12 ต.ค. 2568 | 18:55 น.
KEY
POINTS
(๑) จากอยุธยาถึงหัวเมืองปักษ์ใต้
‘หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้’ หรือที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักกันในสมญานามว่า ‘หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด’ เกิดเป็นประเด็นดราม่ากันขึ้นมา เมื่อมีการถกเถียงเรื่องพระแท้-พระเทียม เพราะพระหลวงพ่อทวดเป็นพระเครื่องที่เป็นที่นิยม
ออกจากเรื่องพระเครื่อง เฉพาะเรื่องของหลวงพ่อทวดก็มีประเด็นถกเถียงอื่น ๆ กันมามาก ตั้งแต่ประเด็นว่ามีตัวตนในประวัติศาสตร์จริงหรือเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่า โดยที่พรมแดนของเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อทวด ตลอดจนคุณอภินิหาร ที่รู้จักกันมักจะเป็นเรื่องทางแถบหัวเมืองปักษ์ใต้แถบนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และปัตตานี
แต่ทั้งนี้ประวัติเรื่องราวที่ปรากฏในตำนานหลวงพ่อทวดนั้น อันที่จริงไม่ได้มีขอบเขตพื้นที่อยู่แต่ที่หัวเมืองปักษ์ใต้ สถานที่ที่มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อทวดยังมีอีกที่หนึ่ง อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครอันเป็นที่รัก (และชัง) ของพวกเราทั้งหลายนี่เอง คือที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือก็คือ “อยุธยากรุงเก่าของเราแต่ก่อน” นั่นแหล่ะ
บทความนี้ไม่ได้ตั้งเป้าจะมาถกเถียงเรื่องพระเครื่องหลวงพ่อทวด แท้หรือเทียม จริงหรือปลอม รวมถึงไม่ได้จะมาถกเถียงประเด็นปัญหาเรื่องใหญ่ที่ว่า หลวงพ่อทวดองค์นี้มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่จริงในประวัติศาสตร์ หากแต่จะพาไปรู้จักกันตำนานเรื่องเล่าหลวงพ่อทวดในอีกสถานที่หนึ่ง คือที่อยุธยากรุงเก่า
(๒) ‘หลวงพ่อ (ปู่) ทวด’ มาอยู่ที่อยุธยาได้อย่างไร?
ถ้าใครขับรถออกจากกรุงเทพฯ ไปตามถนนสายเอเชีย ผ่านเซ็นทรัลอยุธยา เลยแยกบางปะหัน-อ่างทอง ขึ้นเหนือไป แต่ยังไม่ถึงสิงห์บุรี ยังไม่พ้นเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถ้าถึงเขตอำเภอมหาราช จะเห็นพระองค์โต ๆ เมื่อแรกเริ่มเดิมทีองค์หลวงพ่อเป็นสีดำทมึน ต่อมาไม่นานนี้ได้ทาสีใหม่เป็นสีเหลืองทอง แลเห็นแต่ไกล เพราะสร้างสูงใหญ่โตกว่าสิ่งก่อสร้างอื่นใดในละแวกย่าน พระองค์โตองค์นั้นคือ ‘หลวงพ่อทวด’ นี่แหล่ะ และบริเวณดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกว่า ‘พุทธอุทยานมหาราช หลวงปู่ทวด’
โดยทั่วไปเราอาจจะคุ้นชินกับคำเรียก ‘หลวงพ่อทวด’ ตามความนิยมเรียกของคนปักษ์ใต้ แต่สำหรับคนอยุธยา จะนิยมเรียก ‘หลวงปู่ทวด’ หมายถึงพระภิกษุองค์เดียวกัน (ผู้เขียนขลุกอยู่กับเอกสารโบราณทุกชนิดมาตั้งแต่หนุ่มผมดำจนจะหงอกหมดหัวอยู่แล้ว ไม่เคยเห็นว่าในอดีตเมื่อก่อน ๕๐ ปีที่แล้ว จะใช้สรรพนาม ‘รูป’ เรียกพระภิกษุสงฆ์ แต่ไหนแต่ไรมา มีแต่ใช้ ‘องค์’ เรียกมาทั้งนั้น ราชบัณฑิตภาษาไทยท่านเข้าใจอะไรผิดเพี้ยนกันมายังไง ทำไมถึงได้มากำหนดให้ใช้คำว่า ‘รูป’ เป็นสรรพนามแทน อันนี้ยาว ไม่ขอเล่า เอาเป็นว่าสำหรับในบทความ ผู้เขียนขออนุญาตใช้ให้ถูกตามเดิมล่ะกันนะขอรับ)
‘พุทธอุทยานมหาราช หลวงปู่ทวด’ ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ประมาณ ๒๐๐ ไร่ อยู่ในความดูแลของวัดวชิรธรรมารามและมูลนิธิพระเทวราชโพธิสัตว์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานทำเป็นตลาดโบราณสำหรับชาวบ้านตำบลบ้านใหม่ได้มาออกร้านค้าขายสินค้าท้องถิ่น โดยความตั้งใจของการสร้างที่นี่เพื่อเป็นจุดแวะพักรถของผู้คนที่เดินทางด้วยถนนสายเอเชีย ตลอดจนเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแก่ประชาชนในท้องถิ่น ส่งเสริมพุทธศาสนาไปด้วยในตัว
โครงการอุทยานนี้ได้เริ่มต้นตั้งแต่พ.ศ.๒๕๕๔ โดยในช่วงปีก่อนหน้านั้นได้มีข่าวเป็นระลอกในอยุธยา ว่าจะมีโครงการสร้างพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลงบันทึกในกินเนสบุ๊ค สมัยนั้นใคร ๆ ได้รับรู้รับฟังก็ยังอดขำกันไม่ได้ เพราะบันทึกอย่างกินเนสบุ๊คนั้นเป็นบันทึกฝรั่ง เขาไม่ทำพระเยซูมาแข่งกับเราหรอก มันคนละจักรวาลกันยิ่งกว่ามาร์เวลกับดีซี และหลายคนก็ไม่เชื่อ เนื่องจากมีโครงการใหญ่หลายโครงการมากในอยุธยา ที่พอถึงเวลาจริงก็ทำไม่ได้อย่างที่คุยโม้กันไว้ ตอนนั้นใคร ๆ ต่างก็คิดว่าจะเป็นการสร้างพระพุทธรูป แต่เมื่อถึงปี พ.ศ.๒๕๕๔ โครงการก็เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนว่า ไม่ใช่พระพุทธรูปอื่นใด เป็นรูปประติมากรรมหลวงปู่ทวด
สำหรับคนภายนอกกรุงเก่า ที่ไม่ทราบประวัติตำนานหลวงปู่ทวด ก็อาจจะ “งงในงง” ว่าทำไมอยุธยาจะสร้างของที่ใหญ่โตระดับกินเนสบุคต้องบันทึกใหญ่ที่สุดในโลกนั้นถึงมาทำรูปพระเกจิของทางภาคใต้ ไม่ทำของอยุธยา อยุธยาไม่มีพระเกจิหรือก็เปล่า เพราะที่จริง อยุธยานอกจากเป็นเมืองโบราณอดีตราชธานีอู่ข้าวอู่น้ำแล้ว ยังมีอีกด้านเป็น ‘แดนพระเกจิ’ ไม่เชื่อลองไปที่อำเภอเสนา ที่นั่นมี ‘หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค’ หรือไปที่อำเภออุทัย ก็มี ‘หลวงปู่ดู่ วัดสะแก’ ไหนจะ ‘หลวงพ่อรวย วัดตะโก’ ที่อำเภอภาชีอีก ยังไม่นับเกจิระดับท้องถิ่นแยกย่อยออกไปในแต่ละตำบลอีก ไม่รู้กี่สิบองค์
อย่างไรก็ตาม การสร้างรูปหลวงปู่ทวดที่อยุธยา ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องปราศจากเหตุผลในเชิงประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าในท้องถิ่น ตรงกันข้ามเลย อยุธยาเป็นอีกที่ที่มีตำนานเรื่องเล่าหลวงปู่ทวด ไม่ได้เพิ่งเล่า เล่ากันมานานนมแล้ว ไม่เชื่อลองถามคนเฒ่าคนแก่แถบนั้นดู บางท่านที่ผู้เขียนเคยสอบถาม ก็เล่าด้วยซ้ำไปว่าได้ยินมาจากปู่ย่าของคุณตาคุณยายอีกต่อหนึ่ง สรุปก็คือเล่ากันมาราว ๓-๔ ชั่วอายุคนเลยทีเดียว
และก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะเรื่องเล่าลอย ๆ มีอ้างอิงสถานที่จริง คือ ‘วัดแค’ (ราชานุวาส) ที่เกาะลอย ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา (อยุธยาไม่มีอำเภอเมือง) ฝั่งแม่น้ำตรงข้ามพระราชวังจันทรเกษมที่ตลาดหัวรอ วัดแคที่เกาะลอยนี้คนอยุธยารู้จักกันดี และเรียกกันอย่างลำลองว่า ‘วัดหลวงปู่ทวด’ เพราะเป็นที่ที่มีเรื่องเล่าว่าเป็นวัดที่หลวงปู่ทวดเคยมาจำพรรษาอยู่
วัดแค เกาะลอย เป็นวัดเก่าถึงสมัยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยายังไม่แตก เคยมีซากโบสถ์เก่าชื่อ ‘โบสถ์หลวงปู่ทวด’ เพราะเชื่อกันว่าเป็นโบสถ์ที่หลวงปู่ทวดเคยใช้บริการเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และธุดงค์มาจากนครศรีธรรมราช (เราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า “หนีไปนครศรีธรรมราช” จากตำนานเรื่องเล่าบางฉบับเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แต่ทว่ากรณีหลวงปู่ทวดนั้นเป็นตรงกัน คือ “มาจากนครศรีธรรมราช”)
โบสถ์เก่านี้ผู้เขียนเคยเห็นอยู่ แต่ช่วงหลังไม่เห็นแล้ว เพราะโดนรื้อไป มีการสร้างโบสถ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ คำเรียกว่า ‘โบสถ์หลวงปู่ทวด’ จากเดิมที่ใช้เรียกโบสถ์เก่านั้น ก็เปลี่ยนมาเป็นชื่อเรียกโบสถ์ใหม่ไปด้วย เนื่องจากโบสถ์ใหม่ได้มีการวาดรูปจิตรกรรมเล่าประวัติหลวงปู่ทวดเอาไว้
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า วัดแค เกาะลอย จะเคยเป็นวัดหลวงปู่ทวดมาก่อน เพราะในอยุธยาที่ไหน ๆ ก็มีโบสถ์เก่า อิฐเก่า ได้เป็นปกติ โบสถ์เก่าหลังนั้น พระพุทธรูปบางองค์ รวมทั้งกองอิฐบางส่วนที่เราจะเห็นได้จากในพื้นที่วัดแค เป็นหลักฐานอย่างกว้าง ๆ ยืนยันได้ถึงการเป็นวัดเก่ามีอายุตกถึงสมัยอยุธยาเท่านั้น ไม่สามารถจะเป็นหลักฐานที่เฉพาะเจาะจงยืนยันได้ถึงบุคคลสำคัญท่านใดในอดีตได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมาทิ้งประเด็นว่าที่นี่เคยเป็นที่พำนักของหลวงปู่ทวดไปได้ เพราะมีกรณีอื่นที่สามารถเทียบเคียงกันได้นี้จากเรื่องของ ‘พระอาจารย์สี’ (บางแห่งเขียน ‘พระอาจารย์ศรี’ หมายถึงคนเดียวกัน) ซึ่งก็เป็นพระภิกษุชาวนครศรีธรรมราช ที่ได้มีโอกาสธุดงค์ขึ้นไปยังอยุธยาในสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ตามความในจารึกวัดใหม่ศรีโพธิ์ เดิมพระอาจารย์สีก็อยู่ที่วัดทางเหนือไม่ไกลจากวัดแค เกาะลอย
(๓) ‘พระอาจารย์สี’ ผู้มีตัวตนอยู่จริง แต่ไม่มีตำนานอภินิหาร
ราชสำนักอยุธยามีหลักปฏิบัติให้กลุ่มคนที่มาจากทิศใดก็ตาม ไปอยู่ยังทิศตรงข้ามกับทิศที่มา เช่น ชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนเรศวร และที่อพยพเข้ามาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์และสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ล้วนแต่ให้พวกเขาไปตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะเมืองอยุธยา เพราะเป็นกลุ่มคนมาจากทางทิศตะวันออก (คือกัมพูชา) ชุมชนทางใต้ติดเกาะเมืองอยุธยา อย่างเช่นที่วัดบางกะจะ วัดขุนพรม วัดนางกุย ก็มีร่องรอยพบเจดีย์ล้านนา สะท้อนถึงการที่เคยเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวล้านนาในอยุธยา นั่นก็เพราะว่าชาวล้านนามาจากทางทิศเหนือ ราชสำนักอยุธยาจึงได้ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศใต้ กรณีคนจากหัวเมืองปักษ์ใต้ก็เช่นกัน เมื่อมาอยู่อยุธยา ก็มีธรรมเนียมปฏิบัติให้ไปอยู่ทางทิศเหนือ คือทิศตรงข้ามกับทิศที่จากมา โดยมีเกาะเมืองอยุธยาเป็นศูนย์กลาง
ดังนั้น ถ้ามีพระภิกษุหรือใครก็ตาม เมื่อมาอยู่อยุธยาแล้ว จะต้องได้ไปอยู่ทางพื้นที่ตอนเหนือของเกาะเมืองอยุธยา เช่นที่เกาะลอย หรืออย่างริมคลองสระบัว (อย่างกรณีพระอาจารย์สี) ตอนหลังถึงได้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานบ้านช่อง อยู่คละปะปนกันไปทั่วจนไม่รู้ทิศไหนมาจากทิศไหน อย่างกรณีพระอาจารย์สี เมื่อเข้ามาตอนแรกจำพรรษาอยู่ที่ ‘วัดพรหมกัลยาราม’ (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่วัดใหม่ศรีโพธิ์) ริมคลองสระบัว ทิศเหนือของเกาะเมืองอยุธยา ครั้นพอถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ พระอาจารย์สีได้เลื่อนเป็นพระสังฆราชาฝ่ายใต้ (สมัยอยุธยามีพระสังฆราชาหลายองค์ สยามเพิ่งมีพระสังฆราชองค์เดียวในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา) แล้วก็ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง อยู่ตอนใต้ของเกาะเมือง ครั้นพอเกิดเหตุการณ์พม่าล้อมกรุง ช่วงใกล้จะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ พระอาจารย์สีได้อพยพลี้ภัยกลับไปอยู่บ้านเดิมของท่านที่นครศรีธรรมราช
แล้วพอสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กอบกู้อิสรภาพ ยกทัพไปปราบก๊กเจ้านครหนูที่นครศรีธรรมราช ได้รับชัยชนะถึงได้อาราธนาพระอาจารย์สีกลับมาภาคกลาง อยู่ที่เมืองหลวงใหม่คือกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้พระราชทานสมณศักดิ์พระสังฆราชาคืนให้แก่พระอาจารย์สี พระอาจารย์สีผู้นี้นับว่ามีบทบาทมากในการฟื้นฟูราชอาณาจักร เพราะพระอาจารย์สีเป็นพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ ขึ้นมาจากนครศรีธรรมราชก็ไม่ได้มามือเปล่า เอาพระไตรปิฎกมาให้พระภิกษุที่กรุงธนบุรีได้คัดลอกไว้ศึกษากันด้วย เพราะพระไตรปิฎกที่อยุธยาสูญหายไปแล้วตั้งแต่เมื่อเสียกรุง
แน่นอนว่าพอเป็นพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ที่มีบทบาทสูงในวงการศาสนา ก็ย่อมมีบารมีทางการเมืองมากเช่นกัน ปรากฏว่าเมื่อพ.ศ.๒๓๒๕ ที่มีเรื่องเจ้าพระยาจักรีกับเจ้าพระยาสุรสีห์จะทำการรัฐประหารโค่นล้มสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นั้น พระอาจารย์สีผู้นี้ก็เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนกลุ่มเจ้าพระยาจักรี-เจ้าพระยาสุรสีห์
เอาล่ะ! จะเล่าเรื่องพระอาจารย์สีไว้แต่เพียงเท่านี้ คงพอจะได้เห็นคร่าว ๆ แล้วว่า พระภิกษุสงฆ์จากหัวเมืองปักษ์ใต้ โดยเฉพาะที่มาจากนครศรีธรรมราชนั้นมีบทบาทต่อส่วนกลางมากขนาดไหน ไม่ใช่แค่ว่าคน/ภิกษุจากส่วนกลางได้ลงไปมีบทบาทต่อท้องถิ่นหัวเมืองปักษ์ใต้แต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น
(๔) ‘หลวงพ่อ (ปู่) ทวด’ ในฐานะวีรบุรุษทางวัฒนธรรมของส่วนกลาง/อยุธยา+พุทธไทยท้องถิ่น
เรื่องราวของหลวงพ่อทวดมีลักษณะเป็น ‘วีรบุรุษทางวัฒนธรรม’ (Cultural Hero) อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนจะเป็นวีรบุรุษทางวัฒนธรรมของใคร และหรือการมีอยู่วีรบุรุษทางวัฒนธรรมแบบนี้มีฟังก์ชั่นอะไร ยังต้องพิจารณาต่อไป
จริงๆ ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว สำหรับท่านที่เชื่อว่าหลวงปู่ทวดมีตัวตนอยู่จริงในอดีตสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเรื่องของหลวงปู่ทวดในตำนานนั้นดูจะใกล้เคียงกับเรื่องของ ‘สมเด็จเจ้าพระโค๊ะ’ ผู้นำขบวนการกัลปนาหัวเมืองปักษ์ใต้ในสมัยอยุธยา ถ้ามีหลักฐานเชิงลึกไปกว่าที่เป็นอยู่จนสามารถยืนยันได้แน่ชัดว่า ‘สมเด็จเจ้าพระโค๊ะ’ ในเอกสารการกัลปนานั้นคือพระภิกษุองค์เดียวกับที่ชาวบ้านรู้จักและเรียกขานในนาม ‘หลวงพ่อ (ปู่) ทวด’
มีตั้งหลายกรณีที่ตำนานเรื่องเล่าที่ชาวบ้านบอกเล่ากันต่อๆ กันมา เดิมเชื่อว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง ครั้นพอถึงเวลาล่วงเลยไป มีหลักฐานอย่างอื่นปรากฏขึ้นมา คนก็เชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริง อย่างกรณีพระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก หรือเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กแห่งอาณาจักรล้านซ้างเวียงจัน-จำปาสัก แม้แต่คนลาวก็เคยมีไม่เชื่อว่าท่านมีตัวตนอยู่จริง แต่แล้วเมื่อพระธาตุพนมล้ม ก็มีพบโกศธาตุที่บรรจุอัฐิเจ้าราชครูหลวงฯ จากที่คนไม่เชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริง ทีนี้ก็กลับเป็นเชื่อลุกลามไปกระทั่งเรื่องที่ดูเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ก็เชื่อกันไปเป็นตุเป็นตะ
เรื่องที่ว่าตำนานหลวงปู่ทวดกับสมเด็จเจ้าพระโค๊ะมีความคล้ายคลึงกันนั้น อยู่ในประเด็นที่ว่า ทั้งสองเป็นเรื่องราวที่สะท้อนสายสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลาง (ซึ่งมีอยุธยาเป็นตัวแทน) กับหัวเมืองปักษ์ใต้ อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพสักการะในหมู่พุทธไทยของทางปักษ์ใต้ ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับหัวเมืองปักษ์ใต้เรื่อยมานับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๒
ในช่วงเวลานั้นอยุธยากำลังเผชิญสงครามกับพม่านับตั้งแต่สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๑๑๒ จนถึงสงครามในยุคสมเด็จพระนเรศวร ขณะเดียวกันประวัติศาสตร์ของหัวเมืองปักษ์ใต้ก็มีเรื่องภัยคุกคามจากกลุ่มคนที่ปรากฏชื่อเรียกว่า ‘อาแจะอาหรู’ หรือ ‘ยักษ์ตีชวา’ หรือ ‘แขกสลัด’
ภัยคุกคามนี้นับว่าร้ายแรงกว่า เมื่อเทียบกับภัยจากพม่าที่อยุธยาเผชิญอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน เพราะถึงอย่างไร พม่ากับอยุธยาต่างก็เป็นคนในโลกความเชื่อเดียวกัน ศาสนาเดียวกัน แต่ภัยคุกคามหัวเมืองปักษ์ใต้เวลานั้นเป็นภัยจากโลกภายนอกอย่างแท้จริง
ในสงครามกับพม่า เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว ฝ่ายชนะมีธรรมเนียมกวาดต้อนเอาผู้คนและทรัพย์สิ่งของมีค่าของอีกฝ่ายกลับไปบ้านเมืองตน แต่สำหรับกรณี ‘แขกสลัด’ แล้วเป็นตรงกันข้าม คือฝ่ายชนะ จะเอาคนของตนเองเข้ามายึดครองตั้งรกรากอยู่ยังถิ่นแดนของฝ่ายแพ้
ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้แหล่ะที่ทำให้การต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ไม่อาจทำได้ลำพังแค่การใช้กำลังทหารสู้รบผลักดันให้แขกสลัดถอยทัพกลับคืนบ้านเมืองของตนไป อันที่จริงในเรื่องนี้ ‘พระยารามราชท้ายน้ำ’ ขุนศึกคนสำคัญที่สมเด็จพระนเรศวรทรงแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้ทำการสู้รบต่อต้านแขกสลัดอย่างสุดกำลังเท่าที่จะสามารถทำได้ในทางการทหารแล้ว หรือแม้แต่ขุนศึกคนสำคัญสมัยสมเด็จพระนารายณ์อย่าง ‘พระยารามเดโช’ ซึ่งตอนหลังกลับเป็นขบถต่อกรุงศรีอยุธยา แต่จุดยืนต่อปัญหาแขกสลัดก็ไม่ได้ต่างจาก ‘พระยารามราชท้ายน้ำ’ เท่าไรนัก แต่กระนั้นก็ยังไม่พอที่จะรับมือกับภัยคุกคามดังกล่าวนี้ เพราะแท้ที่จริงภัยนี้มาจากประชาชนในโลกมาเลย์-ชวา ที่มีการขยายตัวของขนาดประชากรกันมากในสมัยนั้นแต่พื้นที่ทำกินของพวกเขากลับมาจำนวนจำกัด จึงเกิดแรงขับดันที่จะอพยพขึ้นมายังตอนเหนือของคาบสมุทรมลายู
เมื่อเป็นดังนั้น การเติมคนให้กับหัวเมืองปักษ์ใต้โดยวิธีการดั้งเดิมอย่างการกัลปนา จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่อยุธยากับผู้นำท้องถิ่นในปักษ์ใต้คิดออกและปฏิบัติได้ในเวลานั้น และในกระบวนการกัลปนาดังกล่าวนี้ผู้ที่มีบทบาทสูงสุดในกระบวนการคือพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งต้องเป็นผู้ปกครองดูแลอาณาบริเวณที่ดิน ผู้คน และทรัพย์สิ่งของที่ได้รับพระราชทานมาจากส่วนกลาง ในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย พระภิกษุสงฆ์ที่มีปรากฏในเอกสารกัลปนาที่มีบทบาทในส่วนนี้ก็คือ ‘สมเด็จเจ้าพระโค๊ะ’ และในตำนานก็คือ ‘หลวงพ่อ (ปู่) ทวด’
บทบาทในฐานะผู้เชื่อมระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นหัวเมืองปักษ์ใต้ และคอยปกปักรักษาความเป็นเมืองพุทธให้แก่อยุธยา/ปักษ์ใต้นี้เอง ทำให้พระภิกษุองค์ที่ว่านี้ถูกเล่าขานในฐานะผู้มีบุญบารมี และเป็นต้นแบบ ‘ไอดอล’ ให้แก่ฝ่ายพุทธไทยสยามในการเป็นเจ้าของดินแดนทางปักษ์ใต้ ไม่ว่าจะพระองค์นี้จะชื่อเรียงเสียงใด (สมเด็จเจ้าพระโค๊ะ หรือหลวงพ่อ (ปู่) ทวด) ก็ตาม สำหรับสังคมทางปักษ์ใต้ ผู้ที่มีอำนาจได้รับการสนับสนุนมาจากส่วนกลาง ย่อมต้องเป็นผู้มีบุญบารมีเป็นธรรมดา และเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ต้องมีกฤดาภินิหารเป็นธรรมดาอีกเช่นกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับพระอาจารย์สี ผู้ซึ่งปรากฏหลักฐานถึงการมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ‘มิชชั่น’ ของพระอาจารย์สีที่คือการฟื้นฟูบ้านเมืองหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ นั้นถือว่าประสบความสำเร็จและเป็นอดีตที่เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว แต่ ‘มิชชั่น’ ของ ‘สมเด็จเจ้าพระโค๊ะ’ ซึ่งก็มีตัวตนอยู่จริงกับของ ‘หลวงปู่ทวด’ นั้นต้องถือว่ายังไม่จบสิ้นมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเป็นดังนั้นก็เป็นธรรมดาอยู่อีกเช่นกัน ที่สตอรี่แวดล้อมสมเด็จเจ้าพระโค๊ะกับหลวงปู่ทวด จะยังคงต้องถูกเล่าขานกันสืบต่อไป ในเมื่อสิ่งที่เริ่มไว้ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๒ ยังคงเป็นสิ่งที่ยังต้องมีผู้สืบทอดปฏิบัติต่อมา ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ซึ่งมีบทบาทในชั้นบุกเบิกจะเกิดกลายมาเป็นวีรบุรุษหรือ ‘ไอดอล’ ขึ้นมาแก่ชนรุ่นหลัง
ข้อเสนอในที่นี้ก็คือว่า เราจะเข้าใจตำนานเรื่องเล่า ‘หลวงพ่อ (ปู่) ทวด’ มากขึ้น หากพิจารณาตำนานนี้มีจุดเริ่มต้นสืบเนื่องมาจากการแข่งขันระหว่างโลกที่แตกต่างกันของอุษาคเนย์บริเวณภาคพื้นทวีปกับอุษาคเนย์ภาคพื้นสมุทร ซึ่งคาบสมุทรมลายูหรือก็คือหัวเมืองปักษ์ใต้ของสยามอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างโลกทั้งสองนี้มาโดยตลอด
เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
อ้างอิง
กำพล จำปาพันธ์. “จารึกวัดใหม่ศรีโพธิ์” “จารึกวัดใหม่ศรีโพธิ์ ความรู้ใหม่ในประวัติศาสตร์อยุธยาตอนปลาย” วารสารเมืองโบราณ. ปีที่ 49 ฉบับที่ 4 (ตุลาคม-ธันวาคม 2566).
กำพล จำปาพันธ์. “วัดพระมหาธาตุฯ เมืองคอน มหาสถูปพันปีสู่เส้นทาง ‘มรดกโลก’” https://www.thepeople.co/history/nostalgia/54606 (เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568).
ชุกรี, อิบรอฮีม. ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี. แปลโดย หะสัน หมัดหมาน และ มะหามะชากี เจ๊ะหะ, ปัตตานี: สถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2541.
ธิดา สาระยา. “กัลปนากับการขยายตัวของชุมชน” รัฐโบราณในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: กำเนิดและพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2537.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. “นครศรีธรรมราชในราชอาณาจักรอยุธยา” กรุงแตก, พระเจ้าตากฯ และประวัติศาสตร์ไทย: ว่าด้วยประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์. กรุงเทพฯ: มติชน, 2538.
ประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาสมัยอยุธยา ภาค 1. กรุงเทพฯ: สำนักนายกรัฐมนตรี, 2510.
ยงยุทธ ชูแว่น (บก.). คาบสมุทรไทยในราชอาณาจักรสยาม: ประวัติศาสตร์ตัวตนของภาคใต้สมัยอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: นาคร, 2550.
รวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2505.
วินัย พงศ์ศรีเพียร. “พระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนา (1) : มรดกความทรงจำแห่งเมืองพัทลุง” 100 เอกสารสำคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทยลำดับที่ 11. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัย, 2554.
ศรีศักร วัลลิโภดม. อู่อารยธรรมแหลมทอง คาบสมุทรไทย. กรุงเทพฯ: มติชน, 2546.
สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. “กัลปนาวัดในภาคใต้” สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม 1. สงขลา: สถาบันทักษิณคดีศึกษา, 2539.
Wyatt, David K. (Edited and translated). The Crystal Sands: The Chronicles of Nagara Sri Dharrmaraja. Ithaca, New York: Southeast Asia Program Department of Asian Studies Cornell University, 1975.