28 ต.ค. 2566 | 17:30 น.
การทำอะไรคนเดียวอาจไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป เมื่อมนุษย์เริ่มหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น หลายคนเลือกโอบกอดความโดดเดี่ยวเอาไว้อย่างแนบชิด ขณะที่บางคนพยายามสลัดความรู้สึกเหล่านี้ให้หายไปจากชีวิต
บางทีการลุกขึ้นมาทำอะไรคนเดียว อาจทำให้เราเห็นโลกในมุมต่าง และโลกใบนั้นอาจช่วยประคองจิตใจที่แหลกเหลวให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเฉพาะกับคนวัยเกษียณที่ความโดดเดี่ยวอาจเกาะกุมใจมากกว่าหนุ่มสาว
ซึ่ง ‘ป้าแป๋ว - กาญจนา พันธุเตชะ’ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก 'ป้าแบ็คแพ็ค' ในวัยเกือบ 70 ปี ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ฉีกภาพจำการใช้ชีวิตตัวคนเดียวของคนวัยเกษียณ ว่าจะต้องอยู่แต่ที่บ้าน นั่งอ่านหนังสือ เย็บปักถักร้อย รอลูกหลานให้มาเยี่ยมในวาระสำคัญ
ป้าแป๋วไม่เคยกลัวการอยู่คนเดียว แต่เธอกลับ ‘กลัว’ ที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตดั่งใจฝันมากกว่า และนี่คือเรื่องราวของเธอ หญิงวัยเกษียณที่ไม่เคยหวาดหวั่นกับการท่องโลกกว้างด้วยตัวคนเดียว
The People: อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้สึกว่าเราต้องออกเดินทางคนเดียว
กาญจนา: หลังจากเกษียณนะคะ หลังจากเกษียณแล้วป้าแป๋วก็มีความรู้สึกว่าเรายังแข็งแรงค่ะ ยังไปไหนมาไหนเองได้สบาย อยู่ ๆ จะให้มาอยู่เฉย ๆ ป้าแป๋วก็ มันคงเบื่อนะ แล้วก็มันรู้สึกว่ามันสบายเกินไป แล้วก็กลัวว่าจะป่วยก่อนวัยอันควรน่ะค่ะ ก็เลยหาอะไรทำเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้คิดอะไรมาก อยากจะมีอะไรทำหลังเกษียณเท่านั้นเอง เพราะคนเคยทำงานมาตลอดเกือบ 40 ปีนะ อยู่ ๆ วันดีคืนดีก็จะให้มาอยู่บ้านเฉย ๆ ป้าแป๋วก็คิดว่าทุกคนก็ต้องรู้สึกแบบนี้เหมือนกันนะ ค่ะ ก็เลยหาอะไรทำค่ะ เวลาเราก็มี สตางค์เราก็พอมี ไม่ต้องไปรบกวนขอใครนะคะ ก็คิดว่าหาอะไรทำดีกว่าเรา ไปเที่ยวดูนั่นดูนี่ดีกว่าอะไรอย่างนี้นะคะ คิดเท่านั้นเอง
The People: ตอนนั้นป้าแป๋วทำงานอะไร
กาญจนา: ป้าแป๋วเป็นคนรุ่น Baby Boomer ค่ะ คนรุ่นนี้ส่วนใหญ่จะรับราชการ ป้าแป๋วก็เรียนจบพยาบาลค่ะ แล้วก็ไปทำงานทางสายส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค เกษียณกับกรมควบคุมโรคค่ะ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเนี่ยค่ะ เกษียณเมื่อปี 2557 ค่ะ
The People: หลังจากเกษียณก็ออกเดินทางเลย มันเป็นการทำตามความฝันด้วยไหม
กาญจนา: ตอนนั้นมันไม่ได้เป็นความฝันอะไรเลยนะ ไม่ได้ฝันภาพว่าหลังเกษียณเราจะทำนั่นทำนี่นะคะ ก็เป็นอย่างที่บอกแหละค่ะว่าเป็นการหาอะไรทำมากกว่าหลังเกษียณนะคะ ไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ อะไรอย่างนี้นะค
The People: จุดที่ไปที่แรกมันสร้างความประทับใจอะไรให้ป้าแป๋วบ้าง
กาญจนา: กว่าตัดสินใจไป กว่าจะหาช่องทางว่าเราจะไปเที่ยวเนี่ยนะ ก็เป็นเรื่องที่ โดยเฉพาะไปต่างประเทศนะ ก็เป็นเรื่องที่ตัดสินใจพอสมควรนะ แรก ๆ เนี่ยป้าแป๋วเริ่มต้นจากเที่ยวเมืองไทยก่อนค่ะ คือเมืองไทยนี่เป็นอะไรที่เราคุ้นเคยอยู่แล้วนะคะ เกษียณปุ๊บก็ไป นั่งรถทัวร์ไปเที่ยวทางเหนือเลยค่ะ ไปเอง เป็นเรื่องที่มีความรู้สึกว่าสบาย ๆ มากสำหรับเรา เพราะปกติเราก็ไปไหนมาไหนเองอยู่แล้วค่ะ ไปแล้วก็อารมณ์ไปเที่ยวไม่ใช่อารมณ์ไปทำงานนะคะ เกษียณแล้วก็นั่งรถทัวร์ไปดูตลาดดูบ้านดูเมืองอะไรของทางเหนือ ไปหาอร่อย อาหารท้องถิ่นอร่อย ๆ ทานอะไรประมาณนี้ค่ะ ก็ทริปนี้แล้วก็ทริปนั้นไปจังหวัดนั้นจังหวัดนี้อะไรอย่างนี้นะคะ เป็นลักษณะแบบนี้ค่ะ
The People: ที่บ้านมีความคิดเห็นยังไงบ้างหลังจากป้าแป๋วอยากไปเที่ยวคนเดียว
กาญจนา: คือที่บ้านเขาก็ พอดีพ่อบ้านตอนนั้นเนี่ยเขาก็เกษียณแล้ว แต่ว่าก็ยังทำงานต่อ ลูก ๆ ก็ทำงานกันอย่างนี้ แบบว่าทุกคนก็มีภารกิจของเขาอะไรอย่างนี้นะ เขาก็ไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรหรอกนะ เพราะปกติป้าแป๋วก็ตอนทำงานก็มีชีวิตแบบนี้อยู่แล้วค่ะ ไปไหนมาไหนก็ไปเองอะไรอย่างนี้น่ะ ไม่ได้เป็นภาระให้ใครต้องไปส่งไปรับอะไรอย่างนี้นะ แต่เขาก็จะคอยตามดูในเพจอะไรอย่างนี้ เออ วันนี้ ป้าแป๋วเองก็บอกที่บ้านว่า เออ แม่จะไปเชียงรายสัก 5 วัน 7 วันนะ กลับวันนั้นวันนี้อะไรประมาณนี้ เขาก็คอยตามดูเพจเท่านั้นเอง เขาก็ไม่ได้ว่าไงค่ะ
The People: ช่วยเล่าย้อนที่มาของเพจให้ฟังหน่อย
กาญจนา: แรก ๆ ก็ป้าแป๋วเที่ยวเนี่ยนะ ก็เขียน LINE เล่าให้เพื่อนฟังเท่านั้นเอง มี LINE ของเพื่อนกับ LINE ของครอบครัว ตอนหลังมานี่ก็ลูกชาย …นี่ล่ะค่ะ เอาเรื่องของแม่ไปเขียนลงใน Pantip ว่าแม่เกษียณแล้วไปเป็น Backpacker อะไรอย่างนี้นะคะ ก็เลยมีนิตยสารดิฉัน คุณแพทมาคุยด้วย คุยที่นี่แหละค่ะ เขาก็คุยแล้วเขาก็บอกว่าป้าแป๋ว อยากให้ป้าแป๋วเปิดเพจนะ ป้าแป๋วจะได้มีเพื่อนมากขึ้น กว้างขึ้นอะไรอย่างนี้ ไปไหนมาไหนแบบคือเรา โลกก็จะกว้างขึ้นอะไรประมาณ- จะได้มีเพื่อนเยอะขึ้นอะไรอย่างนี้นะ ก็ลูกชายก็มาถามว่าแม่จะเอาไงล่ะ ก็บอกว่าภาระที่เขียน LINE กับเขียนเพจเนี่ยไม่ต่างกัน
แต่ถ้าช่องทางเพจมันไปได้กว้างกว่าเนี่ย ก็น่าจะเปิดเพจ เขียนเพจดู ป้าแป๋วก็บอกลูกอย่างนี้นะ คนที่เปิดเพจให้ก็คือ…ลูกชายเนี่ยนะคะ เป็นอย่างนั้นแล้วเวลาเดินทางป้าแป๋วก็จะมาเขียนเพจทุกวันหลังจากออกไปเที่ยว แล้วเย็นกลับมาก็จะมาเขียนเพจ เล่าอะไรให้ฟังประมาณนี้ค่ะ มันก็ช่วยให้เรามีเพื่อนเยอะขึ้นจริงค่ะ เวลาไปบางประเทศที่มีอะไรที่น่ากังวลน่ะ แฟนเพจที่เขาไปมาก่อน เขาบอกป้าแป๋วต้องระวังนะนักล้วงเยอะนะอะไรอย่างนี้ ประมาณนี้ค่ะ ก็จะทำให้เรามีเพื่อนมากขึ้นค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องดี
The People: ป้าแป๋วเขียนเพจเองเลยไหม
กาญจนา: เขียนเองค่ะ เขียนทุกวัน เวลาไปเที่ยวนะ
The People: การเดินทางคนเดียวเราต้องเตรียมตัวยังไง สิ่งสำคัญที่สุดของการเดินทางคนเดียวมันคืออะไร
กาญจนา: การเดินทางคนเดียวเป็นเรื่องอะไรที่เราต้องเตรียมค่อนข้างเยอะนะ ป้าแป๋วให้ความสำคัญกับเรื่องของการเตรียมข้อมูลค่อนข้างเยอะเลยว่าประเทศที่เราจะไปเนี่ยมันมี เหมือนกับทำความรู้จักประเทศที่เราจะไปก่อนล่วงหน้าก่อนที่เราจะเดินทางไปจริง รู้กันทุกแง่ทุกมุม ประวัติศาสตร์อะไรยังไง หน้าตาประเทศนี้อะไรยังไงบ้าง ซึ่งเราต้องศึกษาก่อนที่จะ set แผนเดินทาง อย่างจะไปอิตาลีเราจะไปเมืองไหนบ้างเนี่ย เราก็ต้องศึกษาข้อมูลมาก่อน
แล้วก็ set แผนเดินทางเลย เราจะบินไปลงที่ไหนจะไปเมืองไหนบ้าง ระหว่างเมืองเดินทางยังไงนะคะ ไปรถไฟได้ไหม หรือต้องไปรถบัสไปอะไรอย่างนี้ เราต้องดูข้อมูล ถ้าไปเมืองนี้จะไปดูอะไรบ้างอะไรอย่างนี้นี่นะ ไปทีประเทศนึงก็จะดูให้คุ้มเลยค่ะ ไปคุ้มเลย อยากจะไปเมืองไหนบ้าง เราก็ไปหาข้อมูลมา แล้วก็หมุดปักหมุดว่าจะไปตรงนั้นตรงนี้อะไรอย่างนี้นะคะ ใช้เวลากี่วัน แล้วกลับเมื่อไหร่อะไรอย่างนี้นะคะ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับการไปขอวีซ่าอะไรด้วยค่ะ เรื่องเตรียมข้อมูลนี่เป็นเรื่องสำคัญค่ะ
The People: มีเมืองไหนที่เราไม่เคยรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศนี้มาก่อนเลย พอไปแล้วมันรู้สึกมหัศจรรย์บ้างไหม
กาญจนา: ส่วนใหญ่เราจะอย่างที่ว่าเนี่ยว่าเราเตรียมข้อมูลไปก่อนเลยนะ เมืองที่ป้าแป๋วชอบมากที่เก่ามาก ๆ คือเยรูซาเลม ที่อยากจะไป แล้วก็ไป หมายถึงว่ามีการ มีข้อความ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเยรูซาเลมตั้งแต่ยุคโรมันมาแล้วว่าเมืองนี้มันเก่ามากอะไรอย่างนี้ ความเป็นมาของเมืองนี้อะไรอย่างนี้นะ ยุคโรมันนี่คือก่อนคริสตกาลเลยนะ เออ เราก็จะไปเห็น เออ มันยังเมืองเก่าจริงแฮะอะไรอย่างนี้เนี่ยนะ
สภาพกำแพงเมืองอะไรก็ยังเป็นของดั้งเดิมอะไรอย่างนี้นะ ซึ่งเป็นเรื่องอะไรที่มัน คือมันถูกใจเรา ไปเห็น ได้ไปเห็นเมืองเก่าจริง ๆ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ด้วยความที่ว่ามันยังไม่มีเจ้าของที่แท้จริงประเทศนี้นะคะ เมืองนี้นะคะ ทุกคนก็แย่งกันจะเป็นเจ้าของ ก็เลยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยค่ะ ก็เป็นอะไรที่ชอบถ้าเป็นเมืองเก่านะ ยิ่งเก่ามากยิ่งชอบอะไรอย่างนี้นะ
The People: มีประสบการณ์ไหนที่ไม่น่าประทับใจบ้างไหม
กาญจนา: การเดินทางคนเดียวมันก็จะมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เราต้องทำใจอยู่เหมือนกัน เพราะว่าให้เตรียมตัวดียังไงนะ มันก็ต้องเจอเหตุการณ์ที่มันไม่คาดฝัน เป็นอะไรที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มันต้องมีให้เราทำ ต้องให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่เรื่อยเลยนะ มีหลายเหตุการณ์เลยที่นั่นน่ะ ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นที่อิตาลี หลังสุดที่ไปนี่ก็เป็นอียิปต์เนี่ย ประเทศที่มีพีระมิดใหญ่ ๆ เนี่ยนะคะ มีอะไรให้เราต้อง- การได้ไปเห็นอย่างนี้ เราก็จะเห็นว่า เออ มัน แบบนี้ก็มีนะอะไรอย่างนี้ เรื่องผู้คน เรื่องอะไรพวกนี้นะคะ ได้ประสบการณ์เยอะค่ะ
ถ้าเรื่องผู้คนป้าแป๋วต้องยกให้อียิปต์เลยค่ะ ผู้คนนี่เป็นประเภทที่ต้องเรียกว่าอะไรอีกนะ มองนักท่องเที่ยวเป็นเหยื่อเลยนะ ประเภทนี่นะ ไปเนี่ยต้องระวังสุด ๆ เลย ทุกจุดที่ไป contact กับคนอียิปต์เนี่ยนะจะต้องถูกโกง ถูกโก่งราคา ถูกอะไรอย่างนี้เป็นประจำ ๆ มีอยู่วันหนึ่งป้าแป๋วจะไปตลาดที่ไคโร จะไปตลาด เหมือนตลาดขายของฝาก ขายอะไรพวกนี้แหละค่ะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เวลาทัวร์ไปก็ต้องพานักท่องเที่ยวไป มันจะมีร้านขายน้ำหอม ขายสินค้าของอียิปต์อะไรพวกนี้นะ
แล้วก็ป้าแป๋วก็ให้ทางที่พักเรียก Uber ให้หน่อย เพราะว่าของป้าแป๋วเนี่ยใช้ Uber ไม่ได้ มือถือนะคะ ให้เรียก Uber ให้หน่อย ให้ไปส่งที่ตลาดเนี่ย เพราะว่าก่อนหน้านี้ไปครั้งหนึ่งแล้วไปยาก รถไฟฟ้าก็ไปไม่ได้อะไรอย่างนี้นะ รถเมล์ของเขาเราก็อ่านไม่ออก มันมีแต่ภาษาอารบิกอะไรอย่างนี้
ก็เลยให้ทางที่พักเรียก Uber ให้ Uber เขาก็บอกว่า 20 Egyptian pound ของเขาอย่างนี้ ราคาเงินของเขานะ Egyptian pound ซึ่งก็ไม่แพงนะ มันก็ไกลพอสมควรแหละ พอไป พอไปเดินเที่ยวอะไรเสร็จ ป้าแป๋วก็จะกลับ มันก็ต้องกลับแท็กซี่เหมือนเดิมแหละ เดินมาหน้าตลาดก็มีแท็กซี่จอดอยู่พอดี ก็เลยไปถามว่าไป Tahrir Square ก็คือใกล้ที่พัก เท่าไหร่ เขาก็บอก 20 (Egyptian) pound เราก็ขึ้นเลย
พอนั่งมาใกล้จะถึงที่พักแล้ว เห็นรถมันติด ป้าแป๋วก็เลยยื่นแบงค์ 20 ให้เขา บอกว่าเดี๋ยวฉันจะลงตรงนี้ ฉันเดินกลับไป เพราะว่ารถมันติดอะไรอย่างนี้นะ เขาบอก คนขับเขาบอกว่าไม่ใช่นะ 200 (Egyptian) pound นะ เออ อ้าว twenty กับ two hundred นี่มันก็ต่างกันอยู่นะ คำพูดเนี่ย เอ้า You บอก I บอกว่า 20 (Egyptian) pound ไม่ใช่ เสียงแข็งเลยนะ 200 (Egyptian) pound บอกอย่างนั้น You วนไปนะ
คือยังไงเราลงรถไม่ได้ตอนนั้น You วนไปแล้วก็จอด คือต้องคุยกันแล้วล่ะอะไรอย่างนี้นะ พอเขาวนรถไป ซึ่งตรงที่ริมถนนมันก็จะอยู่เยื้อง ๆ กับอยู่ museum ของอียิปต์ ซึ่งมันก็เยื้อง ๆ กับที่พักป้าแป๋วแหละ พอจอดรถปุ๊บเนี่ย ป้าแป๋วเปิดประตูออกไป มันล็อคประตูเลยนะไอ้คนขับเนี่ย เขาบอกว่ายังไงก็ต้อง 200 (Egyptian) pound ป้าแป๋วบอกคือคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ
มันคงไม่รู้ว่าเราก็ปลดล็อคเป็นประตู เราก็ไม่ใช่อะไรใช่ไหม เราก็ไม่ใช่ไก่กาก็หาที่ปลดล็อคประตู แล้วก็ออกไปเลย ป้าแป๋วออกไปนอกรถเลย ถ้าอยู่ตรงนี้เหมือนเราถูกมันปิดประตูตีแมวเลยนะ จะข่มขู่แบบเหมือนกับกรรโชกทรัพย์เราประมาณนี้นะ โห มันต่างกันตั้งเยอะเว้ย มันก็เกินไป ถ้า 50 (Egyptian) pound เรายังพอหลับหูหลับตาให้เขาได้นะ ก็เปิดประตูออกไป แล้วก็โวยวายเลย Can you speak English? คือยืนแถวนั้น ป้าแป๋วถามหมดเลย โวยวาย ออกแนวโวยวายเลยนะว่า Can you speak English? ก็มีบางคน
คือใครเดินผ่านมา ก็มีผู้หญิง 2 คนเดินมาบอกว่าบอกช่วยฉันหน่อย Can you speak English? เขาบอก Yes เขาก็มาพูด เขาก็มาถามให้ นายคนนี้มันก็บอกว่ายืนยันว่า 200 (Egyptian) pound บอกโห เราก็พูดงี้ เราก็ไม่ยอม ก็เหมือนว่าคนต่อรองเขาก็ไม่ได้ว่าจะช่วยอะไรยังไงนะ ก็หาคนอื่นแหละ ใครผ่านมาผ่านไปป้าแป๋วก็เรียกหมด ก็มีผู้ชายคนนึงมีอายุหน่อยก็เข้ามาเหมือนตัวใหญ่ ๆ เขาก็บอก แล้วก็มีผู้หญิงอีก 2 คนมาช่วย เขาก็ช่วยต่อรองให้จะอะไรมันก็ยืนยัน
มันก็บอกว่าป้าแป๋วจะไปพีระมิดไหม ไปเที่ยวพีระมิดไหม เหมือนว่าจะเบนไป จะไปพีระมิดไป บอกโอ๊ย I ไปมาแล้ว เออ จะไปนู่นไปนี่ไหมอะไรอย่างนี้ ก็บอกไม่ไป ผู้ชายคนที่ตัวใหญ่ ๆ ที่นั่นมา ก็เลยบอกว่าป้าแป๋วก็เลยให้ฉันจะจ่าย 20 (Egyptian) pound นะ ดูท่าจะไม่นั่น ป้าแป๋วก็เลยหยิบมาอีก 10 (Egyptian) pound เป็น 30 (Egyptian) pound เนี่ยนะ ก็บอกว่าเนี่ย I ให้เท่านี้นะ เมื่อเช้า I ยังไป Uber ยัง 20 (Egyptian) pound เอง บอกอย่างนี้นะ
มันเห็นคนรุมเยอะ กระชากเงิน 30 (Egyptian) pound ไปแล้วก็ขับรถออกไปเลย เนี่ยคนอียิปต์จะเป็นแบบนี้แหละค่ะ ไปกินข้าว ข้าวราดแกงจานนึง คิดว่าคงไม่น่าจะถึง 30 (Egyptian) pound ป้าแป๋วว่านะ เรียกเราซะ 100 กว่า คือเป็นจุดที่ Contact กับนักท่องเที่ยว หรือเนี่ยจุด Contact ที่นักท่องเที่ยวไปเจอกับคนอียิปต์จะเป็นแบบนี้ ค่าข้าวมันก็จะชาร์จขึ้น ซื้ออะไรมันก็จะชาร์จขึ้น นั่งรถม้ามันก็จะชาร์จขึ้น เป็นประสบการณ์ที่แบบ
โห ถ้าเทียบกับบ้านเราเนี่ย บ้านเรา ต้องเรียกว่าไม่มีใครเหมือนเมืองไทยนะ ป้าแป๋วต้องพูดอย่างนี้นะ ป้าแป๋วก็ไปเจอฝรั่งที่อิตาลี เขาก็มาเมืองไทยหลายครั้ง เขาก็บอกว่าเขาชอบเมืองไทยอยู่ 3 อย่าง อันที่ 1 คือวัด Temple นะ แล้วก็อันที่ 2 คือ Food อันที่ 3 คือ People เราก็ไม่รู้ความหมายหรอกว่า People ของเขานี่จะหมายถึงอะไรยังไง แต่พอป้าแป๋วไปเจอเนี่ย เจอไอ้อียิปต์ ไอ้ไปเจอประเทศนั้นประเทศนี้อะไรอย่างนี้นะ
เราจะเก็ทเลยว่าผู้คนของเราน่ารักจริง ๆ นะ แล้วก็เขาเรียกว่าอะไร มันเหมือนกับความมีน้ำใจ ความเป็นใจกว้างอะไรอย่างนี้นะ ที่เป็นเสน่ห์ที่บ้านอื่นเมืองอื่นไม่มีนะ ก็เป็นเรื่องที่ป้าแป๋วคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวมาได้นานนะ ทำให้เขาประทับใจ แล้วก็พวกเราก็…ได้นานนะ วัฒนธรรมที่สวยงามของเรานะ การยิ้มให้คนนั้นคนดีอะไรอย่างนี้เนี่ยนะ แล้วก็การมีน้ำใจ นิดหน่อย ๆ ก็ไม่ได้จะต้องคิดสตุ้งสตางค์ของเขานะ ที่อเมริกาที่ Las Vegas นะ ให้ที่พักเรียกแท็กซี่ให้หน่อย
เพราะว่าเราจะไปสนามบิน You ต้องทิปให้ I นะ เขาบอกเลย พนักงานเขาบอก โอ้โห ขนาดนั้นเลยเนาะ คือทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ นะ ต้องคิดเป็นเงินหมด ต้องทิปหมดทุกอย่าง บ้านเราไม่เห็นมีอย่างนี้เลยเนาะ เออ เราบางทีขับรถไปส่งด้วยซ้ำไปอะไรอย่างนี้เนี่ยนะ เนี่ยเป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ บ้านอื่นเมืองอื่นเขาก็เป็นแบบนี้แหละ
The People: ใช้เวลาเก็บเงินนานไหม เพราะว่าช่วงหลัง ๆ ค่าตั๋วเครื่องบินหลายประเทศก็ปรับราคาขึ้นค่อนข้างเยอะ
กาญจนา: ตอนหลังนี่ หลังจากโควิด-19 นี่ค่าตั๋วเครื่องบินแพงขึ้นจริง ญี่ปุ่นนี่ก็อัพขึ้นแล้วนะ บอก โห้ย เนี่ยเป็นเกือบแสนเลยเหรอ นะ เมื่อก่อนไม่ถึงนะ ก่อนโควิด-19 มันถูกกว่านะ พอหลังโควิด-19 นี่ โอ้โห ค่าตั๋วเครื่องบินน่ะ ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องค่าน้ำมันอะไรหรือเปล่านะ ตอบคำถามเมื่อกี้เนาะ เรื่องเงินที่ใช้ในการเดินทางเนี่ย มันเป็นเงินที่ป้าแป๋วเก็บมาตั้งแต่ทำงานน่ะ
คือตอนทำงานเราก็ด้วยความที่เราก็เป็นผู้หญิงมีครอบครัวเนาะ แล้วชีวิตครอบครัวป้าแป๋วก็จะเป็นลักษณะแบบนี้ คือพ่อบ้านก็ทำงานอยู่ต่างจังหวัด ป้าแป๋วก็มาดูแลลูกที่กรุงเทพฯ มาปลูกบ้านมาอะไรอย่างนี้ คือเหมือนกับชีวิตครอบครัวเราก็แยกกัน แต่ว่าก็ไป ๆ มา ๆ หากัน แต่ก็ดูแล้วก็เหมือนมีความเสี่ยงในการที่จะมีโอกาสหย่าร้าง มีโอกาสที่จะมีคนอื่นบุคคลที่ 3 เข้ามาอะไรประมาณนี้นะ คือในแง่ของผู้หญิงก็จะระวังตัวอยู่แล้วอะไรอย่างนี้
เราก็ดูว่าชีวิตครอบครัวเรามีความเสี่ยงเนาะ เราก็ต้องเก็บสตางค์ไว้บ้าง เผื่อมีความจำเป็นจะต้องแยกบ้านไป เราจะได้มีบ้านไปอยู่กับลูกอะไรประมาณนี้ คิดแค่นั้นแหละนะ ก็ทำงานไปช่วงระหว่างทำงานเขาก็แบ่งส่วนนึงเก็บเป็นเงินเก็บไว้บ้างอะไรอย่างนี้ เผื่อไม่ให้ฉุกเฉินมีอะไรในชีวิตของเราเนี่ย มันจะได้เป็นเงินสำรองของเราอะไรประมาณนี้
ด้วยความคิดแบบนี้ก็เก็บมาจนถึงวันนึงที่มันเกษียณแล้วมันก็ไม่ได้ใช้ค่ะ มันก็เลยเป็นเงินส่วนหนึ่งที่ป้าแป๋วเอามาใช้ในการเดินทาง เพราะว่าเกษียณแล้วก็ไม่ได้ใช้ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อะไรแล้วนะ วันหนึ่งที่เราอยากจะเดินทาง เราก็มีเงินเราเองโดยไม่ต้องไปรบกวนขอใครไง ก็เป็นความอิสระอย่างนึงนะ มีร่างกายที่พอไปไหนมาเองได้ มีเงินที่ของเราเองนะ ก็โอเคแล้วป้าแป๋วว่า มันก็มีความพร้อมที่จะไปไหนต่อไหนได้แล้วค่ะ
The People: คิดว่าเงินที่เราจ่ายไปกับการเดินทางท่องเที่ยวคุ้มค่าไหม
กาญจนา: เราไปเองคุ้มมากเลย เราเลือกที่พักเองนะ เลือกสายการบินเองนะ แล้วก็เลือกเราจะกินอะไรยังไงเองเนี่ยนะ เพราะฉะนั้นมันก็จะประหยัด ป้าแป๋วไปยุโรปนี่เกือบ 3 เดือน ป้าแป๋วใช้ไปอยู่ 200,000 กว่าบาทค่ะ ก็คิดว่ามันก็คุ้มค่ามากเลยนะ ไม่ได้เสียดายเลยนะที่ใช้ไปนะ เพราะว่าคิดว่าทุกยูโรทุกอะไรที่เราใช้ไปมันก็คุ้มค่า หมายถึงว่าถึงเวลาตรงจุดนั้นเนี่ยนะคะ เต็มที่ ประหยัดเต็มที่แล้วแหละ
The People: การเดินทางมีความหมายยังไงต่อชีวิตป้าแป๋วบ้าง
กาญจนา: ที่จริงสำหรับวัยป้าแป๋วเนี่ยนะ ความหมายไม่ได้มีอะไรมากเลย เพียงแต่ว่าเป็นการใช้เวลาที่เราเหลืออยู่นะ ได้ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำเท่านั้นเองนะคะ แล้วก็เป็นความโชคดีที่เราพอจะมีกำลังทางด้านกำลังกายแล้วก็ด้านกำลังเงินที่เราจะไปไหนมาไหนเองได้นะ แต่จริงจะมีประโยชน์จะมีความหมายมากสำหรับคนในวัยที่ทำงานอยู่ ซึ่งในวัย ในคนรุ่นป้าแป๋วจะไม่มีโอกาสเลยค่ะ คนที่ยังวัยทำงานเนี่ย การได้ไปดูต่างประเทศ ได้เห็นอะไรต่างประเทศเนี่ยนะ ป้าแป๋วคิดว่าจะช่วยให้โลกทัศน์เข้ากว้างขึ้น เวลาไปคุยกับฝรั่ง คุยกับเขานั้นคนนี้ เราจะรู้ background ของเขา ประเทศเขาเป็นยังไง หน้าตาของเขาเป็นยังไง
หน้าตาประเทศ วิถีชีวิตของเขาจะเป็นยังไง มันจะคุยกันแบบรู้เขารู้เรานะคะ ทุกวันนี้หลายคนไม่เคยไปเห็นว่าอเมริกาตอนนี้เป็นยังไงนะคะ ก็จะเป็นแต่ภาพเดิมที่เขารู้มา เหมือนรุ่นป้าแป๋วที่บอก โอ้โห มองอเมริกานี่ประเทศที่ศิวิไลซ์มากเลยอย่างนี้นะ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ อเมริกาเป็นประเทศที่เจริญมากจริง ๆ ต้องเรียกว่าเป็นมหาอำนาจขึ้นมาเลยนะ เพราะฉะนั้นภาพยิ่ง ความยิ่งใหญ่ของเขาเนี่ยจะติดในความทรงจำของคนรุ่นป้าแป๋วมาตลอด แต่พอไปดูตอนนี้แล้วเนี่ยมันไม่เหลือเลยมันเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่มันผิดเพี้ยนจากที่เราคิดไป ภาพไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดค่ะ มันเป็นอะไรที่ เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้อะไรประมาณนี้นะคะ
The People: ภาพเหล่านั้นคือยังไง
กาญจนา: มันเป็นความที่ไปเมืองไหนก็จะมีแต่คนไร้บ้านเต็มไปหมดอะไรอย่างนี้เนี่ยนะ เยอะนะคะ โดยเฉพาะที่ LA ที่อาจจะเป็นรัฐที่อากาศอุ่นกว่าทางเหนือนะ ทางเหนือไม่แน่ใจป้าแป๋วยังไม่ได้ไป Midwest นะ ไม่รู้ว่าจะมีเยอะหรือเปล่านะ แต่ก็พอจะรู้มาว่าพอจะมี แต่ว่า LA นี่จะเป็น เยอะมาก โดยเพราะ San Francisco เนี่ย โอ้โห ผิดจากที่เราคิดไว้มากเลย
น่ากลัวด้วยนะ เวลาเราเดินผ่านไปนี้ ต้องระวังเลย โชคดีที่ช่วงนั้นป้าแป๋วเดินไปนี่ มีเขาจัดระเบียบอะไรสักอย่างนึง มีเจ้าที่ยืนเต็มอยู่ ป้าแป๋วเลยเดินกล้าเดินเข้าไปดูซิว่าอะไรยังไง มันเป็นชีวิตที่ดูแล้วมันไร้จุดหมายเนาะ ดูแล้วก็ห่อเหี่ยวค่ะ ไม่คิดว่าประเทศเขาจะมีแบบนี้ค่ะ มันก็เลยเป็นคนละภาพกับที่เราคิดไว้ค่ะ ถ้าเราไม่ไปเห็น เราก็จะไม่รู้หรอกว่าอเมริกาเขาเป็นแบบนี้อะไรอย่างนี้เนี่ยนะ
The People: ตอนที่ไปอเมริกามาคือปีไหน
กาญจนา: ไปเมื่อ หลังจากโควิด-19 หน่อยนึงค่ะ ไม่นานค่ะไม่นาน ปีน่าจะเป็น 65 ต้นปีค่ะ ป้าแป๋วไปต้นปีเพราะว่าไปนี่ไปรัฐทางใต้ไป LA แล้วก็เลาะมาทางนี้ค่ะ Las Vegas ไปทาง Texas แล้วก็ไปถึง Florida เพราะคิดว่าโซนนี้น่าจะพอรับอุณหภูมิไหว เพราะมกราคมนี้ถ้าไปทางเหนือนี่ก็ยังหนาวมาก สู้ไม่ไหวค่ะ พอไปถึง Florida ป้าแป๋วก็บินมาที่ San Diego ค่ะ กลับทางนี้ค่ะ
The People: จริง ๆ ที่คนไร้บ้านเพิ่มอาจจะเพราะโควิด-19 ด้วยหรือเปล่า
กาญจนา: เขามีก่อนโควิด-19 อีกนะ เป็นชีวิตที่เขามีมาก่อนแล้วค่ะ มันเป็นด้วย เท่าที่คุย ๆ มันเป็นด้วยอะไรก็ไม่รู้ เป็นความรู้สึกที่ต้องการเป็นอิสระเสรี แล้วก็ปัญหาเรื่องยาเสพติดก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สมองเขามีปัญหา แล้วก็ใช้ชีวิตแบบนี้ค่ะ
The People: ในการเดินทางป้าแป๋วได้เอาวิชาชีพของตัวเองมาใช้ในการเดินทางด้วยไหม
กาญจนา: ช่วยในการป้องกันโรค ช่วยในการดูแลสุขภาพตัวเองไม่ให้เจ็บป่วยระหว่างเดินทางนะคะ แล้วก็ป้องกันโรค โดยเฉพาะโควิด-19 ช่วงที่มีปัญหาอยู่นะ แต่ก็ไม่ได้ติดมาเลยนะ ยังไม่เป็นเลยนะ ฉีดมา 5 เข็มแล้ว ๆ แต่ว่าก็ที่เยอรมันอะไรพวกนี้ก็ระวังเหมือนกันค่ะ เพราะว่าเราไปนอน ก็ไปนอน hostel เป็นห้องรวม ซึ่งเราก็ต้องระวังค่ะ บางที กลัวมาก ๆ บางทีเราก็ใส่ mask ก็นอนเลยนะ เอางั้นเลย แต่ว่าหลัง ๆ มาก็โอเคค่ะ ระวังตัวเอง
The People: ข้อเสียของการเดินทางท่องเที่ยวในวัยเกษียณ
กาญจนา: เป็นเรื่องการใช้เวลาว่างน่ะ ถ้าไม่เที่ยวป้าแป๋ว จะให้ป้าแป๋วทำไร นอนอยู่บ้านเหรอ ไม่ไหวค่ะ เบื่อตายเลย แล้วนอนอยู่บ้านสบาย ๆ นะ อาทิตย์ละ 7 วัน เดือนละ 30 วัน ปีละ 365 วัน โห อีกกี่ปีกว่าจะตาย แล้วถ้าเราไปไหนมาไหนได้นะ ไปดีกว่า ไปดูนั่นดูนี่ แม้แต่…เดินเมืองไทยก็ยังดีนะ มีอีกตั้งหลายจังหวัดที่เรายังไม่ได้ไป
The People: อะไรที่ทำให้ป้าแป๋วมีพลังในการเดินทางคนเดียวได้ขนาดนี้ เพราะจริง ๆ สมัยนี้ก็มีทัวร์เยอะขึ้น
กาญจนา: ไปกับทัวร์มันก็ไม่จุใจนะ เราไปเอง เราก็จะเป็นมีความเป็นอิสระเนาะ อยากจะไปไหนมาไหน บางทีก็ไม่ได้มีสาระอะไรหรอกนะ ไปเดินดูนั่นดูนี่ เดินหาอะไรกินบ้างอะไรตามประสาอะไรอย่างนี้ค่ะ เป็นแบบนั้นค่ะ
The People: เป็นอิสระมากกว่า
กาญจนา: เป็นอิสระมากกว่านะ บางทีก็ไปเดินตลาดดูอาหารท้องถิ่น ดูผู้คนอะไรอย่างนี้ แค่นั้นแหละ ไม่ได้ว่าจะต้องไปเรื่องใหญ่โตอะไร เป็นการใช้เวลา
The People: คิดว่าในการเดินทางแต่ละครั้ง ป้าแป๋วคิดว่าการเดินทางของเรามันสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือมอบแรงบันดาลใจให้กับคนที่ติดตามยังไงบ้าง
กาญจนา: ป้าแป๋วไม่ได้มองใหญ่ขนาดนั้นนะ มันเป็นเรื่องของประโยชน์กับตัวเรามากกว่านะ เพราะว่าเราก็เหมือนเป็นมนุษย์ตัวเล็ก ๆ นะในสังคมคนนึงนะ เราก็แค่ว่าเราจะทำชีวิตของเราให้ไม่เหงา แล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรทำได้ยังไงนะ หาความสุขให้ตัวเองอะไรประมาณนี้นะคะ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ ค่ะ เพราะบางทีเนี่ยอยู่เฉย ๆ เนี่ยนะ สมองมันก็ไม่ได้ทำงานนะน้องเบล การไปเที่ยวการไปนั่นนี่ เราก็สมองก็ได้ทำงานนะ ไปเดินนั้นเดินนี่ก็เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วยนะ แล้วก็ไปหาอะไรกินไปอะไรอย่างนี้ มันก็เปลี่ยนบรรยากาศในการใช้ชีวิตค่ะ แล้วก็กลับมาบ้านเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้คิดว่าจะกระทบอะไรยังไงกับใคร
ป้าแป๋วก็คิดว่าถ้าสมมุติว่ามันการใช้ชีวิตของเรามันมีผลกับคนอื่นนะ ป้าแป๋วก็คิดก็อยากจะบอกเขาเหมือนกันว่า เออ เราก็ยังมีแรงนะ เกษียณแล้วไม่ใช่ว่าหยุดทุกอย่างอยู่ตรงนั้นนะ เรายังมีพลังงานที่จะใช้ได้อีกหลายอย่าง ไปไหนมาไหนก็ได้ ไม่ต้องรอให้ใครพาไป ถ้าเราไปเองได้ เราก็ไปเองดีกว่าอะไรอย่างนี้นะ แม้แต่บางคนในกรุงเทพฯ ก็ยังไม่ได้ออกไปไหนคนเดียวนะ อู้ย มีตั้งหลายที่ที่เราอยากจะไปนะ ไปวัดพระแก้ว ไปเยาวราชไปหาอะไรกิน ไปดูวัดนั่นนี่โน่น หรือว่าชอบอะไรสไตล์ยังไงก็ไปได้ ชีวิตมันก็จะไม่เฉาค่ะ สำหรับคนวัยเกษียณนะ
The People: ตั้งแต่เดินทางครั้งแรกจนมาถึงปัจจุบัน ป้าแป๋วคิดว่ามุมมองที่เรามีต่อผู้คนเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
กาญจนา: ป้าแป๋วว่ามันก็เปลี่ยนไปเหมือนกันนะ ถ้าคนที่ไปรู้โลกกว้าง เราก็จะมองอะไรที่มันกว้างขึ้นนะ ไม่ได้ fix ว่าจะต้องอย่างนี้ ๆ อะไรอย่างนี้ ก็จะเข้าใจมนุษย์คนอื่นมากขึ้นอะไรอย่างนี้ อ๋อ ฝรั่งเขาเป็นแบบนี้เอง เขาคิดแบบนี้เอง แล้วก็คนบ้านทางเอเชียเราจะเป็นแบบนี้นะ คิดแบบนี้อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันต่างกันอยู่แล้ว ทางตะวันตกกับทางตะวันออกของเราเนี่ย วิธีคิดมันก็ต่างกันอยู่แล้ว เราก็จะเข้าใจเนาะ ไม่ได้จำเป็น you ต้องคิดแบบนี้ มันไม่ใช่แบบนี้นะคะ จะเข้าใจมากขึ้นค่ะ เข้าใจคนอื่นมากขึ้น
The People: ชีวิตของตนเองจนถึงตอนนี้ใช้คุ้มแล้วหรือยัง หรือว่ามีอะไรที่อยากจะทำอีกไหม
กาญจนา: ใช้คุ้มหรือยัง ป้าแป๋วคิดว่ามันเกินคุ้มแล้วเนาะ เพราะว่าภาพของคนเกษียณในอดีตของป้าแป๋วนะ ก็จะเป็นภาพของคนที่เกษียณแล้วก็มาอยู่บ้าน ไปวัด ไปสวน หรือเลี้ยงหลานก็มีอยู่แค่นี้นะคะคนในวัยนั้นนะคะ เป็นภาพที่ป้าแป๋วเห็นจนชินตาอะไรอย่างนี้นะ แต่พอถึงตัวเราเอง เราก็มาเป็นแบบนี้ เราก็ได้ทำอะไรที่เราอยากจะทำ มันก็ ป้าแป๋วคิดว่ามันคุ้มแล้วแหละ จะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่เสียดายแล้วล่ะ
The People: แสดงว่าไม่มีช่วงเวลาไหนของชีวิตเลยที่อยากจะกลับไปแก้ไข
กาญจนา: คือป้าแป๋วเนี่ยจะเป็นเด็กบ้านนอกนะ เกิดในช่วงที่เรียกว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คนรุ่น Baby Boomer นะ ยุคนั้นเนี่ยน้ำประปายังไม่มี ไฟฟ้าก็ติด ๆ ดับ ๆ ถนนก็ยังเป็นลูกรังอยู่นะ มากรุงเทพฯ เนี่ยอะไรอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นเรื่องความลำบากนี่มันเป็นอะไรที่มันเป็นปกติของคนในวัยนี้อยู่แล้วนะ ไม่ได้มีความสะดวกสบายอะไรยังไงเลย
แล้วก็ของป้าแป๋วนี้จะเป็นลักษณะที่ว่าเป็นเด็กบ้านนอก แล้วก็มีพี่น้องหลายคน 6 คนน่ะ พ่อรับราชการคนเดียว ก็ถือว่าเป็นความลำบากนะ เป็นเด็กที่ลำบากนะ สมัยเด็ก ๆ นะ เพราะฉะนั้นชีวิตไม่มีโอกาสที่จะออกนอกแถวอะไรเลย เรียนหนังสือเราก็จบ ม.ปลาย นะ ก็ไปเรียนพยาบาล โดยใช้ โดย ต้องเรียกว่านักเรียนทุน คือผูกมัดว่าตอนเรียนไม่ต้อง พ่อแม่ไม่ต้องส่งเสีย แต่ว่าจบมาแล้ว คุณต้องกลับมาทำงานที่ต่างจังหวัดนะอะไรอย่างนี้นะ ก็เป็นชีวิตแบบนี้ หลังจากจบพยาบาลแล้วกลับไปทำงาน ก็ไม่เท่าไหร่ก็แต่งงาน แล้วก็ชีวิตก็เป็นแบบนี้ค่ะ มาเป็นเส้นตรงอะไรมาตลอดเลย
เพราะฉะนั้นโอกาสจะออกนอกลู่นอกทาง หรือจะอะไรทำอะไรผิดพลาด ป้าแป๋วคิดว่าน้อยนะ ป้าแป๋วจะเป็นคนที่ค่อนข้างรับผิดชอบนะ จะเป็นคนลักษณะแบบนี้ เรียนไม่เก่งแต่ว่าเป็นคนตั้งใจค่ะ แล้วก็ไม่ ตั้งใจคิดว่าจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังอะไรอย่างนี้ประมาณนี้ เพราะว่าเรายังมีภาระมีน้องอะไรที่ต้องดูแลอะไร มีบ้าน มีครอบครัวที่เราต้องดูแลอะไรประมาณนี้ค่ะ เพราะฉะนั้นก็ดูแล้วเนี่ย นึกย้อนไปก่อนนะมีอะไรที่อยากจะแก้ไขไหม ก็ดูแล้วก็ไม่มีนะ คิดว่าที่ผ่านมาก็ทำเต็มที่อะไรอย่างนี้นะคะ