ความสำคัญทางเศรษฐกิจสังคมของ ‘พื้นที่รับน้ำ’ ย่านบางบาล พระนครศรีอยุธยา

ความสำคัญทางเศรษฐกิจสังคมของ ‘พื้นที่รับน้ำ’ ย่านบางบาล พระนครศรีอยุธยา

‘พื้นที่รับน้ำ’ วาทกรรมที่ทำให้บ้านเรือน ผู้คน และพื้นที่ประวัติศาสตร์นอกเกาะเมืองอยุธยาถูกมองข้ามความสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

KEY

POINTS

บทความนี้ชวนมองใหม่ต่อย่านบางบาลและพื้นที่ที่รัฐมักเรียกว่า ‘พื้นที่รับน้ำ’ วาทกรรมที่ทำให้บ้านเรือน ผู้คน และพื้นที่ประวัติศาสตร์นอกเกาะเมืองอยุธยาถูกมองข้ามความสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม การปล่อยให้น้ำท่วมยืดเยื้อหลายเดือนจึงไม่ใช่แค่ปัญหาเชิงเทคนิคการจัดการน้ำ แต่คือผลลัพธ์ของวิธีคิดที่ยึดติดกับภาพอยุธยาในอดีตมากกว่าจะเห็นชีวิตจริงในปัจจุบันของผู้คนกว่าแสนชีวิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านี้

‘พื้นที่รับน้ำ’ นี้ท่านได้แต่ใดมา?

ดูจากคำให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับน้ำท่วมช่วงนี้ ทั้งโดยหน่วยงานเกี่ยวข้องโดยตรงอย่างกรมชลประทาน จนถึงล่าสุดความเห็นของ สว.ผู้ทรงเกียรติ ต้องขอบอกว่าเหนื่อยใจ เพราะทั้งหมดนั้นพูดไปในทำนองเดียวกันว่า การปล่อยให้น้ำท่วมทุ่งที่อยุธยา อ่างทอง สุพรรณบุรี และพื้นที่ข้างเคียงมากว่า ๔ เดือน เข้าเดือนที่ ๕ ไปแล้วนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง จำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำนองว่าชาวบ้านเหล่านี้ต้องเสียสละ (อีกแล้วครับ ท่าน)

พื้นที่ที่โดนหนักมากและเป็นที่พูดถึงกัน เพราะชาวบ้านไปรวมตัวกันปิดถนน ก็คือย่านบางบาล อยุธยา บ้างก็ถึงกับโวยวายผ่านสื่อมวลชนว่า “พวกเราไม่ใช่ลูกหลานพระยานาคนะโว้ย” ทั้ง ๆ ที่มีภาพข่าวเผยแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่องว่า บริเวณที่น้ำท่วมนั้นเต็มไปด้วยบ้านเรือนราษฎร ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนไม่ได้รับความเหลียวแล แต่ก็ไม่มีกรณีไหนที่ออกจะชัดเจนและสะท้อนมุมมองวิธีคิด ตลอดจนความรู้ของผู้มีอำนาจไทยในปัจจุบันมากเท่านี้มาก่อนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เกี่ยวกับ ‘อยุธยา’ ที่ยังคงยึดติดอยู่กับวาทกรรม ‘พื้นที่รับน้ำ’

พวกเขายังเชื่อว่าอยุธยามีทุ่งรับน้ำ ที่เมื่อปล่อยน้ำจากเขื่อนลงมาแล้ว น้ำจะกระจายเข้าไปสู่ท้องทุ่งอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีบ้านเรือนคนอยู่อาศัย

ความรู้และวาทกรรมนี้มีที่มาจากไหน อย่างไร ไม่ใช่ความรู้โบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามแบบที่ผู้คนมักจะเชื่อ เพราะอะไร ๆ ที่เกี่ยวกับอยุธยา เป็นต้องลากไปหายุคกรุงศรีอยุธยาหมด เสมือนหนึ่งว่า อยุธยายังคงเป็นแบบในประวัติศาสตร์ ๔๑๗ ปีนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง กลายเป็นว่าชาวบ้านต้องมาเสียสละ ต้องโดนน้ำท่วมบ้านเรือนตัวเอง เพื่อประวิงไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯ และเบี่ยงทางน้ำไปแม่น้ำท่าจีนกับบางปะกงแทน

เป็นความเสียสละที่เปล่าประโยชน์ เงินชดเชย ๙ พัน หรือกี่หมื่นก็ไม่อาจเยียวยาได้ (มีผู้เสียชีวิตนับสิบแล้วด้วยซ้ำ) เป็นความเสียสละที่ ‘เปล่าประโยชน์’ ชาวบ้านที่โดนน้ำท่วมแทนคนที่กรุงเทพฯ ไม่ได้รับการมองในฐานะ ‘ผู้เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง’

ระหว่าง ‘วัดไชยวัฒนาราม’ กับ ‘วัดเชิงท่า’

ผู้มีอำนาจพูดกันราวกับพื้นที่ที่โดนน้ำท่วมอยู่นี้ไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจสังคม เนื่องจากอยุธยาเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์สำคัญ พอไปถามหน่วยงานศิลปากร ก็ให้คำตอบไม่ต่างกัน อันที่จริงก็เห็นแล้วจากแผนการจัดการป้องกัน กรมท่านเลือกบางแห่ง เช่น วัดไชยวัฒนาราม แต่ปล่อยให้อย่างวัดเชิงท่าและวัดอื่น ๆ อยู่กับน้ำกันไป ก็ไม่รู้ว่า กรมท่านเอาเกณฑ์อะไรมาพิจารณาตัดสินว่า โบราณสถานวัดใดควรได้การปกป้อง วัดใดต้องปล่อยให้จมน้ำไปตามยถากรรม

อย่างวัดเชิงท่าที่ถูกละเลย จริง ๆ ก็เป็นวัดสำคัญไม่ต่างจากวัดไชยวัฒนาราม เป็นวัดเก่าสมัยอยุธยา มีปรางค์โดดเด่นสวยงามไม่แพ้กัน แถมมีกลุ่มสถูปเจ้านาย และอยู่ใกล้ชิดติดกับพระบรมมหาราชวัง แค่คนละฝั่งตรงข้ามคลองกันเท่านั้น ยังไม่นับกับที่เป็นวัดชื่อเดียวกับวัดของสำนักพระอาจารย์ทองดี ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้มาบวช ศึกษาเล่าเรียน วัดเชิงท่ายังเป็นวัดสำคัญที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยราชสำนักสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๔

ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก วัดเชิงท่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 

ขณะที่วัดไชยวัฒนารามมีประวัติเรื่องราวก็ในสมัยอยุธยารัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง หลังจากนั้นก็เงียบไป มีงานโบราณคดีพยายามชี้ให้เห็นว่าปรางค์วัดไชยวัฒนารามส่งอิทธิพลทางรูปแบบมาจนถึงปรางค์วัดอรุณราชวราราม แต่แล้วไงล่ะ ปรางค์วัดอื่น ๆ ก็ส่งผลอิทธิพลรูปแบบศิลปกรรมมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ทั้งนั้นแหละ

ที่หยิบยกมานี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ปัญหาการจัดการน้ำก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญก็คือมุมมองความรู้และวาทกรรมที่ไปกำกับวิธีคิด กำกับหลักปฏิบัติให้แก่ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำในสังคมไทยเรา มีปัญหาอย่างมากอย่างไร ทำไมเห็นค่าอีกสิ่ง แต่ละเลยอีกมหาศาล และไม่รู้ว่าใช้เกณฑ์อะไร แค่เพราะวัดไชยฯ เป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวไปแต่งกายชุดไทยถ่ายรูปกันมากอย่างนั้นหรือ?

ความสำคัญของย่านบางบาล อยุธยา

ย่านบางบาล อยุธยา หรืออำเภอบางบาล พื้นที่แกนกลางของสิ่งที่ผู้มีอำนาจท่องกันว่า ‘พื้นที่รับน้ำ’ หรือ ‘ทุ่งรับน้ำ’ นี้ก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ แล้ว เราจะเห็นได้ว่าพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องมาโดยตลอดคือ เกาะเมืองอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลก และพื้นที่หลักของประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา คำถามคือแล้วพื้นที่รอบนอกล่ะ? ไม่ใช่พื้นที่ประวัติศาสตร์อย่างนั้นหรือ? ย่านบางบาล ผักไห่ เสนา บางปะหัน บางไทร บางซ้าย ลาดบัวหลวง วังน้อย หรือแม้แต่ย่านอย่างบางปะอิน ซึ่งมีพระราชวังตั้งอยู่ อยู่ตรงไหนในแง่มุมดังกล่าวนี้?

แล้วเอาอะไรมามั่นหน้ามั่นโหนกกันว่า การปล่อยให้พื้นที่เหล่านี้รับน้ำไปเต็ม ๆ แล้ว กรุงเทพฯ จะรอดพ้น ในเมื่อก็เห็นแล้วว่ากรุงเทพฯ ก็เริ่มท่วมในบางจุดแล้วเหมือนกัน

แล้วใครก็ตามที่บอกว่า ย่านอย่างบางบาลไม่ใช่พื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ก็รู้เลยว่าสอบตกประวัติศาสตร์อยุธยา เพราะบางบาลในอดีตคือย่านเกาะมหาพราหมณ์ ปรากฏในพระราชพงศาวดารอยู่หลายตอนด้วยกัน

เริ่มจากเป็นชุมทางติดต่อระหว่างอยุธยากับวิเศษไชยชาญ สุพรรณบุรี กาญจนบุรี จึงเป็นเหตุให้มีคนจากแถบหัวเมืองดังกล่าวเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำมาค้าขายกันมาก เกิดเป็นฐานกำลังคนที่สนับสนุนราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์ซึ่งครองราชย์ในอยุธยายาวนานที่สุดถึง ๑๖๐ ปี ก่อนจะสลายตัวไปเพราะการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๑๑๒

เมื่อเป็นฐานกำลังคนให้กับราชวงศ์สุพรรณภูมิก็จะเห็นได้ว่าเมื่อกษัตริย์บางพระองค์ เช่น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิมีเรื่องถูกกบฏโจมตี พระองค์ก็ถอยหนีมาตั้งหลักที่เกาะมหาพราหมณ์ รวบรวมคนกลับไปยึดบัลลังก์คืนได้สำเร็จ

แม้ราชวงศ์สุพรรณภูมิจะสูญสิ้นอำนาจไปในช่วงหลัง ราชวงศ์สุโขทัยสืบอำนาจต่อมา บริเวณที่สมเด็จพระนเรศวรรวบรวมคนไปต่อสู้กับพม่า ที่หนึ่งที่ได้คนไปเป็นอันมาก ก็คือย่านเกาะมหาพราหมณ์ สะท้อนว่า เกาะมหาพราหมณ์ยังคงเป็นแหล่งกำลังคนให้แก่อยุธยาสืบต่อมา

เกาะมหาพราหมณ์ยังเป็นย่านที่เคยมีโรงเรียนสามเณรลาย คือโรงเรียนคริสต์ สอนและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ขยายมาจากโรงเรียนคริสต์ที่โบสถ์เซนต์ยอแซฟ ข้างชุมชนบ้านญวนและวัดพุทไธสวรรย์

อีกสิ่งอย่างที่สะท้อนความสำคัญทางเศรษฐกิจสังคมของบางบาลอย่างมาก ก็คือบางบาลมีวัดขนอน เป็นที่ตั้งของหนึ่งในด่านขนอนหลวง ๔ ทิศของกรุงศรีอยุธยา คือ (๑) ทิศเหนือ ด่านขนอนหลวงบางลาง (ในอำเภอบางปะหัน ปัจจุบัน) (๒) ทิศใต้ ด่านขนอนหลวงวัดโปรดสัตว์ ที่ย่านบางปะอิน (๓) ทิศตะวันออก ด่านขนอนหลวงบ้านข้าวเม่า ที่วัดโกโรโกโส (ในอำเภออุทัย ปัจจุบัน) และ (๔) ด่านขนอนหลวงที่วัดขนอน (ในอำเภอบางบาล ปัจจุบัน)

คำว่า ‘ด่านขนอนหลวง’ เป็นชื่อเรียกด่านทางสำหรับใช้เป็นที่เก็บภาษีอากร คนเดินทางแล่นเรือผ่านไปมา รวมถึงการกวดขันโจรผู้ร้าย มีนายอากรขนอนหลวงกำกับดูแล ขึ้นตรงต่อพระคลังสินค้า แล้วอย่างนี้จะบอกว่าไม่ใช่สถานที่สำคัญทางเศรษฐกิจของกรุงศรีอยุธยาได้อย่างไร ตรงข้ามเลยเป็นที่รู้กันว่า ระบบด่านขนอนหลวงเป็นวิธีการสร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมที่เหล่าบรรดาเมืองท่าทั้งหมดในอุษาคเนย์ใช้กันสืบมากจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์

ถ้าลองจุดธูปกราบทูลถามสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ว่าระหว่างวัดไชยฯ กับด่านขนอนหลวง ถ้าต้องเลือกโปรเทคที่ใดแล้ว จะทรงเลือกอะไร ถ้าไม่มีด่านขนอนหลวง แล้วที่ไหนเลยพระองค์จะมีความมั่งคั่งมากพอแก่การว่าจ้างช่างไปทำวัด

หรือหากจะมองมาที่สมัยพระเจ้าท้ายสระ ที่คนชื่นชอบกัน เพราะมีทำเป็นหนังละคร ย่านบางบาลก็เป็นพื้นที่สำคัญที่เมื่อพบว่าผู้คนโรยรา คนลดจำนวนลง ก็พอดีกับที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นที่กัมพูชา เป็นเหตุให้เกิดมีคนชาวกัมพูชาอพยพลี้ภัยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระเจ้าท้ายสระก็ได้มีพระบรมราชานุญาตให้คนชาวกัมพูชาเหล่านั้นมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในย่านบริเวณนี้ ชดเชยกับกำลังคนที่โรยราไปนั้น ก็คือราชสำนักอยุธยาไม่ยอมให้พื้นที่ว่างคน เพราะเป็นย่านด่านขนอนหลวงประจำทิศตะวันตกของกรุงศรีอยุธยานั่นเอง

ทำไมเป็น ‘อำเภอบางบาล’ ไม่เป็น ‘อำเภอมหาพราหมณ์’

ทั้งที่คำว่า ‘เกาะมหาพราหมณ์’ เป็นชื่อสำคัญของย่าน แต่เมื่อจัดตั้งเป็นอำเภอทำไมใช้ชื่อว่า ‘บางบาล’ เรื่องนี้ผู้เขียนเคยสงสัย เพราะในหมู่นักศึกษาที่ผู้เขียนเคยสอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอยุธยา หลายคนมีนามสกุลว่า ‘บางบาล’ ก็เลยสงสัยใคร่รู้ว่า ทำไมมีคนชื่อเดียวกับชื่ออำเภอ ประกอบกับความสงสัยที่มีอยู่เดิมว่า ทำไมเป็น ‘อำเภอบางบาล’ ไม่เป็น ‘อำเภอเกาะมหาพราหมณ์’ หรือ ‘อำเภอมหาพราหมณ์’ ตามชื่อโบราณกรุงศรีอยุธยา

ค้นไปค้นมา ก็พบว่า เดิมในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยุคมณฑลกรุงเก่า ตั้งเป็นอำเภอเรียกว่า ‘อำเภอผีมด’ เพราะที่ว่าการอำเภอไปตั้งอยู่บริเวณบ้านดอนผีมด ต่อมาในช่วงหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ยกเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลแล้วจึงมีการพิจารณาย้ายที่ว่าการอำเภอ (ผีมด) มาที่บริเวณย่านเกาะมหาพราหมณ์เพราะอยู่ใกล้กับเกาะเมืองอยุธยา เดินทางสะดวกกว่าบ้านดอนผีมดที่อยู่เหนือขึ้นไปตามลำน้ำ

เดิมทีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) สมัยนั้นเป็น รมต.มหาดไทยในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ก็พิจารณาจะใช้ชื่อว่า ‘อำเภอมหาพราหมณ์’ แต่เมื่อนายเขียว บางบาล บริจาคที่ดินให้สำหรับตั้งเป็นที่ว่าการอำเภอ ปรีดี พนมยงค์ กับ พระยาพหลฯ จึงได้ให้ใช้อำเภอนี้ว่า ‘อำเภอบางบาล’ เพื่อเป็นเกียรติแก่นายเขียว บางบาล

‘อำเภอบางบาล’ เลยเป็นอำเภอแรกนับแต่การอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ที่ตั้งตามนามสกุลสามัญชน นั่นเพราะรัฐบาลสมัยคณะราษฎรมีวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นความสำคัญของบทบาทสามัญชนและคนในละแวกย่านดังกล่าวนี้

แต่ไม่ได้เปลี่ยนชื่ออย่างอื่นที่ใช้มาแต่เดิม จึงมีคลองชื่อ ‘คลองมหาพราหมณ์’ เป็นคลองสำคัญในย่าน ‘วัดเกาะมหาพราหมณ์’ ซึ่งเป็นวัดร้างไปแล้วตั้งแต่ในสมัยนั้น สิ่งอันเป็นศูนย์กลางในย่านสมัยนั้นได้เปลี่ยนมาเป็น ‘พระศรีอาริย์’ พระพุทธรูปสำคัญที่วัดแจ้ง ผู้คนนิยมเรียก ‘พระศรีอาริย์วัดแจ้ง’ หรือ ‘พระศรีอาริย์บางบาล’

พระศรีอาริย์บางบาลนี้มีพุทธลักษณะอย่างเดียวกับพระศรีอาริย์วัดพนมยงค์และวัดศาลาปูน ซึ่งต่างก็เป็นวัดสำคัญในประวัติภูมิหลังของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ในทศวรรษ ๒๔๗๐

พระพุทธรูปพระศรีอาริย์ นับเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่เป็นขวัญกำลังใจแก่ชาวนาในภาคกลางอย่างยิ่ง เพราะในเวลานั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำระดับโลก (Great depression) เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงทั่วหน้า รัฐบาลรัชกาลที่ ๗ ไม่สามารถแก้ไขวิกฤติดังกล่าวนี้ได้ จึงนำไปสู่การอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ดังที่ทราบกัน

อำเภอบางบาลในช่วงหลัง ไม่เหมาะจะใช้เป็น ‘พื้นที่รับน้ำ’ อีกต่อไปแล้ว

เมื่อตั้งเป็นอำเภอบางบาล ก็มีความเจริญขึ้นตามลำดับ เป็นย่านตลาดการค้า มีบ้านเรือนราษฎรตั้งเรียงรายกันหนาแน่น คลองกระจายน้ำที่เคยมีมาก ก็ถูกถมเอาที่ดินไปทำประโยชน์กันหมด พื้นที่ทุ่งนาเปล่าเปลี่ยว ที่รกร้าง ไม่มีแล้ว ในปัจจุบัน ไม่เชื่อลองไปดูด้วยตาตัวเองก็จะเห็น

ความจริงข้อนี้ ทุ่งนาที่พอเหลืออยู่ก็มีน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่ชุมชน และการที่ที่นาเสียหาย จะมามองว่าเป็นสิ่งที่ไม่กระทบเศรษฐกิจกันไปได้อย่างไร

อาชีพโบราณที่คนย่านนี้ยังคงรักษาไว้กันมาก มี ๒ อย่าง คือการทำอิฐ กับ ทำไม้แปรรูป

การทำอิฐ ก็อิฐอย่างที่เรียกว่า ‘อิฐแดง’ หรือ ‘อิฐมอญ’ นั่นแหละ เป็นอิฐมวลเบา ราคาถูก แต่แข็งแรง อิฐทำจากบางบาลนี้มีชื่อเสียงมาก ส่งออกไปขายทั่วประเทศ อิฐตามวัดวาอาราม แม้แต่อิฐที่กรมศิลปากรใช้บูรณะโบราณสถาน ก็อิฐเดียวกันนี้เพราะกระบวนการทำอิฐยังเป็นแบบโบราณ ทำด้วยมือ แต่น้ำท่วม โรงทำอิฐก็เสียหายยับเยินไปอีกเหมือนกัน

การทำไม้แปรรูป ก็เป็นงานช่างหัตถกรรมชั้นเลิศ และมีแบบทำเป็นโรงงานก็หลายแห่งในอำเภอนี้ งานไม้บางบาลส่งออกไปขายทั่วประเทศเช่นกัน เพราะความมีชื่อเสียงของงานช่างฝีมือ และความชำนาญการทำไม้ของคนในย่าน เป็นอาชีพเก่าแก่อีกอาชีพหนึ่งที่คนในย่านบางบาลยังนิยมทำกันอยู่ น้ำท่วมก็ทำให้เศรษฐกิจการทำไม้ชนิดนี้เสียหายไปไม่รู้ตัวเลขมูลค่าเศรษฐกิจอีกเหมือนกัน

ไหนจะเรื่องที่บริเวณย่านนี้เป็นชุมทางการค้าสำคัญระดับภูมิภาค เอาอะไรมาบอกว่า การที่น้ำท่วมบริเวณนี้จะไม่กระทบเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับประเทศ?

ประเด็นก็คือพื้นที่ไหนที่มีคนอยู่ก็ล้วนสำคัญทั้งนั้นแหละ การปล่อยให้ที่หนึ่งอยู่กับน้ำ ด้วยวาทกรรมลวงว่าที่นั้นที่นี่เป็น ‘พื้นที่รับน้ำ’ ‘ทุ่งรับน้ำ’ หรือ “เราเป็นเมืองน้ำ” เป็น ‘ชาวน้ำ’ ล้วนแต่ไม่ควรทำ เพราะนั่นเขาไม่เรียกว่า ‘การจัดการน้ำ’ เขาเรียกว่า ‘การสร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม’

อยุธยาแต่ละโซนพื้นที่ล้วนมีพัฒนาการความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่มีแต่ทุ่งนาโล่ง ๆ ไว้รอพม่ายกมารบกัน เหมือนในภาพฝันที่ได้จากแบบเรียนประวัติศาสตร์เก่า ๆ เชย ๆ ปัจจุบัน คนอยุธยาไม่ได้ปลูกบ้านแบบยกพื้นสูง ทรงเรือนไทย มีเรือพายไว้ใต้ถุน เขาอยู่กันบ้านปูน บ้านไม้ มีไฟฟ้า เหมือนอย่างคนภาคอื่น

มันไม่ควรมีที่ไหนสำคัญกว่าที่อื่น ทุกที่ล้วนแต่เป็นพื้นที่สำคัญด้วยกันทั้งนั้นแหละ

น้ำไม่ผิด แต่คนคิดผิด ต้องคิดใหม่!

 

เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์

ภาพ: แฟ้มภาพน้ำท่วมในอำเภอบางบาล ศูนย์ภาพเครือเนชั่น

 

อ้างอิง:

  กําพล จําปาพันธ์. อยุธยา: จากสังคมเมืองท่านานาชาติสู่อมรดกโลก. กรุงเทพฯ: มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๙.

  คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง. นนทบุรี: โครงการจัดพิมพ์เอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๕.

  จดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม. แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๕๒.

  พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๕๓.

  พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนฯ. กรุงเทพฯ: โฆสิต, ๒๕๔๙.

  ส. พลายน้อย (สมบัติ พลายน้อย). แม่น้ำลำคลอง. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๕.

  อภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๕.