‘Social Loafing’ จิตวิทยาว่าด้วยการอู้งาน เมื่อทำงานร่วมกันเป็นทีม แต่มีคนเนียนกินแรง

‘Social Loafing’ จิตวิทยาว่าด้วยการอู้งาน เมื่อทำงานร่วมกันเป็นทีม แต่มีคนเนียนกินแรง

รู้จัก ‘Social Loafing’ จิตวิทยาว่าด้วยการอู้งาน และการป้องกันมนุษย์อู้งานที่แฝงตัวอยู่ทุกหนแห่ง

KEY

POINTS

แม้จะมีสำนวน “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” แต่ทำไมยังมี ‘งานกลุ่ม’ ที่ทำ ‘คนเดียว’ หรือเจอบุคคลที่เป็น ‘เดอะแบก’ ปะปนไปกับ ‘มนุษย์อู้งาน’ อยู่บ่อย ๆ?

แน่นอนว่าข้อดีของการทำงานเป็นทีม คือประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนคน การระดมไอเดียใหม่ ๆ หลากหลายมุมมอง และผลดีอีกมากมายจากการร่วมแรงร่วมใจกัน แต่ใช่ว่าการทำงานเป็นกลุ่ม จะส่งผลดีทุกครั้ง เพราะอีกด้านหนึ่งก็เปิดโอกาสให้บางคน ‘อู้งาน’ ได้อย่างแนบเนียน ซึ่งในทางจิตวิทยาการกินแรงเพื่อนเวลาทำงานกลุ่มแบบนี้ เรียกว่า ‘Social Loafing’ 

บทความนี้ จะพาไปทำความเข้าใจ Social Loafing และการป้องกันมนุษย์อู้งานที่แฝงตัวอยู่ทุกหนแห่ง ตั้งแต่ชีวิตการศึกษาไปจนถึงโลกของการทำงาน

Social Loafing กับการทดลองของ ‘แมกซ์ ริงเกิลแมน’ 

Social Loafing คือการลดความพยายาม หรือความทุ่มเทลงไป เมื่อทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม โดยเฉพาะงานที่ไม่ได้แบ่งความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน โดยหนึ่งในการศึกษาทางจิตวิทยาชิ้นแรก ๆ ที่อธิบายเรื่องนี้ คือการทดลองของ ‘แมกซ์ ริงเกิลแมน’ (Max Ringelmann) วิศวกรการเกษตรชาวฝรั่งเศส

ย้อนไปในปี 1913  ริงเกิลแมนเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ระหว่างการออกแรงเพียงคนเดียว กับการทำงานเป็นกลุ่ม แบบไหนจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ริงเกิลแมนจึงเริ่มศึกษาเรื่องนี้ โดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองดึงเชือกประมาณ 5 วินาที โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ดึงเชือกคนเดียว ดึงเชือกเป็นกลุ่ม 7 คน และดึงเชือกเป็นกลุ่ม 14 คน พร้อมกับใช้เครื่องวัดแรงสูงสุดที่ได้  

หากมองเผิน ๆ ‘ผลรวม’ ของแรงที่ได้เมื่อคนเพิ่มขึ้น ย่อมมากกว่าแรงของคน ๆ เดียว แต่เมื่อวัดจาก ‘แรงดึงเฉลี่ยต่อคน’ กลับพบว่ายิ่งคนเยอะขึ้นเท่าไร ค่าเฉลี่ยการออกแรงยิ่ง ‘ลดลง’ เท่านั้น เรียกง่าย ๆ ว่ายิ่งคนเยอะ ยิ่งมีโอกาสที่ผู้คนจะออมแรงสูงขึ้นนั่นเอง 

และเมื่อริงเกิลแมนทำการทดลองลักษณะคล้ายคลึงกันอีก แต่เปลี่ยนมาเป็นการใช้แรงผลัก ก็ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน คือผู้เข้าร่วมการทดลองออกแรงตอนผลักคนเดียวมากกว่าตอนผลักกันเป็นกลุ่ม 

แต่อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น ?

เหตุผลของคนอู้งาน

หากสังเกตรูปแบบการทดลองทั้งสองครั้งจะพบจุดร่วมคือ การวัดผลไม่ได้ด้วยตาเปล่า เพราะมองไม่เห็นว่าใครออกแรงมากกว่ากัน ดังนั้น รูปแบบงานที่เปิดช่องว่างให้คนอู้งานได้ คือ งานที่ไม่ได้แบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน ระบุไม่ได้ว่าผลลัพธ์ส่วนนี้มาจากใคร และมากน้อยแค่ไหน เพราะ ‘ความกำกวม’ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่องานนั้น ๆ น้อยลง และมองว่าความพยายามของพวกเขาส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อผลลัพธ์ภาพรวม หากจะออมแรงสักนิด ก็คงไม่มีคนสังเกต และคงมีแรงจากคนอื่น ๆ มา ‘ชดเชย’ ตัวเองอยู่ดี หรือต่อให้ออกแรงอย่างเต็มที่ คงไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเราทุ่มเทแค่ไหน ยิ่งกลุ่มใหญ่เท่าไร ความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

ส่วนอีกปัจจัยสำคัญของ Social Loafing คือ ‘การขาดแรงจูงใจ’ เพราะบางคนรู้สึกว่าต่อให้ไปถึงเป้าหมายหรือออกแรงได้มากเท่าไร ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิต เช่น คนที่จะเก็บงานกลุ่มชิ้นนี้เป็นพอร์ตโฟลิโออาจจะทุ่มแรงให้งานกลุ่มมากกว่าคนที่มองงาน ๆ นี้เป็นเพียงโปรเจกต์หนึ่งที่อยากให้ผ่านไปไว ๆ  

นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการอู้งาน หนึ่งในนั้นปัจจัยทางสังคม เช่น สังคมที่ให้ความสำคัญกับส่วนรวมมาก ๆ และมาก่อนความเป็นปัจเจก (collectivism) มีแนวโน้มเกิดการอู้งานในกลุ่ม ‘น้อยกว่า’ สังคมที่ให้ความสำคัญกับปัจเจกมาก่อนสังคมส่วนรวม (individualism) 

หรือสังคมที่กล้าตักเตือน ปกป้องสิทธินั้น มีแนวโน้มจะเกิดการอู้งานน้อยกว่าสังคมแบบหยวน ๆ กันไป เพราะสังคมแบบ ‘หยวน ๆ’ ส่งเสริมให้คนอู้งานได้ใจว่าทำแบบนี้ก็ไม่มีใครว่าอะไร แถมยังได้ผลลัพธ์เชิงบวกอีกต่างหาก สุดท้ายจึงกลายเป็นความเคยตัวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ทฤษฎี Social Loafing และการทดลองของแมกซ์ ริงเกิลแมน ไม่ได้บอกว่าการทำงานกลุ่มเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ชี้ให้เห็น ‘ช่องโหว่’ ที่เราควรป้องกัน เมื่อต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม เริ่มมาตั้งแต่การเลือก ‘รูปแบบการทำงาน’ ที่เหมาะสม เช่น งานที่ไม่สามารถแยกย่อยจนแบ่งหน้าที่กันได้อย่างชัดเจน อาจเหมาะกับการทำงานเดี่ยวมากกว่างานกลุ่ม หรือหากทำงานเป็นกลุ่ม ควรมีการประเมินที่แน่ชัดว่าผลลัพธ์นี้มีที่มาจากใคร 

รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้คนในทีมด้วยการสื่อสารให้ชัดเจนว่า การทำสิ่งนี้ดีต่อแต่ละคนอย่างไรบ้าง หรือมอบหมายงานที่ตอบโจทย์เป้าหมายหรือความต้องการส่วนบุคคล เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นให้แต่ละคนในทีมรู้สึกมีแรงจูงใจในการทำหน้าที่ของตัวเอง ไปจนถึงการพิจารณาบริบทสังคมร่วมด้วย 

ทั้งหมดนี้เพื่อให้การทำงานเป็นทีม ไม่ใช่แค่การทำงานด้วยกันเท่านั้น แต่กลายเป็นทีมเวิร์คที่ทำงานออกมาดี และทำให้สำนวน ‘สองหัวดีกว่าหัวเดียว’ เกิดขึ้นได้ในโลกการทำงานอย่างแท้จริง


เรื่อง: ธัญญารัตน์ โคตรวันทา
ภาพ: Pexels

อ้างอิง:

How Social Loafing Is Studied in Psychology

Social Loafing In Psychology: Definition, Examples & Theory

Ringelmann Effect

การอู้งาน Social Loafing

การอู้งานในการทำงานเป็นทีม