27 ก.ค. 2568 | 10:12 น.
KEY
POINTS
วงการดนตรีโลกได้สูญเสียเจ้าของเสียงฟลูเกิลฮอร์นที่อบอุ่นและเป็นเอกลักษณ์ที่สุดคนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันกลับ เมื่อมีรายงานยืนยันว่า ‘ชัค แมนจิโอนี’ (Chuck Mangione) ได้จากไปอย่างสงบในบ้านพักที่รอเชสเตอร์ นิวยอร์ก เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2025 ขณะมีอายุ 84 ปี
การจากไปของเขาเป็นการปิดฉากเส้นทางของศิลปินผู้สร้างบทเพลงบรรเลง ‘Feels So Good’ ให้กลายเป็นเพลงฮิตระดับปรากฏการณ์ ทว่าความสำเร็จดังกล่าวเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งมรดกทางดนตรีที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก แมนจิโอนีคือศิลปินผู้ยืนอยู่บนเส้นแบ่งที่ท้าทายระหว่างสองโลก โลกของดนตรีแจ๊สบริสุทธิ์ (Pure Jazz) ที่เขาได้รับการยอมรับในฐานะนักทรัมเป็ตและนักประพันธ์ฝีมือฉกาจในยุคแรกเริ่ม และโลกของป๊อป-แจ๊สกระแสหลัก (Mainstream Pop-Jazz) ที่นำมาซึ่งชื่อเสียงและยอดขายมหาศาล พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักฟังกลุ่มอนุรักษ์นิยมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
The People พาสำรวจเส้นทางดนตรีของ ชัค แมนจิโอนี ตั้งแต่รากฐานอันแข็งแกร่งในฐานะศิษย์เก่าแห่งวง ‘Art Blakey's Jazz Messengers’ สู่การเป็นผู้บุกเบิกแนวทางที่ต่อมาถูกเรียกว่า ‘สมูธแจ๊ส’ (Smooth Jazz) จนถึงคุณูปการและมรดกที่แท้จริงซึ่งเขาได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง
ชัค แมนจิโอนี เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1940 ที่รอเชสเตอร์ นิวยอร์ก ชีวิตในวัยเยาว์ของเขาเปรียบเสมือนการถูกบ่มเพาะในเบ้าหลอมของดนตรีแจ๊สชั้นครู ครอบครัวชาวอิตาเลียน-อเมริกันของเขามีความรักในดนตรีอย่างลึกซึ้ง ถึงขนาดที่โต๊ะอาหารเย็นในบ้านแมนจิโอนีเคยต้อนรับแขกผู้มาเยือน อย่าง ดิซซี กิลเลสปี (Dizzy Gillespie), ไมล์ส เดวิส (Miles Davis) และ อาร์ต เบลคกีย์ (Art Blakey) มาแล้ว ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับตำนานเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เปรียบเสมือนการซึมซับจิตวิญญาณของแจ๊สโดยตรง ได้หล่อหลอมตัวตนทางดนตรีของเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้
เขาเริ่มต้นเส้นทางนักดนตรีอาชีพ ด้วยการก่อตั้งวง ‘The Jazz Brothers’ ร่วมกับ ‘แก็ป แมนจิโอนี’ (Gap Mangione) พี่ชายซึ่งเป็นนักเปียโน พร้อมกับเข้าศึกษาที่ ‘Eastman School of Music’ ในช่วงปี 1958-1963 แต่จุดที่ตอกย้ำสถานะความเป็นนักดนตรีแจ๊ส คือการที่เขาได้รับเลือกให้เข้าร่วมวง ‘Art Blakey's Jazz Messengers’ ในช่วงทศวรรษ 1960s การได้สืบทอดตำแหน่งทรัมเป็ตในวงฮาร์ดบ็อพชั้นนำ ซึ่งเคยเป็นตำแหน่งของนักดนตรีระดับตำนานอย่าง ‘คลิฟฟอร์ด บราวน์’ (Clifford Brown) และ ‘เฟรดดี ฮับบาร์ด’ (Freddie Hubbard) ถือเป็นเครื่องการันตีฝีมืออันไร้ข้อกังขา
ไม่เพียงเท่านั้น ความสามารถในฐานะนักประพันธ์ของเขายังฉายแววเด่นชัด เมื่อ ‘แคนนอนบอลล์ แอดเดอร์ลีย์’ (Cannonball Adderley) ได้นำผลงานการประพันธ์ของเขาที่ชื่อว่า ‘Something Different’ ไปบันทึกเสียง
ในช่วงเวลานี้เองที่เขาเริ่มหันมาจับฟลูเกิลฮอร์น (Flugelhorn) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเครื่องดนตรีคู่กายที่สร้างเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ และหลังจากนั้น เขายังได้กลับไปสู่โลกวิชาการในฐานะผู้อำนวยการวงแจ๊สของ ‘Eastman School of Music’ (1968-1972) รากฐานทั้งหมดนี้คือข้อพิสูจน์ว่า ก่อนที่ชื่อของ ชัค แมนจิโอนี จะกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เขาคือบุคลากรแจ๊สที่ครบเครื่องและได้รับการยอมรับอย่างสูงมาก่อนแล้ว
สัญญาณของการข้ามฟากสู่กระแสหลักปรากฏชัดเจนในปี 1977 เมื่อแมนจิโอนีได้รับรางวัลแกรมมี่ตัวแรกในสาขา ‘Best Instrumental Composition’ จากบทเพลง ‘Bellavia’ ที่เขาแต่งอุทิศให้แก่แม่ของเขา นี่คือใบเบิกทางก่อนที่ปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาจะอุบัติขึ้นในปีเดียวกัน
อัลบั้ม ‘Feels So Good’ ออกวางจำหน่ายในปี 1977 และเพลงไตเติลแทร็กได้สร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่มีใครคาดคิดว่า เพลงบรรเลงความยาวเกือบ 10 นาที จะสามารถทะยานขึ้นสู่อันดับ 4 ของ ‘Billboard Hot 100’ ได้สำเร็จ และครองอันดับ 1 บนชาร์ต ‘Adult Contemporary’ ในยุคที่หน้าปัดวิทยุถูกครอบครองโดยเพลงดิสโก้และร็อค การที่เพลงบรรเลงจะประสบความสำเร็จในระดับนี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา
สำหรับใครหลายคน นี่คือรักแรก การฟังเสียงฟลูเกิลฮอร์นที่นุ่มนวล แต่แฝงด้วยความสนุกสนานของเขา กลายเป็นซาวด์แทร็กของยุคสมัย และเป็นประตูบานแรกที่เปิดให้ผู้คนนับล้านก้าวเข้ามาสู่โลกของดนตรีแจ๊ส
ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากองค์ประกอบทางดนตรีที่ลงตัว เสียงฟลูเกิลฮอร์นในท่อนอินโทรที่ติดหูทันที จังหวะจะโคนที่สนุกสนานเจือกลิ่นอายลาติน และท่อนโซโล่กีตาร์อันน่าจดจำของ ‘แกรนต์ ไกส์แมน’ (Grant Geissman) ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในโซโล่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค
ความสำเร็จของ Feels So Good และผลงานในยุคนี้ ไม่สามารถแยกขาดจากวงดนตรีคู่ใจของเขาได้ ประกอบด้วย คริส วาดาลา (Chris Vadala) ในตำแหน่งแซ็กโซโฟน/ฟลุท, แกรนต์ ไกส์แมน กีตาร์, ชาร์ลส์ มีกส์ (Charles Meeks) มือเบส และ เจมส์ แบรดลีย์ จูเนียร์ (James Bradley Jr.) มือกลอง พวกเขาคือหัวใจสำคัญที่ร่วมกันสร้างสรรค์ซาวด์อันเป็นเอกลักษณ์ในยุคทองของแมนจิโอนี
แมนจิโอนี ไม่ได้ปล่อยให้กระแสความสำเร็จจาก ‘Feels So Good’ จางหายไป ในปี 1978 เขาตอกย้ำสถานะซูเปอร์สตาร์ด้วยอัลบั้มคู่ ‘Children of Sanchez’ โครงการเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน ที่เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานทางดนตรี
อัลบั้มนี้โดดเด่นด้วยบทประพันธ์ที่มีความยาวและซับซ้อน เช่น ‘Consuelo's Love Theme’ และเพลงไตเติลที่ได้เสียงร้องอันทรงพลังของ ‘ดอน พอตเตอร์’ (Don Potter) และ ‘ฟิลลิส ไฮแมน’ (Phyllis Hyman) เข้ามาเสริม ความสำเร็จของอัลบั้มยืนยันด้วยรางวัลแกรมมี่สาขา ‘Best Pop Instrumental Performance’ ในปี 1979 และยอดขายระดับ Gold ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพิสูจน์ว่าความสำเร็จของเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แต่ยิ่งไปกว่านั้น ดนตรีของ แมนจิโอนี ได้ก้าวไปประทับตราบนเวทีโลกอย่างแท้จริงผ่านมหกรรมกีฬาโอลิมปิก หลังจากที่เพลง ‘Chase the Clouds Away’ ถูกใช้ในการถ่ายทอดสดโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1976 เขาได้รับเกียรติให้ประพันธ์เพลงธีมอย่างเป็นทางการสำหรับโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1980 ที่เลกแพลซิด นั่นคือบทเพลง ‘Give It All You Got’
ภาพของ ชัค แมนจิโอนี ในชุดวอร์มสีสันสดใส ขึ้นแสดงสดเพลงนี้ในพิธีปิดการแข่งขัน กลายเป็น ‘ภาพจำ’ ที่ส่งให้เขาเป็นสัญลักษณ์ของดนตรี ที่สร้างแรงบันดาลใจและความรู้สึกดีงามในระดับสากล
ความสำเร็จในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ย่อมมาพร้อมกับปรากฏการณ์คู่ขนานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักฟังและนักวิจารณ์สายแจ๊สบริสุทธิ์ (Jazz Purists) สำหรับพวกเขา ดนตรีของ แมนจิโอนี ในยุคหลัง ได้แปรสภาพไปเป็น ‘ป๊อป-แจ๊ส’ ‘อีซี่ลิสซันนิ่ง’ หรือกระทั่งคำปรามาสที่รุนแรงอย่าง ‘เพลงในลิฟต์’ (Elevator Music)
ข้อกล่าวหาหลักคือ ดนตรีของเขา ‘ปลอดภัย’ เกินไป ขาดซึ่งความซับซ้อนและความเสี่ยงในการด้นสด (Improvisation) ที่เป็นหัวใจของดนตรีแจ๊สขนานแท้ และถูกมองว่าเป็นต้นธารของแนวทางที่นำไปสู่ศิลปิน อย่าง ‘เคนนี จี’ (Kenny G) ในทศวรรษต่อมา
ทว่าในอีกมุมหนึ่ง เสียงสนับสนุนแย้งว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นมองข้ามภูมิหลังทางดนตรีที่ไม่อาจโต้แย้งได้ การเคยเป็นสมาชิกของ ‘Art Blakey's Jazz Messengers’ และการที่นักดนตรีระดับ แคนนอนบอลล์ แอดเดอร์ลีย์ นำเพลงของเขาไปบรรเลง คือเครื่องยืนยันในความสามารถทางเทคนิคและชั้นเชิงการประพันธ์ ผู้สนับสนุนมองว่าเขาคือ ‘ผู้เปิดประตู’ (Gateway) ที่นำพาผู้ฟังนับล้านให้เข้ามาสัมผัสโลกของดนตรีบรรเลงและแจ๊สเป็นครั้งแรก และปฏิเสธไม่ได้ว่า โทนเสียงฟลูเกิลฮอร์นของเขานั้นงดงามและมีเอกลักษณ์อย่างหาตัวจับยาก
บางที การถกเถียงเรื่องการจำกัดความแนวดนตรีนี้ อาจถูกสรุปได้ดีที่สุดด้วยวาทะอมตะของ ‘ดุ๊ก เอลลิงตัน’ (Duke Ellington) ที่เคยกล่าวไว้ว่า “มีดนตรีเพียงสองประเภท คือ ดีและไม่ดี” (There are only two kinds of music: good and bad)
สำหรับแฟนเพลงจำนวนมหาศาลทั่วโลก ดนตรีของ ชัค แมนจิโอนี ไม่ว่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ใดก็ตาม คือดนตรีประเภท ‘ดี’ อย่างไม่ต้องสงสัย
นอกเหนือจากโลกของดนตรีแล้ว ชัค แมนจิโอนี ยังได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสมัยนิยมอย่างคาดไม่ถึง ผ่านบทบาทที่น่าจดจำในฐานะนักแสดงรับเชิญของตัวเองในซีรีส์แอนิเมชันยอดฮิต ‘King of the Hill’
เขาปรากฏตัวในบท ‘โฆษกคนดัง’ ของห้าง ‘Mega Lo Mart’ สวมหมวกอันเป็นเอกลักษณ์และเป่าฟลูเกิลฮอร์นในทุกโอกาส บทบาทนี้สร้างภาพจำใหม่ให้แก่เขาในหมู่คนรุ่นหลัง และแมนจิโอนีเองก็สนุกกับมัน ถึงขนาดแต่งเพลงชื่อ ‘Peggy Hill’ ไว้ในอัลบั้ม ‘Everything For Love’ (2000) เพื่อเป็นเกียรติแก่ตัวละครในเรื่อง
ในช่วงท้ายของชีวิต แมนจิโอนี ใช้เวลาส่วนใหญ่อย่างสงบในเมืองรอเชสเตอร์ บ้านเกิด ในปี 2012 เขาได้รับเกียรติสูงสุดด้วยการถูกจารึกชื่อใน ‘Rochester Music Hall of Fame’ เขายังคงผูกพันกับชุมชนอย่างลึกซึ้ง ดังที่เคยจัดคอนเสิร์ตฉลองวันเกิดครบรอบ 60 ปี ซึ่งระดมทุนได้กว่า 50,000 ดอลลาร์มอบให้กับสถานดูแลผู้สูงอายุ ‘St. John's Nursing Home’
และในเมืองรอเชสเตอร์แห่งนี้เองที่ ชัค แมนจิโอนี ได้จากไปอย่างสงบตามธรรมชาติในขณะนอนหลับ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2025 เป็นการปิดฉากชีวิตของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่เริ่มต้นและสิ้นสุด ณ บ้านเกิดของตนเอง
ท้ายที่สุดแล้ว เราจะจดจำ ชัค แมนจิโอนี ในฐานะใด? ศิลปินแจ๊สผู้ละทิ้งรากเหง้า หรือวีรบุรุษผู้เปิดประตูให้ดนตรีแจ๊สสู่มหาชน?
บางทีคำตอบอาจไม่ใช่การเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่มองว่าเขาคือทั้งหมดนั้น มรดกของ แมนจิโอนี ไม่ได้อยู่แค่ในแผ่นเสียงที่ได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์ในยุคแรก หรือในยอดขายระดับแพลทินัมในยุคต่อมา แต่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างนั้น เขาคือศิลปินที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ดนตรีที่มีคุณภาพทางศิลปะสามารถสื่อสารกับหัวใจคนหมู่มากได้ เขาทำให้เสียงของฟลูเกิลฮอร์นซึ่งไม่ใช่เครื่องดนตรีเอก กลายเป็นเสียงที่คนทั้งโลกรู้จักและหลงรัก
ไม่ว่าการถกเถียงจะดำเนินต่อไปอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือความรู้สึกที่บทเพลงของเขามอบให้แก่ผู้ฟัง ชัค แมนจิโอนี ทิ้งท่วงทำนองอันเรียบง่ายแต่งดงามไว้เบื้องหลัง ซึ่งจะยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เรายังคงเรารู้สึก ‘ดี’ ด้วยเสียงดนตรีที่ชวนให้เรารู้สึกดีจริง ๆ
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา:
"Chuck Mangione, Flugelhorn Master Who ‘Felt So Good,’ Dies at 84." The New York Times, 23 July 2025.
"Remembering Chuck Mangione: A Jazz Messenger Who Reached the Pop Charts." DownBeat Magazine, 24 July 2025.
"Chuck Mangione: Artist Page." The Recording Academy (Grammy Awards Official Website), grammy.com.