04 ก.ค. 2568 | 13:00 น.
นับตั้งแต่วันที่จับโอโบ เครื่องดนตรีตะวันตกชื่อประหลาดที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทย เมื่ออายุได้ 15 ปี จนถึงปัจจุบัน ณัฏฐา ควรขจร หรือ มุก ใช้เวลาเกินครึ่งชีวิตอยู่กับโอโบมาโดยตลอด นับตั้งแต่การเรียนกับครูคนแรก อ.ชนันนัทธ์ มีนะนันทน์ แห่งวงดุริยางค์สากล กรมศิลปากร ฝึกประสบการณ์ในการเล่นวงออร์เคสตราที่วงดุริยางค์เยาวชนไทย (TYO) กระทั่งลัดฟ้าไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ ณ Yong Siew Toh Conservatory of Music และดั้นด้นไปถึงต้นธารของดนตรีตะวันตกที่เยอรมนี ที่ Hochschule für Musik แห่งเมือง Karlsruhe ซึ่งมีปรมาจารย์ Thomas Indermühle เป็นผู้สอน ขณะเดียวกันก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเล่นออร์เคสตราหลายวงในยุโรป จนเมื่ออินทรีย์แก่กล้า ฝึกฝนวิชาสำเร็จดังใจหมาย พระเจ้าตา Indermühle ก็ให้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอน เมื่อปี 2561 ณัฏฐาก็ได้รับงานประจำในฐานะนักโอโบและก้าวสู่การเป็นหัวหน้ากลุ่มโอโบ ที่ Royal Bangkok Symphony Orchestra และปัจจุบันตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา ก็ได้มาเป็นหัวหน้ากลุ่มโอโบที่วง Thailand Philharmonic Orchestra นับเป็นนักดนตรีคลาสสิกรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์มาแล้วอย่างเข้มข้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นอกเหนือจากการเป็นนักดนตรีในวงออร์เคสตราแล้ว ณัฏฐายังมีความมุ่งมั่นในการเผยแพร่ความรู้ด้านดนตรีคลาสสิกในสังคมไทยให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยได้เป็นผู้ดำเนินรายการ Gen Z and Classical Music ทางไทยพีบีเอสพ็อดคาสต์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ฟังทั้งหน้าใหม่และขาประจำ ทั้งโดยการจัดทำข้อมูลเองและเชิญนักดนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการดนตรีมาให้ข้อมูลความรู้เพิ่มเติมอีกด้วย และในขณะเดียวกัน ณัฏฐาก็ได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาโอโบในหลายสถาบันการศึกษา ทำหน้าที่สร้างนักโอโบรุ่นใหม่ให้กับวงการอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่ดนตรีคลาสสิกของณัฏฐา ไม่เพียงแค่การเล่นในวงออร์เคสตราและการจัดรายการพ็อดคาสต์เท่านั้น แต่สิ่งที่ณัฏฐามุ่งเน้นเป็นอย่างมากอีกหนึ่งด้าน คือการเล่น chamber music ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิถีของดนตรีคลาสสิกที่มุ่งไปในทางลึกซึ้งเข้มข้น โดยนับตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวร ณัฏฐาก็ได้เริ่มจับกลุ่มพรรคพวกเพื่อนฝูงนักดนตรีที่สนิทกัน เล่น chamber music ในหลายรูปแบบ ทั้งโอโบกับเปียโน โอโบ-วิโอลา-เปียโน โอโบ-ฟลูต-เปียโน โอโบกับเครื่องสาย วง Woodwind Quintet วง Wind Ensemble หรือแม้แต่การประสมวงแบบพิเศษคือ โอโบ-ยูโฟเนียม-เปียโน ซึ่งณัฏฐาพยายามสร้างเอกลักษณ์ให้กับการแสดงแต่ละครั้ง โดยขุดหาเพลงที่ผู้ฟังไม่คุ้นเคยแต่มีความน่าสนใจ มานำเสนอให้พวกเราได้ฟังกัน ทำให้เราได้รู้จักกับผลงานของคีตกวีชื่อไม่คุ้นอย่าง Franz Xaver Süssmayr (1766 - 1803 คีตกวีชาวออสเตรีย ลูกศิษย์ของโมสาร์ต ผู้แต่งเพิ่มเติมบท Requiem ที่โมสาร์ตแต่งค้างไว้จนเสร็จสมบูรณ์) Hans Sitt (1850 - 1922 คีตกวีชาวโบฮีเมีย) Robert Kahn (1865 – 1951 คีตกวีชาวเยอรมัน) Charles Martin Loeffler (1861 - 1935 คีตกวีขาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน) Madeleine Dring (1923 - 1977 คีตกวีสตรีชาวอังกฤษ) Paul Reade (1943 - 1997 คีตกวีชาวอังกฤษ) Óscar Navarro (เกิด 1981 คีตกวีชาวสเปน) หรือแม้แต่ผลงานที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและนำออกแสดงของ Clara Schumann (1819 – 1896 คีตกวีสตรีชาวเยอรมัน ภรรยาของ Robert Schumann) หรือของโมสาร์ตก็ตาม ทำให้ตระหนักได้ว่า “โลกนี้มิได้อยู่ด้วยมณีเดียวนา” ผลงานอันมีคุณค่าของคีตกวีที่เราไม่รู้จักยังมีอยู่อีกเหลือคณานับ การแสดง chamber music แต่ละครั้งของณัฏฐา จึงแสดงความปรารถนาที่จะเผยแพร่ผลงานเหล่านี้สู่สาธารณชน
และในวันที่ 6 กรกฎาคม 2568 ณัฎฐาและผองเพื่อนจะกลับมาอีกครั้ง ในรายการแสดงผลงานของคีตกวีไทยร่วมสมัยล้วนๆ จำนวน 5 ท่าน ได้แก่ อ.ดร. ยศ วณีสอน นักคลาริเน็ตชั้นครู ซึ่งมีผลงานการแต่งเพลงที่ผสมผสานดนตรีไทยกับดนตรีตะวันตกไว้มากมาย โดยนำเสนอเพลง "หงส์เหิน" สำหรับโอโบและเปียโน ซึ่งเป็นการนำเสนอความงดงามของท่ารำมวยไทยที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของหงส์ โดยใช้โอโบเลียนเสียงปี่ชวาซึ่งเป็นเครื่องดนตรีหลักในการบรรเลงปี่มวย ซึ่งเพลงนี้เคยนำแสดงและบันทึกเสียงไว้โดย อ.ดำริห์ บรรณวิทยกิจ ครูโอโบสำคัญอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย เมื่อปี 2566
ต่อด้วยผลงานของ ศ.ดร. ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร ศิลปินแห่งชาติและศิลปินศิลปาธร ในผลงาน “Threnody” to the victims of 2020 Pandemic for English Horn Solo ซึ่งดัดแปลงมาจากชิ้นงานสำหรับเดี่ยววิโอลา เป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นในปี 2020 เพื่ออุทิศให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตและต้องผ่านความยากลำบากจากการระบาดของโรคโควิด-19 บทเพลงนี้ถูกนำออกแสดงครั้งแรกโดย ผศ.ดร. ทัศนา นาควัชระ ผ่านคอนเสิร์ตในรูปแบบออนไลน์ ก่อนที่ อ.ณรงค์ฤทธิ์นำมาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่เพื่อการแสดงในครั้งนี้ให้เข้ากับอิงลิชฮอร์นที่มีสุ้มเสียงคล้ายกับวิโอลา
ตามมาด้วยผลงานของ ดร. อัคร ยืนยงหัตถภรณ์ นักเปียโนและคีตกวีที่ชื่นชอบการแต่งเพลงร้อง ซึ่งล่าสุดได้มีผลงานร่วมกับ ดร.กิตตินันท์ ชินสำราญ ในบทเพลงชุด “ขุนช้าง” โดยในครั้งนี้เป็นผลงานชื่อ Ohne Worte (“ไร้ถ้อยคำ”) เป็นบทเพลงชุดสามท่อนสำหรับอิงลิชฮอร์นและเปียโนที่มีลักษณะเสมือนบทเพลงขับร้อง (หรือในลักษณะ Song without Word เช่นเดียวกับที่เราคุ้นเคยของ Mendelssohn) ซึ่งถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่เหนือขอบเขตของถ้อยคำ ได้แก่ ความอัศจรรย์ของแสงระยิบระยับจากหมู่ดาว ลมหายใจของขุนเขาอันเงียบสงัด และความเงียบจากภายใน ถือเป็น “โซนาตาร่วมสมัย” ซึ่งหลอมรวมธรรมเนียมของดนตรีคลาสสิกเข้ากับความเป็นสมัยนิยม ทั้งสามท่อนประพันธ์ขึ้นตามโครงสร้างของเพลงร้องร่วมสมัย โดยยังคงหยิบยืมเทคนิคการพัฒนา และการแปรทำนองจากการประพันธ์ดนตรีคลาสสิก
รวมถึงผลงานของ มรกต เชิดชูงาม นักเปียโนและคีตกวีซึ่งมีผลงานหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอมรวมสำเนียงดนตรีของไทยกับรูปแบบและเทคนิคทางดนตรีและการประสานเสียงแบบตะวันตก ในงานชื่อ Sonata for Oboe and Piano ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากบทเพลงไทย “กล่อมนารี” ของครูมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ และจากวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี” ของสุนทรภู่ โดยเฉพาะตอนเกี้ยวละเวงวัณฬา โดยใช้โอโบซึ่งเป็นเครื่องเป่าที่มีลักษณะคล้ายกับ “ปี่” เครื่องดนตรีประจำตัวของพระอภัยมณี เพลงนี้แต่งขึ้นเพื่อให้ณัฏฐาบรรเลงในเทศกาล Internation Double Reed Society เมื่อปี 2566 ซึ่งครั้งนี้ มรกตจะเป็นผู้บรรเลงเปียโนด้วยตัวเอง
สุดท้ายเป็นผลงานของ ดร. บาลี พงศ์กลัด คีตกวีชาวไทย ที่พำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกา ในงานชื่อ In (out of) Sync for Oboe, Euphonium, and Piano เป็นบทเพลงที่ผสมผสานเครื่องดนตรีที่ไม่น่าจะเข้ากันได้อย่างสนุกสนาน ทั้งโอโบและยูโฟเนียมมีบทบาทเท่าเทียมกันโดยสะท้อนและเสริมแต่งด้วยเปียโน เป็นผลงานที่ณัฏฐานำไปบรรเลงในเทศกาล Internation Double Reed Society เมื่อปี 2566 อีกเช่นกัน โดยจะมีแขกรับเขิญที่เคยเล่นด้วยกันในครั้งที่แล้วอย่าง อ.ดร. บุญฤทธิ์ กิจทวีพิทักษ์ อาจารย์ยูโฟเนียมชื่อดังจากมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นการ restage ของหลายบทเพลงจากเทศกาลนั้น
คอนเสิร์ตในครั้งนี้ จะจัดขึ้นที่ศาลาสุทธสิริโสภา หอแสดงดนตรีที่ขึ้นชื่อทั้งด้านเสียงและความงดงาม เหมาะกับการเล่น chamber music เป็นอย่างยิ่ง และในปัจจุบัน ทางศาลาฯ มีนโยบายให้ผู้ที่จะมาแสดงต้องบรรเลงบทเพลงของคีตกวีไทยอย่างน้อย 1 เพลง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผลงานของคีตกวีไทยด้วยกันให้เผยแพร่สู่สังคมมากขึ้น แต่ในครั้งนี้ณัฏฐาเลือกโปรแกรมคีตกวีไทยล้วนๆ จึงตรงกับวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมของศาลาฯ เป็นอย่างดียิ่ง จึงขอเชิญชวนผู้สนใจดนตรีคลาสสิกได้มาลองรับฟังผลงานการประพันธ์ดนตรีร่วมสมัย ฝีมือคนไทย และบรรเลงโดยคนไทยที่มีฝีมืออยู่ในระดับที่สากลให้การยอมรับ หากมีโอกาสโปรดอย่าพลาดโปรแกรมนี้โดยเด็ดขาด
นี่คืออีกหนึ่งพันธกิจของณัฏฐา ควรขจร ในการเผยแพร่ดนตรีคลาสสิก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดนตรีคลาสสิกที่เกิดขึ้นจากฝีมือของคนไทย