ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

เรื่องราวของ ‘ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา’ (Georges-Pierre Seurat) จิตรกรมิตรของนักอนาธิปไตย ผู้บันทึกความเป็นสมัยใหม่ของปารีส และปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

KEY

POINTS

 

ปารีสที่สวยงามและยิ่งใหญ่
แต่อาจเป็นปารีสที่เย็นชาและไร้หัวใจ?

 

สายลม แสงแดดพยับ ธรรมชาติ และจังหวะวูบไหวของผู้คนในโลกกลางแจ้งแห่งปารีส ชวนให้หลงใหลในภาพชีวิตแบบ “อิมเพรสชั่นนิสม์” อันเป็นรากฐานของศิลปะสมัยใหม่ที่บันทึกความงามชั่วขณะของแสงและอารมณ์ ซึ่งยังคงร่วมสมัยและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับเมื่อเราชมภาพศิลปินชื่อดังอย่างโคลด โมเนต์, เอ็ดการ์ เดกา, ปิแอร์-ออกุสต์ เรอนัวร์, เอดูอาร์ มาเนต์ 

แต่ภายใต้ความอ่อนหวานของแสงแดดและสีพาสเทลนั้น กลับซ่อนเรื่องราวของการเมือง ชีวิตของชนชั้นต่าง ๆ ในปารีสหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ไม่ได้สวยงามทุกชนชั้น และแนวคิดที่ท้าทายระเบียบสังคมของยุคสมัยไว้อย่างลึกซึ้ง แม้แต่ในขบวนการจิตรกรแบบอิมเพรสชั่นนิสม์เอง ก็มีการพัฒนามาเป็น ‘อิมเพรสชั่นนิสม์ใหม่’ (Neo-Impressionism) ที่นำร่องโดยทัพหน้าอย่าง ‘ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา’ (Georges-Pierre Seurat) ศิลปินอายุสั้นผู้เคยเกือบจะสิ้นชื่อไปตามกาลเวลา

 

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

 

เซอราถูกจดจำว่าเป็นผู้คิดค้นเทคนิคการวาดภาพด้วย ‘จุดสี’ ที่ตัดกันจนเกิดเป็นภาพใหญ่ที่ลงตัว และเป็นเจ้าของภาพเขียนสุดไอคอนิกอย่าง ‘A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte’ ภาพการพักผ่อนในวันอาทิตย์ของชาวปารีสที่หลายครั้งหลายครา มันถูกใช้เป็นภาพแทนการใช้ชีวิตทางสังคมในโลกสมัยใหม่

 

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

A Sunday on La Grande Jatte, Georges Seurat, 1884

 

แต่มากไปกว่านั้นงานศิลปะของเขายังแฝงฝังความคิดวิพากษ์ความเป็นสมัยใหม่ของปารีส และเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินและ ‘นักเคลื่อนไหวอนาธิปไตย’ ที่ปรารถนาให้มหานครปารีสเป็น ‘เมืองที่สวยงามสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

 

เมื่อจุดจุดเล็ก ๆ ปรากฏในปารีส

เซอราเกิดปี ค.ศ. 1859 ณ กรุงปารีส ในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีฐานะมั่นคง บิดาของเขาเป็นเจ้าหน้าที่การเงินของรัฐ ส่วนมารดาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาตามขนบครอบครัวสมัยนั้น จึงกล่าวได้ว่าเซอราได้ลืมตามาดูโลกในช่วงเวลายุคทอง หรือ Belle Époque แห่งปารีสที่กำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งมักถูกจดจำว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม ที่สร้างกวีและศิลปะแนวใหม่

ความงามของปารีสนี้เกิดขึ้นจากโครงการปรับปรุงผังเมืองปารีสครั้งใหญ่ตามบัญชาของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘การรีโนเวทเมืองปารีสของบารง โอสมานน์’ ตามชื่อของข้าหลวง (Prefect) ผู้รับผิดชอบโครงการนี้ ซึ่งเปลี่ยนปารีสจากเขาวงกตยุ่งเหยิงไร้ระเบียบเต็มไปด้วยความสกปรก มาสู่ระเบียบของถนนและอาคารอันวิจิตร อันเป็นต้นเค้าของปารีสแบบที่เราเข้าใจกัน

 

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

Georges-Eugène Haussmann

 

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

ภาพ Avenue de l'Opéra วาดโดยกามีย์ ปิสซาร์โรในปี ค.ศ. 1898
แสดงถึงการตัดถนนหนทาง

 

จริงอยู่ที่เมืองมาพร้อมกับการขยายตัวของชนชั้นกลาง อันเป็นรากฐานของขบวนการศิลปะแบบ ‘อิมเพรสชั่นนิสม์’ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งการไล่ที่คนชั้นล่าง และความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบท เดวิด ฮาร์วีย์ นักวิชาการมาร์กซิสต์รุ่นหลังเรียกว่า “การแสดงออกเชิงวัตถุของความเป็นสมัยใหม่แบบทุนนิยม” ซึ่งเมืองที่ถนนสายใหญ่และสวนสาธารณะกลายเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและเครื่องมือของการควบคุมชนชั้นแรงงาน ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่นี้ มนุษย์ถูกจัดวางอยู่ในระบบของการมองและการบริโภค (spectacle and consumerism) นี่จึงเป็นสภาวะที่หล่อหลอมประสบการณ์ของศิลปินรุ่นหลังให้มองเห็น ‘เมือง’ ไม่ใช่เพียงฉากหลัง แต่เป็นโครงสร้างที่กำหนดวิถีชีวิตและการรับรู้ของผู้คนที่กำลังมองทิวทัศน์กลางแจ้ง (หรือปัจจุบันมันก็คงไม่ต่างจาก gentrification มากนัก)

กลับมาที่ครอบครัวเซอรา ความมั่นคงทางวัตถุของครอบครัวจึงทำให้สิ่งแวดล้อมของเขาอาจดูห่างไกลจากความแร้นแค้นของแรงงานในมหานคร แต่ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญที่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมและครุ่นคิดคนนี้ได้ใช้ชีวิตเพื่อสำรวจโลกแห่งสีและแสงอย่างเต็มที่ ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของศิลปะแบบ ‘อิมเพรสชั่นนิสม์’ ที่ขับเคี่ยวกับศิลปะแบบเดิมที่ยังคงขนบตามหลักวิชาคลาสสิก

ในช่วงแรก เขาได้เรียนรู้แนวทางศิลปะแบบคลาสสิกภายใต้อิทธิพลของ ‘ฌ็อง โอกุสต์ โดมินิก แองกร’ (Jean-Auguste-Dominique Ingres) และขนบของ Academic Art ซึ่งเน้นความงามอันเป็นแบบแผน การวาดเส้นที่สมบูรณ์ และการควบคุมอารมณ์ให้เป็นไปตามหลักสุนทรียะของรัฐ แต่นั่นก็หาใช่แนวทางที่เซอราพึงพอใจ ในขณะที่การเดินชมงานศิลปะที่ผ่าน และถูกปฏิเสธแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ น่าจะเป็นที่สนอกสนใจของเซอรามากกว่าตามกระแสในช่วงต้นทศวรรษ 1880

 

จุด จุด จุด และจุด:
จากผู้ถูกปฏิเสธ สู่การปฏิวัติด้วยจุดสี

เช่นเดียวกับศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์อีกหลายคน เซราถูกปฏิเสธให้จัดแสดงผลงานของเขาใน ‘นิทรรศการศิลปะแห่งปารีส’ (Salon de Paris) ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับกลุ่มศิลปินหัวกบฏกลุ่มนี้ไปแล้ว

 

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

Bathers at Asnières, 1883

 

ปี 1883 เซอราเริ่มลงมือสร้างผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ชิ้นแรกในชีวิต ‘Bathers at Asnières’ ซึ่งแสดงภาพชายหนุ่มชนชั้นแรงงานพักผ่อนริมแม่น้ำแซนในชานเมืองปารีส ภาพนี้สะท้อนอิทธิพลของอิมเพรสชั่นนิสม์ในแง่ของการใช้สีและแสงอ่อนโยน แต่ยังคงร่องรอยของการฝึกฝนแบบนีโอคลาสสิกในรูปร่างที่แม่นยำและพื้นผิวที่เรียบตึง ซึ่งไม่เหมือนกับงานของศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ยุคก่อนหน้าที่เน้นความวูบไหว และฉวัดเฉวียนฝีแปรงที่จับความชั่วขณะของแสงไว้

อย่างไรก็ตาม แม้ผลงานจะเต็มไปด้วยความประณีตและความพยายามในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างภาพเขียน Bathers at Asnières กลับถูกปฏิเสธ และการถูกปฏิเสธครั้งนี้กลายเป็นแรงผลักสำคัญ เซอราจึงนำภาพไปจัดแสดงในงานของกลุ่มศิลปินอิสระ (Groupe des Artistes Indépendants) ในเดือนพฤษภาคม ปี 1884 แต่เมื่อเห็นการจัดการภายในกลุ่มที่ไม่เป็นระบบ เขาและเพื่อนศิลปินอีกหลายคน เช่น ชาร์ล อ็องกรัง (Charles Angrand) อ็องรี-เอดมง ครอส (Henri-Edmond Cross) อัลแบร์ ดูบัว-ปีเย (Albert Dubois-Pillet) และปอล ซินญัค (Paul Signac) ตัดสินใจรวมตัวก่อตั้ง ‘สมาคมศิลปินอิสระ’ (Société des Artistes Indépendants) เพื่อเปิดพื้นที่ให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงผลงานโดยไม่ต้องผ่านการตัดสินจากคณะกรรมการแบบเดิม

จากความล้มเหลวที่ Salon จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะในกลุ่มใหม่นี้เอง เซอราได้เริ่มพัฒนาแนวคิดทางเทคนิคที่ปฏิวัติวงการ ด้วยการประกอบสร้าง ‘จุดสี’ เล็ก ๆ ลงบนผ้าใบแทนการผสมสีบนพาเล็ตต์ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘ลัทธิผสานจุดสี’ (pointillism) เขาค้นพบว่าการวางสีสองสีไว้ใกล้กันจะทำให้เกิดการรับรู้เป็นสีใหม่เมื่อตามองจากระยะไกล โดยไม่ต้องผสมสีเข้ากันให้เกิดสีใหม่ แต่ ‘จุด’ สีต่าง ๆ จะแยกกันและเกิดการผสมกันเองในการรับรู้ของผู้ชม

งานสร้างสรรค์ของเขาจึงเป็นการคำนวณที่แม่นยำ และเป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์แห่งสี นับเป็นการสร้างสรรค์ที่ฉีกออกไปจากอิมเพรสชั่นนิสต์แบบเดิม

 

สองฟากของแม่น้ำ:
ภาพชนชั้นในงานของเซอรา

ในอีกสองปีให้หลังภาพ The Bathers at Asnières เซอราได้ใช้เทคนิคผสานจุดสีบันทึกความเป็นสมัยใหม่ของปารีสไว้อย่างน่าทึ่ง จนนำมาสู่ภาพที่เป็นตำนานอย่าง A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte ที่เขาใช้วิธี ‘แยกจุดสี’  (Divisionism) อย่างชัดเจน

 

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

 

แต่หากดูให้ดี จากสายน้ำ ต้นหญ้า ผู้คนที่กำลังพักผ่อน ภาพนี้เป็นเสมือน ‘เงาสะท้อน’ ระหว่างสองฟากฝั่งแม่น้ำ และยังสะท้อนเรื่องราวของผู้คนในชนชั้นต่าง ๆ ของปารีสอย่างแยบคาย

A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte ฉายภาพการพักผ่อนในเกาะลากร็องด์ฌัตกลางแม่น้ำแซนในปารีสในลักษณะที่สงบนิ่ง เราจะเห็นสตรีผู้มีฐานะยืนกางร่มเด่นเป็นสง่า คนที่ยืนอยู่ริมน้ำ ชายที่กำลังตกปลา คู่รัก แม่และเด็ก ฝีพายในแม่น้ำที่กำลังพายเรือหรือเล่นเรือใบ และการนำสัตว์เลี้ยงมาเดิน ทั้งสุนัข ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงแปลกตาในเวลานั้นอย่าง ‘ลิง’ ภาพนี้สะท้อนการใช้เวลาพักผ่อนของผู้คนจากหลายชนชั้นในกาลเทศะหนึ่ง ๆ ราวกับกำลังตั้งคำถามกับชีวิตทางสังคมของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 

ในขณะที่ภาพ The Bathers at Asnières ถ่ายทอดร่างกายเปลือยเปล่าของชายหนุ่มแรงงานที่นั่งเอนกายและอาบแดดอย่างผ่อนคลาย ท่วงท่าที่เป็นธรรมชาติ เสื้อผ้าเรียบง่าย สวมหมวกฟาง และภูมิทัศน์โรงงานด้านหลังบ่งชัดถึงชนชั้นและความจริงทางสังคม ซึ่งต่างจากร่างของผู้คนที่แข็งทื่อราวหุ่นยนต์ ทุกท่วงท่าถูกจัดเรียงอย่างแม่นยำ

จึงกล่าวได้ว่าเซอราเป็นผู้ซ่อนความเป็นคู่ตรงข้ามของปารีสไว้ใต้จุดเล็ก ๆ ทั้งประเด็นเรื่องสังคมอุตสาหกรรม ความขัดแย้งทางชนชั้น ภายใต้ภาพชีวิตที่ดูเหมือนเป็นปกติและสดใส

 

เพื่อนของฉันเป็นนักอนาธิปไตย:
สู่ขนานนาม Neo-Impressionism

ในปี 1884 ภาพเขียน A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte ได้ถูกค้นพบโดย ‘เฟลิกซ์ เฟเนอง’ (Félix Fénéon) นักวิจารณ์ศิลปะผู้เป็นฝ่ายซ้ายนิยมอนาธิปไตย และคอยวิพากษ์ความเป็นสมัยใหม่ในเวลานั้น

 

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

ภาพเขียนบุคคลของเฟเนอง โดย พอล ซีนญัก
ด้วยเทคนิคแบบ Neo-Impressionism

 

เฟเนองถึงกับ ‘ช็อก’ ทันทีเมื่อได้เห็นทัศนียภาพอันเกิดจากจุดสีที่ตัดกัน และเพื่อนนักอนาธิปไตยคนนี้เองก็ทำให้งานของเขาไม่ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา โดยเริ่มต้นเรียกงานศิลปะแบบนี้ว่า ‘อิมเพรสชั่นนิสม์แนวใหม่

ฟิลิปป์ เปลติเยร์ ภัณฑารักษ์ที่เคยจัดแสดงงานของเซอราได้กล่าวไว้ในเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ MOMA ว่า

 

เซอราไม่เป็นที่รู้จักมากนักและเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม และครอบครัวของเขาไม่สนใจภาพวาดของเขา พวกเขาไม่ชอบผลงานที่แสดงถึงความปฏิวัติวงการ หากไม่ใช่เพราะเฟเนอง เซอราคงถูกลืมเลือนไปแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้ งานศิลปะของเขาจึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของขบวนการศิลปะและสังคมในปลายศตวรรษที่ 19 อย่างเงียบ ๆ และแม้เซอราไม่ใช่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยตรง แต่เขาเติบโตขึ้นท่ามกลางบรรยากาศทางปัญญาหลังการล่มสลายของคอมมูนปารีส (Paris Commune) ที่แนวคิดอนาธิปไตยเริ่มงอกงามในหมู่นักคิด ศิลปิน และนักเขียนหัวก้าวหน้าแห่งยุค สังคมหลังปี 1871 เต็มไปด้วยคำถามต่ออำนาจรัฐ ทุน และโครงสร้างชนชั้น ซึ่งสะท้อนในแนวคิดของนักภูมิศาสตร์อย่าง เอลีเซ รอกลูส์ (Élisée Reclus) และนักปรัชญา ปีเตอร์ โครพอทคิน (Peter Kropotkin) ที่มองว่ามนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจจากเบื้องบน

 

เวลาแห่งความกลมเกลียวจะมาถึง:
ความตายของเซอรา และการสานต่อของมวลมิตร

แต่อนิจจา เซอราเป็นอัจฉริยะที่อายุสั้น เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1891 ด้วยโรคที่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดในวัยเพียง 31 ปี ในขณะที่เขายังวาดภาพสุดท้ายในชีวิตไม่เสร็จ ภาพ The Circus ได้เปลี่ยนมาถ่ายทอดชีวิตยามราตรี และการเคลื่อนไหวของคณะละครสัตว์ที่แตกต่างจากท่าทีสงบนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ในงานก่อนหน้า จึงน่าสนใจว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่นานกว่านี้ งานของเขาจะเป็นในลักษณะใด

แต่ถึงกระนั้น ‘จุดสี’ เล็ก ๆ ที่เขาทิ้งไว้กลับยังส่องแสงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ศิลปะอย่างไม่รู้ดับ ผลงานของเขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นต่อมาอย่าง ปอล ซินญัค อ็องรี มาติสส์ วินเซนต์ แวน โก๊ะ และศิลปินในศตวรรษที่ 20 อีกมาก ที่ต่างสืบทอดแนวคิดเรื่อง ‘สี แสง และโครงสร้าง’ ในแบบของเขาไว้ในทิศทางอันหลากหลาย ทั้งในสายของฟอวิสม์ (Fauvism) และคิวบิสม์ (Cubism)

และเมื่อเรามองภาพ A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte อีกครั้งในวันนี้ เราอาจไม่เพียงเห็นภาพผู้คนในสวนกลางเมือง หากยังเห็นภาพสะท้อนของ ‘มนุษย์สมัยใหม่’ ที่พยายามหาจุดยืนในโลกอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ — โลกที่สวยงามและเย็นชาไปพร้อมกัน

ในเมื่อเซอราช่วยตั้งคำถามว่าโลกสมัยใหม่ที่เราดำรงอยู่มีหน้าตาเป็นอย่างไรแล้ว ภาพเขียนอีกภาพของศิลปินในกลุ่ม Neo-Impressionist ได้แถลงถึงโลกที่ใฝ่ฝันในภาพ In the Time of Harmony หรือชื่อเดิมคือ In the Time of Anarchy

 

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา : มิตรของนักอนาธิปไตย ผู้ปฏิวัติอิมเพรสชั่นนิสม์ด้วยจุดสี

ภาพเขียน In the Time of Harmony โดยพอล ซีนญัก

 

The Time of Harmony แสดงภาพชายหญิงทำงาน เต้นรำ เล่นกีฬา วาดภาพ และชีวิตในหลายรูปแบบด้วยท่าทีอ่อนไหวในทุ่งโล่งริมทะเล เมฆลอยนิ่ง น้ำทะเลระยับ และแสงอบอุ่นกระทบผิวโลกอย่างเท่าเทียม ทุกสิ่งดูดำเนินไปโดยไม่ต้องมีศูนย์กลางแห่งอำนาจใด ๆ ซึ่งสะท้อนความพยายามจินตนาการถึงปารีสที่ศิลปินอยากให้เป็น และหลีกเร้นจากความเป็นจริงอีกด้านของโลกหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม


ภาพ : ชนิกา แซ่จาง
 

อ้างอิง

Amory, D. (2004, October 1). Georges Seurat (1859–1891) and Neo-Impressionism. The Metropolitan Museum of Art. 

“The Anarchist and His Friends: Félix Fénéon through the Artists He Championed.” (2020). MoMA Magazine. The Museum of Modern Art. 

Gombrich, E. H. (1995). The Story of Art (16th ed.). Phaidon Press.

Harvey, D. (2003). Paris, Capital of Modernity. Routledge.

Pelletier, P. (n.d.). Georges Seurat and Neo-Impressionism. The Museum of Modern Art (MoMA). Retrieved October 15, 2025, from MOMA.

Thompson, B. (1991). Neo-Impressionism: Artists on the Edge. Thames & Hudson.

Tinterow, G., & Conisbee, P. (Eds.). (1991). Seurat and the Making of La Grande Jatte. The Art Institute of Chicago.