‘The Köln Concert’ เมื่อความผิดพลาดสร้างประวัติศาสตร์ดนตรีที่โลกไม่ลืม

‘The Köln Concert’ เมื่อความผิดพลาดสร้างประวัติศาสตร์ดนตรีที่โลกไม่ลืม

‘The Köln Concert’ ค่ำคืนที่เปียโนแทบพัง ศิลปินอ่อนล้า แต่กลับกลายเป็นอัลบั้มเปียโนโซโลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล พิสูจน์ว่า ความผิดพลาดอาจสร้างตำนานที่โลกไม่ลืม

KEY

POINTS

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออัลบั้มเพลงแจ๊สที่ประสบความสำเร็จที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ ถือกำเนิดขึ้นจากความผิดพลาดแทบทุกประตู? จากศิลปินที่อ่อนล้าหมดแรง เปียโนที่ใช้งานแทบไม่ได้ และค่ำคืนที่ทุกอย่างเกือบจะพังทลายลง

นี่คือเรื่องราวของ ‘The Köln Concert’ ผลงานบันทึกการแสดงสดของ ‘คีธ จาร์เร็ตต์’ (Keith Jarrett) ที่ไม่ได้เป็นเพียงอัลบั้มเปียโนโซโลที่โด่งดังที่สุดของเขาเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับว่า เป็น ‘อัลบั้มเปียโนโซโลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล’ ด้วยยอดขายกว่า 3.5 ล้านชุดทั่วโลก 

ทว่า เบื้องหลังความสำเร็จ คือเรื่องราวของความโกลาหล เราจะพาคุณย้อนกลับไปยังค่ำคืนนั้นที่เมืองโคโลญ เพื่อสำรวจว่ามหัศจรรย์แห่งการด้นสดครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเหตุใดจึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย

คอนเสิร์ตที่กำเนิดจากความโกลาหล

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในค่ำคืนวันที่ 24 มกราคม 1975 ณ โรงละครโอเปราแห่งเมืองโคโลญ (Cologne Opera House) ประเทศเยอรมนี สภาพของ คีธ จาร์เร็ตต์ ในวันนั้นห่างไกลจากคำว่า ‘พร้อม’ อย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้นอนมาหลายวัน ทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดหลัง และเดินทางมาถึงด้วยสังขารที่อ่อนล้าอย่างหนัก

แต่ความเหนื่อยล้าอาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะเท่านั้น ทุกอย่างแย่ลงไปอีก เมื่อ จาร์เร็ตต์ พบว่าแกรนด์เปียโน Bösendorfer ที่จะใช้บรรเลงบนเวที ‘ไม่ใช่’ รุ่นที่เขาต้องการใช้งาน และที่เลวร้ายกว่านั้น เปียโนหลังดังกล่าวยังอยู่ในสภาพที่แทบจะเล่นไม่ได้ คีย์เปียโนหลายตัวกดแล้วไม่คืนตัว แป้นเหยียบ (pedal) มีปัญหา และโทนเสียงโดยรวมไร้ซึ่งความสมดุล

 

ณ จุดนั้น คอนเสิร์ตเกือบจะถูกยกเลิก แต่ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละของ เวรา บรันเดส (Vera Brandes) โปรโมเตอร์สาววัย 19 ปี จาร์เร็ตต์ จึงยินยอมที่จะขึ้นแสดงในที่สุด โดยช่างเทคนิคท้องถิ่นถูกเรียกมาแก้ไขเปียโนเท่าที่จะทำได้ แต่สถานการณ์ยังคงเลวร้ายต่อเนื่องไปจนถึงนาทีก่อนแสดง เมื่อ จาร์เร็ตต์ ต้องรีบรับประทานอาหารเย็นที่รสชาติไม่ถูกปาก เขาเกือบจะบอกให้ทีมวิศวกรบันทึกเสียงกลับบ้านไปแล้ว และต้องพยายามพูดคุยติดตลกกับพวกเขา เพียงเพื่อจะประคองสติไม่ให้หลับไป

ท่ามกลางเงื่อนไขที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เหล่านี้ ไม่น่าเชื่อว่า ในที่สุด การแสดงได้เริ่มต้นขึ้น และมีการบันทึกเสียงเพลงทั้งหมด ผ่านไมโครโฟน Neumann U67 สองตัวและเครื่องบันทึกเทป Telefunken หลังการแสดงจบลง ประโยคแรกที่ บรันเดส รีบวิ่งไปถามวิศวกรเสียง ‘มาร์ติน วีลันด์’ (Martin Wieland) ก็คือ “คุณอัดไว้ได้ใช่ไหม? การบันทึกเสียงเรียบร้อยดีหรือเปล่า?”

นี่คือจุดกำเนิดของคอนเสิร์ตที่ในทางทฤษฎีแล้ว ‘ไม่ควรจะเกิดขึ้น’ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญของวงการดนตรี

ศิลปะแห่งการด้นสด: ปรัชญาของ คีธ จาร์เรตต์

หัวใจที่ทำให้ The Köln Concert กลายเป็นตำนาน ไม่ได้อยู่แค่คุณภาพของดนตรี แต่อยู่ตรงความจริงที่ว่า การแสดงทั้งหมดเป็นการด้นสด (Improvisation) จาร์เรตต์ ขึ้นเวที โดยปราศจากโน้ตเพลง หรือการเตรียมการใด ๆ เขาสร้างสรรค์ดนตรีที่ซับซ้อนและงดงามขึ้นมาในห้วงเวลานั้นจริง ๆ ต่อหน้าผู้ฟัง

ทั้งนี้ ปรัชญาการทำงานของ จาร์เร็ตต์ มีความแตกต่างอย่างน่าสนใจ เขาไม่ได้มองตัวเองในฐานะ ‘ผู้สร้าง’ ดนตรี (Creator)  แต่เขาเป็นเพียง ‘สื่อกลาง’ หรือ ‘ช่องทาง’ (Channel) ให้พลังแห่งการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าได้ไหลผ่านตัวเขาออกมา แนวคิดนี้ปรากฏอย่างชัดเจนในคำโปรยที่เขาเขียนเอง สำหรับอัลบั้ม Solo Concerts - Bremen/Lausanne (1973) ซึ่งเป็นผลงานก่อนหน้า The Köln Concert

“ผมไม่เชื่อว่าผมสามารถสร้างสรรค์ได้ แต่ผมสามารถเป็นช่องทางให้แก่ ‘ผู้สร้างสรรค์’ ได้ ผมเชื่อใน ‘พระผู้สร้าง’ ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้ว นี่คืออัลบั้มของพระองค์ที่ส่งผ่านตัวผมมาถึงคุณ โดยมีสิ่งกีดขวางระหว่างทางน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้บนโลกใบนี้ที่หมกมุ่นอยู่กับสื่อ”

แนวคิดนี้ได้รับการยืนยันในการให้สัมภาษณ์แก่นิตยสาร Down Beat ในปี 1974 ซึ่ง จาร์เร็ตต์ อธิบายว่าดนตรีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ “เป็นอิสระจากตัวเขาโดยสิ้นเชิง” และหน้าที่ของเขาเป็นเพียง ‘ผู้ส่งผ่านมัน’ (transmitting it) ปรัชญานี้ได้ยกระดับการด้นสดของเขา จากการแสดงความสามารถทางดนตรี ไปสู่การเป็น พิธีกรรม (Ritual) ที่ทั้งศิลปินและผู้ฟังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสรรค์อันศักดิ์สิทธิ์

มุมมองทางจิตวิญญาณของ จาร์เรตต์ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา เขาได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากคำสอนของ ‘จอร์จ อิวาโนวิช เกอร์จิเอฟฟ์’ (G. I. Gurdjieff) นักปราชญ์และคุรุทางจิตวิญญาณชาวรัสเซีย โดยนักวิชาการ อย่าง ‘คริสโตเฟอร์ เชส’ (Christopher Chase) วิเคราะห์ว่า การแสดงเปียโนโซโลของ จาร์เร็ตต์ เปรียบได้กับการปฏิบัติ ‘ระบำศักดิ์สิทธิ์’ (Gurdjieffian dances) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ออกแบบมา เพื่อเปลี่ยนสภาวะทางจิตสำนึก  ในแง่นี้ การแสดงของเขาจึงควรถูกทำความเข้าใจในฐานะ “...รูปแบบหนึ่งของพิธีกรรมเร้นลับ (occult liturgy) มากกว่าที่จะเป็นการด้นสดแจ๊สในความหมายทั่วไป”

ดังนั้น เมื่อผู้ชมได้เห็นการแสดงออกทางกายภาพที่ราวกับอยู่ใน ‘ห้วงภวังค์’ ของ จาร์เร็ตต์ บนเวที พวกเขากำลังเป็นพยานของศิลปินที่ยอมจำนนต่อพลังสร้างสรรค์ที่มองไม่เห็น ด้วยการเปลี่ยนคอนเสิร์ตให้กลายเป็นประสบการณ์ร่วมทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ The Köln Concert สื่อสารกับผู้ฟังในระดับที่ลึกซึ้งและทรงพลังยิ่งกว่าอัลบั้มทั่วไป

จากอุบัติเหตุ สู่ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม

แม้จะถือกำเนิดจากเงื่อนไขที่เกือบจะล่มสลาย แต่เมื่อ The Köln Concert ถูกปล่อยออกมาในปี 1975 อัลบั้มนี้ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการดนตรีอย่างรวดเร็ว

The Guardian ยกให้เป็นหนึ่งใน ‘50 Great Moments in Jazz’ ขณะที่นิตยสาร Time จัดให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มแจ๊สที่ดีที่สุดแห่งปี ส่วนนักวิจารณ์ อย่าง ‘นีล เทสเซอร์’ (Neil Tesser) ขนานนามว่า นี่คือ ‘จุดสูงสุด’ ในผลงานเดี่ยวของ จาร์เร็ตต์

แต่ความสำเร็จของอัลบั้มนี้ ไม่ได้วัดกันที่ยอดขายหรือคำวิจารณ์เพียงอย่างเดียว หัวใจสำคัญที่ทำให้อัลบั้มมีความ ‘พิเศษ’ คือฐานะงานบันทึกการแสดงสดแบบ ‘ด้นสด’ ในยุคทศวรรษ 1970s ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการแสวงหาความหมายและตัวตน การที่ศิลปินคนหนึ่งสามารถสร้างสรรค์ดนตรีที่งดงามขึ้นมาได้จาก ‘ความว่างเปล่า’ ต่อหน้าผู้ฟัง กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘สุนทรียศาสตร์แห่งอิสรภาพ’ (aesthetic of liberation) ที่ทรงพลัง การบันทึกเสียงแบบแสดงสดยังทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์นั้นจริง ๆ เป็นการเปิดหน้าต่างสู่ห้วงเวลาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและไม่อาจเกิดซ้ำได้อีก

ภาพลักษณ์ของ จาร์เร็ตต์ เอง ก็เป็นส่วนสำคัญที่เสริมสร้างตำนานนี้ การแสดงออกทางกายภาพที่ราวกับกำลังเต้นรำไปกับเปียโน ประกอบกับเสียงร้องคลอ (vocalizations) ที่เล็ดลอดออกมา ถูกตีความว่าเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ภาพถ่ายบนปกอัลบั้มที่เขาหลับตาและก้มศีรษะลงจรดหน้าอก ยิ่งตอกย้ำภาพของศิลปินที่อยู่ในสภาวะลึกซึ้งราวกับการภาวนา การเลือกใช้เปียโนอะคูสติกท่ามกลางยุคดนตรีไฟฟ้าเฟื่องฟู ยังสะท้อนถึงการ ‘ปลดปล่อยตัวเองจากเทคโนโลยี’ (unplugging from technocratic society) ซึ่งสอดคล้องกับอาการโหยหาความจริงแท้และบริสุทธิ์ของผู้คนในยุคนั้น

มรดกที่ยั่งยืน

อิทธิพลของ The Köln Concert ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของดนตรีแจ๊สอย่างมีนัยสำคัญ อัลบั้มนี้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นคืนความสนใจให้กับการบรรเลงเดี่ยวเปียโน ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกมองข้ามไปนาน และเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับผลงานเดี่ยวเปียโนของศิลปินร่วมค่าย ECM คนอื่น ๆ อย่าง ‘ชิก โคเรีย’ (Chick Corea) และ ‘พอล เบลย์’ (Paul Bley) ซึ่งกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทำให้นักดนตรีหันมาให้ความสำคัญกับการแสดงในรูปแบบนี้อีกครั้ง

นอกจากนี้ อัลบั้มยังประสบความสำเร็จในการขยายฐานผู้ฟังเพลงแจ๊ส ไปสู่กลุ่มใหม่ที่ไม่เคยสนใจดนตรีแนวนี้มาก่อน กลุ่มผู้ฟังหลัก คือคนหนุ่มสาวที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย (การทัวร์ของ จาร์เร็ตต์ ในช่วงนั้นมักจัดขึ้นในสถานศึกษาชั้นนำอย่าง UCLA, Harvard และ Princeton) ซึ่งคุ้นเคยกับดนตรีร็อกมากกว่า การที่ จาร์เร็ตต์ ยืนหยัดที่จะไม่ใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้าท่ามกลางยุคสมัยของดนตรีฟิวชั่นที่กำลังรุ่งเรือง ประกอบกับการที่เขาเคยได้รับรางวัล ‘นักดนตรีแจ๊สแห่งปี 1973’ จากนิตยสาร Rolling Stone ทำให้เขามี ‘เสน่ห์แบบครอสโอเวอร์’ (crossover appeal) ที่สามารถดึงดูดผู้ฟังนอกกลุ่มคอแจ๊สได้อย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม มรดกที่สำคัญที่สุดของ The Köln Concert กลับเต็มไปด้วยความซับซ้อนและย้อนแย้ง แม้ จาร์เร็ตต์ จะมองว่านี่คือผลงานศิลปะบริสุทธิ์ แต่สำหรับผู้ฟังจำนวนมาก อัลบั้มนี้ได้กลายเป็นดนตรีประกอบชีวิตประจำวัน ที่ถูกเชื่อมโยงเข้ากับดนตรีแนว ‘New Age’ ที่มีการนำไปใช้ในหลากหลายวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การเปิดคลอขณะทำความสะอาดบ้าน เปิดฟังเพื่อการผ่อนคลาย ไปจนถึงการใช้ในสถานพยาบาล สิ่งนี้สร้างความกระอักกระอ่วนใจให้แก่ จาร์เร็ตต์ อย่างมาก จนเขาเคยประชดประชันถึงแฟนเพลงที่นำอัลบั้มไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ว่า “โอเค ไปฟัง จอร์จ วินสตัน เถอะ ผมว่าคุณมาถูกทางแล้ว”

คำพูดนี้สะท้อนถึงความพยายามของ จาร์เร็ตต์ ที่จะขีดเส้นแบ่งระหว่างงานของเขา กับดนตรีของ จอร์จ วินสตัน ซึ่งเป็นศิลปินที่โด่งดังในสายดนตรี New Age และแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของมรดกที่ The Köln Concert ทิ้งไว้ ซึ่งเป็นทั้งผลงานที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในเชิงศิลปะ และในขณะเดียวกันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการฟังเพลงในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก

สถานะของอัลบั้ม The Köln Concert จึงเปรียบเสมือนตั้งอยู่บน ‘รอยเลื่อนทางสุนทรียศาสตร์’ (aesthetic faultline) ระหว่างศิลปะแห่งการด้นสดอันเข้มข้น กับสถานะ ‘ดนตรีสำหรับโต๊ะกาแฟ’ ที่นักวิจารณ์แจ๊สสายอนุรักษนิยม มองว่า “ไม่น่าพึงพอใจ” นัก

ความย้อนแย้งยังปรากฏอยู่ในแทร็กสุดท้ายของอัลบั้ม ‘Part IIc’ ซึ่งเป็นเพลงอังกอร์ โดยผู้ฟังส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นการด้นสดเช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ แต่แท้จริงแล้ว เป็นเพลงที่ จาร์เร็ตต์ ประพันธ์ไว้ล่วงหน้า มีชื่อว่า ‘Memories of Tomorrow’ หลักฐานชี้ชัดว่า เพลงนี้เคยถูกบรรเลงมาก่อนหน้าคอนเสิร์ตที่โคโลญ และมีโน้ตเพลงปรากฏอยู่ใน The Real Book ซึ่งเป็นคัมภีร์โน้ตเพลงของนักดนตรีแจ๊ส แม้จะมีความแตกต่างทางฮาร์โมนีเล็กน้อย ระหว่างเวอร์ชันในอัลบั้ม กับเวอร์ชันใน The Real Book (ในอัลบั้มใช้คอร์ด E7 เพื่อส่งเข้าท่อนต่อไป เทียบกับการระบุคอร์ด Bm7-Bb7 ในโน้ตเพลง) ก็ตาม

บทสรุป: เสียงสะท้อนที่ยังไม่จางหาย

นี่คือเรื่องราวของ คีธ จาร์เร็ตต์  ในค่ำคืนวันที่ 24 มกราคม 1975 ที่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี คอนเสิร์ตที่เกือบจะถูกยกเลิก แต่ด้วยการยืนหยัดของผู้จัดงานสาววัย 19 ปี ทำให้เขาตัดสินใจขึ้นเวที และบรรเลงการด้นสดที่กลายเป็นอัลบั้มเปียโนโซโลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล นับเป็นอนุสาวรีย์แห่งความบังเอิญที่สมบูรณ์แบบ 

บางครั้ง ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็ถือกำเนิดขึ้นจากสภาวะที่ใกล้เคียงกับความล้มเหลวที่สุด

อัลบั้มนี้ได้เดินทางผ่านกาลเวลาในหลากหลายสถานะ จากการเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพทางดนตรีและการสร้างสรรค์อันบริสุทธิ์ในยุค 1970s มาสู่การเป็นเพลงประกอบชีวิตประจำวันที่ถูกแปะป้าย ‘New Age’ โดยที่ศิลปินไม่เต็มใจนัก เรื่องราวของมันได้หลุดออกจากมือของ คีธ จาร์เร็ตต์ ไปตั้งแต่เสียงปรบมือในค่ำคืนนั้นเงียบลง และได้สั่งสมความหมายใหม่ ๆ ผ่านประสบการณ์ของผู้ฟังหลายล้านคนทั่วโลก

บางที คุณค่าที่แท้จริงของ The Köln Concert อาจไม่ได้อยู่ที่คำตอบว่า มันคือ ‘ศิลปะชั้นสูง’ หรือ ‘ดนตรีสำหรับโต๊ะกาแฟ’ กันแน่ แต่อยู่ที่การเป็นบทสนทนาที่ไม่รู้จบ ระหว่างเสียงดนตรีที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด เจตนาของศิลปิน และความหมายที่ผู้ฟังแต่ละคนได้มอบให้ผ่านงานเพลงชุดนี้

ท้ายที่สุดแล้ว คุณค่าของงานศิลปะ อยู่ที่เจตนาอันบริสุทธิ์ของศิลปิน หรืออยู่ที่ความหมายที่ผู้ฟังแต่ละคนได้ค้นพบในเสียงดนตรีนั้น ? The Köln Concert อาจไม่ได้ให้คำตอบ แต่ได้ทิ้งคำถามนี้ไว้ให้โลกดนตรีขบคิดต่อไปอย่างไม่รู้จบ

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: Getty Images 

ที่มา:

Elsdon, Peter. Keith Jarrett's The Köln Concert. Oxford University Press, 2013.