31 ก.ค. 2568 | 23:00 น.
ดนตรีแนวใดที่ชวนคุณขยับเขยื้อนเนื้อตัวไปตามท่วงทำนองของมันได้มากที่สุด?
ดิสโก้ ฟังก์ เฮาส์ อีดีเอ็ม ลาติน เค-ป๊อป หรือ ร็อกแอนด์โรล บรรดานามแขนงแนวเพลงที่เรากล่าวมานี้ ล้วนมีจังหวะ และท่วงทำนองที่ชวนให้เราไม่อยู่เฉยทั้งสิ้น ส่วนจะมาก หรือน้อยเพียงไหนก็ต้องให้รสนิยมความชอบของผู้ฟังท่านนั้น ๆ เป็นผู้ตัดสิน แต่มีอยู่หนึ่งแนวดนตรีที่เมื่อได้ยินทีไร ชาวไทยอย่างเราก็พลันรู้สึกคึกครื้น อยากลุกขึ้นเต้นรำอย่างไม่ต้องบอกกล่าว ดนตรีแนวที่ว่าเรามักรู้จักในชื่อ ‘หมอลำ’ (Morlam)
จะสรุปว่าดนตรีจากรากเหง้าของพื้นถิ่นภาคอีสานอย่างหมอลำ จะทำงานกับชาวไทยอย่างเราเพียงเท่านั้นก็อาจเป็นคำตอบที่คับแคบเกินไป เพราะในปัจจุบันนี้เราสามารถเห็นได้ว่ามีชาวต่างชาติไม่น้อยที่ไม่เพียงมาคุ้ยหาแผ่นเสียงหมอลำดั้งเดิมกลับไปฟัง แต่ยังตามไปชมการแสดงสดของวงหมอลำและหมอลำประยุกต์มากมายที่จัดขึ้นในประเทศไทย — หรือในบางครั้ง ก็ในวันที่วงหมอลำเหล่านั้นไปเยือนพวกเขาที่ต่างแดน
พลิกหน้ากระดาษไปดูขั้วตรงข้าม หากว่าด้วยดนตรีที่มีความเคร่งขึม จริงจัง ทางการ หรือแม้แต่ถูกมองว่าไม่ง่ายที่จะเข้าถึง ‘ดนตรีคลาสสิก’ (Classical Music) น่าจะเป็นภาพที่ปรากฎขึ้นคู่กับคุณลักษณะเหล่านั้น อาจเป็นเพราะสไตล์ดนตรีที่ค่อนข้างซับซ้อน การผสมผสานของเครื่องดนตรีหลากหลายรูปแบบ หรือบรรยากาศ และสถานที่ที่มีความเป็นทางการในการจัดแสดงก็มักกลายเป็นภาพจำว่าดนตรีประเภทนี้มีความจริงจัง และทางการกว่าดนตรีแขนงอื่น ๆ
แล้วจะเป็นอย่างไร หากสองโลกดนตรีที่ดูเหมือนจะอยู่กันคนละฟากฟ้า — โลกหนึ่ง คือหมอลำที่เต็มไปด้วยจังหวะชีวิตอันม่วนซื่นจากพื้นถิ่นอีสาน อีกโลก คือวงซิมโฟนีที่ยืนหยัดด้วยโครงสร้างดนตรีคลาสสิกตะวันตกอันประณีตบรรจง — ได้โคจรมาพบกันในเวทีเดียว?
คำตอบของคำถามนั้น สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนจากเวที ‘ม่วนซื่น ซิมโฟนี United in Sound: Morlam, Symphony & the Spirit of Youth’ คอนเสิร์ตที่จัดขึ้นที่ใต้สะพานพระราม 8 และได้กลายเป็นปรากฏการณ์ร่วมสมัย เมื่อ ‘วงดุริยางค์เยาวชนสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา’ (PYO) ได้โคจรมาพบกับศิลปินหมอลำรุ่นใหม่จากวง ‘ระเบียบวาทะศิลป์’ ท่ามกลางความต่างด้านภูมิหลังดนตรี เครื่องดนตรี และแนวคิดศิลปะ พวกเขากลับร่วมกันสร้างเสียงใหม่ที่เปิดพื้นที่ให้ความต่างได้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน
บทความนี้จึงชวนคุณไปพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องทุกฟากฝั่ง ตั้งแต่ผู้ดำเนินโครงการ วาทยกร ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ไปจนถึงนักดนตรี และนักร้องหมอลำ เพื่อสำรวจให้ลึกถึงเบื้องหลังของการผสานเสียง และให้เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่า สำหรับเสียงดนตรีแล้ว ‘พรมแดน’ เป็นเพียงเส้นที่มีไว้เพื่อบ่งบอกลักษณะเด่นของแต่ละแนวเท่านั้น แต่ไม่ได้กีดกันหรือจำแนกการอยู่ร่วมกันระหว่างดนตรีต่างแนวกันเลย — จนทำให้เราเห็นว่า ดนตรี ‘คลาสสิก’ กับ ‘หมอลำ’ ก็สามารถม่วนไปพร้อมกันได้!
‘ม่วนซื่น ซิมโฟนี’ เริ่มต้นจากคำถามที่เรียบง่ายแต่ท้าทายอย่างยิ่งว่า “ทำอย่างไรดนตรีคลาสสิกถึงจะได้รับพลังร่วมจากผู้ชมได้อย่างหมอลำบ้าง?” คำถามนี้ คือสิ่งที่ ‘ผศ.ดร.อโณทัย นิติพน’ ผู้รักษาการแทนอธิการบดีสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา หยิบยกขึ้นมาหลังจากได้ชมการแสดงของวงหมอลำระเบียบวาทะศิลป์ ที่งาน SPLASH ณ ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ เมื่อปีที่ผ่านมา ความประทับใจไม่เพียงอยู่ที่พลังของศิลปินบนเวทีเท่านั้น แต่คือพลังของผู้ชมที่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่แสงสี เสียง และลีลาการแสดงของหมอลำทำงานอย่างทรงพลังกับหัวใจผู้ชมอย่างไร้กำแพงทางศิลปะ
“เรารู้สึกว่าพลังของมวลชนจากคนดูและผู้แสดงทำให้ดนตรีมีความหมายจัง…”
— ผศ.ดร.อโณทัย นิติพน
จากจุดเริ่มเล็ก ๆ ครั้งนั้น ความคิดที่ดูเหมือนไกลตัวก็เริ่มตกผลึก เมื่อสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ในฐานะองค์กรด้านการเรียนรู้ทางดนตรี เปิดพื้นที่ให้ ‘PYO’ หรือ ‘Princess Galyani Vadhana Institute of Music Youth Orchestra’ เยาวชนออร์เคสตราได้ออกเดินทางไปพบกับอีกฟากฝั่งของดนตรีที่พวกเขาอาจไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดมาก่อน ซึ่งก็คือ เสียงของหมอลำ
ผศ.ดร.อโณทัย นิติพน (ซ้าย) และ ดร.พงษ์เทพ จิตดวงเปรม (ขวา)
ในสายตาของ ‘ดร.พงษ์เทพ จิตดวงเปรม’ รักษาการผู้ช่วยอธิการบดีสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาและหนึ่งในผู้รับผิดชอบโครงการวงดุริยางค์เยาวชนสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา การได้เห็นวงหมอลำทำงานอย่างแข็งแรงนอกระบบกรอบมหาวิทยาลัยที่เป็นการถ่ายทอดเสียงดนตรี และเทคนิคจากรุ่นสู่รุ่น รวมไปถึงการดูแลคนจำนวนมากภายในวงให้อยู่รอดร่วมกัน จึงเป็นบทเรียนทรงคุณค่าให้กับคนดนตรีตะวันตกที่อยู่ในระบบการศึกษาอย่างเต็มตัว
“เขาเหมือนมหาวิทยาลัยที่อยู่ในชีวิตจริง…
เป็นการเรียนรู้ที่น่าสนใจอยู่ในชีวิตจริง
แล้วก็มีรายได้จากการแสดงจริง ๆ ด้วยนะครับ”
— ดร.พงษ์เทพ จิตดวงเปรม
หนึ่งฝั่ง คือเยาวชนที่ฝึกฝนบนโน้ตดนตรี และอุดมคติความงามแบบซิมโฟนี อีกฝั่ง คือศิลปินหมอลำที่เรียนรู้จากชีวิตจริง และความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับคนดู ทั้งสองต่างเดินทางกันคนละเส้นทาง แต่กลับมีบางอย่างร่วมกันโดยไม่รู้ตัว นั่นคือความรักในเสียงดนตรี และการเล่าเรื่องของ ‘ความเป็นมนุษย์’ ผ่านเสียงเพลง
“แม้ภาษาของดนตรีที่นำเสนอจะต่างแค่ไหน แต่ทั้งสองวงมีจุดร่วม คือคน...
เรามีรากของความเป็นไทยร่วมกัน
และมีรากของการใช้ดนตรีในการสื่อสารความเป็นมนุษย์เหมือนกัน”
— ผศ.ดร.อโณทัย นิติพน
และจากจุดร่วมเล็ก ๆ นั้นเอง จึงกลายเป็นเวทีที่ใหญ่พอให้สองโลกดนตรีได้เคลื่อนเข้าหากัน หลอมรวมจังหวะจากแคน พิณ และเสียงร้องพื้นถิ่น เข้ากับโครงสร้างของเครื่องสาย เครื่องเป่า และความประณีตแบบซิมโฟนี จนกลายเป็นเสียงใหม่ที่ทั้งม่วน ซิ่ง และทรงพลังในคราวเดียวกัน เป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีที่ไม่เพียงเปิดพื้นที่ให้ความต่างได้อยู่ร่วมกัน แต่ยังเผยให้เห็นว่าความหลากหลายเมื่อละเมียดเข้าหากันด้วยความเข้าใจ ย่อมสามารถสร้างสิ่งใหม่ที่งดงามและมีชีวิตชีวากว่าเดิมเสมอ
ในเวทีที่รวมโลกสองใบเข้าด้วยกัน เยาวชนจากวง PYO ก็เป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญที่ทำให้บทสนทนาระหว่างดนตรีคลาสสิก และหมอลำเกิดขึ้นจริง ‘จิรวัฒน์ ชัยนันท์’ นักศึกษาที่กำลังจะขึ้นปี 3 ซึ่งเล่นบาสซูน (Bassoon) และ ‘จันฑาภัทร์ จันทร์ศิริ’ นักศึกษาที่เล่นทูบา (Tuba) ต่างเป็นตัวแทนของเสียงรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับการฝึกฝนอย่างเข้มข้นในโลกของดนตรีออร์เคสตรา
แม้ทั้งคู่จะคุ้นชินกับการตีความโน้ตดนตรีตามหลักสากล แต่การได้ร่วมโปรเจกต์ ม่วนซื่น ซิมโฟนี กลับเป็นการเปิดมิติใหม่ให้กับประสบการณ์ทางดนตรีของจันฑาภัทร์ โดยเฉพาะการได้ใกล้ชิดกับศิลปะหมอลำที่ทั้งมีชีวิต มีจังหวะเฉพาะตัว และไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ๆ ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้วิธีทางดนตรีในแบบที่แตกต่างออกไป
“ผมได้เรียนรู้วิถีชีวิตของเขา ผ่านดนตรีที่เขาเล่น
มันต่างจากที่เราเรียนในห้องตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเลย”
— จันฑาภัทร์ จันทร์ศิริ
ขณะที่จิรวัฒน์เล่าว่าการได้ร่วมเวทีกับหมอลำ เป็นการเปลี่ยนกรอบการฟัง และการเล่นดนตรีอย่างสิ้นเชิง เพราะหมอลำไม่ได้เล่นตามกรอบบาร์ หรือจังหวะที่นักดนตรีคลาสสิกคุ้นเคย แต่ใช้การ ‘ฟัง’ และ ‘รู้สึก’ เข้ามาในการบรรเลงด้วย ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พวกเขาเริ่มลองประยุกต์วิธีใหม่ ๆ ไม่เพียงในทางเทคนิค หากยังรวมถึงความเข้าใจว่าดนตรี คือภาษาของความรู้สึก ที่ต้องฟังด้วยหัวใจและความรู้สึกร่วมด้วย
“ตอนแรกผมเล่นแบบคลาสสิกเลย
แต่พอมีนักร้องเข้ามา เพลงเดิม ๆ ที่เหมือนจะง่าย กลับ ‘ไม่ม่วน’
ผมกับเพื่อน ๆ เลยเติมลูกเล่นเอง เติมแอคเซนต์ เพื่อให้มันมีชีวิตมากขึ้น”
— จิรวัฒน์ ชัยนันท์
จิรวัฒน์ ชัยนันท์
ทั้งจันฑาภัทร์ และจิรวัฒน์ นอกจากจะเป็นตัวแทนของวง PYO ที่มาบอกเล่าความรู้สึกของนักดนตรีผู้มีส่วนร่วมในคอนเสิร์ต ม่วนซื่น ซิมโฟนี แล้ว พวกเขายังเป็นภาพแทนของความเป็นไปได้ในการผสมผสานดนตรีคลาสสิกกับหมอลำ แนวดนตรีที่ดูจะแตกต่างกันคนละขั้ว แต่ก็สามารถผสมผสานจนกลายเป็นรสชาติ และเสน่ห์ใหม่ ๆ ที่ทั้งสองได้บรรยายว่า
“สำหรับผมมันเหมือน ‘ลาบน้ำตกที่ใช้เนื้อสเต็ก’ หรือ ‘ส้มตำใส่ครัวซองต์’ คือมันแปลกแต่ก็น่าลอง”
— จิรวัฒน์
“ผมเคยถามเพื่อนว่าเคยกินอะไรแปลก ๆ ไหม เพื่อนบอกว่าเคยกิน ‘พิซซ่า กับส้มตำ’ ซึ่งผมก็งงว่าได้เหรอ แต่เพื่อนบอกว่าอร่อย ผมว่ามันก็เหมือนหมอลำ กับคลาสสิกนั่นแหละ ฟังดูไม่น่าจะไปด้วยกันได้ แต่ถ้าลองเปิดใจ ก็อาจจะอร่อยก็ได้ เหมือนคอนเสิร์ตคืนนี้ครับ”
— จันฑาภัทร์ จันทร์ศิริ
ในอีกฟากของการผสมผสานครั้งนี้ ‘ท็อป–นรากร กันจันทึก’ นักร้องหมอลำจากคณะ ‘ระเบียบวาทะศิลป์’ คือผู้ที่นำพาภาษาอีสานและจังหวะชีวิตของหมอลำเข้าสู่โลกของดนตรีคลาสสิก ผ่านเสียงร้องและอารมณ์ที่คุ้นเคยจากเวทีบ้านเกิด สู่บทบาทใหม่ที่ท้าทายกว่าที่เคย
“เสน่ห์ของหมอลำสำหรับผม คือการร้อง
การนำภาษาท้องถิ่นมาเรียบเรียงเป็นบทเพลง
นี่แหละครับ คือความงดงาม”
นรากร กันจันทึก (ขวา)
เขาเติบโตมากับหมอลำในชีวิตประจำวัน และเห็นความ ‘ม่วน’ เป็นหัวใจหลักของศิลปะการแสดงนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะจังหวะที่เร็วเร้าใจ แต่เพราะหมอลำสามารถปรับตัว และพัฒนาไปตามยุคสมัยได้อย่างต่อเนื่อง
“ผมคิดว่าความ ‘ม่วน’ คืออันดับหนึ่งเลยครับ
ใครไปดูหมอลำก็คาดหวังว่าจะต้องสนุก”
เมื่อมีโอกาสได้ร่วมงานกับวงซิมโฟนี ความรู้สึกแรก คือความประหลาดใจ เพราะไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหมอลำจะผสานกับเครื่องดนตรีคลาสสิกได้อย่างไร จนกระทั่งได้ยินเสียงจริงครั้งแรก จึงเข้าใจว่าโลกสองใบนี้สามารถพบกันได้จริง
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นักร้องหมอลำอย่างเขาต้องฝึกฟัง และปรับตัวอย่างมากเพื่อเข้าใจโครงสร้างใหม่ของเพลงที่ถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่ให้เข้ากับวงออร์เคสตรา ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง
“ว้าวเลยครับ เพราะไม่เคยร้องเพลงกับเครื่องดนตรีแบบนี้มาก่อน มันรู้สึกยิ่งใหญ่ สมกับที่เคยจินตนาการไว้จริง ๆ แต่ความยาก คือเรานักร้องหมอลำไม่คุ้นเคยกับดนตรีแบบนี้เลยครับ... ฟังยากพอสมควรเลยครับ”
แต่ภายใต้ความยาก ก็มีการเรียนรู้ใหม่เกิดขึ้น ทั้งการสื่อสารกับนักดนตรี การเข้าใจอารมณ์ในแต่ละโน้ต และการหาจุดร่วมระหว่างสองแนวดนตรีที่ดูห่างไกลกันอย่างไม่น่าเชื่อ และเขาก็มองว่าการมาเจอกันครั้งนี้ คือการยกระดับหมอลำอย่างแท้จริง โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเห็นหมอลำแบบนี้มาก่อน
“นี่คือโปรเจกต์ที่ดีมาก เป็นโอกาสที่คนจะได้เห็นหมอลำในบริบทใหม่... ผมเชื่อว่าหลายคนจะต้องรู้สึกว่า ‘หมอลำมาถึงระดับนี้แล้วเหรอ?’”
เรื่องราวของทั้งจันฑาภัทร์ และจิรวัฒน์ สะท้อนให้เราเห็นถึงประสบการณ์ของนักดนตรีที่มีพื้นฐาน และธรรมชาติจากดนตรีคลาสสิก และได้ไปผนวกกับเอกลักษณ์ของหมอลำ หรือแม้แต่ความรู้สึกของ ท็อป นรากร ที่ได้สะท้อนว่า การมาเจอกันของสองดนตรีจากสองฟากฝั่งนี้ เป็นการยกระดับเพลงหมอลำขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
แล้วหากว่าเราถอยออกมาดูภาพรวมการผสมผสานกันของดนตรีคลาสสิก และหมอลำ เราจะเห็นอะไรบ้าง?
บุคคลที่ตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นสองผู้อยู่เบื้องหลังเสียงดนตรีในคอนเสิร์ตนี้ อย่าง ‘สิบเอก อภูดม เกษมสถิตสถาพร’ กรมดุริยางค์ทหารบก ศิษย์เก่าสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ผู้เรียบเรียงดนตรี และ ‘อาจารย์ ธนสิทธิ์ ศิริพานิชวัฒนา’ ประธานหลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต สำนักวิชาดุริยางคศาสตร์ สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา วาทยกรที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้จริงบนเวที
“มันเหมือนอาหารจานใหม่ มีเครื่องปรุงที่เราคุ้นอยู่แล้ว
แต่ว่าอยากให้ทุกคนได้มาลองกัน ว่ามันจะเป็นรสชาติแบบไหน”
— อภูดม เกษมสถิตสถาพร
สำหรับอภูดมแล้ว ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่ความแตกต่างของแนวดนตรี แต่คือการออกแบบเสียงใหม่จากองค์ประกอบที่คุ้นเคย การได้แคนกับพิณมาเติมจากตัวเลือกทางเสียงเดิมจึงไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นการเพิ่มสีสันที่หลากหลาย พร้อมกับตั้งใจผสมแนวดนตรีอื่นเข้าไปด้วย เช่น ฟังก์ ละติน หรือป๊อป เพื่อให้ทุกเพลงมีคาแรกเตอร์ไม่ซ้ำกัน
อภูดม เกษมสถิตสถาพร
“ผมพยายามผสมแนวดนตรีอื่นเข้าไป เช่น ร็อค ฟังก์ ละติน เพื่อไม่ให้ไปทับกับรูปแบบที่เคยทำมาก่อน ผมอยากทำให้หมอลำที่ร่วมกับ PYO มีความแตกต่าง และเฉพาะตัวที่สุดแบบที่ไม่มีใครทำมาก่อน”
— อภูดม เกษมสถิตสถาพร
ขณะที่ธนสิทธิ์ ในฐานะผู้รับไม้ต่อจากการเรียบเรียง ก็นำพลังของโน้ตเหล่านั้นมาทำให้เกิดจริงในวงซ้อมและบนเวที เขาอาศัยประสบการณ์จากการเป็นหนึ่งในสมาชิกดนตรีออร์เคสตราในฐานะนักทิมปานีจากวง Thailand Philharmonic Orchestra (TPO) กับ Royal Bangkok Symphony Orchestra (RBSO) มองเห็นความคล้ายกันระหว่างหมอลำกับโอเปร่า ทั้งในด้านการเล่าเรื่อง และพลังของการแสดงสด
“หมอลำมันมีเรื่องราว มีการแสดง มีอารมณ์
ไม่ต่างจากโอเปร่าเลยครับ”
— ธนสิทธิ์ ศิริพานิชวัฒนา
นอกจากจะจัดวางตำแหน่งนักดนตรีให้ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนแล้ว เขายังออกแบบวิธีการซ้อมใหม่ทั้งหมด รวมทั้งเปลี่ยนเทคนิคการบรรเลงต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสำเนียงเสียงหมอลำ เช่น เปลี่ยนจากเทคนิตเลกาโต เป็นสปิคกาโต เพื่อเพิ่มความคมชัดของจังหวะ และชวนให้นักศึกษาเรียนรู้การ ‘เล่นกับคนดู’ ซึ่งเป็นจุดแข็งของหมอลำ
“นักศึกษาซึมซับดนตรีพื้นบ้านได้เร็วมาก เขาได้เรียนรู้ว่าต้องเล่นยังไงถึงจะ ‘โจ๊ะ’ หรือมี ‘ความหนืด’ ที่พอดี”
— ธนสิทธิ์ ศิริพานิชวัฒนา
ธนสิทธิ์ ศิริพานิชวัฒนา
งสองต่างเห็นตรงกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การผสมแนวดนตรี แต่คือการพัฒนาศิลปะให้เข้าถึงผู้ฟังมากขึ้น โดยไม่ทิ้งรากเดิมของแต่ละแนวเอาไว้เบื้องหลัง
“มันเหมือนอาหารจานใหม่ เมนูใหม่ ที่ใช้เครื่องปรุงที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่อยากให้ทุกคนได้มาลองกันดูว่าจะออกมาเป็นรสชาติแบบไหน”
— อภูดม เกษมสถิตสถาพร
“ในที่สุดเราจะสร้างผู้ชมที่มากขึ้นจากทั้งสองฝั่ง และช่วยยกระดับความเข้าใจในวัฒนธรรมร่วมกันครับ”
— ธนสิทธิ์ ศิริพานิชวัฒนา
‘ม่วนซื่น ซิมโฟนี’ ไม่ได้เริ่มต้นจากโน้ตตัวใด แต่เริ่มต้นจากคำถามเรียบง่ายที่ว่า
“ทำไมดนตรีคลาสสิก จะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้?”
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของ ผศ.ดร.อโณทัย นิติพน หลังได้ชมการแสดงหมอลำของวงระเบียบวาทะศิลป์ เธอรู้สึกถึงพลังของคนดูที่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด พลังที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจโดยไม่ต้องมีคำแปล และนั่นเองที่กลายเป็นแรงผลักดันให้เธอตั้งคำถามถึง ‘พรมแดน’ ของดนตรีคลาสสิกที่เธอพบอยู่ทุกวัน
“เราไม่ได้แค่ให้วงมาเล่นด้วยกัน แต่เราสร้างพื้นที่ให้ทั้งสองฝั่งได้เรียนรู้กันจริง ๆ ต้องฟังกัน ต้องเชื่อใจกัน เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจกัน เสียงดนตรีที่ออกมาก็จะไม่มีพลัง”
— ผศ.ดร.อโณทัย นิติพน
“ดนตรีก็เป็นเครื่องมือที่ดีในการทำให้คนเปิดใจ ยอมรับความต่าง คนที่เคยอยู่กันคนละโลกก็มาอยู่บนเวทีเดียวกันได้ มันเลยเป็นมากกว่าการแสดง มันเป็น ‘พื้นที่ร่วม’”
— ดร. พงษ์เทพ จิตดวงเปรม
เพราะฉะนั้น คอนเสิร์ตครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการบรรเลงของวงออร์เคสตราเยาวชน กับศิลปินหมอลำ แต่คือการทดลองร่วมกันที่วางอยู่บนพื้นฐานของ ‘การฟัง’ ในความหมายที่ลึกกว่าการได้ยิน แต่เป็นการฟังเจตนา ฟังความรู้สึก และฟังกันและกัน
เสียงดนตรีจึงกลายเป็นภาษากลางที่ทำให้คนจากคนละภูมิหลัง เรียนรู้กันได้อย่างเท่าเทียม วง PYO เริ่มซึมซับจังหวะชีวิตแบบหมอลำ ขณะที่หมอลำเองก็ได้เข้าใจโครงสร้าง ความแม่นยำ และวินัยแบบคลาสสิก นี่คือการแลกเปลี่ยนที่ทำให้ทั้งสองฝั่งเติบโตไปด้วยกัน
“สิ่งสำคัญที่เด็กเรียนรู้คือ ‘การฟัง’... ซึ่งเป็นหัวใจของการเล่นดนตรีทุกแขนง” ดร. พงษ์เทพ จิตดวงเปรมกล่าว
และเมื่อเสียงเหล่านั้นมารวมกันในยามเย็นของวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2568 ภายใต้สะพานพระราม 8 ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา สายลมเย็นสบาย ความ “ม่วน” ของดนตรี และความ “ซื่น” ของผู้ชม พื้นที่ตรงนั้นจึงกลายเป็นมากกว่าเวทีคอนเสิร์ต
มันคือเวทีชีวิต ที่หมอลำกับซิมโฟนีได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
เสียงแคนประสานกับเสียงไวโอลิน เสียงร้องอีสานผสานกับเครื่องเป่าตะวันตก ทุกเสียงล้วนพูดภาษาของมนุษย์ที่สามารถรับรู้กันได้ด้วยหัวใจ นี่จึงไม่ใช่แค่คอนเสิร์ต หากคือคำชวนให้เราทุกคน เปิดใจฟังเสียงที่เราไม่คุ้นเคย และมองความต่างในฐานะของขวัญที่พร้อมจะต่อยอดสิ่งใหม่เสมอ
นั่นคือความเชื่อมั่นสำคัญของ สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ที่มองว่าดนตรีไม่มีพรมแดน และยิ่งเปิดพื้นที่ให้การผสมผสานมากเท่าไร โอกาสในการสร้างความเข้าใจใหม่ระหว่างผู้คนก็ยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น
“เวลาที่เราบอกว่าดนตรีเป็นประเภทไหน ในตอนที่เรียนดนตรีเราต้องรู้ เพราะต้องใช้กรอบในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจ แต่เราไม่ควรใช้กรอบที่ว่ามาปิดกั้นการต่อยอดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิตจริง”
ท้ายที่สุด นี่คือการเดินหน้าตามปรัชญาของสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาที่ว่าด้วย ‘ดนตรีแห่งชีวิต ดนตรีแห่งแผ่นดิน’ (Musique de la Vie et de la Terre - Music of Life, Music of Land) ที่เชื่อว่า ไม่ว่าดนตรีจะมีกรอบ หรือกติกาเพียงใดแต่ดนตรีก็ต้องสามารถอยู่คู่กับชีวิตจริง ต้องสอดรับ คลุกเคล้ากับอารมณ์ที่หลากหลายของมนุษย์และสะท้อนถึงความเป็นดนตรีแห่งชีวิตให้ได้ นอกจากนั้น สิ่งนี้ คือการพาดนตรีคลาสสิก กลับไปทำความรู้จัก และผสมผสานกับรากความเป็นไทย เพื่อให้เสียงดนตรีที่ถูกเปล่งออกมา พาเราหวนนึกถึงตัวตนของ ‘ความเป็นไทย’ ที่หลอมรวมกลายเป็นดนตรีแห่งแผ่นดินอย่างแท้จริง