05 ส.ค. 2568 | 06:55 น.
KEY
POINTS
ในมหานครนิวยอร์ก ปี 1939 ขณะที่ยุโรปกำลังเริ่มคุกรุ่นด้วยไฟสงคราม โลกของดนตรีแจ๊สในอเมริกาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นี่คือปีที่ ‘โคลแมน ฮอว์กินส์’ (Coleman Hawkins 1904-1969) ‘พญาเหยี่ยว’ (The Hawk) แห่งวงการแซ็กโซโฟน ได้เดินทางกลับสู่มาตุภูมิ หลังจากไปใช้ชีวิตและลับฝีมือในยุโรปนานถึง 5 ปี
การกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาพบว่าสมรภูมิเทเนอร์แซ็กโซโฟนไม่ได้มีเพียงเขาเป็นผู้เล่นคนสำคัญอีกต่อไป แต่มีดาวรุ่งดวงใหม่แจ้งเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เบน เว็บสเตอร์ (Ben Webster), ชู เบอร์รี (Chu Berry) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลสเตอร์ ยัง (Lester Young) ผู้มาพร้อมกับสไตล์การเล่นที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ฮอว์กินส์ ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘บิดาแห่งเทเนอร์แซ็กโซโฟน’ ตระหนักดีว่า เขาต้องประกาศศักดาให้โลกได้ประจักษ์อีกครั้งว่า ‘บัลลังก์’ ยังคงเป็นของเขา แล้ววันแห่งประวัติศาสตร์ก็มาถึง...
วันที่ 11 ตุลาคม 1939 ณ สตูดิโอของค่าย Victor บนถนนสาย 24 ตะวันออก (East 24th) ในแมนฮัตตัน ฮอว์กินส์ มีนัดบันทึกเสียงให้แก่สังกัด RCA Bluebird พร้อมกับนักดนตรีอีก 6 ชีวิต แต่เรื่องราวเบื้องหลังการบันทึกเสียงครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความบังเอิญที่น่าทึ่ง เดิมทีเพลง ‘Body and Soul’ ซึ่งประพันธ์โดย ‘จอห์นนี กรีน’ (Johnny Green) ในปี 1930 ไม่ได้อยู่ในแผนการบันทึกเสียงวันนั้นเลย
จากคำให้การของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ‘ลีโอนาร์ด จอย’ (Leonard Joy) โปรดิวเซอร์ผู้ควบคุมการบันทึกเสียง ได้เอ่ยปากขอให้ ฮอว์กินส์ บรรเลงเพลงนี้โดยเฉพาะ เขากล่าวว่าเคยได้ยิน ฮอว์ก เป่าเพลงนี้ที่คลับ Kelly’s Stable และอยากจะฟังมันถูกบันทึกเสียงไว้บนแผ่นเสียง ในตอนแรก ฮอว์ก ปฏิเสธ เพราะเขาอยากจะเล่นเพลงอื่นมากกว่า แต่ท้ายที่สุดก็ยอมตกลง โดยจะเล่นให้เพียงเทคเดียวเท่านั้น
‘จีน ร้อดเจอร์ส’ (Gene Rodgers) นักเปียโนในเซสชั่นนั้น เล่าถึงช่วงเวลาสำคัญว่า ฮอว์ก จิบเหล้าคอนยัคเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าไมโครโฟน แล้วขอให้ ร้อดเจอร์ส บรรเลงอินโทรของเพลง... และอินโทรนั้นก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานไปตลอดกาล
ไม่มีใครในห้องอัดเสียงวันนั้นล่วงรู้เลยว่า การเล่นเพียงเทคเดียวด้วยความไม่ตั้งใจและขุ่นเคืองใจครั้งนี้ กำลังจะให้กำเนิดอีกหนึ่ง ‘มาสเตอร์พีซ’ ผลงานบันทึกเสียงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี เป็นโซโลที่จะพลิกโฉมหน้าของเทเนอร์แซ็กโซโฟนไปตลอดกาล และเป็นการตอกย้ำว่า ‘พญาเหยี่ยว’ ได้กลับมาทวงบัลลังก์ของเขาอย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ จีน ร้อดเจอร์ส บรรเลงบทนำเปียโนจบลง และ ฮอว์ก เริ่มจรดริมฝีปากลงบนปากเป่าของแซ็กโซโฟนนั้น คือการแสดงสดที่กินเวลาเพียง 3 นาที แต่ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของดนตรีแจ๊สอย่างสิ้นเชิง ‘Body and Soul’ ในเวอร์ชันของ โคลแมน ฮอว์กินส์ ไม่ใช่การบรรเลงเพลงบัลลาดหวานซึ้งตามแบบฉบับเดิม แต่คือ ‘นิยามใหม่’ ของบทเพลง
โครงสร้างดั้งเดิม Body and Soul เป็นเพลงบัลลาดในรูปแบบ AABA ที่เรียบง่าย (แต่ละท่อนมีความยาว 8 ห้อง) นักดนตรีส่วนใหญ่ในยุคนั้นจะบรรเลงเมโลดีหลักอันไพเราะของเพลงเป็นแกนกลาง แล้วจึงด้นสดหรือตกแต่งเมโลดีไปตามโครงสร้างนั้น แต่ ฮอว์ก กลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาบรรเลงเมโลดีที่คุ้นหูของเพลงเพียงแค่ 8 ห้องแรกเท่านั้น! หลังจากนั้น พญาเหยี่ยวก็สยายปีกโบยบินออกจากทำนองหลัก ละทิ้งทำนองที่ผู้คนรู้จักไว้เบื้องหลัง และดำดิ่งลงไปในการสำรวจโลกของ ‘ฮาร์โมนี’ อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
การโซโลของเขาตลอดทั้งสองคอรัส คือการสร้างสถาปัตยกรรมทางเสียงขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เขาใช้โครงสร้างคอร์ดของเพลงเป็นผืนผ้าใบ เพื่อวาดลวดลายทางฮาร์โมนีที่ซับซ้อนและวิจิตรขึ้นมาใหม่ ประโยคโซโลของเขาค่อย ๆ ทวีความเข้มข้นขึ้น ทั้งในด้านไดนามิกและอารมณ์ จากประโยคที่เรียบง่ายในช่วงแรก ค่อย ๆ กลายเป็นวลีที่ซับซ้อนและหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเชิงจังหวะและช่วงเสียง จนกระทั่งถึงจุดสุดยอดใน 8 ห้องสุดท้าย ที่แซ็กโซโฟนของเขาคำรามลั่นด้วยการกระโดดข้ามไปมาระหว่างโน้ตในระดับเสียงที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดของเครื่องดนตรี ราวกับเป็นการปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา
ภาษาดนตรีที่ ฮอว์ก ใช้ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวกระโดดที่ล้ำหน้าไปไกลกว่ายุคสมัยนั้นมาก เขาใช้เทคนิคการเล่นอาร์เปจจิโอ (Arpeggio) ของคอร์ดที่ซับซ้อน ซึ่งเคลื่อนที่ลงมาทีละครึ่งเสียง (Chromatic) ก่อนจะบรรจงจบลงที่คอร์ดหลักของเพลงอย่างสวยงาม นี่คือแนวทางการด้นสดที่ก้าวร้าว มีชีวิตชีวา และท้าทายขนบอย่างยิ่ง
นักวิจารณ์และนักประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊สระบุว่า การบันทึกเสียง Body and Soul ครั้งนี้ คือ ‘สัญญาณแรกเริ่มของดนตรีบีบ็อพ’ (Bebop) ที่กำลังมาถึงในอีกไม่กี่ปีให้หลัง และยกย่อง ฮอว์ก ว่าเป็น “เหมือนนักบุญจอห์น ผู้ปูทางให้กับดนตรีแจ๊สสมัยใหม่” นี่คือผลงานศิลปะที่ผลักดันภาษาทางฮาร์โมนีของแจ๊สไปสู่พรมแดนใหม่ และเป็นเครื่องหมายสำคัญที่บ่งบอกถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยอย่างแท้จริง
แม้ว่าการตีความ Body and Soul ของ โคลแมน ฮอว์กินส์ จะล้ำหน้าและท้าทายขนบธรรมเนียมจนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักฟังเพลงสายอนุรักษนิยมในช่วงแรก แต่ในไม่ช้า การบันทึกเสียงครั้งนี้ก็ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างถล่มทลาย กลายเป็นเพลงฮิตที่ส่งให้ชื่อของ ฮอว์ก กลับมาผงาดในอเมริกาอีกครั้ง และเป็นเพลงประจำตัวของเขาไปโดยปริยาย เรียกว่าเขาต้องบรรเลงเพลงนี้ในแทบทุกคอนเสิร์ต ตลอดชีวิตการแสดงที่เหลือ
ความสำเร็จนี้ยังส่องสว่างท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดของเหล่าเทเนอร์แซ็กโซโฟนในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคู่แข่งคนสำคัญ อย่าง เลสเตอร์ ยัง ผู้มีปรัชญาการเล่นที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ในขณะที่ ฮอว์ก มีสุ้มเสียงที่ทรงพลัง หนักแน่น และเน้นการสำรวจฮาร์โมนีที่ซับซ้อน ยัง กลับมีน้ำเสียงนุ่มนวล พลิ้วไหวราวขนนก และเน้นการด้นสดที่อิงกับเมโลดี้อันงดงาม ในปี 1942 เลสเตอร์ ยัง ได้บันทึกเสียง Body and Soul ในเวอร์ชันของตัวเอง ซึ่งมีจังหวะที่ช้ากว่าและยึดโยงกับทำนองหลักมากกว่า แม้จะเป็นการตีความที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนได้เทียบเท่ากับเวอร์ชันของ ฮอว์ก ในปี 1939
อิทธิพลของการบันทึกเสียง Body and Soul ของ ฮอว์ก นั้นแผ่ขยายไปไกลเกินกว่าความสำเร็จบนชาร์ตเพลง กลายเป็น ‘พิมพ์เขียว’ (Blueprint) และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักดนตรีรุ่นหลังที่ต้องการทำความเข้าใจการด้นสดขั้นสูง นักดนตรี อย่าง ‘ไมล์ส เดวิส’ (Miles Davis) เคยกล่าวไว้ว่า “ตอนที่ผมได้ฟัง ฮอว์ก ผมก็ได้เรียนรู้วิธีที่จะเล่นเพลงบัลลาด” นี่คือคำยกย่องจากยักษ์ใหญ่อีกคนของวงการ ยืนยันถึงอิทธิพลอันใหญ่หลวงนี้ได้เป็นอย่างดี
นักประวัติศาสตร์ดนตรีหลายคนยกย่องให้การบันทึกเสียงครั้งนี้ มีความสำคัญเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การด้นสดของดนตรีแจ๊ส เป็นรองเพียงแค่ ‘West End Blues’ ของ ‘หลุยส์ อาร์มสตรอง’ (Louis Armstrong) เท่านั้น และในปี 2004 บทเพลงเวอร์ชันนี้ก็ได้รับการจารึกอย่างเป็นทางการ ด้วยการคัดเลือกเข้าสู่ National Recording Registry ของหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ในฐานะ ‘เสียงที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ หรือสุนทรียศาสตร์’
แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 8 ทศวรรษ ผู้คนในยุคปัจจุบันยังคงทึ่งกับการบรรเลงครั้งนั้น ดังที่ผู้ใช้งานในเว็บบอร์ด Reddit คนหนึ่งเปรียบเทียบอย่างน่าสนใจว่า Body and Soul ของ ฮอว์ก ก็เปรียบได้กับ ‘Like a Rolling Stone’ ของโลกดนตรีแจ๊ส นั่นเอง เพราะทั้งสองเพลงต่างทลายกรอบและรูปแบบของเพลงป๊อปในยุคของตน พร้อมชี้นำแนวทางใหม่ให้ศิลปินคนอื่น ๆ ได้ก้าวตาม เป็นการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของดนตรีแจ๊สและร็อคไปตลอดกาล
จากการบรรเลงอิมโพรไวเซชันเพียงเทคเดียวในบ่ายวันหนึ่งของปี 1939 โคลแมน ฮอว์กกินส์ ได้บันทึก ‘อนาคต’ ของดนตรีแจ๊สลงบนแผ่นเสียง และเสียงนั้นยังคงดังก้องกังวาน สร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักดนตรีทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา:
Chilton, John. The Song of the Hawk: The Life and Recordings of Coleman Hawkins. University of Michigan Press, 1990.
DeVeaux, Scott. The Birth of Bebop: A Social and Musical History. University of California Press, 1997.
Gioia, Ted. The History of Jazz. 3rd ed., Oxford University Press, 2021.