ธุรกิจบนเส้นทางธรรมะ บทสนทนากับ ‘สุภชัย วีระภุชงค์’ 

ธุรกิจบนเส้นทางธรรมะ บทสนทนากับ ‘สุภชัย วีระภุชงค์’ 

จากทายาทธุรกิจยาหมื่นล้าน สู่ผู้เผยแผ่ธรรมะในระดับนานาชาติ — ‘สุภชัย วีระภุชงค์’ คือชายที่เชื่อว่าธุรกิจกับธรรมะไม่จำเป็นต้องเดินคนละทาง เขานำหลักพุทธศาสนามาเป็นหางเสือให้ชีวิตและองค์กร โดยยืนยันว่า “ธุรกิจที่ไม่มีคุณธรรม ก็เหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ วันหนึ่งต้องล่มแน่ ๆ”

KEY

POINTS

“ธุรกิจที่ไม่มีคุณธรรมก็เหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ วันหนึ่งต้องล่มแน่ ๆ"

สุภชัย วีระภุชงค์ กล่าวประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงด้วยความหมายหนักแน่น เขาคือผู้สืบทอดกิจการ ‘ไทยนครพัฒนา’ บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายยาที่อยู่คู่สังคมไทยมากว่าครึ่งศตวรรษ ก่อนจะขยายสู่ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในและต่างประเทศในเวลาต่อมา

ทว่า เบื้องหลังภาพนักธุรกิจหมื่นล้าน สุภชัย เลือกจะเดินในอีกเส้นทางหนึ่ง คือเส้นทางของการภาวนาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผ่านการก่อตั้ง ‘สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980’ องค์กรที่ตั้งใจนำธรรมะก้าวออกไปสู่สากล

เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์ประชุมองค์การสหประชาชาติ (UN) กรุงเทพฯ มีการจัดประชุม SAMVAD ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ ‘ศตวรรษแห่งเอเชียของธรรมะ-ธรรม’ การประชุมครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Vivekananda International Foundation (อินเดีย), สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980, ศูนย์อินเดียศึกษา มจร., International Buddhist Confederation และ Japan Foundation โดยมีผู้แทนจาก 22 ประเทศและผู้นำศาสนาระดับภูมิภาคเข้าร่วม

ในเวทีนี้ สุภชัย วีระภุชงค์ ขึ้นปาฐกถา โดยกล่าวถึงบทบาทของธรรมะ ในฐานะ ‘รากฐานที่ไม่มีอำนาจใดเหนือได้’ พร้อมย้ำว่า แม้โลกจะเต็มไปด้วยการแข่งขันและแรงดึงดูดจากอำนาจและเงินตรา แต่ธรรมะสามารถเป็น ‘พลังที่ยืนเหนืออำนาจ’ ได้ 

ธุรกิจบนเส้นทางธรรมะ บทสนทนากับ ‘สุภชัย วีระภุชงค์’ 

‘ธรรมะ’ สำหรับชายคนนี้ ไม่ใช่เรื่องในวัดเท่านั้น หากคือ ‘หลักนำทางของมนุษยชาติ’ ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความขัดแย้งและแรงครอบงำจากอำนาจในรูปแบบต่าง ๆ

ครอบครัว การศึกษา และรากฐานทางความคิด

สุภชัย วีระภุชงค์ เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2505 ในครอบครัวคนจีนโพ้นทะเลรุ่นที่สี่ ที่ตั้งหลักปักฐานอยู่ในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ครอบครัวมีทั้งรากฐานทั้งทางธรรมและทางธุรกิจ คุณแม่ของเขาบวชชี และยึดการสวดมนต์ภาวนาเป็นกิจวัตร ส่วนคุณพ่อเป็นนักธุรกิจ ผู้ก่อตั้งบริษัทไทยนครพัฒนาในปี 2520

บรรยากาศภายในบ้าน ทำให้เขาเห็นทั้งสองโลกตั้งแต่เล็ก โลกธุรกิจที่ต้องแข่งขันและโลกแห่งศรัทธาที่เน้นความสงบงาม เป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อวิธีคิดและการเลือกเส้นทางชีวิตของเขาในเวลาต่อมา

“ผมเห็นคุณแม่สวดมนต์ทุกวันตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนคุณพ่อก็พูดเสมอว่าธุรกิจจะอยู่ได้ ต้องอยู่บนคุณธรรม”

สุภชัย เริ่มต้นการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจ ที่ South Eastern University ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เขาเห็นความแตกต่างของสังคม เศรษฐกิจ และวิธีคิด

ช่วงเวลาในสหรัฐฯ ทำให้เขาเข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจโลก และเห็นพลังของเงินตราที่กำหนดทิศทางการเมืองและการพัฒนา ขณะเดียวกัน เขายังได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการพึ่งพาตนเองและการทำงานหนัก

เมื่อกลับมาเมืองไทย เขาเริ่มช่วยงานในกิจการของครอบครัว ได้สัมผัสความจริงของการทำธุรกิจอย่างใกล้ชิด ประสบการณ์นี้ยิ่งทำให้เขาเชื่อว่า “ธุรกิจที่แท้จริงจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อมีรากฐานอยู่บนคุณธรรม” 

จุดเริ่มต้นของแนวคิด ‘ธรรมะนำธุรกิจ’

สุภชัย เล่าว่าการตัดสินใจในธุรกิจไม่ได้มีสูตรสำเร็จ แต่ต้องอาศัยหลักคิดที่มั่นคง การสืบทอดกิจการครอบครัว ไม่ใช่เพียงการรักษามรดกทางธุรกิจ แต่คือการรักษาหลัก ‘คุณธรรมนำธุรกิจ’ ของคุณพ่อ ที่ให้ไว้อย่างมั่นคง และต่อยอดไปสู่การขยายธุรกิจในมิติใหม่ ๆ

จากธุรกิจยา ไทยนครพัฒนาค่อย ๆ ขยายปีกเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนครั้งใหญ่ คือการสร้างและบริหารโรงแรมในเครือโซฟิเทลที่หัวหิน กระบี่ และโคราช โรงแรมเหล่านี้ไม่ได้ถูกวางเพียงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว แต่สะท้อนวิธีคิดที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจกับธรรมชาติ

ธุรกิจบนเส้นทางธรรมะ บทสนทนากับ ‘สุภชัย วีระภุชงค์’ 

โรงแรมแต่ละแห่งถูกออกแบบให้ราว 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เป็นสีเขียว เพื่อให้เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์นานาชนิด 

“โรงแรมไม่ใช่แค่ที่พัก แต่ควรเป็นพื้นที่ที่มนุษย์กับธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้”

การขยายสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังรวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยและการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์การมองโลกกว้าง และการมองธุรกิจในฐานะ ‘เครื่องมือ’ สร้างคุณค่า มากกว่าตัวเลขผลกำไรเพียงอย่างเดียว

ว่าด้วยวิวัฒนาการของอำนาจ

จากโลกธุรกิจที่ต้องมีธรรมกำกับ มุมมองของเขายังขยายไปสู่โลกกว้าง สุภชัย เห็นว่าหากปล่อยให้โลกขับเคลื่อนด้วยอำนาจอย่างเดียว คงหนีไม่พ้นวังวนของความขัดแย้ง

เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ โลกเคยถูกขับเคลื่อนด้วย ‘อำนาจปืน’ การล่าอาณานิคมในศตวรรษก่อนแสดงให้เห็นชัดว่า เรือรบไม่กี่ลำสามารถยึดครองประเทศทั้งประเทศได้ พอมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อำนาจกลับเปลี่ยนมือและเปลี่ยนรูปแบบ จากปืนใหญ่และเรือรบ กลายเป็นเงินตราและกลไกเศรษฐกิจที่ควบคุมโลกผ่านระบบการเงิน

เมื่ออำนาจปืนถูกแทนที่ด้วยอำนาจเงิน โลกก็ยังไม่พ้นจากความขัดแย้ง เพราะสิ่งที่อยู่ใต้ปืนหรือเงินก็คือ กิเลส เช่นเดิม หากไม่มีธรรมมาควบคุม อำนาจในทุกรูปแบบก็จะกลายเป็นเครื่องมือเบียดเบียนมากกว่าสร้างสรรค์

ในสายตาของสุภชัย ผู้เล่นสำคัญไม่ใช่เพียงประเทศ แต่คือกลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังการเมือง การเมืองคือภาพหน้าเวที แต่หลังม่านคือทุนที่ขับเคลื่อนและกำหนดทิศทาง

สำหรับเขา วิวัฒนาการของอำนาจเป็นภาพสะท้อนของความผิดพลาดที่มนุษย์ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า โลกเปลี่ยนจากปืนมาเป็นเงิน และกำลังเคลื่อนไปสู่ยุคใหม่ของ Soft Power แต่หากยังขับเคลื่อนด้วยความโลภ อำนาจในรูปแบบใดก็ย่อมก่อให้เกิดความขัดแย้งไม่รู้จบ

เมื่อหันกลับมามองภูมิภาคเอเชีย สุภชัย เห็นโครงสร้างที่ไม่ต่างจากตะวันตก การเมืองกับทุนเกี่ยวพันกันแน่น จนแยกไม่ออกว่าใครกำหนดใคร “ในเอเชีย พรรคการเมืองแทบทุกพรรค ก็ล้วนมีสายสัมพันธ์กับทุนใหญ่ไม่กี่ตระกูล”

แม้การเมืองจะขับเคลื่อนด้วยเสียงจากประชาชน แต่พลังที่อยู่เบื้องหลัง คือทุนที่สนับสนุนให้เดินไปในทิศทางที่ต้องการ เมื่อผู้นำยังผูกติดกับทุนและผลประโยชน์ส่วนตัว มองการเมืองผ่านกรอบของอคติ จึงยากที่จะก้าวไปสู่การตัดสินใจบนพื้นฐานของปัญญาและความเป็นธรรม

“ไม่ใช่ว่าคนไทยหรือคนเอเชียไม่เข้าใจธรรมะ แต่เราเลือกที่จะไม่ใช้ เราเลือกเดินตามอำนาจและผลประโยชน์มากกว่า... ความโลภคือรากของทุกอย่าง พอโลภแล้วก็โกรธ พอโกรธแล้วก็หลง วนเวียนอยู่อย่างนี้” 

ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การเมือง หรือการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ต้นตอที่แท้จริงไม่ใช่ปืนหรือเงิน แต่คือสภาวะพื้นฐานของมนุษย์ที่ยังไม่พ้นจากกิเลส

ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ความขัดแย้งเล็ก ๆ ในสังคม ล้วนเกิดจากการยกตนและเอาเปรียบผู้อื่น หลักธรรมพื้นฐานในพระพุทธศาสนาจึงยังใช้ได้เสมอ หากมนุษย์ไม่รู้จักหยุดความโลภ ความโกรธ และความหลง โลกก็จะไม่มีวันพ้นจากการแบ่งฝ่ายและการเบียดเบียน

“ปืนก็แค่เครื่องมือ เงินก็แค่สื่อกลาง ที่สำคัญคือใจที่ยังไม่รู้จักพอ”

ศตวรรษแห่งเอเชีย: วิสัยทัศน์และโอกาส

อย่างไรก็ตาม สุภชัย เชื่อว่าโลกกำลังเคลื่อนไปสู่ยุคใหม่ที่เอเชียจะมีบทบาทนำ เขาอ้างถึงคำกล่าวของ ‘นเรนทรา โมดี’ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่ประกาศไว้เมื่อปี 2015 ว่า ‘ศตวรรษแห่งเอเชีย’ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

คำพูดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ที่มองไกลกว่าเศรษฐกิจและการเมือง แต่มุ่งไปที่แก่นของคุณค่าทางจิตวิญญาณ เขาเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย การรวมพลังของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความพยายามหาทางออกจากการพึ่งพาตะวันตกมากเกินไป

“เอเชียกำลังตื่นขึ้น แต่การตื่นขึ้นครั้งนี้จะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อมีธรรมเป็นแกนกลาง” 

‘ศตวรรษแห่งเอเชีย’ ไม่ได้หมายถึงการแซงหน้าทางเศรษฐกิจหรือการทหารเท่านั้น หากแต่หมายถึงการนำเสนอวิธีคิดใหม่ให้แก่โลก วิธีคิดที่ตั้งอยู่บนคุณค่าของมนุษยธรรม ไม่ใช่การครอบงำกันด้วยอำนาจเงินหรืออำนาจปืน

นี่คือโอกาสสำคัญ หากเอเชียสามารถจับมือกัน กล้าที่จะใช้ธรรมเป็นรากฐาน เอเชียอาจไม่เพียงผงาดขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นศูนย์กลางของวิธีคิดและค่านิยมใหม่ของมนุษยชาติ ตัวอย่างของผู้นำสองประเทศใหญ่ในเอเชีย ทั้งอินเดียและจีน สะท้อนให้เห็นว่า ธรรมยังคงมีพลังในการกำหนดทิศทางสังคมและการเมือง

เขายกตัวอย่าง สี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่มีพื้นฐานเป็นชาวพุทธ และนำหลักธรรมมาใช้ในการปกครอง โดยเฉพาะการรณรงค์ปราบปรามการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง “มันสะท้อนว่าแนวคิดทางธรรมสามารถเป็นพลังขับเคลื่อนในทางปฏิบัติ ไม่ใช่แค่เรื่องสอนใจ” 

ทั้งสองประเทศนี้ มีประชากรรวมกันกว่าหนึ่งในสามของโลก การที่ผู้นำส่งสัญญาณเช่นนี้ ทำให้มีความหวังว่าเอเชียอาจสร้างเส้นทางใหม่ให้แก่มนุษยชาติ เส้นทางที่ไม่ยึดติดเพียงอำนาจเงินหรืออำนาจปืน แต่ตั้งอยู่บนหลักธรรม

พลังแห่งธรรมในทุกศาสนา

‘ธรรม’ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพระพุทธศาสนา หลักแห่งความถูกต้องปรากฏอยู่ในทุกศาสนา สุภชัย ใช้คำว่า ‘มนุษยธรรม’ เพื่อชี้ว่าหัวใจของทุกความเชื่อล้วนตั้งอยู่บนหลักการเดียวกัน นั่นคือการไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน

“ศีลคือความเป็นปกติของมนุษย์ ถ้าเราไม่เบียดเบียน ไม่สร้างความทุกข์แก่ใคร นั่นแหละคือธรรมะ” เขากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ในทัศนะของเขา มนุษยชาติ ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาเดียว เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่ต้องมี ‘หลักร่วม’ ที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับ และนั่นคือหลักธรรมที่ฝังรากอยู่ในใจมนุษย์ทุกคน

เขาเชื่อมั่นว่าเอเชียมีศักยภาพในการนำเสนอแนวคิดที่เชื่อมศาสนาและวัฒนธรรมหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ใช่ด้วยการครอบงำ แต่ด้วยการหาจุดร่วมของคุณค่าพื้นฐานในความเป็นมนุษย์ และหากเอเชียจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางในศตวรรษใหม่นี้ ยุทธศาสตร์สำคัญต้องไม่ใช่การเลียนแบบตะวันตก แต่คือการใช้จุดแข็งของตนเอง คือธรรมและคุณค่าทางจิตวิญญาณ

“ถ้าเอเชียไม่จับมือกัน ก็จะกลายเป็นเพียงตลาดที่ถูกแย่งชิง แต่ถ้าจับมือกัน แล้วนำเสนอมิติใหม่ให้โลก เราจะกลายเป็นศูนย์กลางได้” 

ในมุมมองของเขา การเชื่อมโยงระหว่างเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก ไม่ใช่เพียงการค้า แต่คือการสร้างเครือข่ายทางความคิดที่ยืนอยู่บนหลักธรรม เมื่อภูมิภาคนี้มีประชากรนับพันล้านคนและวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึก การรวมพลังเช่นนี้จึงสามารถท้าทายกรอบคิดแบบเดิมของโลกตะวันตกได้

“ประเทศไทยอาจไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่ที่สุด แต่เรามีทุนทางจิตวิญญาณที่โลกต้องการ”

การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นเพียงในห้องประชุมของผู้นำ แต่ต้องลงไปถึงระดับประชาชน “ผู้นำอาจยังใช้วิธีคิดแบบเก่า แต่ถ้าคนในสังคมเริ่มตื่นรู้ โลกก็จะเปลี่ยนในที่สุด”

ยุทธศาสตร์การสร้างการเปลี่ยนแปลง คือการปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมลงในดินของเอเชีย แล้วปล่อยให้เติบโตจนกลายเป็นพลังที่โลกไม่อาจมองข้าม

ธุรกิจบนเส้นทางธรรมะ บทสนทนากับ ‘สุภชัย วีระภุชงค์’ 

ว่าด้วยการบวช

ประสบการณ์บวชเรียน ของ สุภชัย มีจุดหมายสำคัญ ครั้งแรกในช่วงวัยยี่สิบกลาง ๆ และอีกครั้งที่ผูกโยงกับภารกิจทางธรรมในระดับสาธารณะ

เริ่มต้นจากการบวชกับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เมื่ออายุ 25 ปี ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ซึ่งเป็นช่วงที่วางรากทางจิตวิญญาณอย่างจริงจังไว้ตั้งแต่หนุ่ม ก้าวถัดมา คือการ “บวชถวายในหลวง รัชกาลที่ 9” เมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เป็นชนวนให้เขาเริ่มสร้างงานทางธรรมอย่างเป็นระบบ ด้วยการก่อตั้งสถาบันฯ ขึ้นมา

จากจุดเริ่มนั้น เขาขยายงานสู่การเชื่อมโยงพระสงฆ์ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อเรียนรู้และปฏิบัติธรรมร่วมกัน ฐานคิดที่พาเขาเดินต่อจาก ‘การบวชเพื่อถวาย’ ไปสู่ ‘การบวชเพื่อสังคม’ ผ่านการทำงานของสถาบันฯ 

จากนั้น สุภชัย ตัดสินใจก้าวสู่การบวชครั้งที่สาม ในปี 2563 ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย สถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เขาเล่าว่าเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริง

“ผมไปบวชครั้งที่ 3 บวชใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประเทศอินเดีย ได้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ 5 และอายตนะ 5 เป็นครั้งแรกในชีวิต”

การได้เห็น ‘การเกิด–ดับ’ ไม่ใช่เพียงความรู้เชิงทฤษฎี แต่เป็นการประจักษ์ด้วยตนเอง ทำให้เข้าใจธรรมในมิติที่ลึกกว่าที่เคยเรียนหรือเคยฟังมา

ขณะทำพิธีบวชและเจริญภาวนา จิตเหมือนได้เปิดออกให้เห็นความจริงของสังขาร “สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ดับไป” ประสบการณ์ตรงนี้กลายเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญที่ผลักดันให้เขามุ่งมั่นเดินบนเส้นทางธรรมอย่างไม่หันหลังกลับ เป็นการตื่นรู้ที่ฝังรากลึก และทำให้มั่นใจมากขึ้นว่า งานของสถาบันโพธิคยาวิชชาลัยต้องเดินต่อไปบนเส้นทางการปฏิบัติและการเผยแผ่ที่จับต้องได้

ธุรกิจบนเส้นทางธรรมะ บทสนทนากับ ‘สุภชัย วีระภุชงค์’ 

ศีล–สมาธิ–ปัญญาในชีวิตประจำวัน

จากประสบการณ์การบวชและการภาวนา สุภชัย ตระหนักว่าธรรมไม่ควรหยุดอยู่แค่พิธีกรรมหรือช่วงเวลาสั้น ๆ ของการบวช แต่ต้องกลายเป็นวิถีชีวิตที่ปฏิบัติได้ทุกวัน เขาอธิบายว่า ‘ศีล–สมาธิ–ปัญญา’ เป็นรากฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ‘ศีล’ ทำให้ชีวิตมีความเป็นปกติ ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น ‘สมาธิ’ ทำให้ใจตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวไปตามกระแส และ ‘ปัญญา’ ทำให้เห็นความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป

“ศีลคือความเป็นปกติของมนุษย์ สมาธิคือการตั้งอยู่กับปัจจุบัน และปัญญาคือการเห็นตามความเป็นจริง… ทั้งหมดนี้ต้องเดินไปด้วยกัน”

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การแยกตัวออกจากสังคม แต่คือการนำหลักศีล สมาธิ และปัญญา มาใช้กับทุกการตัดสินใจ ไม่ว่าจะในชีวิตส่วนตัวหรือการทำธุรกิจ เป็นการสร้างสมดุลระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายใน

คนรุ่นใหม่กำลังเติบโตในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ความกดดัน และความสับสนจากกระแสข้อมูล เขาเชื่อว่าธรรมไม่ใช่สิ่งไกลตัว แต่เป็นหลักที่จะช่วยให้คนหนุ่มสาวมีที่ยืนที่มั่นคง โดยการใช้ชีวิตไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ความกลัวหรือแรงกดดัน หากแต่ควรใช้โอกาสเรียนรู้ เติบโต ค้นหาความจริงของชีวิต ด้วยสติและปัญญา

“ใช้ชีวิตให้เต็มที่ได้ครับ แต่ขออย่างเดียว อย่าทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน” สุภชัย ฝากถึงคนหนุ่มสาว “มนุษย์ต้องเรียนผิดเรียนถูก ความผิดพลาดนี่แหละที่ทำให้เราเดินต่อไปได้”

ในทัศนะของเขา ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่คือบทเรียนสำคัญ

‘กำไร’ กับ ‘คุณธรรม’

ในโลกธุรกิจ การเติบโตมักถูกวัดด้วยตัวเลข-ยอดขาย กำไร หรือการขยายกิจการ แต่สำหรับเจ้าสัวอย่าง สุภชัย ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดอีกต่อไป หลังจากผ่านทั้งประสบการณ์การทำงานและการปฏิบัติธรรม เขาเลือกที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่

“เมื่อก่อนเราตั้งเป้าด้วยกำไร แต่วันนี้เราตั้งด้วยธรรมะ ความถูกต้อง ต้องมาก่อน”

คำพูดนี้สะท้อนการขยับจาก “กำไรเป็นตัวตั้ง” มาสู่ “คุณธรรมเป็นตัวตั้ง” ธุรกิจที่แท้จริงต้องตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจและสังคม หากทำกำไรโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ ก็ไม่ต่างจากการสร้างความเสียหายให้แก่ผู้คนในระยะยาว

การเปลี่ยนมุมมองนี้ ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งธุรกิจ แต่คือการยกระดับธุรกิจให้มีคุณค่า เช่น การผลิตยาที่คนจนเข้าถึงได้ หรือการสร้างโรงแรมที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ล้วนเป็นตัวอย่างการเดินตามหลักคิดนี้

ความยั่งยืนของธุรกิจ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขกำไรที่พุ่งสูง แต่คือความสามารถที่จะดำรงอยู่ได้โดยไม่เบียดเบียนใคร และยังสร้างประโยชน์กลับคืนให้สังคม

สถานะคณะสงฆ์: ปัญหาและมุมมอง

เมื่อหันมามองสถาบันสงฆ์ สุภชัย แสดงทัศนะอย่างตรงไปตรงมา เขาเห็นว่าพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการศึกษาพระธรรมในเชิงปริยัติ แต่กลับละเลยการปฏิบัติภาวนาที่จะนำไปสู่ปัญญาจริง

“พระส่วนใหญ่ภาคภูมิใจกับการเป็นสมมติสงฆ์ แต่ไม่มุ่งไปสู่การเป็นอริยสงฆ์”

การเป็น ‘สมมติสงฆ์’ แม้จะมีตำแหน่งหรือสมณศักดิ์สูงส่งก็ยังไม่เพียงพอ หากขาดการภาวนาที่แท้จริง เพราะหัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ที่การรู้แจ้ง ไม่ใช่การสะสมเกียรติยศ เขาเน้นย้ำว่าพระราชาคณะซึ่งได้รับการแต่งตั้ง ควรตระหนักอยู่เสมอว่า ตนดำรงชีพด้วยข้าวปลาอาหารจากแรงงานของคนจน จึงต้องทำตนให้สมกับเป็น ‘นักรบแห่งธรรม’ 

การฟื้นฟูคณะสงฆ์ ไม่ใช่การออกกฎใหม่หรือสร้างโครงสร้างใหม่ แต่คือการหวนกลับไปสู่รากฐานของการปฏิบัติภาวนา และยืนหยัดในความเป็นสงฆ์แท้ ที่จะช่วยนำพาสังคมให้ก้าวข้ามกิเลสและความหลงผิด

สื่อคือผู้กำหนดทิศทาง

เช่นเดียวกันแวดวงสื่อ สุภชัย มองว่าสื่อคือผู้กำหนดทิศทางความคิดของสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สื่อจำนวนมากเลือกไล่ตามเรตติ้ง มากกว่าที่จะทำหน้าที่ชี้นำผู้คนไปในทางที่ดี

“สื่อโทรทัศน์ทุกวันนี้นำเสนอข่าวที่เป็นอกุศลจิตมากเกินไป ข่าวทะเลาะเบาะแว้ง ตบตีกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ดึงคนดูได้ง่าย แต่ผลคือทำให้สังคมเสื่อมลง”

เจ้าของสื่อซึ่งล้วนเป็นผู้มีฐานะและมีโอกาส ควรตระหนักว่าบทบาทของตนไม่ใช่แค่การทำธุรกิจ แต่คือการเป็น ‘ผู้ชี้นำ’ หากยังมุ่งเพียงผลประโยชน์และยอดคนดู ก็ยิ่งเท่ากับซ้ำเติมความอ่อนแอของสังคมไทย สื่อควรสร้างรายการที่เป็นกุศลจิตมากกว่านี้ เช่น รายการที่เสริมแรงบันดาลใจ สร้างความเข้าใจ และพาผู้คนให้เห็นคุณค่าของความดีงาม 

“เจ้าของสื่อมีโอกาสมากกว่าคนทั่วไป หากเลือกชี้นำสังคมไปในทางที่ดี สังคมก็จะดีขึ้นตาม”

ความเชื่อ สายมู และไสยศาสตร์

สุภชัย ไม่ปฏิเสธปรากฏการณ์เรื่องความเชื่อ สายมู หรือไสยศาสตร์ ว่ามีอยู่จริงในสังคมไทย และมีพลังดึงดูดผู้คนจำนวนมาก แต่เขามองว่าความศรัทธาต้องเดินคู่กับปัญญา ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นความงมงาย

“เรื่องฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีจริง แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงสรรเสริญ”

ที่สำคัญ ชาวพุทธไม่ควรเข้าไปยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ เพราะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง หากใครหันไปพึ่งไสยศาสตร์ก็เพราะขาดที่พึ่งทางใจ แต่ที่พึ่งที่แท้จริงนั้นอยู่ในพระรัตนตรัย

“ศรัทธาต้องมีปัญญากำกับ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นความเชื่อที่ทำให้หลงผิด”

ธุรกิจบนเส้นทางธรรมะ บทสนทนากับ ‘สุภชัย วีระภุชงค์’ 

ความศรัทธาที่แท้ต้องพาผู้คนให้เข้าถึงความจริง ไม่ใช่สร้างความหวังลม ๆ แล้ง ๆ หรือทำให้คนอ่อนแอ การเข้าใจสมดุลระหว่างศรัทธาและปัญญา จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้สังคมไทยไม่หลงทาง

ความสุขตามแบบสุภชัย

เมื่อพูดถึงความสุข สุภชัย ไม่ได้มองไปที่ความสำเร็จทางโลก ตัวเลขผลประกอบการ หรือชื่อเสียงเกียรติยศ เขากล่าวชัดเจนว่า ความสุขที่แท้จริงคือการได้เห็นความจริงของชีวิต

“ความสุขสูงสุด ไม่ใช่การได้กำไร ไม่ใช่การได้ชื่อเสียง แต่คือการที่จิตสงบ และได้เห็นการเกิด–ดับของทุกสิ่ง เห็นอนัตตา”

ความสุขเช่นนี้ ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอก แต่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติและการภาวนา เป็นความสุขที่ไม่ขึ้นกับเศรษฐกิจ การเมือง หรือสถานการณ์โลก แต่เกิดจากจิตที่เข้าใจความจริง

นี่คือแก่นแท้ในการดำเนินชีวิตของผู้ชายชื่อ สุภชัย วีระภุชงค์ ผู้มีความสุขที่ไม่ผันแปรตามโลกภายนอก และเป็นความสุขที่ใครก็ตามสามารถเข้าถึงได้ หากเลือกที่จะเดินบนเส้นทางของสติและปัญญา

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม