04 ก.ย. 2568 | 18:00 น.
KEY
POINTS
“ไต้หวันกับไทยมีส่วนที่คล้ายกันหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ เสรีภาพ และการเปิดโอกาสให้คนได้สร้างสรรค์งานได้อย่างอิสระ”
ซู กวน ซู ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ สำนักงานส่งเสริมคอนเทนต์สร้างสรรค์ไต้หวัน (TAICCA – Taiwan Creative Content Agency) ยกตัวอย่างให้เห็นว่าทำไมเธอจึงเลือกจูงมือเหล่าครีเอเตอร์มาสู่เมืองไทยในงาน Bangkok International Digital Content Festival (BIDC) 2025 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26-28 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ที่ผ่านมา
เพราะเธอเชื่อมั่นว่านี่คือโอกาสครั้งใหญ่ในการทำให้คนไทยตกหลุมรักตัวละครสุดคิ้วท์เหล่านี้
หนึ่งในผู้ที่เราได้ร่วมพูดคุยครั้งนี้ คือ แองจี้ ฮู (Angie Hu) ผู้ก่อตั้ง Hu Creates Co., Ltd. บริษัทชั้นนำด้านการจัดการลิขสิทธิ์ IP และการบริหารศิลปิน โดยหนึ่งในผลงานที่โดดเด่น ได้แก่ ‘Mr. Shark’ และ เคท ชาง (Kate Chang) (CEO) และ เอมี่ เชน (Amy Chien) International licensing manager จาก INDOT IMAGE Co., Ltd. เอเจนซี่ชื่อดัง ด้านวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่ได้รับความนิยมในระดับสากล ที่จะทำให้เรารู้จักกับคาแรกเตอร์สุดอบอุ่น และเปี่ยมด้วยเสน่ห์อย่าง ‘เหมาเหมาชง’ (Maomaochong) หนอนผีเสื้อแสนน่ารักผู้สวมหมวกสตรอว์เบอร์รีอันเป็นเอกลักษณ์
และนี่คือเรื่องราวของผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดัน ‘ครีเอเตอร์’ ชาวไต้หวัน ให้ออกมาสู่ตลาดโลก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 หน่วยงาน Taiwan Creative Content Agency (TAICCA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไทก้า ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ในฐานะหน่วยงานกึ่งรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงวัฒนธรรมไต้หวัน ไม่ใช่เพียงสนับสนุนทุนหรือช่วยเหลือผู้สร้างสรรค์ แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่ทำให้งานภาพยนตร์ ซีรีส์ เพลง แอนิเมชัน เกม ไปจนถึงวรรณกรรมของไต้หวันได้เดินทางออกไปสู่สายตาโลก
นับจากวันนั้น ไทก้าก็ยังคงทำภารกิจนี้ด้วยใจมั่นคงไม่แปรเปลี่ยน และในปี 2025 ภายใต้การนำของ ซู กวน ซู เธอก็ได้เหล่าครีเอเตอร์มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมบอกถึงจุดมุ่งหมาย 3 ประการให้ชาวโลกรับรู้
หนึ่ง - ดึงศักยภาพของครีเอเตอร์ไต้หวันให้ก้าวสู่สากลได้อย่างมั่นคง
สอง - เปิดประตูแห่งโอกาสให้ผู้ที่สนใจหันมา ‘ลงทุน’ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระหว่างบริษัทเองหรือว่าจะเป็นความร่วมมือในระดับอภิมหาโปรเจกต์ก็ย่อมได้
สาม - มองหา ‘พื้นที่’ ให้เหล่าครีเอเตอร์ไต้หวัน มีโอกาสได้โชว์ความเจ๋งและน่ารักของตัวละครได้อย่างไร้ขีดจำกัดผ่านงานอีเว้นท์ต่าง ๆ ต่อยอดกลายเป็นคาแรกเตอร์ที่อยู่ในเวทีโลกได้อย่างงดงาม
เมื่อถามถึงความเหมือนของ ‘ไทย’ และ ‘ไต้หวัน’ เธอบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า อันที่จริงทั้งสองประเทศมีความคล้ายกันจนน่าประหลาด นั่นคือ ความอิสระในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นทางเพศสภาพ หรือว่าอิสระในการปล่อยให้จินตนาการออกมาโลดแล่น จนกลายเป็นงานศิลป์ที่น่าจับตามอง
“ไต้หวันมีความอิสระ ทั้งทางความคิด และการแสดงออก อย่างในประเทศไทยเองก็มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งสื่อให้เห็นว่าทั้งไทยและไต้หวัน ต่างมอบอิสระให้กับประชาชนอย่างแท้จริง และความเสรีเหล่านี้เองที่ทำให้ประเทศไทยมีความโดดเด่น”
“ฉันเลยรู้สึกว่าหากมายังประเทศไทย จะเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ฉันคิดว่าเราคงทำงานร่วมกันได้ง่าย เพราะความคล้ายกันเหล่านี้”
ซู กวน ซู ยังได้บอกอีกว่า นอกจากอิสระเสรีที่รัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้สร้างสรรค์อย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของครีเอเตอร์ไต้หวัน คือ ความชื่นชอบในแมว
“ดีไซน์ส่วนใหญ่ของคนไต้หวันจะเป็นแมว เลยกลายเป็นว่าเอกลักษณ์ประเทศไต้หวันจะชอบแมว รักแมว รักสัตว์เป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งน่าจะเกี่ยวกับเรื่องความโชคดีด้วยเหมือนกัน แต่ว่าตรงนี้ก็เป็นจุดที่ต้องระวัง เพราะไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะมีความเชื่อลักษณธเดียวกัน เลยกลายเป็นว่าเวลาจะผลักดันครีเอเตอร์ออกไปนอกประเทศ ก็ต้องศึกษาเรื่องภูมิหลังทางวัฒนธรรม เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์หรือว่าความรู้สึกของคนในประเทศนั้น”
ก่อนที่เธอจะเน้นย้ำว่า ในฐานะผู้อำนวยการ เธอจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือระยะยาว และเชื่อว่าการเริ่มต้นจากงาน BIDC 2025 ในประเทศไทยจะเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมคอนเทนต์เชิงวัฒนธรรมของไต้หวันในเวทีโลกโดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน
หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากับน้องฉลามตัวนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเจ้าฉลามตัวนี้ปรากฎให้เห็นอยู่ตามหน้าผลิตภัณฑ์ใน Watson ของเราอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นสำลี กระดาษทิชชู่ สบู่ แฮนด์ครีม และอีกสารพัดอย่าง ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของ ‘แองจี้ ฮู’ ผู้อยู่เบื้องหลังในการผลักดันครีเอเตอร์ให้สร้างสรรค์ตัวละครสุดน่ารักนี้ จนครองใจคนทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
“จริง ๆ คนออกแบบเขาได้ไอเดียมาจากภาพยนตร์เรื่อง Jaws เขาก็เลยเริ่มออกแบบเป็นสติกเกอร์ไลน์ ทำเป็นธีมไลน์ต่าง ๆ ซึ่งจุดเริ่มต้นจริง ๆ ก็มาจากสติกเกอร์เลย ช่วงแรกเขายังทำแบบว่าเป็นหัวฉลาม ยังไม่มีตัว มีแค่หัว (หัวเราะ) แล้วฟันก็แหลม ๆ พอทำออกมา กลายเป็นว่าคนไต้หวันไม่ค่อยชอบ เพราะมันดูน่ากลัว เขาชอบอะไรที่มันน่ารักมากกว่า”
แองจี้ ฮู เล่าถึงที่มาของ Mr. Shark หนึ่งในคาแรกเตอร์ที่บริษัท Hu Creates Co., Ltd. ดูแล และ Mr. Shark ก็เป็นคาแรกเตอร์ IP ต้นฉบับจากไต้หวันที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ต้องขอบคุณความคิดสร้างสรรค์ของ Jiang ที่ทำให้ทุกคนรู้จักน้องฉลามหน้ามนตัวนี้ในปี 2020 เอาชนะอุปสรรคทางวัฒนธรรมและภาษาได้เป็นอย่างอยู่หมัด
แองจี้ได้บอกอีกว่า แม้เธอจะเป็นเจ้าของบริษัท แต่เธอเองก็เคยเป็นครีเอเตอร์มาก่อน จึงเข้าใจเส้นแบ่งระหว่างธุรกิจและความคิดสร้างสรรค์ ในการสร้างตัวละครแต่ละตัวขึ้นมาเป็นอย่างดี ดังนั้นครีเอเตอร์ที่อยู่ในความดูแลของเธอจะไม่มีเรื่องให้ปวดหัวอย่างแน่นอน เพราะเธอจะเป็นด่านแรกในการรับแรงกระแทกจากทุกคนเอง
“เมื่อก่อนเราก็เป็นครีเอเตอร์ ทำงานอยู่ที่อเมริกาในปี 2016 แต่ก็ย้ายกลับมาไต้หวัน แล้วเริ่มเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เลยกลายเป็นว่าเราเข้าใจความเป็นครีเอเตอร์มาก ๆ รู้ว่าเขาต้องการอะไร พอมาเป็นเจ้าของบริษัทด้วย ก็เลยรู้อีกว่าความต้องการของลูกค้า คืออะไร”
เมื่อถามว่าอาชีพครีเอเตอร์ในไต้หวันยังพอมีหวังที่จะเติบโตได้ไหม แองจี้ตอบว่า หากเป็นเมื่อก่อนคงถูกครอบครัวคัดค้านไม่ให้มาทำงานสายนี้ แต่ปัจจุบัน เธอเห็นได้ชัดเลยว่า ครีเอเตอร์ทุกคนเริ่มมีรายรับที่เพิ่มมากขึ้น เพราะว่าคนยอมรับมากขึ้น ครีเอเตอร์สมัยนี้ไม่แย่เหมือนสมัยก่อน
“ด้วยความที่เป็นคนจีนเนอะ ครอบครัวอาจจะมองว่าศิลปะหาเงินไม่ได้ แต่ตอนนี้มีครีเอเตอร์หลายคนพาทั้งครอบครัวมาช่วยทำงานด้วย พ่อแม่มาช่วยผูกของ แกะของ ให้พ่อแม่เป็นอินฟลูช่วยดึงดูดคนมากขึ้น ณ ปัจจุบันรายได้โอเคขึ้นเยอะ แต่ความท้าทายอีกอย่าง คือ จะทำยังไงให้คนสนใจ ทำยังไงให้ยังอยู่ได้ในยุคที่ทุกคนต่างมีพื้นที่ในการแสดงงานของตัวเองอย่างอิสระ”
ฉันไม่กินกาแฟ เพราะกาแฟชมมากเลย แต่พอโตมาฉันกินกาแฟทุกวัน เพราะว่าชีวิตฉันขมกว่ากาแฟอีก
เคท ชาง ยกตัวอย่างข้อความที่ปรากฎอยู่ในสติกเกอร์ไลน์ของเหมาเหมาชง หนอนผีเสื้อที่สวมหมวกสตรอเบอร์รี่ เพื่อปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้อย่างเงียบเชียบ พยายามหลีกหนีสังคมที่มีแต่ความกดดันออกมาให้ห่างที่สุด ซึ่งเธอบอกว่าที่ไต้หวันมักจะเรียกเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้ว่า ‘วัยรุ่นยุคสตรอเบอร์รี่’
หากให้เปรียบเทียบกับไทยเราคงเป็นคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ ที่มักจะถูกบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าไม่อดทน ไม่เหมือนคนสมัยก่อนที่เจอกับเรื่องหนักหนาสารพัดอย่าง แต่พวกเขาก็อดทนผ่านพ้นไปได้โดยไม่ปริปากบ่น
“เมื่อ 20 ปีก่อน ตัวละครตัวนี้ใส่หมวกเพื่อปกป้องตัวเองว่า ฉันสามารถอยู่คนเดียวได้นะ เราอยู่ได้ ยังไง ตอนนี้เมื่อมองกลับไปก็เห็นว่าตัวละครนี้ยังเป็นที่นิยมอยู่ ยังตรงกับช่วงชีวิตของวัยรุ่นสมัยนี้อยู่เลย”
“ไต้หวันเองเรามีควมกดดันที่สั่งสมกันมานาน 20 ปีที่แล้วเป็นยังไง ตอนนี้เราก็ยังเห็นอยู่นะว่า สังคมไต้หวันยังมีความกดดันเหล่านั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกดดันในเรื่องการเรียน การมีชีวิตคู่ การแต่งงาน การสร้างครอบครัว กลายเป็นว่าคนก็ยังต้องปกป้องตัวเองจากความกดดันอยู่”
เคทได้ยังตัวอย่างคำพูดที่ปรากฏอยู่ในคาแรกเตอร์นี้ขึ้นมาอีกว่า “อย่างอันนี้ ตอนเด็ก ๆ เรามักจะกลัวการพูดโกหก แต่พอโตขึ้นมา เรากลัวการพูดความจริงมากกว่า”
ทันทีที่เธอยกตัวอย่างก็ทำให้เราคลายข้อสงสัยไปได้ทั้งหมด ว่าทำไมเหมาเหมาชงจึงกลายเป็ยตัวละครที่อยู่ในใจคนมานานถึง 20 ปี
ซึ่งเธอยังบอกอีกว่าสภาพสังคงไต้หวันกับตอนนี้ไม่ได้ต่างกันมากก็จริง แต่สิ่งที่ติดตัวคนไต้หวันมาตั้งแต่ยุคเก่าก่อนคือ ความอดทน
“คนไต้หวันเป็นคนอดทนมาก ๆ แต่ว่าพอถึงจุดหนึ่งก็อยากจะหัวเราะให้กับชีวิตปัจจุบันของตัวเองเหลือเกิน เหมาเหมาชงก็นำพาจุดนี้ออกมา เช่นข้อความต่าง ๆ อย่าง ฉันสู้นะ แต่ฉันก็เหนื่อยเหลือเกิน อะไรประมาณนี้”
และนี่คือเรื่องราวจาก Mr. Shark ถึง เหมาเหมาชง ก็สะท้อนให้เราเห็นพลังบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคาแรกเตอร์ตัวเล็ก ๆ พลังที่ไม่ได้เป็นเพียงภาพวาดหรือตัวการ์ตูน แต่คือกระจกเงาที่สะท้อนชีวิต ความฝัน และความรู้สึกของผู้คนจริง ๆ และนี่เองที่ทำให้ครีเอเตอร์ ไม่ใช่อาชีพเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่เป็นพลังสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจได้
สำหรับ TAICCA การพาตัวละครเหล่านี้เดินทางจากไทเปมาถึงกรุงเทพฯ ไม่ได้หมายถึงเพียงการเปิดตลาดใหม่ แต่คือการเปิดพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนระหว่างสองสังคมที่ต่างก็ยืนอยู่บนรากฐานเดียวกัน คือเสรีภาพในการคิด และอิสระในการสร้างสรรค์
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฉลามหน้ามน หรือหนอนผีเสื้อหมวกสตรอว์เบอร์รี ทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องเล่าที่จะเชื่อมโยงผู้คนจากต่างภาษาและต่างวัฒนธรรมให้เข้าใจกัน ผ่านความน่ารัก ความจริงใจ และความเป็นมนุษย์ที่เราต่างมีร่วมกัน
เรื่อง: วันวิสาข์ โปทอง