19 พ.ย. 2568 | 15:10 น.

KEY
POINTS
"หาก ‘พิภพวานร’ (Planet of the Apes) คงรักษาจังหวะและอารมณ์อันยอดเยี่ยมแบบตอนเปิดเรื่อง ไว้ได้ มันก็คงจะเป็นเรื่องแนวไล่ล่าอย่างชัดเจน แต่ลึกลงไปมันก็มีศีลธรรมอยู่ด้วย จากนั้นมันก็กลายเป็นหนังที่น่าเบื่อด้วยคำสั่งสอนมากมายจนเกินไปกว่าความบันเทิงของมัน" แฟรงคลิน เจ.แชฟฟ์ เนอร์กล่าวถึงผลงาน กำกับของเขาเมื่อปี 1968 หนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก เมื่อนับจากจำนวนตั้งแต่เรื่องนี้ เมื่อร่วม 60 ปีก่อนจนถึงทศวรรษนี้ ก่อให้เกิดทั้งภาคต่อ รีเมก และรีบูทรวมกันถึง 10 เรื่อง ทำเงินให้ ‘ฟ็อกซ์ สตูดิโอ’ ผู้สร้างไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านเหรียญ
มันจึงเป็นการสั่งสอนที่น่าเบื่อ แต่กลับมีผู้คนต้องการเรียนรู้เรื่องราวของวานรอีกมากเช่นกัน
ในยุคนี้ใครต่อใครอาจจดจำ ‘ซีซาร์’ วานรซีจีแบบโมชันแคปเจอร์ภายใต้การแสดงของ ‘แอนดี เซอร์คิส’ จากฉบับรีบูทที่เริ่มด้วย ‘Rise of the Planet of the Apes’ (2011) ตัวละครเด่นผู้ก่อตั้งอาณาจักรวานร ซึ่งใน ‘Conquest of the Planet of the Apes’ (1972) หรือภาค 4 ของฉบับดั้งเดิม เคยถูกใช้เป็นชื่อลูกของ ‘ซีรา’ กับ ‘คอร์นีเลียส’ ที่มี ‘คิม ฮันเตอร์’ กับ ‘ร็อดดี แมคโดวอล’ รับบทภายใต้เมกอัพหน้ากากลิง ทั้งคู่เป็นคู่รักชิมแปนซีที่ปรากฏอยู่ในฉบับดั้งเดิมเกือบทุกภาค และเป็นอีก 2 ตัวละครจากเรื่องนี้ที่โด่งดัง
แต่ถ้าไม่นับฉบับทีวีซีรีส์หรือการ์ตูนทีวี สำหรับ ‘ดร.ไซอัส’ (Dr. Zaius) วานรชราที่รับบทโดย ‘มอริซอี แวนส์’ เขา (หรือมัน?) ปรากฏอยู่เพียงแค่ใน 2 ภาคแรกเท่านั้น แต่น่าจะเป็นที่จดจำมากกว่าทุกตัวละครตั้งแต่มีการสร้างกันมา ไม่ว่าจะเป็นวานรหรือมนุษย์อย่าง ‘จอร์จ เทย์เลอร์’ นักบินอวกาศที่รับบทโดย ‘ชาร์ลตัน เฮสตัน’
ระดับความโด่งดังของดร.ไซอัส น่าจะใกล้เคียงกับไอคอนตัวร้ายในหนังไซไฟ-แฟนตาซียุคต่อมาอย่าง ‘ดาร์ท เวเดอร์’ หรือ ‘ทานอส’ ก็ว่าได้ เพราะเคยปรากฏอยู่ตามวัฒนธรรมป๊อปในรูปแบบต่าง ๆ มาแล้ว มากมาย ทั้งขึ้นปกนิตยสาร ถูกผลิตเป็นของเล่น เป็นแขกรับเชิญในการ์ตูนซีรีส์ชื่อดังอย่าง ‘The Simpsons’ รวมทั้งถูกอ้างอิงถึงอีกหลายครั้งในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในสื่อทีวีและภาพยนตร์
เขาคือวานรอาวุโสผู้ปราดเปรื่อง และเป็นตัวละครผู้กุมความลับสำคัญ จากบทบาทของ ดร.ไซอัส ‘คำสั่งสอน’ ส่วนใหญ่ตามที่แชฟฟ์ เนอร์กล่าวจึงมักมาจากวานรตัวนี้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในการกระทำ เพื่อให้เป็นตามเป้าประสงค์ของเขา คือวนเวียนอยู่กับ ‘ความจริง’ บนดาวดวงนั้นที่ทำให้เรื่องราวไซไฟไกลตัว ห่างไปนับร้อยปีแสง กลับสะท้อนมาถึงเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ยุคสงครามเย็นที่เรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้น หรือ สายพันธุ์ดิจิทัลในวันนี้ก็ตาม
Planet of the Apes ดัดแปลงมาจากนิยายไซไฟฝรั่งเศส ‘La Planète des singes’ โดย ‘ปิแอร์ บูเล’ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1963 หรือภายหลังสงครามยืดเยื้อของฝรั่งเศสในประเทศใต้อาณัติอย่างอัลจีเรียเพิ่งยุติได้เพียงปีเดียว ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปีเดียวกัน โดยในอังกฤษใช้ชื่อ ‘Monkey Planet’ และในอเมริกาใช้ชื่อเดียวกับชื่อหนังซึ่งผู้สร้างอย่างฟ็อกซ์สตูดิโอนำออกฉายในช่วงเวลาที่อเมริกาและโลกกำลังป่วนปั่น
ในปีนั้น ‘โรเบิร์ต เคนเนดี’ น้องชายประธานาธิบดี ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ เพิ่งถูกลอบสังหารต่อหน้าฝูงชน ไม่ต่างจากพี่ชาย เช่นเดียวกับผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อคนผิวสีอย่าง ‘มาร์ติน ลูเทอร์ คิง’ ยิ่งไปกว่านั้น ยังถือเป็นทศวรรษแห่งการประท้วงและจราจลในหมู่คนผิวดำในอเมริกา ผนวกเข้ากับการเดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนามที่กำลังประทุอยู่ยังอีกฟากโลก มีการปรามปรามการชุมนุมอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง คอมมิวนิสต์ถูกชูเป็นภัยร้ายในโลกเสรี และคล้ายกับปัจจุบัน อุณหภูมิสงครามเย็นเพิ่มขึ้น จากคำข่มขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ระหว่างมหาอำนาจต่างฝ่ายของโลก
“นี่คือ ดร.ไซอัส เหมือนกับวานรตัวอื่น เขาสวมเสื้อคลุมและกางเกงแบบทั่วไป แต่เนื้อผ้าทำจากวัสดุมีราคา และสายคาดบนเสื้อคลุมของเขามีการตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือย” ในบทหนังบรรยายถึง ‘ดร.ไซอัส’ ด้วยเครื่องทรงเหล่านั้น ทำให้เขาแยกจากวานรชนชั้นอื่น เพราะเขาเป็นอุรังอุตังสายพันธุ์ชนชั้นปกครอง ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากระทรวงวิทยาศาสตร์และพิทักษ์ศรัทธา เป็นทั้งผู้ตื่นรู้วิทยาการและศาสนา
และเมื่อพิจารณาจากมุมมองกับประสบการณ์ทางการเมืองของ ‘ไมเคิล วิลสัน’ และ ‘ร็อด เซอร์ลิง’ สองผู้เขียนบทเรื่องนี้ ดร.ไซอัสก็เป็นตัวละครที่น่าจะ ‘เข้าทาง’ ทั้งคู่อยู่เหมือนกัน
“ความชั่วร้ายเฉพาะตัวในยุคของเราคืออคติความชั่วร้ายอื่น ๆ ทั้งหมดเติบโตและทวีคูณขึ้นจากความชั่วร้ายนี้” เซอร์ลิงแห่งทีวีซีรีส์อมตะ ‘แดนสนธยา’ (Twilight Zone) และอดีตสมาชิกกลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์แห่งฮอลลีวูด กล่าวเมื่อปี 1967 ถึงปัญหาระหว่างชนชั้นและสีผิวที่ทำให้สังคมอเมริกันแตกแยก
การนำเสนอชายผิวขาวที่ตกอยู่ใต้สุดของระบบสังคมอยุติธรรม ท่ามกลางการดูหมิ่นถากถางของวานรที่คิดว่าตนเป็นสปีซีส์ที่สูงส่งในบทเรื่องนี้ของเซอร์ลิงจึงราวกับเป็นภาพสะท้อนปัญหาการเหยียดผิวที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับคนดำในอเมริกาในช่วงเวลานั้น เช่นเดียวกับความกลัวจากภัยของสงครามเย็น
ส่วนวิลสัน เนื่องจากในช่วงทศวรรษที่ 1950 เกิดการ ‘ล่าแม่มด’ หรือ ‘ลัทธิแมคคาร์ทีย์’ การไล่จับผู้มีแนวคิดฝักใฝ่ระบอบคอมมิวนิสต์ในหมู่ผู้คนแวดวงฮอลลีวูด โดยคณะกรรมการที่ก่อตั้งโดย ‘โจเซฟ แมคคาร์ทีย์’ วุฒิสมาชิกขวาจัด หลายคนถูกบังคับให้บอกชื่อคนอื่นที่เป็นคอมมิวนิสต์ หรือถูกกล่าวหาเสียเอง หากไม่ยอมทำตาม และวิลสันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในปี 1951 เขาถูกนำตัวขึ้นไต่สวนโดยคณะกรรมาธิการกิจกรรมอันไม่เป็นอเมริกันแห่งสภาผู้แทนราษฎร (House Committee on Un-American Activities) ที่ไม่ต่างจากศาลเตี้ยของแมคคาร์ทีย์ ชื่อของวิลสันถูกขึ้นบัญชีดำจนไม่มีใครจ้าง หมดทางหากิน เป็นความอยุติธรรมที่มาในนามของกฎหมาย ซีนการไต่สวนของดร.ไซอัสกับพวกในบทหนังจึงน่าจะมีส่วนไม่น้อยมาจากประสบการณ์ในการปกป้องความบริสุทธิ์ให้ตัวเองเมื่อครั้งนั้น
บทหนังเปิดเรื่องด้วยคำบอกเล่าบันทึกการเดินทางจากกลางอวกาศของเทย์เลอร์ภายหลังทะยานออกจากโลกมาแล้ว 6 เดือน แต่ด้วยความเร็วแสง มันจึงเท่ากับเกือบ 700 ปีตามเวลาของโลก ก่อนที่เขาจะเข้าสู่สภาวะจำศีล และตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นอีก 1,300 ปีต่อมา หรือ ค.ศ. 3975 บนดวงดาวที่เขาไม่รู้จัก แต่วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างลิงกับมนุษย์ เหมือนจะกลับตาลปัตร
ในขณะที่มนุษย์กลายเป็นสัตว์ป่า ไม่รู้จักวิวัฒนาการใดแม้แต่การพูด (หรือนุ่งผ้าแบบที่เขียนไว้ในบทหนัง) วานรกลับเป็นผู้ปกครอง พวกมันสร้างสังคมอารยะไม่ต่างจากมนุษย์บนโลก และมีการแบ่งแยกชนชั้นรวมทั้งหน้าที่กันไปตามสายพันธุ์
เทย์เลอร์เจอกอริลลาเป็นสายพันธุ์แรก พวกมันคอยทำหน้าที่เป็นทหารและนักรบ มีอำนาจไล่ล่าและฆ่ามนุษย์ได้ตามใจ เขาโดนพวกมันยิงเข้าคอจนพูดไม่ได้แล้วจับมาขังไว้ ก่อนจะได้รับความใส่ใจช่วยเหลือจาก ‘ซีรา’ ชิมแปนซีเพศเมียชนชั้นปัญญาชน ที่หวังจะนำเขามาศึกษาตามสาขาสัตววิทยาที่เธอเชี่ยวชาญ ด้วยสีฟ้าในดวงตาของเทย์เลอร์ เธอจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘ตาสว่าง’ หรือ ‘Bright Eye’
แต่ดร.ไซอัส ไม่ได้เห็นความแตกต่างใดจากสัตว์ชนิดนี้ที่เขาเคยพบ ขณะที่ความพยายามในการสื่อสารของเทย์เลอร์ที่ทำให้ซีราตื่นเต้น ดร.ไซอัสมองเป็นเพียงพฤติกรรมเลียนแบบวานรเท่านั้น เขาเชื่ออย่างจริงจัง มนุษย์ไม่สามารถคิดอะไรได้ การทดลองเดียวที่จะทำได้กับมนุษย์ คือนำพวกมันมาผ่าสมอง หรือกำจัดให้พ้นไป เหมือนที่บัญญัติไว้ในหลักคำสอนของคัมภีร์เทพวานรโบราณอายุ 1,200 ปีซึ่งเป็นทั้งกฎหมายและไบเบิลศักดิ์สิทธิ์ลิงตัวใดจะล่วงละเมิดมิได้
“จงระวังสัตว์มนุษย์ เพราะพวกมันคือเครื่องมือของปีศาจ เป็นเผ่าพันธุ์เดียวในหมู่สรรพสัตว์ของพระเจ้า พวกมันฆ่าเพื่อความสนุก เพื่อตัณหา หรือเพื่อความโลภ ใช่, พวกมันจะฆ่าพี่น้องของมันเพื่อยึดผืนดิน อย่าได้ปล่อยให้พวกมันแพร่พันธุ์จนมีมาก เพราะมันจะเปลี่ยนให้บ้านของมันและของท่านเป็นทะเลทราย จงรังเกียจมัน ขับไล่มันเข้าไปในป่าของพวกมัน เพราะมันคือผู้นำมาซึ่งความตาย” หลักคำสอนฉบับที่ 23 วรรคที่ 9 เขียนไว้แบบนั้น
และเมื่อเทย์เลอร์กลับมาเป็นปกติจนเปล่งคำพูดออกมาได้ วานรนักวิชาการหนุ่มสาวอย่าง คอร์นีเลียส กับ ซีรา คนรักของเขาก็กล้าท้าทายอำนาจด้วยคำคัดค้าน หวังรักษาชีวิตเทย์เลอร์ไว้เพื่อใช้ศึกษาความเป็นมาระหว่างสองเผ่าพันธุ์ความรู้ที่จะพาไปสู่ความจริงที่ดร.ไซอัสไม่ต้องการให้ใครแตะต้อง ข้อหา ‘นอกรีต’ ทั้งต่อวิทยาศาสตร์และศาสนาจึงถูกยัดให้กับสองชิมแปนซี
เหล่าอุรังอุตังเฒ่าผู้ทรงภูมิเปิดศาลเฉพาะกิจของสถาบันแห่งชาติวานรขึ้น เพื่อทำการไต่สวนคดีนี้ โดยมีอุรังอุตังผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่เป็นอัยการ ดร.ไซอัสกับอุรังอุตังอีกตัวจากกรรมาธิการฝ่ายกิจการสัตว์ และท่านประธาน ร่วมกันเป็นคณะไต่สวน ส่วนอีกด้านมีซีราและคอร์นีเลียส รวมทั้งเทย์เลอร์เป็นเหมือนจำเลยคอยแก้ต่างให้ตัวเอง
“ขอให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนนี้ถือเป็นความลับ และใครก็ตามที่พูดคุยเรื่องนี้นอกห้องพิจารณานี้จะถูกลงโทษฐานดูหมิ่นศาล” ประธานกล่าวในตอนต้น บ่งบอกน้ำหนักความยุติธรรมที่กำลังจะตามมา
ทั้งคอร์นีเลียสและซีราถูกผู้เฒ่าใช้ความอาวุโสด้อยค่า-กล่าวหาว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์วิปริตที่ก้าวหน้าบนทฤษฎีเลวร้ายในนาม ‘วิวัฒนาการ’ ไปจนถึงบิดเบือนว่ามีแผนการร้าย ‘บ่อนทำลายรากฐานแห่งศรัทธา’ ของชนชาติวานรและยังกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย-รุนแรงว่าเทย์เลอร์คือผลผลิตการทดลองตัดแต่งสมองมนุษย์โดยซีราจนทำให้เขาพูดได้
แต่เมื่อทั้งหมดพยายามคัดค้านและปฏิเสธ คณะผู้ไต่สวนทั้งสามกลับไม่ยอมรับฟัง แต่ละตัวต่างยกมือขึ้นปิดหู ปิดปาก และปิดตา ให้กับคำอธิบายเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ตลอดการพิจารณาคดี ดร.ไซอัสไม่ใช่ไม่รู้ว่าตนทั้งกำลังโกหกและบิดเบือน เหมือนที่เขารู้มาตั้งแต่ต้นว่าเทย์เลอร์แตกต่างจากมนุษย์คนอื่น เพราะในเวลาต่อมา ดร.ไซอัสได้ยอมรับเองกับเทย์เลอร์ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ คือพยายามปกปิดความจริงต่อไปให้ถึงที่สุด เขาจึงจำเป็นต้องทำ
“ฉันยอมรับที่พวกมิวแตนต์จะไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่ยังมีอีก มีรังของพวกมันด้วย รังของพวกแกอยู่ไหน เทย์เลอร์ พวกตัวเมียของแกอยู่ไหน?” ดร.ไซอัสถามกับเทย์เลอร์หลังการไต่สวน ความกลัวยังเกาะกินและหนาหนักขึ้นจนต้องละล้ำละลักราวจะอ้อนวอนกับเทย์เลอร์เพื่อให้ได้คำตอบ
ไม่ต่างจากการลุกขึ้นของเหล่าปัญญาชนเพื่อต่อต้านความอยุติธรรมที่มักเกิดขึ้นตามมา เมื่อผู้ปกครองไร้เหตุผลในการบังคับใช้กฎหมายอย่างพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะกฎที่ผูกไว้กับความศรัทธาจนกลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์หมดทางโต้แย้ง คอร์นีเลียสจึงตัดสินใจทำในสิ่งไม่คิดว่าตัวเองจะกล้า เพราะตลอดมาเมื่อเกิดขัดแย้งในเชิงความคิดกับผู้อาวุโส ชิมแปนซีหนุ่มนักโบราณคดีมักก้มหน้ายอมรับทุกข้อความตามคัมภีร์ที่ดร.ไซอัสมักนำมาอ้างเช่นเดียวกับในการไต่สวน
แต่เขากับซีรากลับกล้าละเมิดกฎเหล็ก ช่วยพาเทย์เลอร์หลบหนีไปด้วยกันเพื่อออกค้นหาความจริง ความจริงที่บทหนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมต้องตื่นตะลึงด้วยคำเฉลยถึงตำแหน่งของดวงดาววานร คำตอบที่ทำให้กลายเป็นตอนจบของโลกภาพยนตร์ที่ชวนช็อคที่สุดเรื่องหนึ่ง
ด้วยพยานของความหายนะที่มนุษย์เคยก่อขึ้นตรงหน้าเทย์เลอร์กับสิ่งที่ ดร.ไซอัสเคยเตือน หรือทุกคำโกหกในทางศาสนา การเมืองและปรัชญาที่ยกมาอ้าง ล้วนเพื่อปกปิดความจริงที่ผู้ชมต้องกลัวและเทย์เลอร์ต้องก่นด่าออกมาดัง ๆ ก่อนทุบกำปั้นลงบนผืนทรายด้วยความโกรธแค้น
จากความจริงดังกล่าว ดร.ไซอัสจึงไม่ใช่ตัวร้ายประเภทนักวิทยาศาสตร์บ้าคลั่งหวังยึดครองโลก หรือสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนอุรังอุตังคอยทำลายทุกสิ่งเพื่อตัวเอง ตามแบบตัวร้ายดาษดื่นในนิยายไซไฟทั่วไป แต่ทุกความเลวร้าย ล้วนมาจากเหตุผลของความห่วงใยในอาณาจักรของตน ซึ่งหมายถึงเหล่าวานรทุกตัวในเขตแดนนั้น ผู้เฒ่าใช้ความฉ้อฉลกับวาทกรรมบิดเบือน เพียงเพื่อหวังจะปกป้องความสงบสุขของเผ่าพันธุ์
และเมื่อมองย้อนกลับมายังปัจจุบันของโลกที่ยังคงมีการแบ่งฝักฝ่าย สงครามและภัยจากอาวุธนานาที่ต่างประคนเข้าห้ำหั่นกันอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของโลก จนมาถึงเขตแนวรั้วบ้านเรา ทั้งหมดราวกับมนุษย์ไม่รู้จักเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ทั้งที่เป็นความจริงแท้ตามที่ดร.ไซอัส เคยเตือนเรามาแล้วจากอนาคต
“อย่าไปตามหามันเลยเทย์เลอร์ แกอาจไม่ชอบสิ่งที่แกจะได้เจอ” ดร.ไซอัสบอกกับเทย์เลอร์เป็นครั้งสุดท้าย
เรื่อง: สืบสกุล แสงสุวรรณ
ภาพ: Getty Images
.
อ้างอิง:
- Wilson, M. (1968). Planet of the Apes. Based on the novel La Planète des singes by P. Boulle. Shooting script, May 5, 1967.
- Villains Wiki. (n.d.). Dr. Zaius.
- Russell, A. (2022, October 11). Why Planet of the Apes' Doctor Zaius Wasn't Actually a Villain. CBR.com
- Greene, E. (1996). Planet of the Apes as American Myth. London: McFarland & Com pany.
- Reynolds, G. (2014). The Monkey on America's Back: The Fears of 1960s America as Seen in the Film Planet of the Apes. The Thetean: A Student Journal for Scholarly Historical Writing, 43(1).
.