‘ดร.ไซอัส’  กูรูวานรผู้พิทักษ์ศรัทธาด้วยการฝังความจริง 

‘ดร.ไซอัส’  กูรูวานรผู้พิทักษ์ศรัทธาด้วยการฝังความจริง 

‘ดร.ไซอัส’ วานรผู้พิทักษ์ศรัทธาและความจริง ในจักรวาล Planet of the Apes ไม่ใช่แค่ตัวร้ายไซไฟธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความกลัว ความอคติ และการปกป้องอาณาจักรของตน เรื่องราวของเขาสะท้อนทั้งการเมือง ประวัติศาสตร์ และศีลธรรม ทำให้ผู้ชมย้อนมองมนุษย์และสังคมในยุคของเราเอง

KEY

POINTS

"หาก ‘พิภพวานร’ (Planet of the Apes) คงรักษาจังหวะและอารมณ์อันยอดเยี่ยมแบบตอนเปิดเรื่อง ไว้ได้ มันก็คงจะเป็นเรื่องแนวไล่ล่าอย่างชัดเจน แต่ลึกลงไปมันก็มีศีลธรรมอยู่ด้วย จากนั้นมันก็กลายเป็นหนังที่น่าเบื่อด้วยคำสั่งสอนมากมายจนเกินไปกว่าความบันเทิงของมัน" แฟรงคลิน เจ.แชฟฟ์ เนอร์กล่าวถึงผลงาน กำกับของเขาเมื่อปี 1968 หนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก เมื่อนับจากจำนวนตั้งแต่เรื่องนี้ เมื่อร่วม 60 ปีก่อนจนถึงทศวรรษนี้ ก่อให้เกิดทั้งภาคต่อ รีเมก และรีบูทรวมกันถึง 10 เรื่อง ทำเงินให้ ‘ฟ็อกซ์ สตูดิโอ’ ผู้สร้างไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านเหรียญ  

มันจึงเป็นการสั่งสอนที่น่าเบื่อ แต่กลับมีผู้คนต้องการเรียนรู้เรื่องราวของวานรอีกมากเช่นกัน 

ในยุคนี้ใครต่อใครอาจจดจำ ‘ซีซาร์’ วานรซีจีแบบโมชันแคปเจอร์ภายใต้การแสดงของ ‘แอนดี เซอร์คิส’ จากฉบับรีบูทที่เริ่มด้วย ‘Rise of the Planet of the Apes’ (2011) ตัวละครเด่นผู้ก่อตั้งอาณาจักรวานร ซึ่งใน ‘Conquest of the Planet of the Apes’ (1972) หรือภาค 4 ของฉบับดั้งเดิม เคยถูกใช้เป็นชื่อลูกของ ‘ซีรา’ กับ ‘คอร์นีเลียส’ ที่มี ‘คิม ฮันเตอร์’ กับ ‘ร็อดดี แมคโดวอล’ รับบทภายใต้เมกอัพหน้ากากลิง ทั้งคู่เป็นคู่รักชิมแปนซีที่ปรากฏอยู่ในฉบับดั้งเดิมเกือบทุกภาค และเป็นอีก 2 ตัวละครจากเรื่องนี้ที่โด่งดัง  

แต่ถ้าไม่นับฉบับทีวีซีรีส์หรือการ์ตูนทีวี สำหรับ ‘ดร.ไซอัส’ (Dr. Zaius) วานรชราที่รับบทโดย ‘มอริซอี แวนส์’ เขา (หรือมัน?) ปรากฏอยู่เพียงแค่ใน 2 ภาคแรกเท่านั้น แต่น่าจะเป็นที่จดจำมากกว่าทุกตัวละครตั้งแต่มีการสร้างกันมา ไม่ว่าจะเป็นวานรหรือมนุษย์อย่าง ‘จอร์จ เทย์เลอร์’ นักบินอวกาศที่รับบทโดย ‘ชาร์ลตัน เฮสตัน’  

ระดับความโด่งดังของดร.ไซอัส น่าจะใกล้เคียงกับไอคอนตัวร้ายในหนังไซไฟ-แฟนตาซียุคต่อมาอย่าง ‘ดาร์ท เวเดอร์’ หรือ ‘ทานอส’ ก็ว่าได้ เพราะเคยปรากฏอยู่ตามวัฒนธรรมป๊อปในรูปแบบต่าง ๆ มาแล้ว มากมาย ทั้งขึ้นปกนิตยสาร ถูกผลิตเป็นของเล่น เป็นแขกรับเชิญในการ์ตูนซีรีส์ชื่อดังอย่าง ‘The Simpsons’ รวมทั้งถูกอ้างอิงถึงอีกหลายครั้งในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในสื่อทีวีและภาพยนตร์ 

เขาคือวานรอาวุโสผู้ปราดเปรื่อง และเป็นตัวละครผู้กุมความลับสำคัญ จากบทบาทของ ดร.ไซอัส ‘คำสั่งสอน’ ส่วนใหญ่ตามที่แชฟฟ์ เนอร์กล่าวจึงมักมาจากวานรตัวนี้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในการกระทำ เพื่อให้เป็นตามเป้าประสงค์ของเขา คือวนเวียนอยู่กับ ‘ความจริง’ บนดาวดวงนั้นที่ทำให้เรื่องราวไซไฟไกลตัว ห่างไปนับร้อยปีแสง กลับสะท้อนมาถึงเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ยุคสงครามเย็นที่เรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้น หรือ สายพันธุ์ดิจิทัลในวันนี้ก็ตาม  

Planet of the Apes ดัดแปลงมาจากนิยายไซไฟฝรั่งเศส ‘La Planète des singes’ โดย ‘ปิแอร์ บูเล’ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1963 หรือภายหลังสงครามยืดเยื้อของฝรั่งเศสในประเทศใต้อาณัติอย่างอัลจีเรียเพิ่งยุติได้เพียงปีเดียว ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปีเดียวกัน โดยในอังกฤษใช้ชื่อ ‘Monkey Planet’ และในอเมริกาใช้ชื่อเดียวกับชื่อหนังซึ่งผู้สร้างอย่างฟ็อกซ์สตูดิโอนำออกฉายในช่วงเวลาที่อเมริกาและโลกกำลังป่วนปั่น  

‘ดร.ไซอัส’  กูรูวานรผู้พิทักษ์ศรัทธาด้วยการฝังความจริง 

ในปีนั้น ‘โรเบิร์ต เคนเนดี’ น้องชายประธานาธิบดี ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ เพิ่งถูกลอบสังหารต่อหน้าฝูงชน ไม่ต่างจากพี่ชาย เช่นเดียวกับผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อคนผิวสีอย่าง ‘มาร์ติน ลูเทอร์ คิง’ ยิ่งไปกว่านั้น ยังถือเป็นทศวรรษแห่งการประท้วงและจราจลในหมู่คนผิวดำในอเมริกา ผนวกเข้ากับการเดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนามที่กำลังประทุอยู่ยังอีกฟากโลก มีการปรามปรามการชุมนุมอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง คอมมิวนิสต์ถูกชูเป็นภัยร้ายในโลกเสรี และคล้ายกับปัจจุบัน อุณหภูมิสงครามเย็นเพิ่มขึ้น จากคำข่มขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ระหว่างมหาอำนาจต่างฝ่ายของโลก  

“นี่คือ ดร.ไซอัส เหมือนกับวานรตัวอื่น เขาสวมเสื้อคลุมและกางเกงแบบทั่วไป แต่เนื้อผ้าทำจากวัสดุมีราคา และสายคาดบนเสื้อคลุมของเขามีการตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือย” ในบทหนังบรรยายถึง ‘ดร.ไซอัส’ ด้วยเครื่องทรงเหล่านั้น ทำให้เขาแยกจากวานรชนชั้นอื่น เพราะเขาเป็นอุรังอุตังสายพันธุ์ชนชั้นปกครอง ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากระทรวงวิทยาศาสตร์และพิทักษ์ศรัทธา เป็นทั้งผู้ตื่นรู้วิทยาการและศาสนา  

และเมื่อพิจารณาจากมุมมองกับประสบการณ์ทางการเมืองของ ‘ไมเคิล วิลสัน’ และ ‘ร็อด เซอร์ลิง’ สองผู้เขียนบทเรื่องนี้ ดร.ไซอัสก็เป็นตัวละครที่น่าจะ ‘เข้าทาง’ ทั้งคู่อยู่เหมือนกัน 

“ความชั่วร้ายเฉพาะตัวในยุคของเราคืออคติความชั่วร้ายอื่น ๆ ทั้งหมดเติบโตและทวีคูณขึ้นจากความชั่วร้ายนี้” เซอร์ลิงแห่งทีวีซีรีส์อมตะ ‘แดนสนธยา’ (Twilight Zone) และอดีตสมาชิกกลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์แห่งฮอลลีวูด กล่าวเมื่อปี 1967 ถึงปัญหาระหว่างชนชั้นและสีผิวที่ทำให้สังคมอเมริกันแตกแยก 

การนำเสนอชายผิวขาวที่ตกอยู่ใต้สุดของระบบสังคมอยุติธรรม ท่ามกลางการดูหมิ่นถากถางของวานรที่คิดว่าตนเป็นสปีซีส์ที่สูงส่งในบทเรื่องนี้ของเซอร์ลิงจึงราวกับเป็นภาพสะท้อนปัญหาการเหยียดผิวที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับคนดำในอเมริกาในช่วงเวลานั้น เช่นเดียวกับความกลัวจากภัยของสงครามเย็น  

ส่วนวิลสัน เนื่องจากในช่วงทศวรรษที่ 1950 เกิดการ ‘ล่าแม่มด’ หรือ ‘ลัทธิแมคคาร์ทีย์’ การไล่จับผู้มีแนวคิดฝักใฝ่ระบอบคอมมิวนิสต์ในหมู่ผู้คนแวดวงฮอลลีวูด โดยคณะกรรมการที่ก่อตั้งโดย ‘โจเซฟ แมคคาร์ทีย์’ วุฒิสมาชิกขวาจัด หลายคนถูกบังคับให้บอกชื่อคนอื่นที่เป็นคอมมิวนิสต์ หรือถูกกล่าวหาเสียเอง หากไม่ยอมทำตาม และวิลสันก็เป็นหนึ่งในนั้น  

ในปี 1951 เขาถูกนำตัวขึ้นไต่สวนโดยคณะกรรมาธิการกิจกรรมอันไม่เป็นอเมริกันแห่งสภาผู้แทนราษฎร (House Committee on Un-American Activities) ที่ไม่ต่างจากศาลเตี้ยของแมคคาร์ทีย์ ชื่อของวิลสันถูกขึ้นบัญชีดำจนไม่มีใครจ้าง หมดทางหากิน เป็นความอยุติธรรมที่มาในนามของกฎหมาย ซีนการไต่สวนของดร.ไซอัสกับพวกในบทหนังจึงน่าจะมีส่วนไม่น้อยมาจากประสบการณ์ในการปกป้องความบริสุทธิ์ให้ตัวเองเมื่อครั้งนั้น 

บทหนังเปิดเรื่องด้วยคำบอกเล่าบันทึกการเดินทางจากกลางอวกาศของเทย์เลอร์ภายหลังทะยานออกจากโลกมาแล้ว 6 เดือน แต่ด้วยความเร็วแสง มันจึงเท่ากับเกือบ 700 ปีตามเวลาของโลก ก่อนที่เขาจะเข้าสู่สภาวะจำศีล และตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นอีก 1,300 ปีต่อมา หรือ ค.ศ. 3975 บนดวงดาวที่เขาไม่รู้จัก แต่วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างลิงกับมนุษย์ เหมือนจะกลับตาลปัตร  

ในขณะที่มนุษย์กลายเป็นสัตว์ป่า ไม่รู้จักวิวัฒนาการใดแม้แต่การพูด (หรือนุ่งผ้าแบบที่เขียนไว้ในบทหนัง) วานรกลับเป็นผู้ปกครอง พวกมันสร้างสังคมอารยะไม่ต่างจากมนุษย์บนโลก และมีการแบ่งแยกชนชั้นรวมทั้งหน้าที่กันไปตามสายพันธุ์  

เทย์เลอร์เจอกอริลลาเป็นสายพันธุ์แรก พวกมันคอยทำหน้าที่เป็นทหารและนักรบ มีอำนาจไล่ล่าและฆ่ามนุษย์ได้ตามใจ เขาโดนพวกมันยิงเข้าคอจนพูดไม่ได้แล้วจับมาขังไว้ ก่อนจะได้รับความใส่ใจช่วยเหลือจาก ‘ซีรา’ ชิมแปนซีเพศเมียชนชั้นปัญญาชน ที่หวังจะนำเขามาศึกษาตามสาขาสัตววิทยาที่เธอเชี่ยวชาญ ด้วยสีฟ้าในดวงตาของเทย์เลอร์ เธอจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘ตาสว่าง’ หรือ ‘Bright Eye’  

แต่ดร.ไซอัส ไม่ได้เห็นความแตกต่างใดจากสัตว์ชนิดนี้ที่เขาเคยพบ ขณะที่ความพยายามในการสื่อสารของเทย์เลอร์ที่ทำให้ซีราตื่นเต้น ดร.ไซอัสมองเป็นเพียงพฤติกรรมเลียนแบบวานรเท่านั้น เขาเชื่ออย่างจริงจัง มนุษย์ไม่สามารถคิดอะไรได้ การทดลองเดียวที่จะทำได้กับมนุษย์ คือนำพวกมันมาผ่าสมอง หรือกำจัดให้พ้นไป เหมือนที่บัญญัติไว้ในหลักคำสอนของคัมภีร์เทพวานรโบราณอายุ 1,200 ปีซึ่งเป็นทั้งกฎหมายและไบเบิลศักดิ์สิทธิ์ลิงตัวใดจะล่วงละเมิดมิได้ 

“จงระวังสัตว์มนุษย์ เพราะพวกมันคือเครื่องมือของปีศาจ เป็นเผ่าพันธุ์เดียวในหมู่สรรพสัตว์ของพระเจ้า พวกมันฆ่าเพื่อความสนุก เพื่อตัณหา หรือเพื่อความโลภ ใช่, พวกมันจะฆ่าพี่น้องของมันเพื่อยึดผืนดิน อย่าได้ปล่อยให้พวกมันแพร่พันธุ์จนมีมาก เพราะมันจะเปลี่ยนให้บ้านของมันและของท่านเป็นทะเลทราย จงรังเกียจมัน ขับไล่มันเข้าไปในป่าของพวกมัน เพราะมันคือผู้นำมาซึ่งความตาย” หลักคำสอนฉบับที่ 23 วรรคที่ 9 เขียนไว้แบบนั้น 

และเมื่อเทย์เลอร์กลับมาเป็นปกติจนเปล่งคำพูดออกมาได้ วานรนักวิชาการหนุ่มสาวอย่าง คอร์นีเลียส กับ ซีรา คนรักของเขาก็กล้าท้าทายอำนาจด้วยคำคัดค้าน หวังรักษาชีวิตเทย์เลอร์ไว้เพื่อใช้ศึกษาความเป็นมาระหว่างสองเผ่าพันธุ์ความรู้ที่จะพาไปสู่ความจริงที่ดร.ไซอัสไม่ต้องการให้ใครแตะต้อง ข้อหา ‘นอกรีต’ ทั้งต่อวิทยาศาสตร์และศาสนาจึงถูกยัดให้กับสองชิมแปนซี 

เหล่าอุรังอุตังเฒ่าผู้ทรงภูมิเปิดศาลเฉพาะกิจของสถาบันแห่งชาติวานรขึ้น เพื่อทำการไต่สวนคดีนี้ โดยมีอุรังอุตังผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่เป็นอัยการ ดร.ไซอัสกับอุรังอุตังอีกตัวจากกรรมาธิการฝ่ายกิจการสัตว์ และท่านประธาน ร่วมกันเป็นคณะไต่สวน ส่วนอีกด้านมีซีราและคอร์นีเลียส รวมทั้งเทย์เลอร์เป็นเหมือนจำเลยคอยแก้ต่างให้ตัวเอง

“ขอให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนนี้ถือเป็นความลับ และใครก็ตามที่พูดคุยเรื่องนี้นอกห้องพิจารณานี้จะถูกลงโทษฐานดูหมิ่นศาล” ประธานกล่าวในตอนต้น บ่งบอกน้ำหนักความยุติธรรมที่กำลังจะตามมา  

ทั้งคอร์นีเลียสและซีราถูกผู้เฒ่าใช้ความอาวุโสด้อยค่า-กล่าวหาว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์วิปริตที่ก้าวหน้าบนทฤษฎีเลวร้ายในนาม ‘วิวัฒนาการ’ ไปจนถึงบิดเบือนว่ามีแผนการร้าย ‘บ่อนทำลายรากฐานแห่งศรัทธา’ ของชนชาติวานรและยังกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย-รุนแรงว่าเทย์เลอร์คือผลผลิตการทดลองตัดแต่งสมองมนุษย์โดยซีราจนทำให้เขาพูดได้ 

แต่เมื่อทั้งหมดพยายามคัดค้านและปฏิเสธ คณะผู้ไต่สวนทั้งสามกลับไม่ยอมรับฟัง แต่ละตัวต่างยกมือขึ้นปิดหู ปิดปาก และปิดตา ให้กับคำอธิบายเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ตลอดการพิจารณาคดี ดร.ไซอัสไม่ใช่ไม่รู้ว่าตนทั้งกำลังโกหกและบิดเบือน เหมือนที่เขารู้มาตั้งแต่ต้นว่าเทย์เลอร์แตกต่างจากมนุษย์คนอื่น เพราะในเวลาต่อมา ดร.ไซอัสได้ยอมรับเองกับเทย์เลอร์ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ คือพยายามปกปิดความจริงต่อไปให้ถึงที่สุด เขาจึงจำเป็นต้องทำ 

“ฉันยอมรับที่พวกมิวแตนต์จะไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่ยังมีอีก มีรังของพวกมันด้วย รังของพวกแกอยู่ไหน เทย์เลอร์ พวกตัวเมียของแกอยู่ไหน?” ดร.ไซอัสถามกับเทย์เลอร์หลังการไต่สวน ความกลัวยังเกาะกินและหนาหนักขึ้นจนต้องละล้ำละลักราวจะอ้อนวอนกับเทย์เลอร์เพื่อให้ได้คำตอบ  

ไม่ต่างจากการลุกขึ้นของเหล่าปัญญาชนเพื่อต่อต้านความอยุติธรรมที่มักเกิดขึ้นตามมา เมื่อผู้ปกครองไร้เหตุผลในการบังคับใช้กฎหมายอย่างพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะกฎที่ผูกไว้กับความศรัทธาจนกลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์หมดทางโต้แย้ง คอร์นีเลียสจึงตัดสินใจทำในสิ่งไม่คิดว่าตัวเองจะกล้า เพราะตลอดมาเมื่อเกิดขัดแย้งในเชิงความคิดกับผู้อาวุโส ชิมแปนซีหนุ่มนักโบราณคดีมักก้มหน้ายอมรับทุกข้อความตามคัมภีร์ที่ดร.ไซอัสมักนำมาอ้างเช่นเดียวกับในการไต่สวน 

แต่เขากับซีรากลับกล้าละเมิดกฎเหล็ก ช่วยพาเทย์เลอร์หลบหนีไปด้วยกันเพื่อออกค้นหาความจริง ความจริงที่บทหนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมต้องตื่นตะลึงด้วยคำเฉลยถึงตำแหน่งของดวงดาววานร คำตอบที่ทำให้กลายเป็นตอนจบของโลกภาพยนตร์ที่ชวนช็อคที่สุดเรื่องหนึ่ง  

ด้วยพยานของความหายนะที่มนุษย์เคยก่อขึ้นตรงหน้าเทย์เลอร์กับสิ่งที่ ดร.ไซอัสเคยเตือน หรือทุกคำโกหกในทางศาสนา การเมืองและปรัชญาที่ยกมาอ้าง ล้วนเพื่อปกปิดความจริงที่ผู้ชมต้องกลัวและเทย์เลอร์ต้องก่นด่าออกมาดัง ๆ ก่อนทุบกำปั้นลงบนผืนทรายด้วยความโกรธแค้น 

จากความจริงดังกล่าว ดร.ไซอัสจึงไม่ใช่ตัวร้ายประเภทนักวิทยาศาสตร์บ้าคลั่งหวังยึดครองโลก หรือสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนอุรังอุตังคอยทำลายทุกสิ่งเพื่อตัวเอง ตามแบบตัวร้ายดาษดื่นในนิยายไซไฟทั่วไป แต่ทุกความเลวร้าย ล้วนมาจากเหตุผลของความห่วงใยในอาณาจักรของตน ซึ่งหมายถึงเหล่าวานรทุกตัวในเขตแดนนั้น ผู้เฒ่าใช้ความฉ้อฉลกับวาทกรรมบิดเบือน เพียงเพื่อหวังจะปกป้องความสงบสุขของเผ่าพันธุ์  

และเมื่อมองย้อนกลับมายังปัจจุบันของโลกที่ยังคงมีการแบ่งฝักฝ่าย สงครามและภัยจากอาวุธนานาที่ต่างประคนเข้าห้ำหั่นกันอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของโลก จนมาถึงเขตแนวรั้วบ้านเรา ทั้งหมดราวกับมนุษย์ไม่รู้จักเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ทั้งที่เป็นความจริงแท้ตามที่ดร.ไซอัส เคยเตือนเรามาแล้วจากอนาคต

“อย่าไปตามหามันเลยเทย์เลอร์ แกอาจไม่ชอบสิ่งที่แกจะได้เจอ” ดร.ไซอัสบอกกับเทย์เลอร์เป็นครั้งสุดท้าย  

 

เรื่อง: สืบสกุล แสงสุวรรณ  

ภาพ: Getty Images 

อ้างอิง: 

- Wilson, M. (1968). Planet of the Apes. Based on the novel La Planète des singes by P. Boulle. Shooting script, May 5, 1967. 

- Villains Wiki. (n.d.). Dr. Zaius.  

- Russell, A. (2022, October 11). Why Planet of the Apes' Doctor Zaius Wasn't Actually a Villain. CBR.com 

- Greene, E. (1996). Planet of the Apes as American Myth. London: McFarland & Com pany. 

- Reynolds, G. (2014). The Monkey on America's Back: The Fears of 1960s America as Seen in the Film Planet of the Apes. The Thetean: A Student Journal for Scholarly Historical Writing, 43(1).

.