30 พ.ค. 2568 | 00:00 น.
“ยิ่งเราทำงาน เราจะรู้สึกว่า เราจะเป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอ
อายุมันไม่ได้เป็นตัวบอกว่า เราจะร่วงโรย หรือว่าเราจะรุ่งโรจน์
แต่มันอยู่ที่ว่าเราทำอะไร”
ในโลกของการทำงาน เมื่อก้าวเข้าสู่อายุปีที่ 60 ก็เรียกได้ว่าก้าวเข้าสู่ปลายทางของการบากบั่นทำงาน พร้อมด้วยกับการ ‘เกษียณ’ จากตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ เพื่อที่จะให้ตนเองได้พักผ่อนหรือใช้ชีวิตตามแบบที่ตัวเองต้องการ หรือบ้างก็อาจมองว่าอายุ 60 คือขวบปีที่ใครสักคนจะถึงเวลาละวางความฝัน ความคิด หรือสิ่งที่อยากทำให้เป็นเรื่องของอดีตไป
แต่สำหรับ ‘วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์’ ปีที่ 60 ในชีวิตของเขาคือการเริ่มต้นใหม่ คือหมุดหมายที่ไฟแห่งการได้ออกไปเรียนรู้ ใช้ชีวิต และตื่นเต้นกับโลกใบเดิมยังคงลุกโชนไม่ต่างไปจากวันวาน แถมยังเป็นช่วงเวลาและโอกาสที่ทำให้ตัวของเขาได้ลงมือทำและเรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
‘จอบ’ หรือ ‘วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์’ ได้บอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและบรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี รองผู้อำนวยการช่องไทยพีบีเอสและ PPTV จนออกจากงานประจำ ชีวิตของเขาก็มุ่งมั่นกับการทำการเกษตรอินทรีย์ อย่างการปลูกข้าวและทำชากุหลาบ ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ณ ทุ่งน้ำนูนีนอย และในปัจจุบันนี้ที่เขาได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ไทยพีบีเอส
ครั้งหนึ่ง ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2021 The People ได้ลองวางโจทย์ในการสัมภาษณ์วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ แบบ ถาม-ตอบในธีมว่า นี่คือการบอกเล่าชีวิตของตนเองในรูปแบบ ‘บทบรรณาธิการ’ แห่งชีวิตสำหรับวัย 60 ปี ที่ในส่วนหนึ่งได้ถูกเผยแพร่ผ่านวิดีโอสัมภาษณ์ และฉบับเต็มในบทสัมภาษณ์นี้
นี่คือบทบรรณาธิการของบรรณาธิการ ที่ใช้ชีวิตแทนน้ำหมึกเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ตนได้ก้าวผ่าน
The People : อะไรคือสิ่งที่คุณค้นพบในวัย 60 ปี?
ในวัย 60 เรารู้สึกว่า ชีวิตหลาย ๆ อย่างเพิ่งเริ่มต้นนะ คือผมรู้สึกว่า เวลาเราพูดถึงคนที่อายุ 60 แล้วเนี่ย มันเหมือนกับว่า พอแล้ว พักผ่อนได้แล้ว ใช่ไหมครับ? แต่เรารู้สึกว่า เรายังตื่นเต้นกับการได้เจออะไรใหม่ ๆ ได้ทำงานอะไรใหม่ ๆ เพราะว่า ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งมีความเชื่อว่า ยิ่งเราทำงาน เราจะรู้สึกว่า เราจะเป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอ อายุมันไม่ได้เป็นตัวบอกว่า เราจะร่วงโรย หรือว่าเราจะรุ่งโรจน์ แต่มันอยู่ที่ว่าเราทำอะไร
เมื่อ 3 ปีก่อน ที่ออกจากงานประจำ ข้อดีของมันก็คือว่าเราได้มีโอกาสค้นพบ สิ่งที่เราไม่เคยทำมาหลายอย่าง หรืออยากลองทำอะไรหลายอย่างแต่ไม่กล้าทำ เพราะว่าการกลัวนู่น กลัวนี่ แต่เมื่อวันนึงที่เราไม่มีหัวโขนแล้ว ในฐานะที่บริหารองค์กรมาประมาณ 30 กว่าปี มันรู้สึกได้เลยว่า เราอยากจะทำอะไรเราก็ทำมันไม่มีข้อจำกัด มันไม่เหมือนสมัยที่ต้องทำงานประจำ หรือว่าอยู่ในองค์กรที่ต้องรับผิดชอบกับชื่อเสียงขององค์กร อันนั้นอาจจะต้องคิดเยอะ แต่ว่าวันนึงที่เราอยากจะทำอะไรแล้วเราทำได้เลย
เคยฝันเคยเขียนเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ การที่ชาวโลกได้กินอาการได้อย่างปลอดภัย ตอนนั้นมันก็แค่เขียน แต่วันนี้เราลงมือทำกับมันอย่างจริงจัง แล้วเราก็เห็นความยากลำบาก แต่ในความยากลำบาก เราก็เห็นอนาคตของเกษตรอินทรีย์จริง ๆ เพราะว่าเราลงมือทำ แล้วเราก็รู้ว่า มันมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไรนะครับ
สมัยก่อนเป็นผู้บริหารองค์กรสื่อ ก็อยากจะเป็นคนที่ลงมือทำรายการสารคดีด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพเคลื่อนไหวหรือว่ากำกับ สมัยก่อนอาจจะเป็นแค่คนที่คอยบอกชี้ทางได้ แต่ว่าออกมาแล้วเนี่ย เราก็สามารถที่จะลงมือทำได้เลย ตั้งแต่ถ่ายรูปเอง เขียนสคริปต์เอง กำกับเอง ในหลาย ๆ ส่วน ก็เลยรู้สึกว่า ข้อดีของการที่อายุ 60 หรือว่าการออกจากงานประจำคือมันมีอิสระมากที่อยากจะทำอะไร
จำได้ว่าตอนที่ไปทำนาเกษตรอินทรีย์ที่อำเภอเชียงดาว แล้วก็ทำกุหลาบด้วย ทำชากุหลาบ ทำแยมกุหลาบ ขายเนี่ย ก็ขายเอง ขายทางออนไลน์เนี่ยแหละนะครับ แพ็กของเอง ส่งไปรษณีย์เองเพื่อน ๆ ก็ถามว่า
เฮ้ย มึงเป็นพ่อค้าออนไลน์หรอ ไม่อายเหรอวะ? เฮ้ย มึงเคยเป็นผู้บริหารองค์กรระดับสูงนะเว้ย แล้ววันนึงมาเป็นพ่อค้าออนไลน์ได้เหรอ?
อันนี้คือหัวโขนนะครับ แล้วเราก็ถามเพื่อนว่า แล้วทำไม พ่อค้าออนไลน์นี่มันดูแย่ยังไง คือในความรู้สึกของเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคน เขาก็รู้สึกว่าถ้าเกษียณแล้วก็ต้องเป็นที่ปรึกษาบริษัทสิ หรือว่าจะทำอะไรที่รู้สึกว่ามันต้องมีระดับ แต่คำว่าพ่อค้าออนไลน์ในสายตาคนเหล่านี้รู้สึกว่ามันกระจอก แต่เรารู้สึกว่า ไม่เห็นเป็นไร อาชีพอิสระนะครับ ก็เราอยากเป็นเราก็เป็นสิ
คือสมัยก่อนเนี่ย เวลาอยู่องค์กรใหญ่ ๆ จะทำอะไรก็มีคนนู้นทำให้ มีเลขา บางทีก็มีคนขับรถให้ด้วยแต่วันนี้ทำเองทุกอย่างเลย ก็เลยรู้สึกว่า มันก็มีความสุขนะครับ เราก็ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน
The People : พอจะบอกได้ไหมว่าคุณเป็นเกษตรกรแบบ Full-Time หรือ Part-Time ที่ไปทำอยู่ที่เชียงดาว?
คืออย่างที่บอกว่า เราก็เป็นหลายอย่างนะ เวลาไปอยู่เชียงดาว เราก็เป็นเกษตรกรผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ปลอดสาร เราผลิตชากุหลาบปลอดสาร เราผลิตถั่วเหลือง เอาไปทำน้ำเต้าหู้ปลอดสาร เราก็บอกได้เต็มตัวว่า พื้นที่ ๆ เราอยู่ พื้นที่ ๆ เราพยายามที่จะฟื้นฟูดินขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้มันปลอดจากสารเคมีเนี่ย เรามั่นใจว่าเราได้ผลิตของดี ๆ ให้กับคนที่ซื้อไป
ถามว่า เป็นพ่อค้าออนไลน์ เป็นเกษตรกรไหม เป็นเจ้าของที่ดินไหม ก็แล้วแต่จะนิยาม เพราะว่ามันอยู่ที่ว่าเรา เราแคร์กับมันรึเปล่า แน่นอนเวลาผมไปขึ้นทะเบียนที่ เราก็ต้องไปขึ้นทะเบียนในพื้นที่ว่าเราก็เป็นเกษตรกรรายย่อย ก็เป็นเรื่องปกติที่ก็ไม่รู้สึกว่า ผิดแปลกอะไร ก็รู้สึกว่าสนุกดีด้วยซ้ำที่เรามีอาชีพหลากหลายมากขึ้นในชีวิต แต่แน่นอนว่าในอีกด้านนึง เราก็ยังเขียนหนังสืออยู่ อีกด้านนึงเราก็รับจ้างผลิตสารคดีด้วย อีกด้านนึงก็อาจจะเป็นนักวิจารณ์สังคมด้วย ก็อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะมีบทบาทอะไรในช่วงเวลาไหนนะครับ
The People : อย่างพวกหนังสือ ‘ปฏิวัติด้วยฟางเส้นเดียว’ ของ มาชาโนบุ ฟูกูโอกะ มีอิทธิพลกับชีวิต แนวคิด หรือสิ่งที่คุณขึ้นไปทำตรงนั้นไหม?
หนังสือเล่มนี้มันเขียนมา 30 ปีแล้ว ก็เคยอ่านนะ ตั้งนานมากแล้ว แต่ว่าวันนี้ ถามว่ามีอิทธิพลไหม มันก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ว่าสุดท้ายเนี่ยมันก็เป็นการลองผิดลองถูก ทุกวันนี้มันมีวิธีคิดในการทำเกษตรอินทรีย์เยอะแยะเลยนะครับ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกวิธีไหนมากกว่า คือของฟุกุโอกะคนนั้นเนี่ย เขาก็เป็นการปฏิวัติด้วยฟางเนี่ยนะ มันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วมันก็มีหลายวิธีการ การใช้ฟางมันก็เป็นเรื่องที่พื้นฐานอยู่แล้วในการทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อที่จะทำให้ดินมีความชื้น แต่ว่าวันนี้แนวคิดเรื่องวิธีคิดในการทำเกษตรอินทรีย์เนี่ย มันมีเยอะแยะเลย โดยเฉพาะการฟื้นฟูดิน การที่จะทำยังไงให้ดินเนี่ยมันปรับสภาพกลับคืนสู่ธรรมชาติได้เร็วที่สุด ซึ่งอันนี้มันเหมือนกับการสร้างรากฐานที่สำคัญให้กับพื้นดินเลย
The People : พอพูดถึงฟุกุโอกะ เราอาจนึกถึงเรื่องนึงตอนที่ฟุกุโอกะไม่สบาย แล้วมือคลำไปเจอฟาง สิ่งมีชีวิตก็คือต้นไม้อยู่ท่ามกลางฟาง แล้วเกิดภาวะหยั่งรู้ว่า เราต้องมาแนวทางนี้ คุณมีภาวะซาโตริหรืออะไรแบบนี้ไหม ที่ทำให้รู้สึกว่าเราจะทิ้งทุกอย่างที่ผ่านมา เพื่อไปทำอะไรสักอย่างที่เราอยากทำ?
คือผมกับภรรยา (ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์) เนี่ยเขาเป็นคนที่มีความรู้เยอะ เรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศ แล้วเราเชื่ออย่างนึงว่าพื้นที่เกษตรของเราเนี่ย ในอดีตมันก็คือใช้สารอย่างรุนแรงมาตลอด สิ่งที่เราต้องทำก็คือว่า เราต้องสร้างรากฐานของดินให้มันมั่นคงก่อน ก็คือการฟื้นฟูดินนะครับ เราอด คือการทำเกษตรอินทรีย์เนี่ย ประการแรกสุดคือคุณต้องอดทนก่อนนะครับ เพราะผมใช้เวลาในการที่จะฟื้นฟูดินเนี่ยประมาณ 2-3 ปีนะครับ โดยการที่จะปล่อยให้ดินเนี่ย มันฟื้นฟูตัวเองด้วยการปลูกต้นไม้หลากหลายชนิดเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นถั่วพันธุ์ต่าง ๆ ที่จะคลุมดินนะครับ หรือว่าพยายามที่จะทำให้เกิดระบบนิเวศในบริเวณนั้นที่จะไม่ต้องใช้สารเคมี
เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า มันทำได้จริงเราทำให้เห็นว่า การไหลเวียนของน้ำในพื้นที่เนี่ย โดยการที่จะขุดบ่อเยอะแยะเลย เพื่อจะให้เกิดการบำบัดทางธรรมชาติเนี่ย มันมีส่วนที่ทำให้น้ำเนี่ยมันมีคุณภาพที่ดีขึ้น น้ำมีคุณภาพที่ดีขึ้น เราวัดจากอะไร เราวัดจากแมลงปอ เราวัดจากสิ่งมีชีวิตในน้ำ บ้านผมเนี่ย แมลงปอเยอะมาก เพราะว่าน้ำสะอาด แล้วบ้านผมก็เป็นบ้านที่ไม่มียุง เพราะว่า เมื่อแมลงปอเยอะมันกินยุงนะครับ เพื่อน ๆ มาตกใจมากว่า ทำไมหัวค่ำไม่มียุงเลย อันนี้คือระบบนิเวศที่มันจะต้องพึ่งพากัน สมัยก่อน พื้นที่แถวนี้มันมีปัญหาเรื่องหอยเชอรี่นะครับ ปรากฏว่า เมื่อพื้นที่เนี่ยมันมี มันปลอดสาร หอยเชอรี่ก็มีมากขึ้น แต่ก็ทำให้นกปากห่างมา นกปากห่างก็กินหอยเชอรี่นะครับ ก็เลยทำให้เราไม่มีศัตรูพืช ศัตรูของต้นข้าว เพราะหอยเชอรี่มันถูกนกปากห่างกินไปเกลี้ยงเลย จนกระทั่งต้องไปกินที่อื่นต่อนะครับ
งั้นเนี่ยผมคิดว่าการฟื้นฟูดินเนี่ยเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญขนาดที่เชื่อไหมครับว่าหลังจากที่เราฟื้นฟูดินมา 3 ปีเนี่ย เราปลูกข้าวโดยที่ไม่ใช้อะไรเลยเนี่ย คุณภาพข้าวเนี่ย คือชาวนาแถวนั้นที่มาช่วยเราทำนี้ยังตกใจเลยว่าทำไมคุณภาพข้าวเนี่ยมันได้ผลผลิตที่เยอะมาก เยอะพอ ๆ กับใส่ปุ๋ยเคมีเลย นั่นเพราะว่า ในพื้นดินมันมีแร่ธาตุที่ดีมากอยู่แล้ว ทำให้ต้นข้าวมันเจริญงอกงามนะครับ ออกรวงเยอะ สิ่งที่ตามมาก็คือศัตรูพืชใช่ไหมครับ ปรากฏว่า เมื่อศัตรูพืชมาเนี่ย เต่าทองก็มาก เต่าทองนี่คือตัวกินเพลี้ยเลย แต่เต่าทองมันก็จะอยู่ในพื้นที่ ๆ มันมี มันไม่มีสารเคมี
มันก็คือระบบนิเวศที่มันหมุนเวียนกันมาตลอดเวลานะครับ แต่ถามว่ามันยากลำบากไหม มันยากลำบากนะครับ ยากลำบากมาก แต่เหตุผลที่ทำขึ้นมาเนี่ย เราลงทุนค่อนข้างเยอะ แต่แน่นอนว่าเราขายข้าวของเราเนี่ยในราคาที่ค่อนข้างสูง แล้วก็มีลูกค้าตลอดนะครับ เพราะว่ามีความเชื่ออย่างนึงว่า ถ้าเราทำของดีให้กับผู้บริโภคเนี่ย มันมีคนซื้ออยู่แล้ว เพียงแต่ว่า สิ่งที่เราจะทำ คือทำยังไงให้โอกาสของผู้ซื้อกับ คนซื้อกับคนขายเนี่ยมาเจอกัน วันนี้ข้าวราคากิโลละ 5 บาท มาม่าอาจจะแพงกว่าด้วยซ้ำ แต่นาของผมยังขายข้าวได้ราคาสูงกว่าหลาย 10 เท่า แล้วก็ขาย แล้วตอนนี้ก็มีออร์เดอร์มาจองล่วงหน้าแล้ว ทั้งที่ยังเรา รอบนี้เรา เนี่ยจะเกี่ยวข้าวเดือนหน้าเนี่ยนะครับ แต่ว่ามีออร์เดอร์มาแล้ว ก็เลยมีความเชื่อว่า ก็ยิ่งเข้าใจปัญหาเกษตรกรด้วยนะว่าทำไมมันถึงยากจนนัก
The People : เท่าที่คุณเล่ามาจะมีทั้งมุม Romanticize แล้วก็มุม Realist อยากให้คุณลองเล่าในทั้งสองมุมว่าจากการที่ไปทำการเกษตรโลกความเป็นจริงที่เจอเป็นยังไง
คือบางทีมันก็มีคำพูดของบางคนที่บอกว่า พวกโรแมนติก พวกชนชั้นกลางดัดจริตนะครับ ไปทำเกษตรอินทรีย์ขำ ๆ แต่ผมไม่ได้ทำขำ ๆ นะ ผมทำอย่างจริงจัง แล้วก็อยู่ได้ด้วย อยู่ได้เพราะว่าเราเข้าใจกลไกการตลาด ทุกวันนี้เกษตรกรเกือบทั้งหมดของประเทศไทย เกี่ยวข้าวก็ขายเลย เพราะว่าเขาไม่มีปัญญาสีข้าวเอง เขาก็ต้องพึ่งนายทุนตลอด สุดท้ายเนี่ยถามว่า ทุกวันนี้พวกคนในเมืองยังซื้อข้าวในราคาที่ไม่ได้ต่างจากสมัยก่อนเลย ขณะที่ทำไมเกษตรกรขายข้าวได้ราคาถูก ทำไมเราไม่สามารถจะให้ผู้ซื้อกับผู้ขายมาเจอกันได้ อันนี้คือโจทย์ใหญ่ของ ถ้าจะแก้ปัญหา รัฐบาลต้องแก้ปัญหานี้ ทำไมข้าวอินทรีย์ที่ใคร ๆ ก็พูดตลอดเวลาว่า คืออนาคตของโลกเลยนะ ไม่ใช่ของประเทศนะ
ทำไมมันถึงไม่ค่อยมีคนทำมากอย่างมีนัยสำคัญนะครับ ขณะที่มีคนพร้อมที่จะบริโภคตลอดเลยนะครับ เพราะงั้นผมคิดว่าถ้ากลไกการตลาดเนี่ยสามารถทำให้ตัดพ่อค้าคนกลางออกได้จริง ๆ นะ แล้วรัฐบาลสนับสนุนในเรื่องของการหาโรงสีที่เกษตรกรจะสามารถจะผลิตข้าวอินทรีย์ได้ด้วยตัวเอง แล้วก็หาตลาดของเขาเองเนี่ย ตัดพ่อค้าคนกลางออกเนี่ย ราคาของสินค้ามันอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนะครับ วันนี้เราก็เห็นนะครับว่า ราคาข้าวของเกษตรกรมันตกต่ำมาก แต่ถามว่ามันมีความเป็นไปได้ไหม ผมว่ามีความเป็นไปได้นะ คือเรา คือแค่เริ่มทำมา 2-3 ปี ก็เริ่มเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของเกษตรอินทรีย์ว่า ทำไมมันถึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันเนี่ย ผมก็เดินทางไปแลกเปลี่ยนกับชาวนา เกษตรกรทางภาคอีสานหลายพื้นที่นะ ที่เขาอยู่ได้ อยู่ได้อย่างดีเลย
เขาก็ไม่ต้องมาขายข้าวราคากิโลละ 5 บาท 10 บาท แต่เขาขายข้าวในราคาสูง เพราะว่าเขาขายตรงกับผู้บริโภค อันนี้คือจะทำยังไงให้สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ ทุกวันนี้เราก็มีขายของออนไลน์จะทำยังไงให้กลไกการตลาดตรงนี้มันไม่ต้องพึ่งตัวกลาง เนี่ยเป็นโจทย์สำคัญมาก ๆ ของที่ผมคิดว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาอย่างตรงจุดนัก คือทุก ๆ สมัยรัฐบาล ทุก จะบอกว่า สนับสนุนเกษตรอินทรีย์ แต่ว่าเอาเข้าจริงแล้วเนี่ย เขาไม่ได้ทำอย่างจริงจังหรอกนะครับรัฐบาลก็ยังสนับสนุนการใช้สารเคมีอยู่มหาศาล เพราะว่ามันเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ รัฐบาลยังสนับสนุนให้มีการรวมศูนย์ของการซื้อขายสินค้าเกษตรกับคนไม่กี่กลุ่ม แล้วคนเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทน เข้ามานั่งในสภากันเยอะแยะเลยนะครับ
The People : อยากให้คุณเล่าถึงแบรนด์คุณหน่อย
จริง ๆ ผมก็เป็นรายเล็ก ๆ นะไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายนะครับ แต่ว่าเรารู้สึกว่า ถ้าชนชั้นกลางมาทำเกษตรเยอะ ๆ เนี่ย ผมคิดว่ามันจะเป็นวิธีคิดของการตลาดในยุคนี้นะ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาก็มีคนทำเยอะนะ แต่ล้มเหลวบ้าง ประสบความสำเร็จบ้าง แต่ก็ยังเชื่อว่า ถ้าอันนี้คือ trend ของโลกจริง ๆ ในอนาคต เพราะว่าแน่นอนว่า ถามจริง ๆ ทุกคน ใครไม่อยากจะกินสินค้าที่ปลอดสาร ทุกคนอยากกินทั้งนั้นแหละนะครับ แต่จะเจอกันยังไง จะพิสูจน์ได้ยังว่า สินค้าที่วางขายเนี่ยเป็นของจริงแท้
.
โดยที่เราก็ไม่ได้คิดแบบตั้งบริษัทแล้วมีกลยุทธ์เยอะแยะเลยนะ มันก็เริ่มจากค่อย ๆ พัฒนามาเรื่อย ๆ นะ คือผมกับภรรยาซื้อที่ดินไว้ที่นี่ตั้งเกือบ 20 ปีแล้วแหละ มันไม่ได้เพิ่งซื้อนะครับ แล้วก็คิดว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเนี่ย เราน่าจะมาทำที่นี่อย่างจริงจัง ก็เลยค่อย ๆ พัฒนาว่า เมื่อเรามีที่ดิน เราจะทำอะไร ต้องลงทุนในระยะแรก หลังจากนั้นเนี่ย เราก็คิดว่าเราจะปลูกอะไรนะครับ สิ่งที่ท้าทายก็คือว่า เราควรจะปลูกสินค้าที่มัน พืชที่มันอยู่ในพื้นที่ ไม่ใช่เอาอะไรมาเยอะแยะมาปลูกเลย แต่ว่าก็ควรจะทำให้มันเป็น พืชเกษตรในบริเวณนั้นก็คือข้าว
ก็เลยปลูกข้าวหอมมะลินะครับ แล้วก็จะใช้ แล้วก็ตั้งชื่อแบรนด์ว่า ‘ทุ่งน้ำนูนีนอย’ เป็นชื่อที่มาจากชื่อเล่นของพ่อตาแม่ยาย ก็คือว่า แม่ชื่อเล่นชื่อนูนี่ พ่อชื่อเล่นชื่อหน่อยนะครับ ก็เลยตั้งเป็น นูนีนอย ก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับการตลาดนะครับ แต่ว่าเมื่อทำออกมาแล้วเนี่ย เราก็รู้สึกว่าน่าจะทำให้คนเห็นว่ามันมี product ดี ๆ ได้ แต่ product ดี ๆ ก็ควรจะมาจากการเคารพ ซื่อสัตย์กับ product ของเราเอง เราก็เริ่มต้นจากการทำของดี ๆ ของที่เราเชื่อมั่นว่าปลอดสารบ ก็เลยเริ่มต้นทำออกมา ปลูกกุหลาบก็ปลูกออกมา เชื่อไหมครับว่า กุหลาบที่เราปลูก 400 กว่าต้นเนี่ย เราไม่ได้ใช้ยาอะไรเลย
The People : วันแรกที่เรารู้สึกว่าเราจะหันมาทำเกษตรอย่างที่เราทำตอนนี้ แล้วคนรอบข้างก็มาพร้อมคำกล่าวต่าง ๆ คุณสามารถละทิ้งอีโก้ตรงนั้น แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลได้ยังไง?
อันนี้มันอยู่ที่คนเลยนะ คือเราคิดตลอดเวลาว่า สมัยก่อนยิ่งสูง มันก็เป็นเรื่องหัวโขนแหละ สมัยอยู่ สมัยที่ทำงานองค์กรใหญ่ ๆ ขับรถเข้ามา ใคร ๆ ก็เรียกว่านายบ้าง ใช่ไหมครับ ลงมาก็มีคนเปิดประตูรถให้ จะกินน้ำ คนก็วิ่งเอาน้ำมาให้เสิร์ฟ แต่ว่าเราก็สำนึกตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นแค่พิธีกรรมแหละมันไม่มีอะไรจีรัง อันนี้ผมคิดว่ามันอยู่ที่ตัวคนจริง ๆ นะ แต่ที่แน่ ๆ เวลาที่เราเลิก เราต้องออกมาอยู่คนเดียว ทำคนเดียว ทำทุกอย่างเองเนี่ย เราก็ปรับตัวได้ง่ายนะครับ อันนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนเลย แต่ว่าถ้าถามผม คือจริง ๆ ที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยยึดมั่นถือมั่นกับตำแหน่งเยอะแยะอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า เมื่อมีตำแหน่ง มีอำนาจมันก็ต้องมีความรับผิดสูงขึ้น เพราะงั้นผมเชื่อตลอดเวลาว่า อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ไม่ใช่มีอำนาจแต่ไม่รับผิดชอบอะไรเลย แต่ว่าเมื่อเราไม่มีอำนาจแล้วเนี่ย เราก็ต้องยอมรับว่าเราอยากจะเป็นอะไรในชีวิตนะครับ
The People : คุณเคยดู ซามูไร กูร์เม ไหม เป็นเรื่องของพนักงานเงินเดือนญี่ปุ่น ที่วันแรกเกษียณก็เลยไปใช้ชีวิตหลังเกษียณโดยการไปกินของอร่อย ๆ คือตั้งเป้าร้านไว้แล้วก็ไปเลยหลังจากที่เกษียณ จากคนที่นั่งกินเบียร์ตอนเย็น ในตอนแรกแรกคือนั่งกินเบียร์ตอนเที่ยงเลย
หลังจากที่เราไม่ได้ทำงานประจำแล้วนะ แล้วก็เกษียณแล้วเนี่ยนะ ผมเดินทางบ่อยมาก คือแต่ก่อนทำสารคดีก็เดินทางเยอะแล้วนะ แต่เลิกแล้วเนี่ยยิ่งเดินทางบ่อยเลย คือสมัยก่อนอาจจะเดินทางในงานบ้างนะครับ แต่ว่าพอเกษียณแล้วเนี่ย เดินทางเยอะมาก ผมไปทั่วประเทศหลายรอบเลยนะ คืออยากจะไปดูวิถีชีวิตของคนนู้นคนนี้ ใครเชิญไปพูดที่ไหน ก็ถือโอกาสไปต่อไปเที่ยวต่ออะไรอย่างงี้ เราก็ไปก่อนโควิด-19 นี่ก็ไปเมืองนอกบ่อยนะครับ ไปเยอะมากเลย เพราะว่ามันมีอิสระ มันมีเวลาแล้วไง ส่วนเรื่องการกินนี่ไม่ต้องห่วงหรอก อันนี้ก็ตั้งใจว่าจะไปกินร้านไหนก็มีโอกาสแล้ว
The People : ที่บอกว่าเดินทางเยอะ ตอนที่เดินทางเพื่อทำงานกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน อยากให้เล่าประสบการณ์ในวันนี้ที่เดินทางไปในหลากหลายพื้นที่หน่อย
ยิ่งเดินทางตัวตนยิ่งน้อยลง
เข้าใจไหม คือยิ่งเดินทางเนี่ยมันจะรู้สึกว่า โห กูไม่ค่อยรู้อะไรเลยว่ะ เอออันนี้ก็มีด้วยเหรอ ไปจังหวัดลำปางมีอันนี้ด้วยเหรอ ไปไอซ์แลนด์ เอ้ย มันมีแบบนี้ด้วยเหรอ คือยิ่งเดินทางแล้วจะเห็นโลกมันกว้างจริงนะ นี่ขนาดตอนทำสารคดีก็ถือว่าเดินทางเยอะแล้วนะ แต่ว่ายิ่งเดินทางตัวตนมันจะยิ่งลดลง เพราะว่าเราไม่ค่อยรู้อะไรเลย
สมมุติว่า คุณอยู่เมืองไทยเนี่ยคุณมีชื่อเสียงมากเลย ดังมาก ใคร ๆ ก็รู้จัก ไปประเทศชิลีอย่างงี้ไม่รู้จักคุณนะ ใช่ไหมครับ คือตอนอยู่เมืองไทยนึกว่า กูใหญ่คับฟ้า ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่ไปเมืองนอกเนี่ยไม่มีใครรู้จักนะ มันก็เห็นว่า เออตัวตนมันก็ต้องเล็กลง แล้วยิ่งรู้สึกว่าโลกมัน เราเรียนรู้อะไรเยอะแยะเลยนะจากเวลาเราเดินทางเนี่ย เพราะฉะนั้นเนี่ย ผมถึงมีคติประจำใจสามอย่างในชีวิต
คติสามประการนี้ก็คือทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก สมัยก่อนอาจจะรักเป็นผู้บริหาร วันนี้รักที่อยากจะเป็นเกษตรกร ยังอยากจะเดินทางอยู่ เพราะว่ายิ่งเดินทางก็ยิ่งรู้อะไรน้อย แล้วก็สุดท้ายก็ยังคิดว่าในฐานะมนุษย์คนนึงในสังคม เราก็ควรจะช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือว่าในเวลาที่สังคมมันไม่ค่อยยุติธรรมนัก เฉกเช่นในเวลานี้
The People : สามข้อที่ว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็แตกออกมาเป็น 10 ข้อ มันเรื่องเดียวกันใช่ไหม หลักชีวิต 10 ข้อที่คุณเคยพูดถึง ผ่านมาหลายปีเราค้นพบอะไรบ้างในมุมนี้?
ทำไมเราต้องดูแลสุขภาพมากขึ้นนะครับ คือตอนที่ทำงานก็ออกกำลังกายนะ ผมเป็นคนออกกำลังกายตลอดนะ แต่ว่าเมื่อเกษียณแล้วเนี่ย ยิ่งรู้สึกเลยว่าการออกกำลังกายด้วยการไม่ว่าจะเดินหรือวิ่งหรืออะไรก็ตามเนี่ยนะ มันเป็นการประหยัดเงินที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิต เพราะถ้าเกิดว่าคุณเจ็บป่วยเนี่ย เงินมหาศาลเลยนะ แต่ถ้าเกิดคุณได้ออกกำลังกายตลอดจนเป็นนิสัยเนี่ยนะ มันมีอะไรเยอะมากที่ตามมานะ นอกจากเรื่องร่างกายที่ดีแล้วเนี่ย นอกจากเรื่องสังคมที่คุณอาจจะเห็นอะไรมากขึ้นแล้ว แต่สิ่งนึงก็คือ ทำให้คุณได้คิดอะไรกับตัวเองเยอะขึ้นในช่วงเวลาที่คุณออกกำลังกาย ด้วยตัวคุณเองนะ แล้วที่สำคัญก็คือว่าในอดีตเนี่ย ผู้คนจำนวนมากมักปฏิเสธการออกกำลังกาย
บอกว่าเออ เอาไว้ก่อน ๆ วันนี้ต้องไปงานเลี้ยงต้อนรับคนนู้นคนนี้ วันนี้มีนัด วันนี้ไปงานเลี้ยงเนี่ย คือมีข้อผลัดได้ตลอดเวลาเลยนะครับ แต่ว่า หารู้ไม่ว่าการออกกำลังกายเนี่ยคือ First Priority เลยนะ ยิ่งอายุเยอะเนี่ย ยิ่งต้องออกกำลังกายไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง มันเป็นวิธีเดียวที่ในการจะช่วยยืดชีวิตของคุณ เพราะฉะนั้นเนี่ยมันเป็นเรื่องที่ ผมก็บอกทุกคนนะครับว่าการออกกำลังกายเนี่ยคือพื้นฐานสำคัญที่สุดตั้งแต่วัยหนุ่มยันแก่เลยว่า ยิ่งออกกำลังกายเนี่ย มันจะเป็นพื้นฐานของร่างกายที่แน่นที่สุด
อันที่สองเนี่ย เวลาที่อายุเยอะขึ้นแล้ว โอเคแน่นอนว่าเราก็พอมีเงินเก็บได้ระดับนึง อันนี้นะครับ ก็อยากจะทำงานที่เรารู้สึกว่าอยากทำแล้วล่ะ คือในสมัยก่อนอาจจะแบบต้องกัดฟันทำเพราะว่าเพื่อเงินใช่ไหมครับ แต่วันนี้เมื่อเรามีอิสระมากขึ้นเนี่ย เราก็รู้สึกอยากจะทำในสิ่งที่เรารู้สึกอยากทำ เพราะว่าเราอยากทำ ผมยกตัวอย่าง ผมเขียนหนังสือเรื่องชีวิตของเพื่อนคนนึงที่เป็นเจ้าของโรงเบียร์นะครับ คุณสุพจน์ ธีระวัฒน แล้วก็ประสบความสำเร็จมากในยอดขาย เพราะมันขายดีมากนะครับ หลังจากนั้นก็มีคนมีตังค์เยอะแยะเลยนะ ก็หลายคนน่ะ ก็มาติดต่อให้ไปเขียนชีวิตเขาบ้าง แล้วผมก็ดู profile คนนี้แล้วไม่เอา เรารู้สึกว่าเราไม่สนุกกับเขา เขาอาจจะมีเงินเยอะนะ แต่ชีวิตเขาก็เฉย ๆ ชีวิตเขาก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย เราก็รู้สึกว่า ก็เสียเวลาว่ะ ไม่อยากทำ อันนี้เป็นตัวอย่างนะครับว่า เมื่อเราอายุมากขึ้นเนี่ย เราก็อาจจะเลือกได้มากขึ้นนะครับ เพราะว่าเราอยากทำอะไรที่เรารู้สึกอยากทำ แล้วก็มีความสุขด้วย ไม่ใช่เพราะทำ ๆ ไปเพราะว่าเพื่อรายได้ของเรา มันก็ อันนี้ก็เปลี่ยนไปนะครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องคิดแบบผมนะ
The People : คุณทำงานสื่อมา 35 ปี จากนิตยสารมาสู่ทีวี ได้เรียนรู้อะไรจากทำงานในด้านนี้บ้าง อยากให้วิทยาทานอะไรกับคนรุ่นหลัง และท้ายที่สุด มันพาเราไปถึงไหน?
คือตอนจบมหา’ลัยใหม่ ๆ เนอะ ก็มีคนมาชวนไปอยู่ ทำ เพราะว่าเห็นเรามีพรสวรรค์ จะเรียกว่า เขียนหนังสือได้นะครับ สมัยก่อนก็เขียนบทละครตอนอยู่มหา’ลัยนะครับ ก็มีคนชวนไปทำเป็น copywriter บริษัทโฆษณา อีกด้านนึงก็มาทำงานหนังสือสารคดี จำได้ว่าตอนนั้น copywriter เริ่มต้นประมาณเกือบ 10,000 แต่มาทำสารคดีเนี่ย start ประมาณ 3,000 กว่า เราก็รู้สึกว่า คือตอนนั้นสารคดีไม่ได้เกิด เพียงแต่ว่า อยากสร้างมันขึ้นมานะครับ ก็เลยรู้สึกว่า อยากจะทำ แบบว่าเงินสำคัญนะ แต่ว่า การทำนิตยสารที่ไม่ค่อยมีคนเคยทำมาก่อนมันท้าทายกว่านะครับ ก็เลยมาทำนิตยสารสารคดี เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเรารู้สึกว่า โจทย์ก็คือว่าเราจะทำให้มันอยู่ให้ได้ แล้วก็อยากที่จะทำให้เห็นว่า หนังสือแบบนี้ มันน่าจะอยู่ได้ในสังคม เพียงแต่ว่าเราจะเก่งพอที่จะทำให้มันน่าอ่านรึเปล่า
สมัยนั้นเราก็ให้ความสำคัญกับ content การออกแบบแล้วก็ภาพถ่ายเท่า ๆ กัน แล้วก็เลือกเรื่องที่เรารู้สึกว่า มันจะทำให้คนรู้สึกว่ามันโดน ในช่วง 3 ปีแรกเป็นการพิสูจน์ตัวเองว่า เราจะทำได้จนกระทั่งมีคนสนใจพอรึเปล่า จนกระทั่งครั้งนึงเนี่ย มันครบรอบ 10 ปีที่อาจารย์ป๋วยออกนอกประเทศ ก็คือปี 2529 ตอนนั้นไม่มีใครพูดถึงอาจารย์ป๋วยเลยเพราะว่าเขาก็ไม่อยากพูดถึง อาจเป็นเพราะความกลัวนะครับ แต่เราก็ตกลงกันว่าเราจะทำเล่ม 10 ปีอาจารย์ป๋วย จะทำให้คนรำลึกถึงแกให้ได้ เราก็ตามไปสัมภาษณ์คนเยอะแยะเลยที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ติดต่อไปขอภาพถ่ายที่ลอนดอน แล้วก็เป็นสกู๊ปออกมา ปรากฏว่าต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 แล้วก็เลยทำให้นิตยสารสารคดีในเวลานั้น คนรู้จักเพิ่มขึ้นว่า เออ กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่กล้าทำในเวลานั้น มันก็เริ่มทำให้คนรู้จักเรา แล้วก็เริ่มรู้สึกว่า เออ หนังสือเล่มนี้มันดูจริงจังนะ
แต่ว่ามันอ่านได้ มันน่าอ่าน มันไม่ได้รู้สึกซีเรียสมาก ก็ทำมาเรื่อย ๆ แล้วก็พอจะเจอแนวทางว่า เออ ทางนี้มันมีคนสนใจ มีโฆษณาเข้าค่อนข้างเยอะนะครับ เพียงแต่ว่า เรากล้าที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่กล้าทำรึเปล่า จนกระทั่งมีปีนึงครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ยิ่งตอนนั้นก็ไม่มีคนพูดถึงใหญ่เลยนะ ไม่มีใครกล้าพูด เพราะว่า อยากให้มันลืม ๆ ไป แต่เราก็เป็นนิตยสารเล่มเดียว ที่ทำทั้งเล่มเลย แม้ว่าก่อนหน้าที่จะทำก็ถูกคนโทรมาขู่นะครับ ว่าอย่าเลย อย่าไปรื้อฟื้นอดีตเลย แต่เราคิดว่าในฐานะสื่อเนี่ย เราก็ควรจะบันทึกเหตุการณ์ที่คนอยากจะให้ลืม แต่ว่าก็ยังมีความมืดอยู่ ยังมีปริศนาอยู่เยอะแยะ ว่าทำไมถึงมีคนตายเยอะแยะเลยในเหตุการณ์นั้น ปรากฏว่าทำออกมาเนี่ย โฆษณาก็เข้าเยอะนะ แล้วก็ขายดีมาก ก็คือหมดภายใน 2 วันเลย
มันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ถ้าเราทำ content ที่ดี คนจะไปใช้ต่อ คำว่า คนไปใช้ต่อไม่ได้หมายถึงคนอ่านนะ สื่อในเวลานั้นก็ใช้นิตยสารสารคดี เป็นตัวอ้างอิงที่จะไปทำต่อนะครับ แต่สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดก็คือเวลาผมทำสารคดีนี่มันต้องเดินทางทั่วประเทศตลอดเลย แล้วเวลาไปห้องสมุดที่ไหน ไม่ว่าในมหา’ลัย ในวิทยาลัย ในโรงเรียนก็ตามเนี่ย นิตยสารสารคดีก็อยู่ในห้องสมุดเกือบทุกแห่ง แล้วก็เป็นหนังสือที่เขาเรียกว่าเป็น reference น่ะ เป็นหนังสืออ้างอิงนะครับ ปกติ magazine เนี่ยเวลาถึงหมดอายุของมันแล้วนะ เขาก็ขายทิ้งใช่ไหมครับ นิตยสารสารคดีหลายฉบับเนี่ย ถ้าเป็นในตลาดเก่า ไม่ว่าจะจตุจักรเองก็ตามเนี่ย ทุกวันนี้ราคามันหลักพัน จากปกหลักร้อยนะครับ
อย่างน้อยเนี่ยเราตัดต้นไม้มาทำกระดาษ แต่มันก็เป็นกระดาษที่ยังอยู่ เพราะว่ามันยังพอมีคุณค่า ผมคิดว่าถ้าเราทำ content ที่ดี ๆ เนี่ยนะ มันก็อาจจะเป็นแบบอย่างให้คนเห็นว่า หากเราทำ content ที่ดี ๆ แบบเมืองนอก มันก็อยู่ได้นะครับ มันไม่จำเป็นที่จะต้องทำเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงสวย ๆ หนังสือแฟชั่นนะครับ หนังสือกีฬา หนังสือบันเทิง สมัยนั้นอย่างเดียว ถ้าเกิดเราทำหนังสือ content ดี ๆ มันก็น่าจะอยู่ได้ ก็เลยคิดว่า แน่นอนว่าตอนที่อยู่ นิตยสารสารคดีเนี่ย สิ่งที่ภูมิใจที่สุดก็คือว่ามันเป็นแบบอย่างให้กับสื่ออีกหลาย ๆ สื่อในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นสื่อ magazine หรือว่าสื่อหนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งทีวีก็ตาม ก็ได้ใช้ประโยชน์จากเรา
แม้กระทั่งผมมาทำทีวีเนี่ย ก็เจอน้อง ๆ producer หลายคนที่ทำสารคดี เขาก็บอกนะครับว่า สมัยก่อน เขาก็ตามเอา content ของผมในสารคดีมาทำ มาเขียนสคริปต์เล่าเรื่องในสารคดีในทีวีเยอะแยะเลย เราก็นึกในใจว่า มึงไม่ขอกูเลยนะ แต่นึกในใจอีกด้านนึง เออ มันก็ยังมีประโยชน์จริง ๆ นะ คือเอาสิ่งที่เราทำทั้งหมดมา หลาย ๆ เรื่องไปอยู่ในทีวีเลยนะ ก็ภูมิใจว่า content นี้ถ้าทำแล้วทำได้ดีเนี่ย มันอยู่ต่อ แล้วมันก็อยู่ไปได้ แม้กระทั่งใน Facebook เราส่วนตัวเราเนอะ status บาง status ที่เราเขียนเรื่องเกี่ยวกับ content ไม่ว่าเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า ไม่ว่าเรื่องทางสิ่งแวดล้อมเนี่ย ไม่คิดว่าคนอาจจะกด Like เป็นหลายหมื่น หลายแสนในบาง content นะครับ ก็ยังยิ่งตอกย้ำความเชื่อว่า ถ้า content ดีนะครับ มันน่าจะขายได้ในทุก ๆ platform เลย
The People : แล้วพอเรามาทำทีวี คือตอนนิตยสารเรามีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น แล้วทำให้เราใส่ไอเดียได้ แต่พอเรามาอยู่ Thai PBS ซึ่งจะมี Code of Conduct อะไรเยอะมาก เรา contribute ความคิดตัวเองผ่านช่องทีวีที่ต้องกลั่นกรองอะไรหลาย ๆ อย่างงี้ได้ยังไงบ้าง?
อันดับแรกนะครับคือตอนที่ผมมาเป็นรองผู้อำนวยการ Thai PBS ผมดูข่าวกับรายการ ก็คือดู content ทั้งหมดเนี่ยนะ เราอาจจะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องทีวี แต่เรามีประสบการณ์ในเรื่องของการทำ content มาเยอะ แล้วมาเจอแบบแผนต่าง ๆ คือสุดท้ายเนี่ย เราจะต้องพิจารณา อันนี้ต้องบอกเป็นการสู้กันทางความคิดนะกับผู้บริหาร คือที่ไทยมันจะมีผู้บริหารเยอะนะครับว่า ถ้าทำตาม code of conduct ก็อาจทำให้มีปัญหาเรื่อง content หรือเปล่า ก็อยู่ที่ว่า เจตนาของการทำข่าวของคุณคืออะไร เพราะว่าสมัยผมเนี่ย มันจะมีคนร้องเรียน ก็ผู้ชมมีสิทธิ์ร้องเรียนได้ ผ่านสภาผู้ชม เราก็จะต้องไปชี้แจง
ผมก็ต้องไปชี้แจงหลายครั้งนะครับว่า ทำไมอย่างงั้น ทำไมอย่างงี้ แต่ว่า เราก็ต้องอธิบายให้ฟังได้ว่า เจตจำนงเจตนาของเราคืออะไร ยกตัวอย่างครั้งนึงเนี่ย ผมทำรายการสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของนักวอลเลย์บอลผู้หญิงนะครับ เพราะว่าไม่เคยมีคนทำชีวิตเบื้องหลังของนักวอลเลย์เหล่านี้ว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จมากนะครับ ก็ทำแล้วก็ออกฉายก็ rating ก็สูงมาก เพราะว่ามันเป็นครั้งเดียว มันเป็นครั้งแรกที่เราทำสารคดีพวกนี้ ปรากฏว่า ก็ได้รับการร้องเรียนว่า เอ๊ะ ทำไมเสื้อของนักกีฬามันมี sponsor เพราะว่าตอนนั้นเขาห้ามมี sponsor คือตอนนั้นผมเป็นคนให้ทำ ก็ไปชี้แจงให้ฟังว่า เวลาเราดูรายการทีวีเนี่ย เราดูนัย เราดูความสำเร็จของนักกีฬาใช่ไหม เราไม่ได้มาดูว่าเขามีเสื้อผิดหรือถูกนะครับ
ประเด็นก็คือว่า เรากำลังบอกว่า ถ้าคุณดูเจตนาของรายการอันนี้ แล้วคุณจะค้นพบว่ามันดี มันน่าสนใจที่เราทำเบื้องหลังชีวิตของเขาให้เห็น แต่ถ้าคุณก้าวข้าม เวลาเขาซ้อมวอลเลย์เขาต้องใส่เสื้อของที่มี sponsor เพราะว่ามันเป็นสัญญาของเขา แล้วคุณจะไปบอกเขาหรือ ให้เอาเสื้อธรรมดาใส่ ถามว่าอยากจะดูชีวิตของนักกีฬา หรืออยากจะทำให้ถูกระเบียบแบบแผนแต่ไม่ได้อะไรเลย แต่ทำไม่ได้นะครับ ก็ชี้แจงว่านี่คือเจตนาของเรา แต่ว่าอันนั้นมันเลี่ยงไม่ได้นะครับ แต่ว่าในฐานะที่วันนั้นเราผิดชอบ เราเลือกที่จะเดินต่อ เพราะว่ามันสำคัญกว่าเรื่องเล็ก ๆ ระหว่างทาง
ถ้าคุณทำทีวีแล้วคุณคอยจับผิดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เนี่ย บอกว่ามันผิดนู่นผิดนี่ เหมือนกับสมัยนี้ ใช้กฎหมายเป็นตัวนำ กฎหมายมีเป็นแสนฉบับทำอะไรก็ผิดหมด ประเทศก็ไม่มีทางเจริญได้สักทีเพราะมันจะมีคนมาจ้องจับผิดคุณตลอดเวลา แต่สุดท้ายนี่ขอให้ดูเจตนาของการทำรายการว่าเจตนาของคุณคืออะไร วิธีคิดแบบนี้ก็ต้องสู้กับผู้บริหารอีกหลาย ๆ คนที่เขาไม่เข้าใจ สู้กับคนดูที่อาจจะมีความหวังดีมากเกินไป ใช่ไหมครับ ก็ต้องชี้แจงแต่ว่า อย่างที่ผมพูดตอนแรกว่า อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ เมื่อคุณมีอำนาจในการตัดสินใจให้ทำรายการนี้ คุณก็ต้องรับผิดชอบกับมันด้วย ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากว่าเวลาเรามีอำนาจขึ้นเนี่ย เราต้องรับผิดชอบกับมัน อันนี้เรื่องที่สำคัญจริง ๆ เพราะว่า ทุกวันนี้มันก็หาไม่ง่ายหรอก
The People : รายการตอบโจทย์ ตอนที่อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล มา หลังจากเทปนี้ออกไป มันเกิดอะไรขึ้น คุณมองเรื่องนี้อย่างไร?
ผมพูดไม่ได้ในฐานะผู้บริหารนะ เพราะว่าตอนนั้นผมออกไปช่วงเวลานึง ตอนนั้นผมไม่ได้เป็นผู้บริหารแล้ว เพราะงั้นเนี่ยมันก็พูดไม่ได้หรอกเรื่องนี้ เพราะว่าเราไม่ได้เป็นผู้บริหาร ไม่ได้อยู่ในภาวะการตัดสินใจ
The People : คุณบอกว่าพูดไม่ได้ในฐานะผู้บริหาร แล้วผมจะพูดในฐานะอะไรที่พูดได้ตอนนี้
ถ้าตอนนั้นก็พูดในฐานะคนดู
The People : ในฐานะคนดู คุณมองอย่างไรตอนนั้น?
คือผมคิดว่า หน้าที่ของสื่อสาธารณะเนี่ยก็คือ เรานึกออกไหมว่ามันเป็นร้าน เป็นห้างสรรพสินค้าที่มันมีแผงสินค้าเยอะแยะมาวางขาย หน้าที่ของสื่อสาธารณะคือว่า เปิดโอกาสให้ทุก ๆ ฝ่ายเนี่ยได้แสดงความเห็น แล้วให้คนดูตัดสินเอง สื่อสาธารณะไม่ควรจะมีอคติ แบบว่า เอาเลือกแผงนี้มา แผงนี้ไม่เอา เช่นเดียวกับรายการตอบโจทย์เนี่ย ถ้าดูรายการตอบโจทย์ในชุดนั้นน่ะนะ มันก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยมาถกเถียงกันตลอด เพราะงั้นเนี่ย ผมก็เลยคิดว่า เราไม่ควรจะเซ็นเซอร์ใครบางคน เพราะสุดท้ายนี้ เราทำหน้าที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความเห็นต่อกรณีนั้น ๆ แล้วให้คนดูไปตัดสินเอง แต่ในฐานะสื่อก็ไม่ควรจะเซ็นเซอร์ตัวเอง ถ้าพูดในฐานะผู้บริโภค ก็พูดได้ประมาณนี้แหละครับ
The People : ย้อนกลับไปในครั้งเยาว์วัย ตอนที่เป็นวัยรุ่น มีหนังหรือหนังสืออะไรที่รู้สึกชื่นชอบ จนมาอายุ 60 แล้ว ก็ยังชื่นชอบมันอยู่ไหม หรือมีเรื่องใหม่เรื่องอะไรที่รู้สึกชอบ?
เอาการ์ตูนดีกว่าไหม การ์ตูนที่เป็นแรงบันดาลใจของผมนะ คือ ไม่รู้รู้จักรึเปล่า หน้ากากเสือ เคยได้ยินไหม หน้ากากเสือเนี่ยมันสะท้อนอะไรเยอะเลยนะ คือสมัยก่อนเนี่ยการ์ตูนเรื่องหน้ากากเสือนี่มันดังมาก แล้วมันก็ครองใจเด็กรุ่นนั้นมาตลอดระยะเวลาประมาณสิบกว่าปีเลยนะ เป็นการ์ตูนอันดับหนึ่งเลย คือเนื้อเรื่องมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักมวยปล้ำคนนึงที่ใส่หน้ากากเสือนะ แล้วก็ปล้ำเก่งมากเลย แต่ว่าเบื้องหลังชีวิตของเขาเนี่ย เขาเป็นคนของมาเฟียที่ส่งมา แต่อีกด้านนึงเนี่ย เขาเป็นคนที่เมื่อปล้ำแล้วได้ชัยชนะ
เขาไปสู้กับความยุติธรรมในสังคมนะครับ ไม่ว่าความยุติธรรมขององค์การมาเฟียเหล่านั้นหรือไปช่วยบ้านเด็กกำพร้า คือจะบอกว่า หน้ากากเสือเป็นฮีโร่ในวัยเด็ก ฮีโร่ในที่นี้คือ ฮีโร่ที่เห็นเลยว่า ฮีโร่ในสมัยก่อนเนี่ยคือฮีโร่ที่สู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม นี่คือฮีโร่ในสมัยก่อนนะ ซึ่งในสมัยนี้อาจจะไม่ใช่แล้ว เพราะว่า อาจจะเป็นหน้าตาดีก็ได้ ผมไม่รู้ แต่ว่าฮีโร่ของเด็กในสมัยก่อนคือ ฮีโร่ที่ทำให้รู้สึกว่าต้องสู้กับความไม่ยุติธรรมในสังคม อันนี่มันก็เลยเป็นส่วนนึงในการสร้างตัวตนของเราขึ้นมา ส่วนนึงก็คิดว่าเราเป็นคนแบบนี้เพราะว่าการ์ตูนเรื่องหน้ากากเสือนะครับ ลองไปดูสนุก สนุกมาก
The People : แล้วถ้าในช่วงอายุนี้ มีเรื่องอะไรที่รู้สึกว่าใช่สำหรับเรา?
ทุกวันนี้ดูซีรีส์เกาหลีเป็นหลัก ถามว่าทำไมชอบดูซีรีส์เกาหลี เพราะว่าผมคิดว่าซีรีส์เกาหลีนี่นะ มันมีหลาย ๆ มิติมากกว่าซีรีส์ของหลายชาติเลย เราก็ทราบใช่ไหมครับว่าเขาตีตลาดโลก เขาตีตลาดโลกเพราะอะไรรู้ไหม ประมาณปี 2540 นะมันฟองสบู่แตกทั่วโลก เกาหลีใต้เนี่ยซึ่งเคยเป็นอุตสาหกรรมหลัก ไม่ว่าจะเป็นฮุนได ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ ไม่ว่าจะเป็นซัมซุงอะไรก็ตามเนี่ย ร่วงหมด แต่วิธีคิดของผู้บริหารประเทศในสมัยนั้นคือเขาจะสร้างประเทศขึ้นมายังไง เขาก็มุ่งไปที่ไหนล่ะครับ มุ่งไปที่ soft power
ทำไมผมทราบ เพราะว่าในเวลานั้นเนี่ย เพื่อนผมคนนึงที่เป็นนักเขียนชื่อดังเนี่ยนะ เขาได้รับเชิญจากกระทรวงวัฒนธรรมเกาหลีใต้ ไปประชุมร่วมกับบรรดาศิลปินทั่วโลกนะ ว่าถ้าวันนี้เกาหลีใต้จะบุก soft power entertainment ทั่วโลกควรจะมีหลักคิดอะไรบ้าง มีสูตรสำเร็จอะไรบ้างในการประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นไม่นานเนี่ย K-POP ก็มา หลังจากนั้นไม่นานเนี่ยแดจังกึม หลังจากนั้นไม่นานเรนก็มา แล้วก็สุดท้ายก็มาเป็นซีรีส์เกาหลีเยอะแยะเลย เขามีสูตรหลาย ๆ อย่างที่เขาประสบความสำเร็จนะ
เขาค้นพบว่าคนดูทั่วโลกเนี่ยอยากจะดู plot อะไร มันอาจจะเป็น subplot ก็ได้นะในเรื่อง แน่นอนว่าเรื่องความรักเป็น plot ใหญ่ใช่ไหม เรื่องความขัดแย้งความรักเนี่ย แต่ sub ใน plot เล็ก ๆ เหล่านี้ plot ที่ประสบความสำเร็จอันดับแรกก็คือความยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมกัน ความเหลื่อมล้ำ corruption สังเกตนะครับซีรีส์เกาหลีหลาย ๆ เรื่องมันจะมีสิ่งเหล่านี้แทรกอยู่ตลอด ซีรีส์เกาหลีมันจะแทรกสิ่งเหล่านี้อยู่ แรง เยอะบ้างน้อยบ้าง แต่มันจะซึมอยู่เรื่อย ๆ สิทธิสตรีด้วย เพราะอะไรครับ คนดูลึก ๆ เนี่ยอยากพูดเหล่านี้ อยากพูดสิ่งเหล่านี้แต่เขาพูดไม่ได้ ประเทศแต่ละประเทศในแอฟริกา ในละตินอเมริกาอย่างงี้พูดไม่ได้ประชาชน ในเอเชียเราเนี่ยพูดไม่ได้ แต่ละครเหล่านี้พูดแทนเขาได้ เพราะงั้นเนี่ยซีรีส์หลาย ๆ เรื่องของเกาหลีใต้ถึงประสบความสำเร็จมาก เพราะมันมีสิ่งเหล่านี้ แล้วก็พูดได้เต็มปาก
ถามว่าแค่ละครไทยพูดถึงเรื่องตำรวจเนี่ยนะ ก็ไม่ได้แล้ว อันนี้คือสูตรบางสูตรในการที่ทำให้ทำไมคนถึงชอบซีรีส์เกาหลีมาก ลองไปดูเรื่องรัก ๆ หลาย ๆ เรื่องเนี่ย เราสังเกตไหมว่าทำไมดาราผู้หญิงถึงโดดเด่นกว่าผู้ชาย เพราะว่าในสังคมเกาหลีใต้ก็ยังมีความไม่เท่าเทียมกันของผู้หญิง-ผู้ชายนะครับ ละครหลาย ๆ เรื่องที่เราเห็นแล้วว่าผู้หญิงเนี่ยเป็นตัวเดินเรื่องใหญ่ เป็นอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงได้ โห คนจะชอบมากเลย เพราะว่าในสังคมของเกาหลีใต้มีปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่ ในเรื่องของความไม่เสมอภาคทางเพศ เพราะงั้นเนี่ยสิ่งเหล่านี้สอดแทรกตลอดเวลา มันก็เลยทำให้หนังละครซีรีส์ของเกาหลีมันถึงมีหลาย plot แล้วก็มีความลึกของตัวละครด้วย ซึ่งอาจจะแตกต่างจากซีรีส์ไทยหลาย ๆ เรื่องที่อาจจะมีค่อนข้างแบน plot จะไม่หลากหลายเท่านะครับ
เพราะงั้นเนี่ยก็เลยชอบดูซีรีส์เกาหลี เพราะมันให้เห็นเลยว่า มันสะท้อนสังคม เศรษฐกิจแล้วก็การเมืองในประเทศด้วย ถ้าการเมืองดีนี่อะไรก็ดีได้ทุกอย่าง เกาหลีใต้เนี่ยประสบความสำเร็จในเรื่องของการพัฒนาประชาธิปไตยประมาณสัก 30 ปีนะครับ หลังจากที่รัฐบาลเผด็จการโดนโค่นล้ม ค่อย ๆ โดนโค่นล้มไป หลังจากนั้นเนี่ยมีการเลือกตั้ง แล้วรัฐบาลพลเรือนได้มาเป็นอย่างเต็มตัวเนี่ย เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเนี่ยได้แสดงพลังออกมาเต็มที่เนี่ย มันก็เลยทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีใต้นี่มันทะลุขึ้นไปเลย ทะลุดูจากยอดของรายได้ทางด้าน entertainment ของเกาหลีใต้เนี่ย มันกลายเป็นรายได้อันดับต้น ๆ ของประเทศไปแล้วตอนนี้ แต่ก่อนเราพูดถึงเกาหลีเราพูดถึงซัมซุง เราพูดถึงแดวู เราพูดถึงฮุนได ใช่ไหมครับ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะแล้วครับ เพราะงั้นเนี่ยถึงจะบอกว่า ถ้าการเมืองดีเนี่ย หลาย ๆ อย่างมันจะดีขึ้นเอง
The People : ชีวิตของคุณมีบึง Walden เป็นของตัวเองหน้าตาแบบไหน?
ก็คือคนเขียนชื่อ Thoreau นะ สัก 100 กว่าปีที่ผ่านมาของอเมริกาเนี่ยเนอะ เขาก็ไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากผู้คน เพราะว่าอยากจะไปอยู่กับธรรมชาติที่บึง Walden แล้วเขาก็ค้นพบตัวเองหลาย ๆ อย่าง หลาย ๆ มิติ แล้วก็เขียนออกมา เขียนหนังสือออกมาดังมากเล่มนึงก็คือ Walden ก็เล่าเรื่องชีวิตเขาว่า ในการใช้ชีวิตที่ห่างไกลจากผู้คน แล้วก็อยู่กับธรรมชาติเนี่ย เขาได้ค้นพบอะไรบ้าง คำถามคือผมได้ค้นพบอะไรเหรอ คือจริง ๆ ชีวิตผมที่ผ่านมาเนี่ย ถ้ามีโอกาสก็ชอบเดินป่า ได้เดินทาง แล้วก็บ้านที่อยู่ที่เชียงดาว ที่ทุ่งน้ำนูนีนอยเนี่ย มันก็อยู่ไม่ไกลจากดอยหลวงเชียงดาวนะครับ แล้วก็มันก็ไม่ได้ห่างไกลจากผู้คนมาก แต่ว่ามันก็เงียบสงบพอสมควร สิ่งที่เห็นที่มีรายละเอียดมากขึ้นว่า บ้านผมก็จะมีบึงน้ำอยู่ อยู่หน้าบ้านเลย แล้วในฐานะที่เป็นคนถ่ายวิดีโอด้วย ก็ได้เห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆในบึงน้ำ
อย่างทุกวันนี้ กำลังถ่าย อันนี้เล่น ๆ เนอะ ถ่ายคลิปการผสมพันธุ์ของแมลงปอกลางอากาศนะครับ ซึ่งมันถ่ายยากมาก แต่ว่าก็พอถ่ายได้ ก็ยิ่งเห็นว่าความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ นี่นะ มันทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์นะครับ แต่ว่าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้มันก็ไม่ต่างจากคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมหรอก คือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้มันช่วยทำให้เกิดผลผลิตที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้นะครับ ผมสังเกตผีเสื้อที่หมอบอยู่ ผีเสื้อกลางคืนเนอะ น่ารักมากเลย แล้วผีเสื้อกลางวันด้วยนะ มันทำหน้าที่ผสมพันธุ์เกสรให้กับพืช แล้วก็สร้างอาหารให้กับโลกนี้ แต่มันก็อยู่ได้อย่างเงียบ ๆ แล้วก็จากไปอย่างเงียบ ๆ
แต่สิ่งเหล่านี้มันมีความสำคัญมากในสังคม มันก็เช่นเดียวกับคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมแหละ ที่เรามักจะมองข้าม คือคนตัวเล็ก ๆ เหล่านี้มันมีความสำคัญมาก ไม่ว่าเขาจะเป็นหมอ เป็นทนายความ เป็นเกษตรกร เป็นกรรมกร แต่บางทีเราละเลยคนเหล่านี้ มันก็ไม่ต่างกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในบึงน้ำ ทุ่งน้ำนูนีนอยเนี่ย เราเห็นเยอะแยะเลยนะ ทั้งผึ้ง ทั้งแมลง ทั้งปลาช่อน ปลาตะเพียน ทุกคนก็ล้วนแต่ทำหน้าที่ของมัน แล้วก็จากไปอย่างเงียบ ๆ แต่มีความสำคัญในระบบนิเวศ ก็ไม่ต่างจากคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมเรา ยิ่งทำงานยิ่งอยู่กับธรรมชาติเรายิ่งเห็นสรรพสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เยอะแยะเลย แต่สมัยก่อนอาจจะมองข้ามไปเนอะ เรามักจะมองอะไรใหญ่ ๆ เรามักจะมองอะไรคนใหญ่คนโต แต่ไม่เคยมองคนตัวเล็ก ๆ เลย บางทีคนตัวเล็ก ๆ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อาจจะมีความสำคัญมากกว่าคนตัวใหญ่ ๆ อีก นี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้นะครับ
The People : ของ Thoreau ผมชอบ ฤดูใบไม้ร่วง
หรืออย่างอีกอันนึงผมชอบดูดวงอาทิตย์ขึ้นกับลง เพราะว่าผมรู้สึกว่า อันนี้ชอบดูมากเลยนะ คือทุกครั้งที่มีโอกาสได้ชอบดูพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกนะครับ แล้วมันก็ โอเค อันนึงมันสวยนะ อันที่สองมันเห็นชีวิตเลยนะ คือมันเห็นเลยว่าชีวิตของคนเนี่ยนะ มันก็เหมือนดวงอาทิตย์ มันขึ้นใช่ไหมครับ มันก็ลง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ขึ้นใหม่ ชีวิตมันมีขึ้นมีลงเนอะ แต่บางคนเนี่ยขึ้นแล้วไม่ยอมลง บางคนลงแล้วไม่ยอมขึ้น ก็ไปคิดเองต่อละกัน แต่ยิ่งเห็นดวงอาทิตย์ เห็นพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก เราก็จะยิ่งเข้าใจชีวิตมากขึ้นนะ
The People : คุณชอบพูดถึงเรื่องอาบป่า มันให้อะไรกับเราบ้าง?
ทำไมชอบเข้าป่า ทำไมคนชอบป่า แค่คุณเข้าไปในป่าเนี่ย อุณหภูมิข้างนอกป่ากับข้างในป่าเนี่ยมันต่างกันประมาณ 3-4 องศานะครับ แน่นอนว่า อันแรกก็คือว่า เมื่อต้นไม้มันคายน้ำ แล้วมันก็มีไอน้ำ แล้วก็อุณหภูมิลดลง อันนี้คือเบสิกนะครับพื้นฐาน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเร็ว ๆ ไม่นานนี้นะครับว่า ในป่านี่มีจุลินทรีย์มากมาย เวลาเราพูดถึงจุลินทรีย์เนี่ย เรามักจะคิดว่ามันเป็นตัวร้ายนะครับ แต่จริง ๆ แล้วเนี่ยจุลินทรีย์ที่ดีเนี่ย มันมีมากกว่าจุลินทรีย์ที่ไม่ดีนะครับ เราอาจจะรู้จักจุลินทรีย์ดี ก็ยาคูลท์ใช่ไหมครับ ก็คือจุลินทรีย์ที่ดี
แต่จริง ๆ แล้วจุลินทรีย์ที่ดีมันมาเยอะแยะเลยนะ เพียงแต่ว่า ถ้าเราสูดเอาจุลินทรีย์ที่ดีในป่าเข้าไปเนี่ย ซึ่งมันเป็นของดีเนี่ย มันจะทำให้ ทำไมเรารู้สึกเราสดชื่น ทำไมเรารู้สึกว่า เราดีขึ้น มันมีการทดลองหลายอย่างว่า คนที่อยู่ในป่าบ่อย ๆ เนี่ย จะมีสุขภาพจิตกับสุขภาพกายที่ดีกว่าคนที่ไม่เคยเข้าป่าหรือเดินป่าเลยนะครับ เพราะว่าในป่าเนี่ยมันมี นอกจากจุลินทรีย์แล้วเนี่ย มันมีบรรยากาศ มันมีไอน้ำ มันมีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย ที่ทำให้รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น อันนี้คือเบสิกนะว่าวันนี้การรักษาสมัยใหม่เนี่ย เขาใช้วิธีอาบป่า คือยิ่งรู้จักพื้นดิน รู้จักป่ามากขึ้น เรารู้สึกว่ามันมีคุณค่านะครับประมาณนี้
The People : คุณมองเรื่องคนวัยหนุ่มสาวยุคนี้อย่างไร ในฐานะที่เราเป็นคนที่ผ่านอะไรหลายอย่างมาก่อน เราคิดว่าเราจะส่งมอบอะไรให้พวกเขาได้บ้าง
ทุกคนล้วนเคยเป็นคนหนุ่มสาวทั้งนั้นเนอะ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ผ่านช่วงอายุหนุ่มสาวนะครับ ผมคิดว่าช่วงชีวิตหนุ่มสาวเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดที่ว่า ของคนแต่ละยุคแต่ละสมัยเลยนะ เราควรจะให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้มาก ๆ นะครับ เหมือนกับสมัยนึงที่เราเป็นหนุ่มสาว เราก็เรียกร้องให้คนที่แก่ว่าเราให้ความสำคัญกับเรา เพราะว่าหนุ่มสาวนี่มาพร้อมกับพลัง มาพร้อมกับความเชื่อ มาพร้อมกับอุดมคติ มาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์นะครับ ทำไมในฐานะคนที่ผ่านโลกมาเยอะ เราควรจะให้โอกาสกับคนกลุ่มนี้ก่อนรึเปล่า เหมือนกับที่สมัยที่เราเป็นหนุ่มสาวเนี่ย คนรุ่นเก่าก็เคยให้โอกาสเรา หรือเราต่อสู้เพื่อจะให้โอกาสกับตัวเรานะครับ เพราะงั้นเนี่ยเมื่อคนหนุ่มสาวเขาได้ปลดปล่อยพลังออกมาแล้วเนี่ย เขาก็จะรู้เองว่าสิ่งที่เขาปลอดปล่อยออกมาเนี่ยมันเป็นอนาคตของเขารึเปล่า
อันนี้คือคนทุกวัยเนี่ยมันควรจะกำหนดอนาคตตัวเองได้ มันไม่ควรจะถูกกำหนดอนาคตจากคนรุ่นก่อนที่ชอบพูดแบบว่า อาบน้ำร้อนมาก่อนนะ มีคำพูดนึงที่ผมชอบมากเลยนะ รู้จักฮิวโก้ไหม นักร้องชื่อดังเนี่ย เขาเป็นหลานของภรรยา แล้วผมก็สนิทกับเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ นะ เขาก็เรียนที่อังกฤษตลอด แต่พูดไทยชัดมาก มีครั้งนึงเนี่ยนะสัก 10 กว่าปีแล้วเนี่ย เขามาถามผมว่า ผมจอบ ๆ ทำไมคนไทยต้องเชื่อฟัง ตอนแรกผมก็งง ทำไมเหรอ เอ่อ เชื่อกับฟังนี่มันคนละความหมายนะ ทำไมเราฟังแล้วต้องเชื่อเลยเหรอ มันก็ทำให้ผมตกใจเลยนะ เออใช่ว่ะ เราถูกสอนมาให้เชื่อฟังเลยนะ คือฟังแล้วต้องเชื่อเลย โดยเฉพาะผู้ใหญ่เนี่ย เราต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่นะ แต่ฮิวโก้บอกว่า เราควรจะฟังทุกคนที่พูด แต่ความเชื่อเป็นเรื่องของเรา ใช่ไหม ผมก็มานั่งคิดว่า เออ นี่คือ อันนี้คือต้นเหตุแห่งความแตกแยกในสังคมรึเปล่าเนี่ยเลยนะ
เพราะว่าเราถูกสอนให้ฟัง แล้วก็เชื่อเลย แต่เราไม่เคยถูกสอนให้ฟัง แล้วค่อยคิดก่อนว่าเชื่อดีรึเปล่าวะ หรือฟังแล้วยกมือตั้งคำถาม ก็เลยกลับมาย้อนคิดว่าทำไมเด็กไทยมันถึงไม่ค่อยตั้งคำถาม จำได้ว่าเวลาเรียนหนังสือ เวลาครูสอนจบแล้ว มีอะไรอีกไหม ใครมีคำถามบ้าง จากท่าธรรมดานะ หุบเลย กลัวว่าจะถูกยกมืออัตโนมัติ ก็แสดงว่าเราถูกสอนมาตลอดเวลาให้ฟัง แล้วก็เชื่อเลย โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจมากกว่า คนที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่า ถามว่าวิธีคิดแบบนี้มันถูกไหมล่ะ หรือว่าเราควรจะปล่อยให้ทุกคนมีอิสระในการฟังคนทุกฝ่าย แล้วเราไปคิดวิเคราะห์เองต่อไปว่า ควรจะเชื่อดี หรือว่าควรจะหาคำตอบเพิ่มเติมนะครับ เมื่อคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ มีคำถามมากมายจากข้อมูลอะไรก็ตามเนี่ย
ถามว่าผู้ใหญ่ทุกวันนี้เคยตอบเขาไหม หรือใช้แต่ คฝ. มาจัดการ แต่ไม่เคยคิดจะเจรจาเลย ทำไมไม่เปิดโอกาสให้เขาถามแล้ว แล้วถ้าผู้ใหญ่มั่นใจว่าตัวเองมีคำตอบที่ชัดเจน ก็ตอบเด็กไปสิกับคำถามที่ทำไมไม่เคยตอบ สิ่งที่เด็กถามไม่เคยตอบสักอย่างเลย แต่ใช้ความรุนแรง ใช้กฎหมายจัดการ แล้วทำอย่างงี้แล้วเด็กมันจะคิดยังไงต่อล่ะนะครับ แต่ถ้าผู้ใหญ่รุ่นนี้ ผู้ใหญ่วัยนี้มั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองกำหนดในสังคม ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ ใช่ไหมครับ ทำไมไม่มีความกล้าที่จะตอบคำถามเด็กเลย แต่ใช้กฎหมายกับใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ ผมคิดว่าหนุ่มสาวสมัยนี้มันก็ไม่ต่างจากสมัยก่อนหรอก คนรุ่นหนุ่มสาวคือ เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว แต่เราเคยให้เหตุผลกับเขารึเปล่าล่ะนะครับ ง่าย ๆ แค่นี้แหละ ถามว่าผู้ใหญ่สมัยนี้กล้าทำรึเปล่าล่ะ กล้าให้คำตอบที่ตัวเองเชื่อ กล้าถกเถียงกับเด็กรึเปล่าล่ะนะครับ
The People : ในรุ่นของคุณมีอะไรตั้งคำถามแบบนี้ ที่แบบน่าสนใจ จริง ๆ อยากให้เล่าเรื่องของ ‘ปรีดี พนมยงค์’
สมัยที่ผมอยู่ธรรมศาสตร์เนอะ คือผมก็รู้คร่าว ๆ ว่า ผู้ก่อตั้งคือ ปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีเมืองไทย แต่เข้าไปในธรรมศาสตร์แล้วทำไมเรารู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนอยากจะพูดถึงปรีดีมากนัก ในหนังสือห้องสมุด ก็มีหนังสือไม่กี่เล่ม ขณะที่ในสังคมข้างนอกเนี่ย เขาค่อนข้างจะหายสาบสูญไปเลย ไม่มีใครอยากจะพูดถึง ก็อ่านแล้วก็สนใจว่า ชีวิตของปรีดี พนมยงค์เป็นยังไง แล้วก็รู้สึกว่า เขามีบุญคุณต่อประเทศชาติมากในหลาย ๆ ด้านด้วยนะ แต่ทำไมไม่มีใครกล้าพูดถึงเขา จนกระทั่งคือตอนผมอยู่ธรรมศาสตร์ ปี 4 เนี่ย ผมเป็นคนทำเชียร์ธรรมศาสตร์ ผมเป็นคนดูแปรอักษร ตอนปี 4 เนี่ยก็เห็นสหกรณ์ธรรมศาสตร์เขาทำปฎิทินอันนึงขึ้นมา คนเขียนก็เป็นเพื่อนนะ
เป็นคำกลอนสั้น ๆ “พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี พ่อของข้านามระบือชื่อ ‘ปรีดี’ แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ” สี่ประโยคสั้น ๆ แต่เฮ้ย มันกินใจว่ะ ก็เลยคุยกับเพื่อนที่เป็นประธานเชียร์นะว่า เฮ้ย เราแปรอักษรอันนี้ดีกว่า เพราะว่าตอนนั้นไม่มีใครกล้าพูดถึงปรีดีในที่สาธารณะเลยนะครับ ก็เลยนัดแนะกับเพื่อน เพราะเราเชื่อว่าเราควรจะ เราเชื่อว่าคน ๆ นี้เขาเป็นคนที่มีประโยชน์กับประเทศชาติ ทำไมไม่มีใครกล้าพูดถึงเขา ก็เลยนัดแนะกับเพื่อนว่า แปรอักษรนี้ เราจะแปรรูปนี้นะครับ ก็เลยแอบวาดรูปแล้วก็ code อันนี้ก็รู้กันไม่กี่คน จนกระทั่งวันที่แปรอักษรจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์เนี่ย
ก็นัดแนะกับเพื่อนที่เป็นผู้ประกาศ มึงถ่ายทอดช่อง 9 ด้วยนะว่า ถึงเวลานี้มึงประกาศเลยนะ แล้วก็เดี๋ยวกูจะแปรรูปนี้นะ พอถึงเวลาโฆษกก็ประกาศบอกว่า ขณะนี้นะครับ ขอให้พวกเราดูที่สแตนเชียร์ธรรมศาสตร์ จะเปิดภาพประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรก และคงเป็นครั้งเดียวนะครับ เพราะว่าผู้ประกาศก็ เอ่อ เพราะว่าอาจจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ที่ไม่คิดจะคาดคิดต่อไป คนก็ตกใจ เอ้ย รูปอะไรวะ ช่องก็เริ่มถ่ายทอดนะครับ ก็เปิดรูปแปรอักษรเป็นรูปอาจารย์ปรีดี พร้อมบทกวีอันนี้ ปรากฏว่า ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ที่มาดูแปรอักษรนะครับ หลาย 10 คนยืนขึ้นแล้วก็ร้องไห้ น้ำตาไหล เพราะว่าไม่เคยมีใครกล้าพูดถึงผู้ชายคนนี้มาตลอดเกือบ 30 ปีแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขาทำบุญคุณให้ประเทศชาติมากเลยนะครับ พวกเราบนสแตนเชียร์ก็โห่ร้องด้วยความดีใจ
แล้วก็กอดกันตัวกลมว่าแปรสำเร็จแล้วนะครับ แต่ว่าผมก็บอกเพื่อนว่า ถ้าสันติบาลมาเนี่ยนะ จับสัก 2 คนพอ แต่ก็โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อันนั้นก็กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ แล้วหลังจากนั้นได้สัก 2-3 อาทิตย์เนี่ย อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ก็เขียนจดหมายมาหาพวกเรา บอกว่า ขอบคุณนะที่ยังรำลึกถึงเขาอยู่ แล้วอีกไม่กี่เดือนแกก็ตาย หลังจากนั้นเนี่ย การพูดถึงปรีดี พนมยงค์ในที่สาธารณะก็เหมือนกับการเปิดประตูไปแล้ว ทุกคนก็เริ่มพูดถึง ก็กลายเป็นเรื่องปกติ ก็ถือว่า เนี่ยคือตัวอย่างของสิ่งที่หนุ่มสาวคิดในเวลานั้นว่า เขาคิดอะไรอยู่ แล้วเราในฐานะผู้ใหญ่ เราให้โอกาสคนหนุ่มสาวได้ทำอะไรบ้างรึเปล่า ถ้าเราเชื่อว่าความคิดของเขาเป็นความคิดที่อาจจะลองผิดลองถูกนะครับ แต่ว่าควรจะให้โอกาสพวกเขาก่อน ไม่ใช่จะใช้กฎหมายใช้ความรุนแรงจัดการอย่างเดียว
The People : เห็นว่าล่าสุดนี้คุณได้มีโอกาสร่วมงานสร้างสารคดีกับต่างประเทศด้วย?
เป็นสารคดีของเกาหลีนะครับ เขาทำเป็นซีรีส์ที่ออกอากาศทั่วโลกคือ The Sixth Extinction ก็คือการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ในโลกนี้มันมีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้ว 5 ครั้งนะครับ ซึ่ง 5 ครั้งเนี่ยมันมาจากธรรมชาติ อย่างครั้งล่าสุดก็คือเมื่อ 60 ล้านปีที่แล้ว ที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปหมดเลย ก็มาจากอุกกาบาตที่ตกถล่ม แต่ครั้งที่ 6 เนี่ยมันเกิดจากมนุษย์แท้ ๆ เลย ซึ่งมันเริ่มแล้ว เพราะว่าตอนนี้สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปเรื่อย ๆ เกาหลีใต้ก็เลยทำชุดนี้ออกมา The Sixth Extinction นะแล้วก็มีสัตว์ประมาณสัก 6-7 ชนิดนะครับ
แล้วก็เขาขอให้ Thai PBS ทำตัวนึง Thai PBS ก็มาจ้างผม ผมก็เสนอเรื่องช้างไป คำว่า ช้างเนี่ยก็คือช้างที่มีปัญหา conflict กับมนุษย์นะครับ ไม่ว่าจะปัญหาเรื่องตามชายป่าที่ไปทำลาย ไปกินพืชผลชาวไร่นะครับ ทั้งจริง ๆ แล้วมันก็เป็นปัญหาความขัดแย้งเพราะว่า พื้นที่เกษตรเหล่านี้ก็เป็นพื้นที่ป่าเก่านะครับ ที่กลายเป็นพื้นที่จากป่าก็เป็นพื้นที่เกษตร ช้างที่เคยอยู่ในป่า แต่ว่าเจอปัญหาเรื่องโลกร้อนนะครับ น้ำก็ไม่มี ป่าก็ถูกทำลายนะครับ ก็ต้องถูกบีบให้ออกมาหากินข้างนอก มันก็ไม่ใช่ความผิดของใครนะครับ แต่ว่าจะจัดการยังไง ก็เลยตั้งชื่อเรื่องได้ว่า Unfriend Elephant ไม่รู้ใคร unfriend ใครนะ แต่ก็ผ่านมา 2 ปีแล้วนะ เพิ่งตัดเสร็จเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง ก็จะออกอากาศเกาหลีใต้ เขาจะออกอากาศสิ้นปีนี้ แล้วก็ไปออนแอร์ทั่วโลก
The People : ได้ไปลงพื้นที่ที่ไหน และได้เจอกับอะไรบ้าง?
ทั่วประเทศเลย ประจวบ หลัก ๆ ก็ ฉะเชิงเทรานี่แหละ พื้นที่รุนแรงสุดแล้ว ท่าตะเกียบ แล้วก็ห้วยขาแข้ง กาญจนบุรี สุพรรณฯ แต่เสี่ยงมากนะ เกือบตายหลายทีแล้ว ไม่อยากเล่า
The People : คุณเจอกับอะไร?
ก็ช้างนี่แหละ ช้างเนี่ยนะโคตรอันตรายเลยนะ เพราะว่าถ้าอยู่ห่างจากเขา 40 เมตรนะ หนีไม่ทันนะ มันชาร์จเร็วมากเลย แล้วช้างเนี่ยมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดสูงมาก คือช้าง คือเวลาผมเห็น เขาใหญ่เนอะ มาถ่าย selfie กับช้างเนี่ย มึงไม่รู้เหรอ ถ้าว่ามันชาร์จทีนะ มันเอาไม่อยู่หรอก คือที่ตายเยอะแยะเนี่ยเพราะคิดว่าช้างน่ารัก คือช้างมีความ มีสัญชาตญาณสัตว์ป่ามาก แต่ว่าช้างเนี่ยมันฉลาดกว่าที่เราคิดนะ คือ theme ของเรื่องนี้จะบอกว่า ช้างไม่ได้โง่นะ ช้างมีวิวัฒนาการทางความคิดตลอดเวลา แล้วผมพิสูจน์ได้ด้วย คือพิสูจน์ยังไงเนี่ย มันเป็นการทดลองของฝรั่งนะ คือเขาเอากระจก แล้วให้ช้างดูกระจกบานใหญ่ ๆ คือสัตว์ปกติทั่วไปเห็นกระจกเงาตัวเอง มันนึกว่าเป็นศัตรู มันก็จะพุ่งเข้าใส่ แต่ช้างเนี่ยมันเห็นกระจกตัวเองมันก็คิด แล้วมันก็เอางวงไปแตะกระจก
สักพักนึงนักวิทยาศาสตร์ เขาก็เอาสีมาทาเป็นกากบาทสีขาวตรงนี้ หัวช้าง ช้าวดูกระจกเห็นกากบาท ช้างมันเอาอย่างงี้เหมือนผู้หญิงลูบผม มันกำลังจะบอกเราว่า ช้างเนี่ยมันรู้จักตัวเอง ซึ่งมันเป็นการพัฒนาสติปัญญาขั้นสูง เพราะงั้นเนี่ยเวลาที่เราจะทำอะไรช้างเนี่ยมันแก้โจทย์ได้หมดเลยนะ อาทิเช่น คุณทำรั้วไฟฟ้าหรอ วันแรกช้างก็เอางวงไปแตะ โอ้ย ไฟฟ้าช็อต วันต่อมาช้างมันก็ไปเอาไม้ซุงมาแล้วแม่งก็ไปฟาดสายไฟ ฟาดรั้วแล้วก็เดินข้าม คุณทำคูเหรอช้างแม่งก็เอาก้นลง ไถลงแล้วเดินขึ้น แล้วมีครั้งนึง แต่ว่าถ่ายไม่ได้นะ แต่ว่า ก็คือปกติช้างมันหากินกลางคืนเนอะ แล้วมีครั้งนึงช้างมันออกมาสัก 50 ตัว แต่เราไม่รู้ไง แล้วก็ชาวบ้านก็ไปดัก เวลาดักช้างก็รู้ว่าพวกเรามาดัก เราก็จุดประทัด ตู้ม ๆ ใช่ไหม ช้างก็ส่งช้างมา 3 ตัว ให้เราเห็น โอ้ ช้างมาแล้ว เราก็ยิ่งประทัด ตุ้ม ๆๆๆ เราก็นึกว่าช้างแม่งหนีไปแล้ว ที่ไหนได้อีก 50 ตัวมันไปโผล่อีกทางนึง ไปกินข้าวชาวบ้าน แต่มันเอามาล่อเรา 3 ตัว
The People : หากจะต้องสวมบทเป็น บก. ถึงวันนี้อายุ 60 หากต้องเขียนบทบรรณาธิการสำหรับวาระครบ 60 ปีของตัวเอง คุณอยากเขียนอะไร?
ชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 60 จริง ๆ นะ ยิ่งอายุเยอะรู้สึกว่า คือคนส่วนมากเวลาบอกอายุเยอะแล้ว โอ้ย พอแล้ว อันนี้กูก็เคยทำแล้ว อันนี้ผ่านมาแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้สึก เราไม่รู้สึกอย่างงั้นนะ อย่างที่บอกว่า เรารู้สึกว่า ชีวิตเราเริ่มต้นได้ทุกครั้งทุกเวลา อยู่ที่อยากจะเริ่มต้นรึเปล่านะครับ ช่วงนี้ฮิต Bitcoin น่าสนใจ เราก็สนใจมันนะ เราก็ศึกษามันอย่างจริงจังว่ามันคืออะไรกันแน่นะครับ ทำไม ถ้าเป็นคนอื่นก็ เอ้ย ไม่เอาแล้ว พอแล้ว ซับซ้อนเกิน แต่เรารู้สึกว่า ยิ่งสนใจเงิน crypto เนี่ย มันก็ยิ่งมี logic ของมันนะว่า อ๋อ เงินพวกนี้คือการกระจายอำนาจทางการเงินครั้งใหญ่ของโลกเลยว่ะ คือจากที่เคยผูกขาดจากแบงค์ชาติ จากรัฐบาลส่วนกลางเนี่ย ถ้าทุกคนมีเงิน crypto คือว่าทุกคนสามารถจะกระจายอำนาจศูนย์กลางของการผูกขาดการเงินไปสู่คนระดับ ทุกระดับได้เลย
โลกนี้คือโลกสมัยใหม่ที่เราก็ควรจะเรียนรู้ว่า แม้กระทั่งการเงินเนี่ยมันก็ ถ้ามันกระจายอำนาจทางการเงินแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น งั้นผมก็เลยคิดว่า ยิ่งเราเรียนรู้เนี่ย มันมีสองอย่างคือ ไม่สนุกกับสนุกนะครับ อยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้แบบไหน งั้นผมก็เลยคิดว่ายิ่งอายุเยอะขึ้นเนี่ย เราจะมีชีวิตอยู่อย่างปล่อยไปเรื่อย ๆ หรือว่ารู้สึกว่าเรายังสนุกกับมันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันก็อาจจะสวนทางกับเพื่อน ๆ จำนวนมาก เวลาที่เขาบอกเขาเกษียณแล้ว พอแล้ว เลี้ยงหลานอยู่บ้าน อ่านหนังสือฟังเพลงนะครับ แต่ผมคิดว่าชีวิตมันมีอะไรเรียนรู้ไปจนกระทั่งวาระสุดท้าย อยู่ที่ว่าเราอยากจะเรียนรู้รึเปล่า แล้วเราก็ แต่ที่แน่ ๆ คือเราจะไม่เหี่ยวเฉา
สังเกตไหมว่าคนไทยเนี่ย hobby คืออะไรครับ งานอดิเรก ดูหนัง ฟังเพลง มันมีแค่นี้จริง ๆ นะ แต่คุณไปดู hobby งานอดิเรกของฝรั่ง ต่อเรือใบนะครับ ทำสวน ปลูกดอก ปลูกต้นไม้ คือมันคืองาน hobby ของฝรั่งก็คือใช้มือทำ ให้มัน ในสิ่งที่เราอยากทำ แต่ของคนไทยก็คือว่า ผ่อนคลาย ดูหนัง ฟังเพลง อันนี้เรื่องใหญ่เลยนะ เพราะว่าเราก็สังเกตว่าเวลาคนที่แบบว่าออกจากงานประจำแล้วเนี่ย เขาจะรู้สึกว่าว่างมากเลยนะ คือเขาไม่รู้ทำอะไรจริง ๆ แต่สังเกตถ้าเป็นฝรั่งเนี่ยนะ เวลาเขาออกจากงานประจำเนี่ย หู้ย เขามีอะไรทำเยอะแยะเลย กลับบ้านซ่อมจักรยาน ต่อ บางคนมีตังค์หน่อยก็ต่อเรือนะครับ บางคนก็ทำกระท่อมเล็ก ๆ สนุกกับงานไม้ สนุกกับการทำตู้ทำโต๊ะ อันนี้ผมคิดว่าคุณค่าของการให้เวลามันเป็นเรื่องสำคัญว่าเราจะให้แบบไหนนะครับ
สัมภาษณ์ : ณัฐกร เวียงอินทร์
ภาพ : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม
เรียบเรียง : รัฐฐกรณ์ ศิริฤกษ์