20 ส.ค. 2568 | 12:04 น.
KEY
POINTS
มีเรื่องราวมากมายในประวัติศาสตร์ที่ ‘ความล้มเหลวครั้งใหญ่’ กลับกลายเป็น ‘หนังสติ๊ก’ (a slingshot) ที่ส่งให้คน ๆ หนึ่งพุ่งทะยานไปสู่จุดสูงสุดอย่างไม่คาดฝัน เรื่องราวของ ‘จอห์น โคลเทรน’ (John Coltrane 1926-1967) นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนผู้เป็นตำนาน คือหนึ่งในนั้น และจุดตกต่ำที่เกือบจะดับเส้นทางอาชีพของเขาเกิดขึ้น ในเดือนเมษายน ปี 1957 ด้วยน้ำมือของ ‘ไมล์ส เดวิส’ (Miles Davis 1926-1991) ซึ่งเป็นเพื่อนและหัวหน้าวงของเขาเอง
ในห้วงเวลานั้น วง ‘ควินเท็ท’ ของ ไมล์ส เดวิส คือหนึ่งในกลุ่มดนตรีที่สำคัญที่สุดของวงการแจ๊ส ทว่าเบื้องหลังการบรรเลงอันน่าทึ่ง โคลเทรนกำลังต่อสู้อย่างหนักกับเฮโรอีนและแอลกอฮอล์ แม้พรสวรรค์ของเขาจะเจิดจ้าและไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่การเสพติดทำให้การเล่นของเขากลายเป็นความไม่เสถียร เอาแน่เอานอนไม่ได้ และขาดความสม่ำเสมอ
ไมล์ส ผู้ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิการต่อสู้กับการเสพติดของตัวเองมาก่อนในอดีต ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าเขาไม่สามารถเก็บ โคลเทรน ไว้ในวงได้อีกต่อไป การตัดสินใจครั้งนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับชายทั้งสอง และสำหรับประวัติศาสตร์แจ๊ส
การถูกไล่ออกจากวงดนตรีระดับนี้ อาจหมายถึงจุดจบในอาชีพ แต่สำหรับ จอห์น โคลเทรน มันกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘การเกิดใหม่’ ทางความคิดสร้างสรรค์ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของดนตรีแจ๊สสมัยใหม่ นี่ไม่ใช่การถอยหลัง แต่คือการง้างหนังสติ๊กเพื่อเตรียมพุ่งทะยาน
การถูกไล่ออกครั้งนั้น เป็นมากกว่าความอับอาย โดยภายหลัง โคลเทรน ได้บรรยายถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า เป็น ‘ช่วงเวลาแห่งการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง’ (a moment of deep reckoning) คือเสียงเรียกที่ดังและชัดเจนพอที่จะทะลวงผ่านม่านหมอกแห่งการเสพติดที่บดบังพรสวรรค์ของเขาอยู่
หลังจากถูกไล่ออกไม่นาน โคลเทรน เดินทางกลับไปยังบ้านของแม่ในฟิลาเดลเฟีย ที่นั่น เขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือ การหักดิบเลิกเฮโรอีนและแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด (cold turkey)
ในเดือนมิถุนายน ปี 1957 ระหว่างที่ร่างกายและจิตใจกำลังทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากอาการถอนยา โคลเทรน ได้ประสบกับสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณอันทรงพลัง’ (a powerful spiritual awakening) ประสบการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงแต่ปลดแอกเขาจากพันธนาการของการเสพติด แต่ยังได้กำหนดนิยามและเป้าหมายในฐานะนักดนตรีเสียใหม่ทั้งหมด
หลายปีต่อมา เขาได้บันทึกความรู้สึกในช่วงเวลานั้นไว้บนปกอัลบั้ม A Love Supreme ว่า “โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ประสบกับการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ ซึ่งนำทางข้าพเจ้าไปสู่ชีวิตที่ร่ำรวย เปี่ยมล้น และมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น”
ช่วงเวลาแห่งการแยกตัวและทบทวนตัวเองนี้ได้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะส่งผลต่อเส้นทางดนตรีที่เหลือทั้งหมด โคลเทรน ไม่ได้ต้องการแค่เล่นแจ๊สอีกต่อไป แต่ต้องการใช้ดนตรีเป็นเส้นทาง สู่ ‘สัจธรรมและการข้ามพ้น’ (a path toward truth and transcendence) การถูกไล่ออกได้มอบของขวัญล้ำค่าที่ชื่อว่า ‘การเริ่มต้นใหม่’ ให้แก่เขาอย่างแท้จริง
การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณต้องตามมาด้วยการขัดเกลาฝีมืออย่างหนัก และโชคชะตาก็ได้จัดสรรปรมาจารย์ที่เหมาะสมที่สุดมาให้ โคลเทรน ในเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด โดยไม่นานหลังจากการหักดิบเลิกยา เขาได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมวงของนักเปียโน นาม ‘เธโลเนียส มังค์’ (Thelonious Monk) เพื่อแสดงประจำในช่วงฤดูร้อนที่ Five Spot Cafe ในนิวยอร์ก
ในความทรงจำของ โคลเทรน เขาเปรียบเปรยช่วงเวลาที่ได้ร่วมงานกับ มังค์ ว่าเหมือนกับ ‘การกลับไปเข้าโรงเรียนอีกครั้ง’ (like going back to school) บทเพลงของ มังค์ นั้น ขึ้นชื่อเรื่องความซับซ้อน ท่วงทำนองที่แปลกใหม่ และต้องการสมาธิขั้นสูงสุดในการบรรเลง โคลเทรน เคยกล่าวถึงความท้าทายนี้ว่า “ผมต้องตื่นตัวอยู่เสมอกับ มังค์ เพราะถ้าคุณไม่ระวังตลอดเวลา คุณจะรู้สึกเหมือนก้าวขาลงไปในปล่องลิฟต์ที่ว่างเปล่า”
ภายใต้การชี้นำของมังค์ โคลเทรน ได้พัฒนากิจวัตรการฝึกซ้อมที่มีแบบแผนมากขึ้น โดยซ้อมหนักวันละหลายชั่วโมง การแสดงที่ Five Spot Cafe นั้นยาวนานและหนักหน่วง เล่นคืนละสองรอบ สัปดาห์ละหกคืน จึงกลายเป็นห้องทดลองชั้นเลิศให้ โคลเทรน ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางเทคนิคและคลังศัพท์ในการด้นสดของตนเอง
มังค์ มีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนใคร เขามักจะลุกออกจากเปียโนและเดินไปรอบ ๆ เพื่อฟังเสียงดนตรีจากมุมต่าง ๆ ปล่อยให้ โคลเทรน ต้องโซโล่ตามลำพังเป็นเวลา 15-20 นาที โดยมีเพียงเสียงเบสของ ‘วิลเบอร์ แวร์’ (Wilbur Ware) คอยประคองอยู่เบื้องหลัง การไม่มีเปียโนคอยกำหนดกรอบฮาร์โมนี ทำให้ โคลเทรน มีอิสระอย่างเต็มที่ในการสร้างสรรค์เส้นทางฮาร์โมนีของตนเอง
แม้การร่วมงานจะกินเวลาไม่นานนัก แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นมหาศาล โคลเทรน ก้าวออกมาจากประสบการณ์ครั้งนี้ในฐานะนักดนตรีที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจและความกล้าหาญยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับรากฐานสำคัญอันเป็นที่มาของสไตล์การบรรเลงแบบ ‘sheets of sound’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่ค่อย ๆ เริ่มก่อตัวขึ้น
ต้นปี 1958 เพียงไม่กี่วัน หลังจากสิ้นสุดการแสดงประจำที่ Five Spot Cafe กับ เธโลเนียส มังค์ ในวันที่ 26 ธันวาคม 1957 โคลเทรน ก็กลับเข้าร่วมวงของ ไมล์ส เดวิส อีกครั้ง ในวันที่ 2 มกราคม 1958 แต่คราวนี้ เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เพราะ โคลเทรนคนใหม่ “ปราศจากยาเสพติด มีสมาธิ และเปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน” เขานำพลังงานและทิศทางใหม่มาสู่วง ซึ่งในขณะนั้นได้ขยายตัวเป็น เซ็กซ์เทท (sextet วง 6 ชิ้น) โดยมี จูเลียน ‘แคนนอนบอล’ แอดเดอร์ลีย์ (Julian ‘Cannonball’ Adderley) เข้ามาเสริมในตำแหน่ง อัลโต แซ็กโซโฟน
พลังสร้างสรรค์ที่ปะทุขึ้นมาใหม่ของ โคลเทรน ปรากฏอย่างเด่นชัดในอัลบั้มสำคัญหลายชุดที่เขาได้บันทึกเสียงร่วมกับ ไมล์ส ในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอัลบั้ม ‘Milestones’ ที่โซโลของเขาในเพลง ‘Straight, No Chaser’ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมที่สุด เขาได้ ‘ระเบิด’ เพลงบลูส์แบบดั้งเดิมด้วยชุดตัวโน้ตที่ถาโถมซับซ้อน จนกระทั่งนักวิจารณ์ ‘ไอรา กิตเลอร์’ (Ira Gitler) ได้บัญญัติคำว่า ‘sheets of sound’ ขึ้นมาสำหรับ โคลเทรน โดยเฉพาะ เพื่ออธิบายสไตล์การเล่นที่อัดแน่นด้วยโน้ตที่พรั่งพรูดุจสายน้ำตกในยุคนี้ของเขา
การกลับมาร่วมงานกันครั้งนี้ ยังได้สร้าง ‘ความตึงเครียดอันงดงาม’ (a masterclass in creative tension) ขึ้นในวง โดยเฉพาะในอัลบั้มระดับตำนาน อย่าง ‘Kind of Blue’ (1959) ที่แนวทางโมดัลแจ๊ส (Modal Jazz) อันเรียบง่ายของ ไมล์ส ได้ถูกเติมเต็มด้วย ‘ไฟและการสำรวจ’ (fire and exploration) จากโซโลของโคลเทรน โดยนักเทเนอร์แซ็กโซโฟนได้กล่าวถึงแนวทางใหม่ของ ไมล์ส ว่า “มันทำให้ผมมีอิสระอย่างเต็มที่... ผมสามารถซ้อนคอร์ดต่าง ๆ ลงไปได้”
แต่ในขณะที่เขากำลังโลดแล่นอยู่ในวงของ ไมล์ส เสียงดนตรีในแบบฉบับของตนเองก็เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 1959 ขณะที่ยังร่วมงานกับไมล์สอยู่ โคลเทรน ได้บันทึกเสียงอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง ชื่อว่า ‘Giant Steps’ ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชใหม่บนเส้นทางดนตรีอย่างแท้จริง การกลับมาครั้งนี้ ไม่ต่างจากการใช้เวทีของ ไมล์ส เดวิส เป็นฐานปล่อยตัวครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะทะยานขึ้นสู่จักรวาลดนตรีของตนเองอย่างสมบูรณ์
เรื่องราวของ จอห์น โคลเทรน คือบทพิสูจน์อันทรงพลังว่าจุดพลิกผันในชีวิตคนเรานั้นมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึงได้เสมอ การถูก ไมล์ส เดวิส ไล่ออก อาจเป็นจุดจบในเส้นทางอาชีพของนักดนตรีหลายคน แต่สำหรับ โคลเทรน แล้ว มันกลับกลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และการเกิดใหม่ทางความคิดสร้างสรรค์
จอห์น โคลเทรน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ ที่ไม่ใช่แค่ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค แต่ยังรวมถึงความสัตย์ซื่อต่องานศิลปะอีกด้วย ในช่วงเวลาไม่กี่ปีหลังจากนั้น เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำวงควอร์เท็ทที่ยอดเยี่ยมที่สุดวงหนึ่งในประวัติศาสตร์แจ๊ส ออกผลงานระดับมหากาพย์ทางจิตวิญญาณ อย่าง ‘A Love Supreme’ และผลักดันขอบเขตของฟรีแจ๊ส (free jazz) และการด้นสดไปสู่พรมแดนใหม่
การถูกไล่ออกในเดือนเมษายนปี 1957 ไม่ใช่การถอยหลัง แต่เปรียบเสมือน ‘หนังสติ๊ก’ ที่ง้างแล้วยิงออกไปได้ไกล ไม่ต่างจาก ‘แรงดีดกลับจากจุดตกต่ำ’ ที่ผลักดันให้ จอห์น โคลเทรน เข้าสู่ช่วงเวลาการทำงานที่เฟื่องฟูที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต เริ่มจากการบันทึกเสียงอัลบั้มเปิดตัว ในฐานะผู้นำวงชุดแรก ‘Coltrane’ ในเดือนพฤษภาคม ตามมาด้วยอัลบั้มฮาร์ดบ็อพที่สำคัญ อย่าง ‘Blue Train’ ในเดือนกันยายน รวมถึงการบันทึกเสียงอีกหลายครั้ง กับสังกัด ‘Prestige’ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอัลบั้ม Lush Life, Traneing In และ Stardust
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เขายังคงทำงานในฐานะ ไซด์แมน (sideman) ร่วมกับศิลปินคนอื่น ๆ โดยได้ร่วมงานกับ เธโลเนียส มังค์ ในอัลบั้ม ‘Monk’s Music’ และการแสดงสดที่ Five Spot Cafe ทั้งยังได้ร่วมบันทึกเสียงในโปรเจกต์ Prestige All-Stars อีกหลายชุด
พอถึงปี 1958 เขาก็กลับมาร่วมงานกับ ไมล์ส เดวิส อีกครั้ง ในอัลบั้มสำคัญที่นำไปสู่ยุคโมดัลแจ๊ส อย่าง Milestones ขณะเดียวกันก็ออกอัลบั้มในฐานะผู้นำวงอย่างต่อเนื่อง กับสังกัด Prestige ซึ่งรวมถึงอัลบั้ม Soultrane, Settin' the Pace และ
Black Pearls กระแสแห่งการสร้างสรรค์นี้ได้พุ่งสู่จุดสูงสุดในปี 1959 เมื่อเขาได้บันทึกเสียงอัลบั้มระดับมาสเตอร์พีซที่ปฏิวัติวงการ อย่าง Giant Steps และทิ้งท้ายผลงานชิ้นประวัติศาสตร์ร่วมกับ ไมล์ส เดวิส เป็นครั้งสุดท้าย ในอัลบั้มโมดัลแจ๊สระดับตำนาน อย่าง Kind of Blue
ผลงานบันทึกเสียงมากมายที่หลั่งไหลออกมาในช่วงเวลาเพียง 24 เดือน คือบทพิสูจน์ที่ทรงพลังที่สุดของ ‘The Slingshot Effect’ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ จอห์น โคลเทรน คือสุ้มเสียงอันดังกึกก้องของการปลดปล่อยพลังงานสร้างสรรค์ที่ถูกไว้จนถึงขีดสุด เป็นการสำแดงให้โลกเห็นว่าการถูกดึงไปข้างหลังจนเกือบจะแหลกสลายนั้น สามารถแปรเปลี่ยนเป็นแรงส่งให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ไกลเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง
นี่ไม่ใช่แค่การกลับมา แต่คือการถือกำเนิดใหม่ของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ที่ได้มอบทั้งผลงานชิ้นเอกและบทเรียนอันล้ำค่าแก่พวกเราว่า แม้ในจุดที่มืดมนที่สุด ก็สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของแสงสว่างที่เจิดจ้าที่สุดได้เช่นเดียวกัน
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา:
Carr, Ian. Miles Davis: The Definitive Biography. Revised ed., HarperCollins Publishers, 1998.
Fripp, Matt. "How Getting Fired by Miles Davis in 1957 Changed John Coltrane — and Jazz History." Jazzfuel, 7 Aug. 2025, jazzfuel.com/coltrane-fired-by-miles-davis/.
Ratliff, Ben. Coltrane: The Story of a Sound. Farrar, Straus and Giroux, 2007.