25 ส.ค. 2568 | 17:06 น.
KEY
POINTS
เมื่อธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งออกมาประกาศนโยบาย “เกษียณก่อนกำหนด” สำหรับพนักงานอายุเพียง 45 ปี พร้อมเงินชดเชยตามอายุงาน ข่าวนี้กลายเป็นเหมือนระเบิดที่เขย่าสังคมไทยทั้งวงการการเงินและการทำงาน หลายคนอ้าปากค้างว่า 45 ยังหนุ่มแน่น จะให้เกษียณแล้วหรือ? ขณะที่บางคนเริ่มถามคำถามใหญ่ขึ้นว่า แล้วจริง ๆ อายุเกษียณที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไรกันแน่?
การเกษียณอายุไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่เป็นเส้นแบ่งระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตหลังงาน เป็นเส้นแบ่งที่สะท้อนทั้งความพร้อมทางเศรษฐกิจของประเทศ และความพร้อมทางสังคมที่จะดูแลผู้สูงวัย เพราะการเกษียณไม่ได้หมายถึงการหยุดทำงานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการหยุดรับรายได้ประจำ และต้องพึ่งพิงเงินออม หรือสวัสดิการจากรัฐ
ถ้าเราย้อนดูทั่วโลก ตัวเลขเกษียณแตกต่างกันออกไปตามโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ
ใน สหราชอาณาจักร อายุเกษียณของรัฐอยู่ที่ 66 ปี และรัฐบาลมีแผนขยับขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อรับมือกับแรงกดดันด้านงบประมาณบำนาญ ในขณะที่ เดนมาร์ก ซึ่งถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีระบบสวัสดิการเข้มแข็งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำลังขยับอายุเกษียณขึ้นไปถึง 70 ปี ภายในปี 2040
ฝั่ง ฝรั่งเศส เรื่องการปรับอายุเกษียณคือการเมืองเต็มรูปแบบ การผลักดันให้เกษียณจาก 62 ปีเป็น 64 ปี เพียงแค่สองปี ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ชาวฝรั่งเศสมองว่าการยืดเวลาทำงานออกไปคือการกดทับคุณภาพชีวิต แต่รัฐบาลอ้างว่า หากไม่ขยับตอนนี้ กองทุนบำนาญอาจล้มในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า
ขณะที่ค่าเฉลี่ยจาก OECD ระบุว่า ผู้ชายในประเทศสมาชิกเกษียณที่ราว 64.4 ปี ส่วน ผู้หญิงเกษียณที่ราว 63.6 ปี นั่นหมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้ว คนทำงานจะต้องใช้เวลาทำงานกว่า 40 ปี เพื่อแลกกับช่วงชีวิตหลังเกษียณเพียง 10–20 ปีเท่านั้น
แต่คำถามสำคัญก็คือ ตัวเลขเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นมาได้อย่างไร? ใครเป็นคนเริ่มคิดเรื่องการเกษียณและบำนาญเป็นครั้งแรก?
คำตอบอยู่ที่ชายคนหนึ่งในศตวรรษที่ 19 ชื่อ อ็อตโต ฟอน บิสมาร์ค
อ็อตโต ฟอน บิสมาร์ค (Otto von Bismarck) เกิดเมื่อปี 1815 ในครอบครัวยุงเคอร์ ขุนนางที่ดินในปรัสเซีย เขาเติบโตมาในชนชั้นสูง ร่ำเรียนด้านกฎหมาย และเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองด้วยภาพลักษณ์ของชายหนุ่มเลือดร้อนที่ยืนหยัดปกป้องระบอบกษัตริย์
ในปี 1862 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นมุขมนตรี (Chancellor) ของปรัสเซียภายใต้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 และด้วยสติปัญญาและความดื้อรั้น เขาก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในการรวมเยอรมนีให้กลายเป็นชาติเดียว หลังจากนำปรัสเซียเข้าสู่สงครามใหญ่สามครั้งกับเดนมาร์ก ออสเตรีย และฝรั่งเศส และได้รับชัยชนะทุกครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้บิสมาร์คแตกต่างจากผู้นำทางทหารทั่วไป ก็คือสายตาทางการเมืองที่มองลึกไกล เขาไม่ได้เห็นแค่สนามรบ แต่ยังมองเห็นสนามสังคม บิสมาร์คตระหนักว่า หากปล่อยให้ความคิดสังคมนิยมเติบโต และหากแรงงานหนุ่มสาวยังคงอพยพออกจากเยอรมนีไปแสวงหาความหวังใหม่ในอเมริกา สุดท้ายประเทศจะอ่อนแรง
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อเมริกาเป็นเหมือนดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส ค่าแรงสูงกว่าเยอรมนีหลายเท่า แม้จะไม่มีระบบสวัสดิการใด ๆ เลย แต่แรงงานหนุ่มจำนวนมากก็เลือกเสี่ยงอพยพไป เพราะหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เยอรมนียุคนั้นยังเต็มไปด้วยการเมืองแบบกดทับ เสรีภาพจำกัด การอยู่ในประเทศที่เข้มงวดเช่นนี้ยิ่งทำให้คนหนุ่มมองหาทางออก
บิสมาร์คมองเห็นปัญหานี้ และเขามีคำตอบที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง นั่นคือ ถ้าคุณอยากให้คนหนุ่มอยู่บ้าน ก็ต้องให้เขามีหลักประกันชีวิตที่มั่นคงกว่าการเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้าในอเมริกา
ระหว่างปี 1883–1889 บิสมาร์คผลักดันกฎหมายสวัสดิการออกมาทีละชุด เริ่มจากประกันสุขภาพในปี 1883 ตามด้วยประกันอุบัติเหตุในปี 1884 และสุดท้ายคือกฎหมายบำนาญคนชราในปี 1889
นี่คือครั้งแรกที่โลกได้เห็นระบบบำนาญที่รัฐเข้ามามีบทบาทโดยตรง คนงานที่อายุครบ 70 ปีขึ้นไป หรือไม่สามารถทำงานต่อได้ จะได้รับเงินบำนาญจากรัฐ ระบบนี้แม้จะยังไม่ครอบคลุมทุกคน แต่ถือเป็นการวางรากฐานที่ทำให้คำว่า “เกษียณอายุ” กลายเป็นจริงขึ้นมา
และผลลัพธ์ก็คือได้ผลจริง ๆ คนหนุ่มสาวเยอรมันจำนวนมากตัดสินใจไม่อพยพไปอเมริกา เพราะแม้ค่าแรงที่นั่นจะสูงกว่า แต่เยอรมนีก็ให้ความมั่นคงในระยะยาวมากกว่า การมีสวัสดิการจากรัฐคือ “ข้อเสนอ” ที่ทำให้คนเลือกอยู่บ้าน
พร้อมกันนั้น กฎหมายบำนาญยังกลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่บิสมาร์คใช้ตัดขาความคิดสังคมนิยมอย่างแยบคาย เขาไม่ปฏิเสธความต้องการของแรงงานโดยตรง แต่แย่งชิงพื้นที่ด้วยการสร้างระบบของรัฐที่ดีกว่า และทำให้พรรคสังคมนิยมไม่สามารถใช้ “สิทธิแรงงาน” เป็นข้ออ้างโจมตีรัฐบาลได้อีก
หากจะสรุปแบบง่าย ๆ แนวคิดการเกษียณเกิดขึ้นเพราะสองปัจจัยใหญ่ ๆ ที่บรรจบกันอย่างลงตัวในยุคนั้น
หนึ่งคือ การเมือง — บิสมาร์คต้องการรักษาเสถียรภาพของประเทศ ตัดกำลังคู่แข่งทางความคิดอย่างสังคมนิยม และหยุดยั้งแรงงานไม่ให้อพยพไปอเมริกา
สองคือ สังคม — เยอรมนีในศตวรรษที่ 19 เริ่มเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมสู่สังคมอุตสาหกรรม คนงานจำนวนมากอุทิศแรงงานหนักมาตลอดชีวิต การจะบอกให้เขาทำงานจนหมดแรงโดยไม่เหลืออะไรเลยไม่อาจเป็นไปได้อีกต่อไป
สองปัจจัยนี้ทำให้แนวคิดเกษียณอายุและบำนาญเกิดขึ้นจริง และกลายเป็นต้นแบบที่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกนำไปพัฒนาต่อในศตวรรษที่ 20
ย้อนกลับมาปัจจุบัน เรื่องการเกษียณยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงไม่รู้จบ และยิ่งซับซ้อนขึ้นกว่าในยุคบิสมาร์คเสียอีก
ปัจจัยแรกคือ สังคมสูงวัย — ปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศมีประชากรผู้สูงอายุเกินกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า คนวัยทำงานหนึ่งคนต้องทำงานเลี้ยงดูผู้เกษียณมากกว่าหนึ่งคน ระบบบำนาญที่เคยมั่นคงจึงเริ่มสั่นคลอน
ปัจจัยที่สองคือ เทคโนโลยีและ AI — โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เทคโนโลยีอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่งานหลายรูปแบบ บางองค์กรอาจเลือกเกษียณคนเร็วขึ้นเพื่อลดต้นทุนและเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ที่พร้อมเรียนรู้เทคโนโลยีมากกว่า
ดังนั้น อายุเกษียณในศตวรรษที่ 21 จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของตัวเลขอีกต่อไป แต่คือการปรับสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และคุณภาพชีวิตของมนุษย์
การที่ธนาคารประกาศให้พนักงานอายุ 45 ปีเกษียณก่อนกำหนดอาจฟังดูชวนตกใจ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ สิ่งนี้อาจเป็นเพียงอีกหนึ่งจุดเล็ก ๆ บนเส้นทางอันยาวไกลของแนวคิด “เกษียณอายุ” ที่เริ่มต้นมากว่าร้อยปีแล้ว
บิสมาร์คไม่ได้สร้างบำนาญเพราะเขาใจดี แต่เพราะเขามองเห็นว่าประเทศต้องการแรงงาน ต้องการเสถียรภาพ และต้องการวิธีรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป บำนาญและสวัสดิการกลายเป็นหัวใจของรัฐสมัยใหม่ และเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกต่างเรียกร้อง
คำถามที่เรายังต้องเผชิญก็คือ ในศตวรรษที่ AI กำลังเข้ามาแทนแรงงาน และสังคมสูงวัยกำลังเพิ่มขึ้นทุกปี อายุเกษียณจะถูกกำหนดอย่างไรต่อไป? และที่สำคัญที่สุด เราจะทำให้ชีวิตหลังเกษียณเป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรีและคุณภาพได้อย่างไร
เรื่อง: จักรกฤษณ์ สิริริน
ภาพ: Getty Images