยไม่ยอมวางลง ก็อาจกลายเป็นภาระทางใจของผู้แบกเองเช่นกัน
เมื่อมองจากมุมนี้ คำถามสำคัญของการขอโทษอาจไม่ใช่ “จะพูดยังไงให้ดูจริงใจ” แต่คือ “เราขอโทษไปเพื่ออะไร” เราขอโทษเพื่อซ่อมความสัมพันธ์ หรือเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด เราพร้อมรับผลลัพธ์ทุกแบบหรือไม่ รวมถึงความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายอาจยังไม่พร้อมให้อภัย หรืออาจต้องการระยะห่างมากกว่าที่เราคาดหวัง
ในแนวคิดเรื่อง ‘accountability’ หรือ ‘ความรับผิดชอบ’ มีการแยกความต่างระหว่าง ‘การยอมรับ’ ผลของการกระทำ กับความต้องการ ‘ปิดเรื่อง’ ให้เร็วที่สุดอย่างชัดเจน การยอมรับผิดหมายถึงการอยู่กับผลที่ตามมา แม้ผลนั้นจะไม่สบายใจ ขณะที่การแสวงหาการปิดเรื่อง มักเกี่ยวข้องกับความต้องการกลับไปสู่ภาวะปกติของตัวเอง คำขอโทษที่ไม่ผลักภาระทางใจ มักเลือกเส้นทางแรก และยอมรับว่า บางครั้งการที่เรื่องยังไม่จบ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบเช่นกัน
ปลายปีทำให้ความคาดหวังเรื่องการ ‘ปิดจบ’ รุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราอยากเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความรู้สึกสะอาด โล่ง และเบา แต่ความรู้สึกของมนุษย์ไม่ได้ทำงานตามปฏิทิน การบอกให้ใครสักคน “ทิ้งเรื่องนี้ไว้แค่นี้” อาจฟังดูดีในเชิงถ้อยคำ แต่ในเชิงจิตใจ มันอาจหมายถึงการบอกให้เขาแบกความรู้สึกนั้นต่อไป โดยไม่มีพื้นที่ให้จัดการอย่างแท้จริง
การขอโทษโดยไม่ผลักภาระทางใจ จึงอาจเริ่มจากการยอมรับความจริงที่ไม่สบายใจว่า เราไม่สามารถควบคุมการให้อภัยของใครได้ สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ คือความชัดเจนในการยอมรับสิ่งที่ทำ ความจริงใจที่ไม่ปนการปกป้องตัวเอง และความอดทนที่จะอยู่กับผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเป็นความเงียบ ระยะห่าง หรือการที่ความสัมพันธ์ไม่กลับไปเหมือนเดิม
คำขอโทษลักษณะนี้อาจไม่ใช่คำขอโทษที่ทำให้ใครรู้สึกดีในทันที แต่มันเปิดพื้นที่ให้อารมณ์ของอีกฝ่ายดำรงอยู่ได้โดยไม่ถูกเร่ง ไม่ถูกลดทอน และไม่ถูกบังคับให้จบลงเพื่อความสบายใจของใครคนหนึ่ง
ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ เรามักถามตัวเองว่าอยากทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง แต่บางที คำถามที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรากำลังทิ้งอะไรไว้ให้ใครแบกต่อหรือไม่ ถ้าคำขอโทษหนึ่งคำ ทำให้ผู้พูดรู้สึกโล่ง แต่ทำให้ผู้ฟังต้องหนักใจขึ้น คำขอโทษนั้นอาจยังไม่เสร็จสมบูรณ์
บางที ของขวัญปลายปีที่จริงใจที่สุด อาจไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ที่ถูกเร่งเร้า แต่คือการไม่ผลักภาระทางใจของเรา ให้กลายเป็นของที่ใครอีกคนต้องแบกข้ามปีไปตามลำพัง
เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: ดัดแปลงจากภาพยนตร์เรื่อง Love Actually
อ้างอิง:
American Psychological Association. “Forgiveness.” American Psychological Association, www.apa.org/topics/forgiveness. Accessed 30 Dec. 2025. (คำอธิบายหัวข้อทั่วไปเกี่ยวกับการให้อภัยในจิตวิทยาและผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้อง)
Frontiers in Psychology. Witvliet, Charlotte V. O., et al. “Apology and Restitution: The Psychophysiology of Forgiveness After Accountable Relational Repair Responses.” Frontiers in Psychology, vol. 11, 2020, https://www.frontiersin.org/journals/psychology/articles/10.3389/fpsyg.2020.00284/full. Accessed 30 Dec. 2025. (การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลของคำขอโทษและการคืนความเป็นธรรมต่อการให้อภัย)
“How to Apologize Sincerely: Keys to an Effective Apology.” MentalHealth.com, https://www.mentalhealth.com/library/keys-to-an-effective-apology. Accessed 30 Dec. 2025. (แนวทางและหลักจิตวิทยาในการขอโทษอย่างมีประสิทธิภาพ)
Harvard Business Review. “Sorry Not Sorry.” HBR.org Podcast, May 2019, https://hbr.org/podcast/2019/05/sorry-not-sorry. Accessed 30 Dec. 2025. (พอดแคสต์เชิงบริหาร/พฤติกรรมเกี่ยวกับคำขอโทษและแรงกดดันทางสังคม)
Lerner, Harriet. “Why Won’t You Apologize?” TED, www.ted.com/talks/harriet_lerner_why_won_t_you_apologize. Accessed 30 Dec. 2025. (การพูดของนักจิตวิทยาเชิงสาธารณะเกี่ยวกับความซับซ้อนของการขอโทษและเหตุผลที่บางคนไม่ขอโทษ)
Walton, Kate. “The Three Parts of an Effective Apology.” Greater Good Magazine, Greater Good Science Center, https://greatergood.berkeley.edu/article/item/the_three_parts_of_an_effective_apology. Accessed 30 Dec. 2025. (บทความจากมุมมองจิตวิทยาบุคคลและสังคมว่าการขอโทษควรประกอบด้วยอะไรบ้าง)