11 พ.ย. 2568 | 18:00 น.

KEY
POINTS
ปารีสที่สวยงามและยิ่งใหญ่
แต่อาจเป็นปารีสที่เย็นชาและไร้หัวใจ?
สายลม แสงแดดพยับ ธรรมชาติ และจังหวะวูบไหวของผู้คนในโลกกลางแจ้งแห่งปารีส ชวนให้หลงใหลในภาพชีวิตแบบ “อิมเพรสชั่นนิสม์” อันเป็นรากฐานของศิลปะสมัยใหม่ที่บันทึกความงามชั่วขณะของแสงและอารมณ์ ซึ่งยังคงร่วมสมัยและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับเมื่อเราชมภาพศิลปินชื่อดังอย่างโคลด โมเนต์, เอ็ดการ์ เดกา, ปิแอร์-ออกุสต์ เรอนัวร์, เอดูอาร์ มาเนต์
แต่ภายใต้ความอ่อนหวานของแสงแดดและสีพาสเทลนั้น กลับซ่อนเรื่องราวของการเมือง ชีวิตของชนชั้นต่าง ๆ ในปารีสหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ไม่ได้สวยงามทุกชนชั้น และแนวคิดที่ท้าทายระเบียบสังคมของยุคสมัยไว้อย่างลึกซึ้ง แม้แต่ในขบวนการจิตรกรแบบอิมเพรสชั่นนิสม์เอง ก็มีการพัฒนามาเป็น ‘อิมเพรสชั่นนิสม์ใหม่’ (Neo-Impressionism) ที่นำร่องโดยทัพหน้าอย่าง ‘ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา’ (Georges-Pierre Seurat) ศิลปินอายุสั้นผู้เคยเกือบจะสิ้นชื่อไปตามกาลเวลา
เซอราถูกจดจำว่าเป็นผู้คิดค้นเทคนิคการวาดภาพด้วย ‘จุดสี’ ที่ตัดกันจนเกิดเป็นภาพใหญ่ที่ลงตัว และเป็นเจ้าของภาพเขียนสุดไอคอนิกอย่าง ‘A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte’ ภาพการพักผ่อนในวันอาทิตย์ของชาวปารีสที่หลายครั้งหลายครา มันถูกใช้เป็นภาพแทนการใช้ชีวิตทางสังคมในโลกสมัยใหม่
A Sunday on La Grande Jatte, Georges Seurat, 1884
แต่มากไปกว่านั้นงานศิลปะของเขายังแฝงฝังความคิดวิพากษ์ความเป็นสมัยใหม่ของปารีส และเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินและ ‘นักเคลื่อนไหวอนาธิปไตย’ ที่ปรารถนาให้มหานครปารีสเป็น ‘เมืองที่สวยงามสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง’
เซอราเกิดปี ค.ศ. 1859 ณ กรุงปารีส ในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีฐานะมั่นคง บิดาของเขาเป็นเจ้าหน้าที่การเงินของรัฐ ส่วนมารดาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาตามขนบครอบครัวสมัยนั้น จึงกล่าวได้ว่าเซอราได้ลืมตามาดูโลกในช่วงเวลายุคทอง หรือ Belle Époque แห่งปารีสที่กำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งมักถูกจดจำว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม ที่สร้างกวีและศิลปะแนวใหม่
ความงามของปารีสนี้เกิดขึ้นจากโครงการปรับปรุงผังเมืองปารีสครั้งใหญ่ตามบัญชาของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘การรีโนเวทเมืองปารีสของบารง โอสมานน์’ ตามชื่อของข้าหลวง (Prefect) ผู้รับผิดชอบโครงการนี้ ซึ่งเปลี่ยนปารีสจากเขาวงกตยุ่งเหยิงไร้ระเบียบเต็มไปด้วยความสกปรก มาสู่ระเบียบของถนนและอาคารอันวิจิตร อันเป็นต้นเค้าของปารีสแบบที่เราเข้าใจกัน
Georges-Eugène Haussmann
ภาพ Avenue de l'Opéra วาดโดยกามีย์ ปิสซาร์โรในปี ค.ศ. 1898
แสดงถึงการตัดถนนหนทาง
จริงอยู่ที่เมืองมาพร้อมกับการขยายตัวของชนชั้นกลาง อันเป็นรากฐานของขบวนการศิลปะแบบ ‘อิมเพรสชั่นนิสม์’ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งการไล่ที่คนชั้นล่าง และความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบท เดวิด ฮาร์วีย์ นักวิชาการมาร์กซิสต์รุ่นหลังเรียกว่า “การแสดงออกเชิงวัตถุของความเป็นสมัยใหม่แบบทุนนิยม” ซึ่งเมืองที่ถนนสายใหญ่และสวนสาธารณะกลายเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและเครื่องมือของการควบคุมชนชั้นแรงงาน ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่นี้ มนุษย์ถูกจัดวางอยู่ในระบบของการมองและการบริโภค (spectacle and consumerism) นี่จึงเป็นสภาวะที่หล่อหลอมประสบการณ์ของศิลปินรุ่นหลังให้มองเห็น ‘เมือง’ ไม่ใช่เพียงฉากหลัง แต่เป็นโครงสร้างที่กำหนดวิถีชีวิตและการรับรู้ของผู้คนที่กำลังมองทิวทัศน์กลางแจ้ง (หรือปัจจุบันมันก็คงไม่ต่างจาก gentrification มากนัก)
กลับมาที่ครอบครัวเซอรา ความมั่นคงทางวัตถุของครอบครัวจึงทำให้สิ่งแวดล้อมของเขาอาจดูห่างไกลจากความแร้นแค้นของแรงงานในมหานคร แต่ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญที่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมและครุ่นคิดคนนี้ได้ใช้ชีวิตเพื่อสำรวจโลกแห่งสีและแสงอย่างเต็มที่ ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของศิลปะแบบ ‘อิมเพรสชั่นนิสม์’ ที่ขับเคี่ยวกับศิลปะแบบเดิมที่ยังคงขนบตามหลักวิชาคลาสสิก
ในช่วงแรก เขาได้เรียนรู้แนวทางศิลปะแบบคลาสสิกภายใต้อิทธิพลของ ‘ฌ็อง โอกุสต์ โดมินิก แองกร’ (Jean-Auguste-Dominique Ingres) และขนบของ Academic Art ซึ่งเน้นความงามอันเป็นแบบแผน การวาดเส้นที่สมบูรณ์ และการควบคุมอารมณ์ให้เป็นไปตามหลักสุนทรียะของรัฐ แต่นั่นก็หาใช่แนวทางที่เซอราพึงพอใจ ในขณะที่การเดินชมงานศิลปะที่ผ่าน และถูกปฏิเสธแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ น่าจะเป็นที่สนอกสนใจของเซอรามากกว่าตามกระแสในช่วงต้นทศวรรษ 1880
เช่นเดียวกับศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์อีกหลายคน เซราถูกปฏิเสธให้จัดแสดงผลงานของเขาใน ‘นิทรรศการศิลปะแห่งปารีส’ (Salon de Paris) ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับกลุ่มศิลปินหัวกบฏกลุ่มนี้ไปแล้ว
Bathers at Asnières, 1883
ปี 1883 เซอราเริ่มลงมือสร้างผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ชิ้นแรกในชีวิต ‘Bathers at Asnières’ ซึ่งแสดงภาพชายหนุ่มชนชั้นแรงงานพักผ่อนริมแม่น้ำแซนในชานเมืองปารีส ภาพนี้สะท้อนอิทธิพลของอิมเพรสชั่นนิสม์ในแง่ของการใช้สีและแสงอ่อนโยน แต่ยังคงร่องรอยของการฝึกฝนแบบนีโอคลาสสิกในรูปร่างที่แม่นยำและพื้นผิวที่เรียบตึง ซึ่งไม่เหมือนกับงานของศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ยุคก่อนหน้าที่เน้นความวูบไหว และฉวัดเฉวียนฝีแปรงที่จับความชั่วขณะของแสงไว้
อย่างไรก็ตาม แม้ผลงานจะเต็มไปด้วยความประณีตและความพยายามในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างภาพเขียน Bathers at Asnières กลับถูกปฏิเสธ และการถูกปฏิเสธครั้งนี้กลายเป็นแรงผลักสำคัญ เซอราจึงนำภาพไปจัดแสดงในงานของกลุ่มศิลปินอิสระ (Groupe des Artistes Indépendants) ในเดือนพฤษภาคม ปี 1884 แต่เมื่อเห็นการจัดการภายในกลุ่มที่ไม่เป็นระบบ เขาและเพื่อนศิลปินอีกหลายคน เช่น ชาร์ล อ็องกรัง (Charles Angrand) อ็องรี-เอดมง ครอส (Henri-Edmond Cross) อัลแบร์ ดูบัว-ปีเย (Albert Dubois-Pillet) และปอล ซินญัค (Paul Signac) ตัดสินใจรวมตัวก่อตั้ง ‘สมาคมศิลปินอิสระ’ (Société des Artistes Indépendants) เพื่อเปิดพื้นที่ให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงผลงานโดยไม่ต้องผ่านการตัดสินจากคณะกรรมการแบบเดิม
จากความล้มเหลวที่ Salon จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะในกลุ่มใหม่นี้เอง เซอราได้เริ่มพัฒนาแนวคิดทางเทคนิคที่ปฏิวัติวงการ ด้วยการประกอบสร้าง ‘จุดสี’ เล็ก ๆ ลงบนผ้าใบแทนการผสมสีบนพาเล็ตต์ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘ลัทธิผสานจุดสี’ (pointillism) เขาค้นพบว่าการวางสีสองสีไว้ใกล้กันจะทำให้เกิดการรับรู้เป็นสีใหม่เมื่อตามองจากระยะไกล โดยไม่ต้องผสมสีเข้ากันให้เกิดสีใหม่ แต่ ‘จุด’ สีต่าง ๆ จะแยกกันและเกิดการผสมกันเองในการรับรู้ของผู้ชม
งานสร้างสรรค์ของเขาจึงเป็นการคำนวณที่แม่นยำ และเป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์แห่งสี นับเป็นการสร้างสรรค์ที่ฉีกออกไปจากอิมเพรสชั่นนิสต์แบบเดิม
ในอีกสองปีให้หลังภาพ The Bathers at Asnières เซอราได้ใช้เทคนิคผสานจุดสีบันทึกความเป็นสมัยใหม่ของปารีสไว้อย่างน่าทึ่ง จนนำมาสู่ภาพที่เป็นตำนานอย่าง A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte ที่เขาใช้วิธี ‘แยกจุดสี’ (Divisionism) อย่างชัดเจน
แต่หากดูให้ดี จากสายน้ำ ต้นหญ้า ผู้คนที่กำลังพักผ่อน ภาพนี้เป็นเสมือน ‘เงาสะท้อน’ ระหว่างสองฟากฝั่งแม่น้ำ และยังสะท้อนเรื่องราวของผู้คนในชนชั้นต่าง ๆ ของปารีสอย่างแยบคาย
A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte ฉายภาพการพักผ่อนในเกาะลากร็องด์ฌัตกลางแม่น้ำแซนในปารีสในลักษณะที่สงบนิ่ง เราจะเห็นสตรีผู้มีฐานะยืนกางร่มเด่นเป็นสง่า คนที่ยืนอยู่ริมน้ำ ชายที่กำลังตกปลา คู่รัก แม่และเด็ก ฝีพายในแม่น้ำที่กำลังพายเรือหรือเล่นเรือใบ และการนำสัตว์เลี้ยงมาเดิน ทั้งสุนัข ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงแปลกตาในเวลานั้นอย่าง ‘ลิง’ ภาพนี้สะท้อนการใช้เวลาพักผ่อนของผู้คนจากหลายชนชั้นในกาลเทศะหนึ่ง ๆ ราวกับกำลังตั้งคำถามกับชีวิตทางสังคมของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3
ในขณะที่ภาพ The Bathers at Asnières ถ่ายทอดร่างกายเปลือยเปล่าของชายหนุ่มแรงงานที่นั่งเอนกายและอาบแดดอย่างผ่อนคลาย ท่วงท่าที่เป็นธรรมชาติ เสื้อผ้าเรียบง่าย สวมหมวกฟาง และภูมิทัศน์โรงงานด้านหลังบ่งชัดถึงชนชั้นและความจริงทางสังคม ซึ่งต่างจากร่างของผู้คนที่แข็งทื่อราวหุ่นยนต์ ทุกท่วงท่าถูกจัดเรียงอย่างแม่นยำ
จึงกล่าวได้ว่าเซอราเป็นผู้ซ่อนความเป็นคู่ตรงข้ามของปารีสไว้ใต้จุดเล็ก ๆ ทั้งประเด็นเรื่องสังคมอุตสาหกรรม ความขัดแย้งทางชนชั้น ภายใต้ภาพชีวิตที่ดูเหมือนเป็นปกติและสดใส
ในปี 1884 ภาพเขียน A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte ได้ถูกค้นพบโดย ‘เฟลิกซ์ เฟเนอง’ (Félix Fénéon) นักวิจารณ์ศิลปะผู้เป็นฝ่ายซ้ายนิยมอนาธิปไตย และคอยวิพากษ์ความเป็นสมัยใหม่ในเวลานั้น
ภาพเขียนบุคคลของเฟเนอง โดย พอล ซีนญัก
ด้วยเทคนิคแบบ Neo-Impressionism
เฟเนองถึงกับ ‘ช็อก’ ทันทีเมื่อได้เห็นทัศนียภาพอันเกิดจากจุดสีที่ตัดกัน และเพื่อนนักอนาธิปไตยคนนี้เองก็ทำให้งานของเขาไม่ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา โดยเริ่มต้นเรียกงานศิลปะแบบนี้ว่า ‘อิมเพรสชั่นนิสม์แนวใหม่’
ฟิลิปป์ เปลติเยร์ ภัณฑารักษ์ที่เคยจัดแสดงงานของเซอราได้กล่าวไว้ในเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ MOMA ว่า
“เซอราไม่เป็นที่รู้จักมากนักและเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม และครอบครัวของเขาไม่สนใจภาพวาดของเขา พวกเขาไม่ชอบผลงานที่แสดงถึงความปฏิวัติวงการ หากไม่ใช่เพราะเฟเนอง เซอราคงถูกลืมเลือนไปแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ งานศิลปะของเขาจึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของขบวนการศิลปะและสังคมในปลายศตวรรษที่ 19 อย่างเงียบ ๆ และแม้เซอราไม่ใช่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยตรง แต่เขาเติบโตขึ้นท่ามกลางบรรยากาศทางปัญญาหลังการล่มสลายของคอมมูนปารีส (Paris Commune) ที่แนวคิดอนาธิปไตยเริ่มงอกงามในหมู่นักคิด ศิลปิน และนักเขียนหัวก้าวหน้าแห่งยุค สังคมหลังปี 1871 เต็มไปด้วยคำถามต่ออำนาจรัฐ ทุน และโครงสร้างชนชั้น ซึ่งสะท้อนในแนวคิดของนักภูมิศาสตร์อย่าง เอลีเซ รอกลูส์ (Élisée Reclus) และนักปรัชญา ปีเตอร์ โครพอทคิน (Peter Kropotkin) ที่มองว่ามนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจจากเบื้องบน
แต่อนิจจา เซอราเป็นอัจฉริยะที่อายุสั้น เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1891 ด้วยโรคที่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดในวัยเพียง 31 ปี ในขณะที่เขายังวาดภาพสุดท้ายในชีวิตไม่เสร็จ ภาพ The Circus ได้เปลี่ยนมาถ่ายทอดชีวิตยามราตรี และการเคลื่อนไหวของคณะละครสัตว์ที่แตกต่างจากท่าทีสงบนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ในงานก่อนหน้า จึงน่าสนใจว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่นานกว่านี้ งานของเขาจะเป็นในลักษณะใด
แต่ถึงกระนั้น ‘จุดสี’ เล็ก ๆ ที่เขาทิ้งไว้กลับยังส่องแสงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ศิลปะอย่างไม่รู้ดับ ผลงานของเขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นต่อมาอย่าง ปอล ซินญัค อ็องรี มาติสส์ วินเซนต์ แวน โก๊ะ และศิลปินในศตวรรษที่ 20 อีกมาก ที่ต่างสืบทอดแนวคิดเรื่อง ‘สี แสง และโครงสร้าง’ ในแบบของเขาไว้ในทิศทางอันหลากหลาย ทั้งในสายของฟอวิสม์ (Fauvism) และคิวบิสม์ (Cubism)
และเมื่อเรามองภาพ A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte อีกครั้งในวันนี้ เราอาจไม่เพียงเห็นภาพผู้คนในสวนกลางเมือง หากยังเห็นภาพสะท้อนของ ‘มนุษย์สมัยใหม่’ ที่พยายามหาจุดยืนในโลกอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ — โลกที่สวยงามและเย็นชาไปพร้อมกัน
ในเมื่อเซอราช่วยตั้งคำถามว่าโลกสมัยใหม่ที่เราดำรงอยู่มีหน้าตาเป็นอย่างไรแล้ว ภาพเขียนอีกภาพของศิลปินในกลุ่ม Neo-Impressionist ได้แถลงถึงโลกที่ใฝ่ฝันในภาพ In the Time of Harmony หรือชื่อเดิมคือ In the Time of Anarchy
ภาพเขียน In the Time of Harmony โดยพอล ซีนญัก
The Time of Harmony แสดงภาพชายหญิงทำงาน เต้นรำ เล่นกีฬา วาดภาพ และชีวิตในหลายรูปแบบด้วยท่าทีอ่อนไหวในทุ่งโล่งริมทะเล เมฆลอยนิ่ง น้ำทะเลระยับ และแสงอบอุ่นกระทบผิวโลกอย่างเท่าเทียม ทุกสิ่งดูดำเนินไปโดยไม่ต้องมีศูนย์กลางแห่งอำนาจใด ๆ ซึ่งสะท้อนความพยายามจินตนาการถึงปารีสที่ศิลปินอยากให้เป็น และหลีกเร้นจากความเป็นจริงอีกด้านของโลกหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ภาพ : ชนิกา แซ่จาง
อ้างอิง
Gombrich, E. H. (1995). The Story of Art (16th ed.). Phaidon Press.
Harvey, D. (2003). Paris, Capital of Modernity. Routledge.
Thompson, B. (1991). Neo-Impressionism: Artists on the Edge. Thames & Hudson.
Tinterow, G., & Conisbee, P. (Eds.). (1991). Seurat and the Making of La Grande Jatte. The Art Institute of Chicago.