ที่มาเพลง ‘น้ำท่วม’ เมื่อ ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคา

ที่มาเพลง ‘น้ำท่วม’ เมื่อ ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคา

เมื่อเสียงหวานของ ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ขับขานเพลง ‘น้ำท่วม’ ในปี 2513 มันไม่ได้เป็นเพียงบทเพลงลูกทุ่งเศร้า ๆ แต่คือบันทึกชีวิตจริงของชายคนหนึ่งที่ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคา ภาพเดียวกับที่คนไทยหลายจังหวัดต้องเผชิญในวันนี้ 

KEY

POINTS

“น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง 

พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า 

น้ำท่วมปีนี้ทุกบ้านล้วนมี แต่คราบน้ำตา 

พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา น้ำตาไหลคลอสายชล…”

เป็นเรื่องน่าชื่นใจและเศร้าใจไปพร้อม ๆ กัน ที่ว่า เพลง ‘น้ำท่วม’ จากลูกคอนักร้องเสียงหวานแห่งบางคนที ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ยังไม่เคยตายไปจากหัวใจมิตรรักแฟนเพลง กระนั้น การยังไม่ตายของเพลง ‘น้ำท่วม’ ก็คงเพราะว่าเมืองไทยยังประสบกับอุทกภัยอยู่เสมอ และทุกครั้งที่คนไทยต้องประสบภัยน้ำท่วมคราใด เพลง ‘น้ำท่วม’ ของศรคีรี ก็เป็นเสมือนเสียงเพลงบรรเลงแทนใจพี่น้องคนไทยที่ต้องเผชิญความสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง บ้านเรือน ไปจนถึงชีวิต จนเกิดเป็นอุทกภัยในดวงตา

ภาพชีวิตคนไทยบางจังหวัดทางภาคใต้ที่ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 นี้ จึงเป็นภาพที่เคยปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเมืองไทย เช่นเดียวกับเพลง ‘น้ำท่วม’ ที่ศรคีรี ศรีประจวบ ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคาในปี พ.ศ. 2513 ซึ่งก็อาจจะเป็นการบอกประชาชนคนไทยว่า ปัญหาอุทกภัยในเมืองไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง แม้วันเวลาจะผ่านมาแล้วไม่น้อยกว่า 50 ปี

คนไทยใน พ.ศ. นี้ จึงไม่ต่างกับศรคีรี ที่ต้องหนีน้ำท่วมขึ้นบนหลังคา ในปี พ.ศ. 2513

ทว่า ศรคีรี ศรีประจวบ อาจจะโชคดีกว่าหลาย ๆ คนตรงที่ว่า การหนีน้ำในเพลง ‘น้ำท่วม’ เมื่อปี พ.ศ. 2513 ทำให้ศรคีรี กลายเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ด้วยการสรรค์สร้างจากครูเพลงลูกทุ่งระดับปรมาจารย์อย่าง ‘ครูไพบูลย์ บุตรขัน’

น้ำท่วม - ศรคีรี ศรีประจวบ

ศรคีรี ศรีประจวบ มีชื่อสกุลจริงว่า ‘สงอม ทองประสงค์’ ชื่อเล่น ‘น้อย’ พื้นเพเป็นคนตำบลบางกระบือ อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ใฝ่ฝันจะเป็นนักร้องกล่อมโลกมาตั้งแต่ยังเด็ก เคยไปออดิชันวงดนตรีของ ‘พยงค์ มุกดา’ ที่มาแสดงใกล้บ้าน แต่ครูพยงค์มอบความผิดหวังให้เป็นของกำนัลด้วยการบอกว่า “ร้องยังไม่ดี”

ต่อมาครอบครัวย้ายที่ทำกินไปซื้อไร่ที่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นชาวไร่สับปะรด เว้นว่างจากงานในไร่ก็ประกวดร้องเพลงตามงานวัด เมื่อมีชื่อเสียงพอเป็นที่รู้จักก็ตั้งวงดนตรีกับเพื่อนในชื่อ ‘รวมดาววัยรุ่น’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘รวมดาวเมืองปราณ’ รับงานแสดงทั่วไปใกล้ไกลในจังหวัด โดยใช้ชื่อนักร้องว่า ‘พนมน้อย ลูกเมืองปราณ’

จนวันหนึ่ง ได้มีโอกาสนำวงดนตรีมาแสดงในงานเลี้ยงปีใหม่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ท่านผู้ว่า ‘ประหยัด สมานมิตร’ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ฟังน้ำเสียงแล้วถูกใจ จึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’

จากไร่สับปะรดเข้าสู่เมืองหลวง

ศรคีรี ศรีประจวบ ได้รับการสนับสนุนให้มาเช่ารายการสถานีวิทยุยานเกราะส่งเสียงหวานในเมืองกรุง และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นก็ได้พบกับ ‘เพลิน พนาวัลย์’ ชักพาให้ไปพบกับ ‘ครูไพบูลย์ บุตรขัน’ ครูเพลงระดับปรมาจารย์ตามคำขอร้องของศรคีรี

ในช่วงหลังปี พ.ศ. 2510 ครูไพบูลย์ บุตรขัน กลับมามีชื่อเสียงในวงการเพลงอีกครั้งหลัง ‘ดวงตก’ ไปพักใหญ่ หลังบันไดบ้านเหือดแห้งไปนานหลายปีในวันที่ครูไพบูลย์กลับมาผงาดในวงการเพลงอีกครั้ง บันไดบ้านครูไพบูลย์ก็กลับมาชุ่มชื่นและเป็นที่หมายปองของบรรดานักร้องลูกทุ่งทั้งหน้าเก่าและใหม่อีกครั้ง เมื่อครูไพบูลย์ป้อนเพลง ‘กลิ่นธูปสุโขทัย’ และ ‘นิราศรักนครปฐม’ ส่ง ‘ไพรวัลย์ ลูกเพชร’ ให้กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง

ต่อจากนั้นครูไพบูลย์ก็จ้างคนให้ไปตามตัว ‘รุ่งเพชร แหลมสิงห์’ ที่ในตอนนั้นยังเป็นนักร้องชื่อเสียงไม่ดังนักให้มาพบ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ถึงกับวางเดิมพันเกียรติประวัติ ชื่อเสียง เงินทอง และศรัทธาความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมาด้วยการประกาศประกาศิตกับรุ่งเพชรว่า จะแต่งเพลงให้สามเพลง แต่งให้แบบไม่เอาเงิน เพลงดังขายได้เงินแล้วค่อยเอามาให้ “ถ้าไม่ดังในสามเพลง ก็ไม่ต้องเอาเงินมาให้”

จาก ‘ไอดินกลิ่นสาว’ เดือนเมษายน สู่ ‘ฝนเดือนหก’ เดือนมิถุนายน ถึง ‘คืนฝนตก’ เดือนสิงหาคม ภายในปี พ.ศ. 2511 เพียงปีเดียวเท่านั้น ‘รุ่งเพชร แหลมสิงห์’ กลายเป็นนักร้องเศรษฐีหอบเงินล้านในยุคที่ราคาทองบาทละประมาณ 476 บาท

ในช่วงที่รุ่งเพชร แหลมสิงห์ กำลังโด่งดังคับฟ้าเมืองไทย ก็เป็นช่วงเวลาที่ ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ มีโอกาสไปพบกับครูไพบูลย์ที่บ้านปทุมวัน กรุงเทพฯ เล่ากันว่า ตามประสาคนบ้านนอกต่างจังหวัด ทุกครั้งที่ศรคีรีไปหาครูไพบูลย์ที่บ้านก็มักจะหิ้วชะลอมใส่สับปะรดไปฝากครูไพบูลย์ด้วยทุกครั้ง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือไป “ขอเพลง”

ศรคีรีหิ้วสับปะรดไปฝากครูไพบูลย์อยู่หลายครั้ง แต่ครูไพบูลย์ก็ยังไม่เขียนเพลงให้ เพราะศรคีรีร้องเสียงสูงคล้ายกับรุ่งเพชร แหลมสิงห์ ครูไพบูลย์จึงไม่คิดที่จะสร้างนักร้องใหม่เพื่อมาฆ่าลูกศิษย์ตัวเอง

ทว่า โชคชะตาเล่นตลกแบบไม่มีเสียงหัวเราะ เมื่อต่อมาครูไพบูลย์เกิดน้อยใจรุ่งเพชร เนื่องจากไปตกปากรับคำกับ ‘วิจารณ์ ภักดีวิจิตร’ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังในยุคนั้น ว่าจะร่วมกันสร้างภาพยนตร์เพลง ‘ฝนเดือนหก’ ให้โด่งดังยิ่งใหญ่ไม่แพ้ภาพยนตร์เพลง ‘มนต์รักลูกทุ่ง’ (พ.ศ. 2513) ของผู้กำกับ ‘รังสี ทัศนพยัคฆ์’ ซึ่งครูไพบูลย์เองเป็นผู้ประพันธ์เพลงดังของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเพลงมนต์รักลูกทุ่ง, น้ำลงนกร้อง, นกร้องน้องช้ำ และรูปหล่อถมไป

คำว่า รวย รวย รวย อยู่ตรงหน้า รุ่งเพชรงานเยอะเสียจนไม่มีคิวเวลามาเล่นและร้องเพลงให้กับงานเพลงและภาพยนตร์โปรเจกต์ยิ่งใหญ่ของครูไพบูลย์ที่จะมีรุ่งเพชรเป็นตัวเอก ความผิดหวังจึงเดินทางมาถึงครูไพบูลย์พร้อมกับคำต่อว่าต่อขานจากทีมผู้สร้างและนายทุน ซึ่งตกลงกันเสียดิบดี

โชคชะตานั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญนั้นคือ ‘ลูกตื้อ’ ที่แฝงอยู่ในเนื้อสับปะรดหวานของศรคีรี หลังหิ้วสับปะรดจากประจวบไปมากรุงเทพฯ อยู่หลายที ครูไพบูลย์ก็เปิดใจรับศรคีรี พูดคุยถามไถ่ประวัติชีวิตการงาน ศรคีรี เล่าว่าเบื้องหน้าเวทีตนเองนั้นเป็นนักร้อง แต่พื้นเพเบื้องหลังชีวิตนั้นเป็นชาวไร่สับปะรดอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งต้องเผชิญกับอุทกภัยน้ำท่วมบ้านและไร่สับปะรดเสียหายอย่างหนัก จนอยากจะร้องไห้โฮ

ครูไพบูลย์ ตกปากรับคำว่าจะเขียนเพลงให้ และนัดหมายให้มารับเพลงและต่อเพลงกันอีกที ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาครูไพบูลย์ก็ยื่นเพลง ‘น้ำท่วม’ มอบให้ศรคีรี

“น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า น้ำท่วมปีนี้ทุกบ้านล้วนมี แต่คราบน้ำตา พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา น้ำตาไหลคลอสายชล…”

ประโยค “น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง” ซึ่งเป็นประโยคตีหัวคนฟัง ครูไพบูลย์เอามาจากคำพูดแก้เขิลของ ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2485 ที่จอมพล ป. บอกกับว่าพี่น้องประชาชนว่า “น้ำท่วม ดีกว่าฝนแล้ง” ส่วนที่เหลือเอามาจากประสบการณ์ชีวิตของศรคีรีที่เล่าให้ฟัง ผสมผสานกับจินตนาการชีวิตคนไทยในมุมมองครูไพบูลย์ที่ชอบติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างเป็นประจำ จนกลายเป็นคำร้องที่เรียบง่าย จริงใจ เข้าใจ เข้าถึงหัวใจประชาชนอย่างเห็นภาพที่ว่า

“น้ำท่วมปีนี้ทุกบ้านล้วนมีแต่คราบน้ำตา พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา” “น้ำท่วมที่ไหน ก็ต้องเสียใจด้วยกันทุกคน”

และ “บ้านพี่ก็ถูกน้ำท่วมเหมือนกัน ที่ประจวบคีรีขันธ์ เหมือนกันไปทุกครอบครัว”

‘น้ำท่วม’ ของศรคีรี จากปลายปากกาของครูไพบูลย์ บุตรขัน จึงมีที่มาจากประวัติศาสตร์น้ำท่วมเมืองไทยทั้งในยุคสร้างชาติของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และยุคประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งแม้ผู้นำอย่างจอมพล ป. จะเคยกล่าวว่า “น้ำท่วม ดีกว่าฝนแล้ง” แต่ในทัศนะของครูไพบูลย์ แม้เวลาจะผ่านมาแล้วราว 28 ปี (จาก พ.ศ. 2485 – 2513) สำหรับชาวบ้านธรรมดาตาดำ ๆ ที่เป็นผู้ประสบภัยแล้ว น้ำท่วมย่อมไม่ได้ดีกว่าฝนแล้ง เพราะ “พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า” และ “น้ำท่วมที่ไหน ก็ต้องเสียใจด้วยกันทุกคน เพราะต้องพบกับความยากจน เหมือนคนหมดเนื้อสิ้นตัว”

ไม่เพียงแต่เพลง ‘น้ำท่วม’ ที่ครูไพบูลย์ตั้งใจเขียนให้ศรคีรีเพื่อใช้เป็นเพลงเปิดตัวนักร้องใหม่ ครูไพบูลย์ยังยื่นเพลงให้ศรคีรีอีก 3 เพลง คือเพลงบุพเพสันนิวาส แม่ค้าตาคม และวาสนาพี่น้อย ซึ่งในทัศนะของนักเพลงบางคนผู้นอนกอดวิทยุมากกว่านอนกอดเมียตัวเองเชื่อว่า ด้วยลักษณะคำร้องและทำนองที่ยกเสียงสูงเป็นจุดขายของเพลงเช่นเดียวกับเพลงฝนเดือนหก เช่น “เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้ว (แคล้ววววว) กันไปได้” ในเพลง ‘บุพเพสันนิวาส’ หรือ “เคยยย (เค้ยยย) เห็นแม่ค้าตาคม” ในเพลง ‘แม่ค้าตาคม’ น่าจะเป็นเพลงที่ครูไพบูลย์ตั้งใจเขียนไว้ให้ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ แต่เดิม

จะว่า ‘ส้มหล่นทับ’ ชาวไร่สับปะรดแห่งเมืองปราณบุรีก็คงไม่ผิดนัก เพราะ ศรคีรี ศรีประจวบ รับเพลงจากมือครูไพบูลย์ บุตรขัน ไปเต็ม ๆ 4 เพลงรวด คือน้ำท่วม บุพเพสันนิวาส แม่ค้าตาคม และวาสนาพี่น้อย

กระนั้น เพลง ‘น้ำท่วม’ ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ศรคีรีร้องบันทึกเสียงนั้น เมื่อศรคีรีได้เนื้อเพลงจากครูไพบูลย์ไปก็นำมาบันทึกเสียงโดยใช้วงดนตรีของตัวเอง และปั๊มตราข้อความบนแผ่นเสียงเป็น ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ผลปรากฏว่า เสียงและอารมณ์ของดนตรีออกไปในโทนแห้งไม่คล้องรับกับเสียงร้องของศรคีรี ตัวของศรคีรีเองก็ร้องคำร้องในท่อน “พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา” ออกมาเป็น ‘หลงคา’ และตัวผู้ฟังเองเมื่อเห็นชื่อศรคีรีบนหน้าปกตราแผ่นเสียงก็คงนึกใจ หมอนี่คือใครกัน?

เล่ากันอีกแล้วว่า (รอผู้รู้ยืนยัน) ครูไพบูลย์ถึงกับ ‘หักแผ่นเสียง’ ในความหมายที่ว่า ให้ศรคีรี ร้องบันทึกแผ่นเสียงใหม่ โดยใช้ทีมนักดนตรีและนักเรียบเรียงเสียงประสานอย่าง ‘ครูประยงค์ ชื่นเย็น’ ซึ่งเป็นขุนพลนักดนตรีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ระดับมองตาก็รู้ใจกันของครูไพบูลย์เป็นผู้ควบคุมดูแล พร้อมกันนั้นก็ประทับตราข้อความแผ่นเสียงเสียใหม่ว่า ‘ไพบูลย์ บุตรขัน’

‘ไพบูลย์ บุตรขัน’ ชื่อนี้ใน ปี พ.ศ. 2513 แต่งเพลงไหนก็ดัง แฟนเพลงซื้อไปฟังก็ไม่ผิดหวัง หรือที่ภาษาชาวบ้านพูดว่า “เชื่อขนมกินได้”

‘น้ำท่วม’ ที่ทำให้ศรคีรี ศรีประจวบ ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคาในปี พ.ศ. 2513 ส่งผลให้ศรคีรี โด่งดัง ได้รับความนิยมทันทีและกลายเป็นหนึ่งในนักร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดังในช่วงยุคทองแห่งวงการเพลงลูกทุ่งไทย ด้วยผลงานเพลงเสียงหวานอมตะอย่างน้ำท่วม, บุพเพสันนิวาส, แม่ค้าตาคม, ฝนตกฟ้าร้อง, พระอินทร์เจ้าขา, คิดถึงพี่ไหม, มนต์รักแม่กลอง, พอหรือยัง, หวานเป็นลมขมเป็นยา, หนาวลมที่เรณู, ตะวันร้อนที่หนองหาร, รักแล้งเดือนห้า, ลานรักลั่นทม และ อยากรู้ใจเธอ

ทว่า ศรคีรี ศรีประจวบ เป็นนักร้องดังที่จากไปก่อนวัยอันควร และจากไปในช่วงที่ชีวิตกำลังรุ่งเรือง จากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2515 ซึ่งแฟนเพลงบางคนที่มีหัวใจเป็นนักสืบโคนัน อาจพูดในใจว่า ชีวิตความดังและการตายของศรคีรีทิ้งไว้ด้วยปริศนามากมาย

ศรคีรี ศรีประจวบ นับเป็นลูกศิษย์รุ่นท้าย ๆ ของครูไพบูลย์ บุตรขัน ซึ่งท่านก็ได้เขียนไว้อาลัยการจากไปของศรคีรีศิษย์รักคนนี้ว่า

“แด่สุดรัก เธอเกิดมาเป็นผู้กล่อมโลก ฉันเป็นผู้ถ่ายทอดอารมณ์ บัดนี้เธอจากโลกไปแล้วเหลือเพียงเสียงเพลง ศรคีรี ศรีประจวบ ฉันเสียดาย เสียดายจริง ๆ เพราะเธอควรจะอยู่กล่อมโลกให้นานกว่านี้”

 

เรื่อง: อิทธิเดช พระเพ็ชร