10 ก.ย. 2568 | 08:20 น.
KEY
POINTS
หลายคนอาจเคยเผชิญกับคำถามที่หนักอึ้งในใจ "ชีวิตนี้คุ้มค่าที่จะอยู่ต่อไปหรือไม่?" นี่ไม่ใช่คำถามเชิงปรัชญาที่ล่องลอย แต่เป็นความรู้สึกที่เราสัมผัสได้จริงในวันมืดมนที่สุดของชีวิต
วิลเลียม เจมส์ (William James 1842-1910) ไม่เพียงแต่เผชิญหน้ากับคำถามนี้อย่างจริงจัง ในฐานะศาสตราจารย์ที่ต้องรับมือกับวิกฤตการฆ่าตัวตายของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ยังเป็นคำถามที่บาดลึกอยู่ในใจของเขาเองด้วย
เจมส์ เป็นนักปรัชญาและนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้ก่อตั้งปรัชญาสาขาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) และเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาเชิงประจักษ์ (Empirical Psychology) ในสหรัฐอเมริกา
เหตุที่ทำให้ปรัชญาของเจมส์เข้าถึงใจผู้คนมากมาย เพราะมันไม่ได้มาจากทฤษฎีที่ซับซ้อน แต่เกิดจากประสบการณ์การต่อสู้กับปัญหาส่วนตัวอย่างลึกซึ้งตลอดชีวิต โดยเฉพาะในวัยหนุ่ม เขาต้องเผชิญกับความกลัว ภาวะซึมเศร้า และความรู้สึกที่เขาเรียกว่า ‘จิตวิญญาณที่ป่วยไข้’ (sick-souled) ซึ่งเป็นสภาวะที่รู้สึกแปลกแยกและสิ้นหวังกับชีวิต
ด้วยแนวทางที่เน้นการปฏิบัติและเข้าถึงง่าย ทำให้ปรัชญาของเจมส์ส่งอิทธิพลไปถึงผู้คนหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) ไปจนถึง บิล วิลสัน (Bill Wilson) ผู้ก่อตั้งสมาคมผู้เลิกสุรา (Alcoholics Anonymous)
เนื่องใน ‘วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก’ 10 กันยายนของทุกปี (World Suicide Prevention Day) เราจะมาทำความเข้าใจปรัชญาของ วิลเลียม เจมส์ ผ่านเครื่องมือที่เขาสร้างขึ้น ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน คือการช่วยให้เรา ‘กลัวชีวิตน้อยลง’
วิลเลียม เจมส์ เข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังอย่างลึกซึ้ง เพราะเขาก็เคยจมอยู่ในห้วงอารมณ์นั้น เขาเรียกว่าภาวะ ‘Sick Soul’ หรือจิตวิญญาณที่ป่วยไข้ ซึ่งเป็นสภาวะที่จักรวาลดูแปลกแยกและน่าหวาดหวั่น
ในภาษาเยอรมัน เรียกว่า ‘Unheimlichkeit’ คือความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ที่บ้าน (unhomelikeness) ในโลกของตัวเอง ความรู้สึกนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความน่าขนลุก (uncanny) และความน่าสะพรึงกลัว(terrifying) คือมุมมองต่อชีวิตที่น่าหวาดหวั่นและเป็นพิษ (poisonousness)
เจมส์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาในจดหมายถึงเพื่อนว่า ช่วงวัยหนุ่มเขาเคยตกอยู่ในภาวะที่ต้องคิดเรื่องการฆ่าตัวตายอย่างต่อเนื่อง เขาเข้าใจดีถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ปฏิทรรศน์ทางศาสนา’ (religious paradox) นั่นคือภาวะที่เรารู้สึกว่า ชีวิตพังทลายจนไม่สามารถแก้ไขได้ และต้องการการช่วยเหลืออย่างที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน เรากลับรู้สึกไร้ซึ่งพลังหรือเครื่องมือใดๆ ที่จะกอบกู้ตัวเองขึ้นมาได้เลย
ความรู้สึกอันหนักหน่วงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเจมส์เพียงคนเดียว เขาได้ยกตัวอย่างบุคคลสำคัญที่เคยเผชิญกับภาวะเดียวกัน เช่น จอห์น บันยัน ผู้เขียนหนังสือคลาสสิกทางศาสนา ก็เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระและความน่าสะพรึงกลัวของตัวเอง และอยากที่จะเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่มนุษย์ เพื่อที่จะไม่ต้องมีจิตวิญญาณที่ต้องทนทุกข์ทรมาน หรือ เฮนรี อัลลีน นักเทศน์ผู้เคร่งศาสนา ก็เคยบรรยายถึงความรู้สึกที่ว่า โลกทั้งใบดูเหมือนถูกสาปแช่งเพื่อตัวเขา และ ทุกสิ่งรอบตัวดูเหมือนจะร่วมมือกันเพื่อทำลายชีวิตของเขา
ขณะที่ ลีโอ ตอลสตอย นักเขียนชื่อดัง แม้จะเพียบพร้อมทุกอย่างในชีวิต ทั้งครอบครัวที่อบอุ่นและชื่อเสียง แต่กลับรู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรเหลือให้ยึดเหนี่ยวและหยุดนิ่งทางศีลธรรม เขาบรรยายว่า ชีวิตเป็นเหมือนการหลอกลวงที่โง่เขลา ดูโหดร้ายและโง่เง่าอย่างที่สุด จนถึงขั้นต้องซ่อนเชือกและปืน เพื่อไม่ให้ตัวเองพลั้งมือจบชีวิตลง
ท่ามกลางความมืดมิด วิลเลียม เจมส์ ไม่ได้มอบคำตอบสำเร็จรูปว่าชีวิตนั้นดีงามเสมอไป แต่คำตอบของเขาเปี่ยมด้วยพลังและอิสรภาพ ซึ่งกลายเป็นหัวใจในปรัชญาของเขา นั่นคือ ‘Maybe... it depends on the liver’ (อาจจะ... ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ชีวิต) คำตอบที่ดูเหมือนเล่นคำนี้ แท้จริงแล้ว คือการประกาศอิสรภาพทางความคิดที่ลึกซึ้ง
เจมส์เชื่อว่า ความหมายของชีวิตไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตา สังคม หรือเทพเจ้าองค์ใดก็ตาม แต่ตัวเราคือผู้กุมอำนาจในการสร้างคุณค่าและความสำคัญให้แก่ชีวิตของตนเอง เราแต่ละคนสามารถเลือกได้ว่า จะใช้เจตจำนง (will) อย่างไร เพื่อทำให้ชีวิตมีความหมาย
เจมส์ ปฏิเสธแนวคิด ‘กำหนดนิยม’ (Determinism) อย่างสิ้นเชิง ซึ่งมองว่าทุกสิ่งถูกลิขิตไว้แล้ว เพราะนั่นเท่ากับว่าชีวิตไม่ใช่ของเราอีกต่อไป เขายืนหยัดใน ‘ทฤษฎีไม่กำหนดนิยม’ (Indeterminism) ที่เชื่อว่า ความเป็นไปได้นั้นมีอยู่จริง และอนาคตยังคงเปิดกว้างเสมอ
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเขาเกิดขึ้น หลังจากอ่านงานของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ชาร์ลส์ เรอนูเวียร์ (Charles Renouvier) ซึ่งบันทึกในไดอารี่ไว้ว่า "การกระทำแห่งเจตจำนงเสรีครั้งแรกของฉัน คือการเชื่อในเจตจำนงเสรี”
เริ่มต้นจากสถานการณ์ที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของศรัทธาและศีลธรรม การรอคอยเฉย ๆ ก็ถือเป็นการเลือกแบบหนึ่ง เจมส์เปรียบเทียบเรื่องนี้กับนักปีนเขาที่ต้องกระโดดข้ามเหวลึกเพื่อเอาชีวิตรอด เขาไม่มีหลักฐานว่าจะทำสำเร็จ แต่การมีศรัทธาว่า เราทำได้ คือ เงื่อนไขแรกที่ทำให้เราทำได้สำเร็จ เพราะหลายครั้งศรัทธาในความจริงก็สามารถช่วยสร้างความจริงนั้นขึ้นมาได้
นี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ตัวเลือกที่ถูกบังคับ’ (forced option) ซึ่งการไม่ตัดสินใจก็ถือเป็นความเสี่ยงเช่นกัน
ปรัชญาของเจมส์ จึงเป็นการมอบอำนาจกลับคืนสู่มือของปัจเจกบุคคล เขาไม่ได้บอกว่าชีวิตง่ายดาย แต่ยืนยันว่าเรามีอิสระที่จะต่อสู้และสร้างความหมายให้แก่ชีวิตของเราเอง
เมื่อเราตระหนักถึงอิสรภาพที่เรามีในการเลือกและเชื่อแล้ว วิลเลียม เจมส์ ได้มอบเครื่องมืออีกหลายชิ้นเพื่อใช้สร้างชีวิตที่เปี่ยมด้วยความหมายและเอาชนะความกลัว เครื่องมือเหล่านี้ไม่ใช่หลักการที่ซับซ้อน แต่เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนมุมมองและลงมือทำ เริ่มต้นจากการก้าวข้ามความตาบอดในใจของเรา การโอบกอดการต่อสู้และความพยายาม การปลุกพลังงานสำรองที่ซ่อนอยู่ และการเปิดรับประสบการณ์ลึกลับ"
เจมส์ ชี้ว่าอุปสรรคที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่ง คือ 'ความตาบอดในหมู่มนุษย์' (a Certain Blindness in Human Beings) หรือ การที่เรามองไม่เห็นคุณค่าและความหมายในชีวิตของผู้อื่นที่แตกต่างจากเรา เขายกประสบการณ์ของตนเองที่เคยเดินทางผ่านหุบเขาในนอร์ธแคโรไลนา และรู้สึกดูแคลนชีวิตอันแร้นแค้นของชาวบ้านที่นั่น แต่เมื่อได้พูดคุย เขาจึงตระหนักว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นความตกต่ำนั้น แท้จริงแล้ว คือ ชัยชนะส่วนบุคคลที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
การยอมรับว่า ความจริงนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จิตใจใดๆ จะเข้าใจได้ทั้งหมด คือหัวใจสำคัญของพหุนิยมทางศีลธรรม (moral pluralism) ซึ่งสอนให้เราเคารพและอดทนต่อวิถีชีวิตของผู้อื่น โดยไม่เอามาตรฐานของเราไปตัดสิน
นอกจากนี้ ชีวิตที่ง่ายดายเกินไปอาจนำมาซึ่งความจืดชืดและไร้แรงบันดาลใจ แต่เจมส์ พบว่าความหมายที่แท้จริงของชีวิตมักเกิดจากการต่อสู้ เขาเชื่อว่าความสำคัญของชีวิต คือ การแต่งงานของอุดมคติที่ไม่ธรรมดา... กับความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ และความอดทน... กับความเจ็บปวดของคนบางคน
แทนที่จะทำสงครามเพื่อปลุกสัญชาตญาณนักสู้ เจมส์ เสนอให้เรานำคุณธรรมแบบทหาร เช่น วินัยและความกล้าหาญ มาใช้ในการต่อสู้กับศัตรูที่แท้จริงของมนุษยชาติ เช่น ความยากจน โรคภัย และความอยุติธรรม เพราะความต้องการและการต่อสู้คือสิ่งที่กระตุ้นและเป็นแรงบันดาลใจให้เรา
เราทุกคนมีศักยภาพมากกว่าที่เราคิด เจมส์เรียกสิ่งนี้ว่า ‘พลังงานสำรอง’ ที่รอการปลดปล่อย ภาวะ ‘second wind’ จะเกิดขึ้นเมื่อเราถูกบังคับให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของความเหนื่อยล้าที่คุ้นเคย แล้วจะพบว่าเราสามารถเข้าถึงพลังงานระดับที่ลึกกว่าเดิมได้ เจมส์เชื่อว่า โดยปกติแล้ว มนุษย์เราใช้พลังงานที่ตนเองมีอยู่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น และเรามักจะหยุดเมื่อรู้สึกเหนื่อยตามความเคยชิน
สิ่งที่จะปลดล็อกพลังงานเหล่านี้ได้ คือ ความจำเป็นที่ไม่ธรรมดา ความตื่นเต้นทางอารมณ์ หรือ ความพยายามพิเศษของเจตจำนง รวมถึงการฝึกฝนจิตใจ เช่น โยคะ ซึ่งเป็นระบบการบำเพ็ญตบะที่เก่าแก่ที่สุดที่ช่วยให้เราเข้าถึงพลังแห่งเจตจำนงในระดับที่สูงขึ้นได้
สำหรับเจมส์ การใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถตอบคำถามที่ลึกซึ้งที่สุดของชีวิตได้ เขาจึงให้ความสำคัญกับประสบการณ์ลึกลับ (mystical states) ประสบการณ์เหล่านี้ ได้มอบความเข้าใจในความจริงที่ลึกซึ้ง ซึ่งสติปัญญาปกติไม่สามารถหยั่งถึงได้ เป็นสภาวะที่ปรปักษ์ของโลกที่ขัดแย้งกันได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว"
ประสบการณ์จากการดมก๊าซหัวเราะ อย่าง ไนตรัสออกไซด์ (nitrous oxide) ที่ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ ยังทำให้เจมส์ตระหนักว่า จิตสำนึกปกติที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นเพียงจิตสำนึกประเภทหนึ่งเท่านั้น และยังมีรูปแบบของจิตสำนึกอื่นๆ ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง รอการค้นพบอยู่
เครื่องมือเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อขจัดความทุกข์ให้หมดไป แต่มีไว้เพื่อเปลี่ยนมุมมองของเราต่อความทุกข์นั้นๆ และมอบพลังให้เราสามารถสร้างสรรค์ชีวิตที่เปี่ยมด้วยความหมายขึ้นมาได้ด้วยตัวของเราเอง
แนวคิด ‘ปฏิบัตินิยม’ ของวิลเลียม เจมส์ มีความคล้ายคลึงกับ แนวคิดอัตถิภาวนิยม (Existentialism) จนนักคิดหลายคนมองว่าเขาเป็น นักปรัชญา Existentialist ชาวอเมริกัน แม้ว่าเจมส์จะมาก่อนและไม่ได้ใช้คำนี้เรียกตัวเอง แต่แนวคิดหลักของเขากลับมีลักษณะตรงกันอย่างน่าทึ่ง
ความคล้ายคลึงที่สำคัญ ประกอบด้วย การเน้นประสบการณ์ส่วนบุคคล ทั้งเจมส์และนักคิด Existentialist ปฏิเสธปรัชญาที่เป็นระบบและเป็นนามธรรมที่ห่างไกลจากประสบการณ์จริงของมนุษย์ พวกเขายืนยันว่าปรัชญาที่แท้จริงต้องเริ่มต้นจาก ประสบการณ์ตรงของปัจเจกบุคคล ความรู้สึก ความเจ็บปวด และการดิ้นรนในชีวิต
อิสรภาพและความรับผิดชอบคือหัวใจที่สำคัญที่สุดที่ทั้งสองแนวคิดมีร่วมกัน ทั้งคู่เชื่อว่ามนุษย์มีอิสรภาพในการเลือก (Freedom) และต้องรับผิดชอบ (Responsibility) ต่อการตัดสินใจและการสร้างความหมายให้แก่ชีวิตของตนเอง
แนวคิดการดำรงอยู่มาก่อนแก่นแท้ (existence precedes essence) ของ Existentialism นั้น สอดคล้องอย่างยิ่งกับความเชื่อของ เจมส์ ที่ว่า เราเกิดมาโดยไม่มีเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่เราสร้างตัวตนและความหมายขึ้นมาผ่านการเลือกและการกระทำของเรา
ในด้าน ความวิตกกังวลและความกลัว (Angst) เจมส์ให้ความสำคัญกับสภาวะ ‘Sick Soul’ ซึ่งเป็นความรู้สึกสิ้นหวังและแปลกแยกจากโลก สิ่งนี้เทียบเคียงได้โดยตรงกับแนวคิดเรื่อง ‘Angst’ หรือ ‘Dread’ ในปรัชญา Existentialism ซึ่งหมายถึงความวิตกกังวลที่เกิดจากการตระหนักถึงอิสรภาพอันไร้ขีดจำกัด และความรับผิดชอบอันหนักอึ้งที่เราต้องแบกรับ
การสร้างความจริงผ่านการกระทำ แนวคิดเจตจำนงที่จะเชื่อ(The Will to Believe) ของเจมส์ ที่ระบุว่า ความเชื่อของคุณจะช่วยสร้างความจริงนั้นขึ้นมาเอง มีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของ Existentialism ที่มองว่า คุณค่าและความหมายไม่ได้มีอยู่แล้วให้เราค้นหา แต่เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างขึ้นมา ผ่านการตัดสินใจและการลงมือทำอย่างแน่วแน่
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ยังมีความแตกต่างที่น่าสนใจ เช่น จุดยืนทางศาสนาและสิ่งเหนือธรรมชาติ แม้ทั้งสองแนวคิดจะสนใจประสบการณ์ทางศาสนา แต่นักคิด Existentialist ส่วนใหญ่ (เช่น ซาร์ตร์ และ กามูส์) มักจะมีแนวโน้มไปทาง อเทวนิยม (Atheism) และมองว่าจักรวาลนั้นไร้ซึ่งความหมายโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ เจมส์ เปิดกว้างกว่ามาก เขาเชื่อว่า ประสบการณ์ลึกลับ (Mysticism) และศรัทธา สามารถเป็นแหล่งของความจริงและความหมายที่สำคัญได้ และเขาไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ของสิ่งเหนือธรรมชาติ
ด้านรากฐานทางความคิด เจมส์ มีรากฐานมาจากปรัชญาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ซึ่งให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์และจับต้องได้ในทางปฏิบัติ ในขณะที่ Existentialism มีรากฐานมาจาก ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ในยุโรป ซึ่งเน้นการวิเคราะห์โครงสร้างของประสบการณ์และจิตสำนึก
โดยสรุป แม้จะมีความแตกต่างในรายละเอียดและรากฐานทางความคิด แต่ปรัชญาของ วิลเลียม เจมส์ และ Existentialism ก็มาบรรจบกันที่การให้ความสำคัญสูงสุด กับประสบการณ์ของปัจเจกบุคคล อิสรภาพ และความรับผิดชอบในการสร้างความหมายให้แก่ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ท้ายที่สุดแล้ว ปรัชญาของ วิลเลียม เจมส์ ไม่ได้มอบคำตอบสุดท้ายที่ตายตัวให้กับคำถามที่ว่า “ชีวิตคุ้มค่าที่จะอยู่ต่อไปหรือไม่” แต่เขามอบสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่า นั่นคือ อิสรภาพและความรับผิดชอบในการสร้างคำตอบนั้นขึ้นมาด้วยตัวเราเอง
เขาไม่ได้ปฏิเสธความเจ็บปวดหรือความมืดมนของชีวิต แต่สอนให้เราเผชิญหน้าด้วยเครื่องมือที่เรามีอยู่แล้วภายใน นั่นคือ ‘เจตจำจำนง อิสรภาพ และความเชื่อ’ เขาเตือนเราว่าปรัชญาอาจเริ่มต้นด้วยความพิศวง (wonder) และหลังจากที่การค้นหาดำเนินไปความพิศวงนั้นก็ยังคงอยู่
ความจริงที่ว่าจักรวาลนั้นดุร้ายและไม่อาจคาดเดาได้ ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า แต่เป็นบ่อเกิดแห่งความหวังและความเป็นไปได้
"จงอย่ากลัวชีวิต จงเชื่อว่าชีวิตคุ้มค่าที่จะอยู่ต่อไป และความเชื่อของคุณจะช่วยสร้างความจริงนั้นขึ้นมา"
ที่มา:
- Kaag, John, and Jonathan van Belle, editors. Be Not Afraid of Life: In the Words of William James. Princeton University Press, 2023.