The People talk: สุนทรพจน์ที่ดีที่สุดของสตีฟ จ็อบส์

The People talk: สุนทรพจน์ที่ดีที่สุดของสตีฟ จ็อบส์

The People talk: สุนทรพจน์ที่ดีที่สุดของสตีฟ จ็อบส์

“Stay hungry, stay foolish” (จงเก็บรักษาความหิวกระหาย และความเขลาไว้)   *The People Talk รวมสุนทรพจน์เปลี่ยนโลก **สุนทรพจน์จุดแสงสว่างนำทางคนรุ่นใหม่ของ สตีฟ จ็อบส์ ในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา วันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2005   สุนทรพจน์ความยาวประมาณ 15 นาทีชิ้นนี้ของ สตีฟ จ็อบส์ ได้รับการยกย่องให้เป็นสุนทรพจน์ที่ดีที่สุดเท่าที่อดีตซีอีโอผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคนนี้เคยขึ้นเวทีกล่าวมา สตีฟ จ็อบส์ วางโครงเรื่องด้วยการบอกเล่าสามเรื่องราวสำคัญที่ถือเป็นการสรุปประวัติชีวิตของตนเอง นับตั้งแต่ก่อนเกิดมาลืมตาดูโลก จนเข้าสู่วัยทำงาน และเผชิญโรคร้ายเฉียดความตาย ทุกช่วงเวลาให้บทเรียนอันมีค่ากับเขา จนนำมาสู่ความสำเร็จในชีวิต และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์อัจฉริยะผู้เกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก นี่คือสุนทรพจน์แบบเต็ม ๆ ที่ สตีฟ จ็อบส์ บอกกับนักศึกษาจบใหม่ และผู้ที่ยังค้นหาความต้องการที่แท้จริงในชีวิตไม่เจอ ก่อนที่ตัวเขาเองจะลาจากโลกนี้ไปในวัย 56 ปี หรือ 6 ปีหลังจากขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์อันทรงคุณค่าครั้งนี้ “ขอบคุณครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาอยู่กับพวกท่านในวันนี้ ในพิธีรับปริญญาของหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก มันเป็นเรื่องจริงที่คนพูดกันว่า ผมไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย และนี่จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ผมมีโอกาสใกล้เคียงกับการเรียนจบมหาวิทยาลัยมากที่สุด วันนี้ผมจึงอยากนำเรื่องราวในชีวิตของผม 3 เรื่องมาเล่าให้ฟัง แค่นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพียงแค่ 3 เรื่องเท่านั้น   เรื่องแรกเกี่ยวกับการเชื่อมจุดต่างๆเข้าด้วยกัน ผมลาออก (ดรอป-เอาต์) จาก รีด คอลเลจ (Reed College) หลังเข้าเรียนได้เพียง 6 เดือน แต่หลังจากนั้นก็ยังเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นในฐานะนักศึกษาทดลองเรียน (ดรอป-อิน) อีกราว 18 เดือน ก่อนจะเลิกเรียนไปจริง ๆ จัง ๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก? มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนผมเกิด มารดาทางสายเลือดของผมเป็นนักศึกษาสาวเรียนปริญญาโทที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธอตัดสินใจมอบผมให้ผู้อื่นเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เธอมั่นใจอย่างแรงกล้าว่า ผมควรไปเป็นลูกบุญธรรมของผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ดังนั้นทุกอย่างจึงถูกจัดเตรียมไว้เพื่อให้ทนายท่านหนึ่งและภรรยาของเขานำผมไปเลี้ยงตั้งแต่แรกเกิด ยกเว้นก็แต่ตอนผมคลอดออกมา พวกเขาตัดสินใจกันในนาทีสุดท้ายว่า จริง ๆ แล้วเขาอยากได้เด็กผู้หญิง ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ (บุญธรรม) ของผม ซึ่งมีรายชื่ออยู่ในลำดับถัดไป จึงได้รับโทรศัพท์กลางดึกถามว่า ‘เราได้ทารกเพศชายมาแบบไม่คาดฝัน พวกท่านต้องการเขาไปเลี้ยงหรือไม่’ พวกเขาตอบว่า ‘แน่นอน’ มารดาทางสายเลือดของผมมาทราบในเวลาต่อมาว่า แม่ (บุญธรรม) ของผมไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย และพ่อ (บุญธรรม) ของผมก็ไม่เคยเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เธอจึงปฏิเสธลงชื่อในหนังสือรับรองยกให้เป็นบุตรบุญธรรม แต่ก็มาเปลี่ยนใจในอีก 2-3 เดือนให้หลัง เมื่อพ่อแม่ (บุญธรรม) ของผมให้สัญญาว่า ผมจะต้องได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย นี่คือช่วงเริ่มต้นชีวิตของผม อีก 17 ปีต่อมาผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริง แต่ผมช่างไร้เดียงสาที่เลือกมหาวิทยาลัยซึ่งแพงเกือบเท่า ๆ กับสแตนฟอร์ด ทำให้เงินเก็บทั้งหมดของพ่อแม่ ซึ่งเป็นชนชั้นแรงงานต้องจ่ายไปกับค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยของผม หลังจากเรียนไป 6 เดือน ผมมองไม่เห็นคุณค่าของมัน ผมยังคิดไม่ออกว่าต้องการทำอะไรต่อไปในชีวิต และคิดไม่ออกว่า มหาวิทยาลัยจะช่วยผมหาคำตอบนี้ได้อย่างไร และตอนนี้ผมก็กำลังใช้เงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบมาตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลาออก และเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะออกมาดี มันค่อนข้างน่าหวาดกลัว ณ เวลานั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมา ณ นาทีที่ผมดรอปเอาต์ ผมไม่ต้องไปเข้าเรียนวิชาบังคับที่ผมไม่เคยสนใจ และเริ่มต้นเข้าไปขอนั่งเรียนในวิชาที่ดูน่าสนใจมากกว่า แต่มันก็ไม่ได้ดูโรแมนติกไปซะหมด ผมไม่มีหอพักของตนเอง ทำให้ต้องไปขอหลับนอนบนพื้นห้องของมิตรสหาย ผมเก็บขวดโค้กไปคืนแลกเงินมัดจำ 5 เซนต์ เพื่อนำไปซื้ออาหาร และต้องเดินตัดข้ามเมืองระยะทาง 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อให้มีอาหารดี ๆ กินสัปดาห์ละมื้อที่วัดฮาเร กฤษณะ (Hare Krishna) แต่ผมก็หลงรักมัน และหลายครั้งที่ผมเดินสะดุดจากการทำตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณของตนเอง มันกลับให้ผลอันประเมินค่ามิได้ตามมาในภายหลัง ผมขอยกตัวอย่างให้ฟัง 1 เรื่อง ณ เวลานั้น รีด คอลเลจ สอนวิชาอักษรวิจิตร (Calligraphy) ซึ่งบางทีอาจเรียกได้ว่าดีที่สุดของประเทศ โปสเตอร์ทุกชิ้น ป้ายทุกป้ายตามลิ้นชักทุกตัวทั่วทั้งแคมปัส มีการบรรจงเขียนขึ้นมาอย่างสวยงาม เพราะผมดรอปเอาต์ และไม่ต้องไปเข้าห้องเรียนตามปกติ ผมจึงตัดสินใจเข้าเรียนวิชาอักษรวิจิตร เพื่อเรียนรู้ว่าสิ่งนี้เขาทำกันอย่างไร ผมได้เรียนเกี่ยวกับตัวอักษรฟอนต์แบบมีเชิง (serif) และแบบไม่มีเชิง (sans serif) เกี่ยวกับความแตกต่างของขนาดช่องว่างระหว่างชุดตัวอักษรที่ต่างกันไป เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ตัวพิมพ์ที่ยอดเยี่ยมมีความยิ่งใหญ่ มันสวยงาม มีประวัติศาสตร์ ละเอียดอ่อนอย่างมีศิลปะในแบบที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำได้ และผมก็พบว่ามันช่างน่าหลงใหล สิ่งเหล่านี้ไม่เคยหวังเลยว่าจะได้นำมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรมในชีวิตของผม จนกระทั่ง 10 ปีต่อมา ตอนพวกเรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ทุกสิ่งทุกอย่างได้หวนกลับมาหาผม และพวกเราก็ออกแบบมันทั้งหมดไปใส่ไว้ในเครื่องแมคอินทอช มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มาพร้อมตัวพิมพ์อันสวยงาม หากผมไม่ได้ลงเรียนคอร์สนั้นคอร์สเดียวในมหาวิทยาลัย เครื่องแมคอินทอชก็จะไม่มีชุดตัวอักษรอันหลากหลาย หรือฟอนต์ที่เว้นช่องว่างได้อย่างเป็นสัดส่วน และเพราะโปรแกรมวินโดวส์ แค่ลอกเลียนแบบแมค จึงดูเหมือนว่า ไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องใดจะไม่มีพวกมัน หากผมไม่ได้ดรอปเอาต์ ผมก็จะไม่ได้เข้าเรียนวิชาอักษรวิจิตรนี้ และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็อาจไม่มีตัวพิมพ์อันสุดแสนวิเศษอย่างที่เป็น แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมจุดต่าง ๆ ด้วยการคาดการณ์ล่วงหน้าเมื่อผมอยู่ในมหาวิทยาลัย แต่มันชัดเจนมาก ๆ หากมองย้อนกลับไปในอีก 10 ปีต่อมา ขอย้ำอีกครั้งว่าท่านไม่สามารถเชื่อมจุดต่าง ๆ ด้วยการคาดการณ์ล่วงหน้า ท่านสามารถเชื่อมโยงพวกมันได้แค่ตอนมองย้อนกลับหลังไปเท่านั้น ด้วยเหตุใดก็ตามท่านจึงต้องเชื่อมั่นว่า จุดต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกันในอนาคต ท่านต้องเชื่อมั่นในบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ, พรหมลิขิต, ชีวิต, กรรม หรืออะไรก็ตาม เพราะการที่เชื่อว่าจุดต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกันบนหนทางข้างหน้า จะทำให้ท่านมั่นใจในการทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ แม้ในเวลาที่มันนำทางท่านเดินออกนอกเส้นทางที่วางไว้อย่างดี และนั่นจะทำให้ทุกอย่างแตกต่างกันออกไป   เรื่องที่สองเกี่ยวกับความรักและการจากลา ผมโชคดี ผมค้นพบสิ่งที่ตนเองรักตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต วอซ (สตีฟ วอซเนียก) และผมเริ่มต้นตั้งบริษัทแอปเปิลในโรงรถของพ่อแม่ผมตอนผมอายุ 20 ปี พวกเราทำงานหนัก และภายในเวลา 10 ปี แอปเปิลก็เติบโตจากแค่เราสองคนในโรงรถ กลายเป็นบริษัทมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมพนักงานอีกกว่า 4,000 คน เราเพิ่งเปิดตัวงานสร้างสรรค์ชั้นเลิศ คือ แมคอินทอช เมื่อหนึ่งปีก่อน และผมก็เพิ่งย่างเข้าสู่วัย 30 ปี จากนั้นผมก็ถูกไล่ออก คุณถูกไล่ออกจากบริษัทที่คุณเองเป็นคนก่อตั้งมาได้อย่างไร? เอ่อ.. ขณะที่แอปเปิลเติบโต เราจ้างบางคนเข้ามาซึ่งผมคิดว่าเป็นคนมีพรสวรรค์มากในการบริหารบริษัทร่วมกันกับผม และในช่วงปีแรก ๆ ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี แต่หลังจากนั้น วิสัยทัศน์ในอนาคตของเราเริ่มต่างกัน และในที่สุดเราก็มีความไม่ลงรอยกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น บอร์ดผู้บริหารของเราเลือกอยู่ข้างเขา ดังนั้นในวัย 30 ปี ผมจึงต้องออกมา และเป็นการออกมาที่รับรู้กันกว้างขวาง สิ่งที่เป็นจุดโฟกัสตลอดชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ของผมทั้งหมดปลิวหายไป และมันคือความหายนะ ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าจะทำอะไรต่อไปอยู่นาน 2-3 เดือน ผมรู้สึกว่าผมทำให้ผู้ประกอบการรุ่นก่อนหน้าต้องผิดหวัง รู้สึกว่าผมทำไม้คทาวิ่งผลัดตกขณะที่มันกำลังส่งต่อมาให้กับผม ผมไปพบกับ เดวิด แพคการ์ด (ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทฮิลเลตต์-แพคการ์ด) และบ็อบ นอยซ์ (ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล) และพยายามขอโทษที่ทำผิดพลาดอย่างเลวร้ายมาก ๆ ผมคือความล้มเหลวของสาธารณชน และผมถึงขั้นคิดจะหนีออกไปจาก (ซิลิคอน) แวลลีย์เลยทีเดียว แต่บางสิ่งบางอย่างเริ่มค่อย ๆ สว่างขึ้นภายในตัวผม ผมยังคงรักในสิ่งที่ทำ จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์ที่แอปเปิลไม่เคยทำให้สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย แม้ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมยังคงมีความรัก และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ ผมมองไม่เห็นมันนับจากนั้น แต่มันกลับกลายเป็นว่า การโดนไล่ออกจากแอปเปิล คือ สิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเคยเกิดขึ้นในชีวิตของผม น้ำหนักของการประสบความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความเบาหวิวของการได้เป็นมือใหม่อีกครั้ง ไม่เคยแน่ใจในทุกสิ่ง มันปลดปล่อยผมเข้าสู่หนึ่งในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์มากที่สุดในชีวิตของผม ระหว่าง 5 ปีต่อมา ผมเริ่มก่อตั้งบริษัทชื่อว่า NeXT และอีกบริษัทชื่อ Pixar และได้ตกหลุมรักสตรีที่น่าทึ่งผู้ซึ่งกลายมาเป็นภรรยาของผม Pixar เดินหน้าสร้างสรรค์ภาพยนตร์เรื่องแรกของโลกที่ทำจากแอนิเมชันบนคอมพิวเตอร์เรื่อง Toy Story และตอนนี้เป็นสตูดิโอการ์ตูนแอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก อีกจุดเปลี่ยนสำคัญของเหตุการณ์ คือ แอปเปิลเข้าซื้อ NeXT ทำให้ผมได้กลับไปทำงานที่แอปเปิล และเทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นที่ NeXT คือหัวใจของยุคเรอเนสซองส์ของแอปเปิลในปัจจุบัน และลอรีน กับผมก็มีครอบครัวอันแสนวิเศษด้วยกัน ผมค่อนข้างมั่นใจว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากผมไม่โดนไล่ออกจากแอปเปิล มันเป็นยาขมรสชาติแย่ แต่ผมเดาว่าคนไข้จำเป็นต้องได้รับ บางครั้งชีวิตก็เหมือนโดนทุบหัวด้วยก้อนอิฐ จงอย่าหมดศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังเดินไปข้างหน้าคือการที่ผมรักในสิ่งที่ทำ ท่านต้องค้นหาสิ่งที่ท่านรัก และนั่นคือความจริงในชีวิตการงานคล้ายกับการตามหาคนรัก งานจะเข้ามาเติมช่องว่างขนาดใหญ่ในชีวิตของท่าน และทางเดียวที่จะมีความพึงพอใจได้อย่างแท้จริง คือ การได้ทำสิ่งที่ท่านเชื่อว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ และหนทางเดียวที่จะได้ทำงานอันยิ่งใหญ่ก็คือการรักในสิ่งที่ทำ หากท่านยังหาไม่เจอ จงมองหาต่อไป และอย่าเพิ่งหยุด ทุก ๆ เรื่องที่ดีต่อใจ ท่านจะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อค้นพบมันแล้วเท่านั้น และก็คล้ายกับความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย มันจะดียิ่ง ๆ ขึ้นไปเมื่อเวลาผ่านไปแล้วเป็นปี ๆ จงค้นหาต่อไปจนกว่าจะพบ จงอย่าหยุด   เรื่องที่สามเกี่ยวกับความตาย ตอนผมอายุ 17 ปี ผมได้อ่านคำพูดท่อนหนึ่งที่บอกประมาณว่า ‘หากท่านใช้ชีวิตแต่ละวันราวกับมันคือวันสุดท้ายของชีวิต สักวันท่านจะมั่นใจได้ค่อนข้างแน่ว่าทำถูกต้องแล้ว’ ผมประทับใจคำพูดนี้ และนับแต่นั้นมาเป็นเวลา 33 ปี ผมมองในกระจกทุกเช้าและถามกับตัวเองว่า ‘หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต ผมยังต้องการทำสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำในวันนี้หรือไม่’ และเมื่อใดก็ตามที่คำตอบคือ ‘ไม่ใช่’ หลายวันติดต่อกันจนเกินไป ผมจะรู้ทันทีว่าบางสิ่งบางอย่างต้องเปลี่ยนแปลง การระลึกไว้ว่าผมเองจะตายในไม่ช้า คือ เครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมเคยเผชิญมาเพื่อช่วยตัดสินใจเลือกทางเลือกใหญ่ ๆ ในชีวิต เนื่องจากเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากภายนอกทั้งมวล ความภาคภูมิใจทั้งมวล ความกลัวการอับอายขายหน้าหรือความล้มเหลวทั้งมวล สิ่งเหล่านี้จะหายไปทันทีเมื่อต้องเผชิญกับความตาย และเหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงเท่านั้น การระลึกไว้ว่าท่านกำลังจะตาย คือ หนทางที่ดีที่สุดที่ผมทราบในการหลีกเลี่ยงกับดักทางความคิดที่ว่า ท่านมีบางสิ่งบางอย่างให้สูญเสีย ท่านได้ตัวเปล่าเล่าเปลือยแล้ว ไม่มีเหตุผลอันใดจะมาขัดขวางไม่ให้ทำตามหัวใจของตัวท่านเอง เมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ผมเข้าสแกนในตอนเช้าเวลา 7.30 น. และผลตรวจแสดงให้เห็นก้อนเนื้อร้ายในตับอ่อนชัดเจน ผมไม่ทราบมาก่อนว่าตับอ่อนคืออะไร แต่คุณหมอบอกผมว่า นี่คือมะเร็งชนิดหนึ่งที่รักษาไม่ได้ค่อนข้างแน่ และบอกว่า ผมอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3-6 เดือน คุณหมอแนะนำให้ผมกลับไปบ้าน และจัดการเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อย ซึ่งมันคือการบอกเป็นนัยของหมอว่าให้เราเตรียมตัวตาย มันหมายถึงการให้ท่านพยายามไปสั่งเสียกับลูก ๆ บอกทุกสิ่งที่ท่านนึกคิดอยากจะบอกพวกเขาตลอด 10 ปีข้างหน้า ให้บอกลาภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน มันหมายถึงการทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเสร็จสมบูรณ์ตามที่ตั้งใจ เพื่อให้ง่ายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้สำหรับครอบครัว มันหมายถึงการให้ท่านไปเอ่ยคำอำลา ผมใช้ชีวิตอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน จนกระทั่งช่วงค่ำวันเดียวกัน ผมไปเข้ารับการผ่าตัดวินิจฉัย ด้วยการสอดกล้องเล็ก ๆ ลงไปทางลำคอ ผ่านเข้าไปในช่องท้องและลำไส้ ใช้เข็มเจาะเข้าไปในตับอ่อน และนำเซลล์ 2-3 ชิ้นจากก้อนเนื้อร้ายมาตรวจ ผมถูกวางยาสลบ แต่ภรรยาซึ่งอยู่ที่นั่นด้วยกัน บอกกับผมว่า เมื่อพวกเขามองดูเซลล์ผ่านกล้องจุลทรรศน์ แพทย์เริ่มคร่ำครวญเพราะผลปรากฏว่า มันคือมะเร็งตับอ่อนชนิดที่พบได้ยากมาก ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ผมจึงเข้ารับการผ่าตัด และด้วยความขอบพระคุณ ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วตอนนี้ นี่คือช่วงเวลาที่ผมเผชิญหน้ากับความตายใกล้มากที่สุด และผมก็หวังว่ามันจะใกล้ที่สุดแค่นี้ไปอีก 2-3 ทศวรรษ การมีชีวิตผ่านช่วงนั้นมาได้ทำให้ผมสามารถบอกเล่าเรื่องนี้กับพวกท่านได้อย่างมั่นใจ มากกว่าตอนที่ความตายมีประโยชน์เพียงแค่ในแง่แนวคิดเชิงสติปัญญาล้วน ๆ เท่านั้น ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่คนที่ต้องการขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายเพื่อไปที่นั่น ทว่า ความตายคือจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนมีร่วมกัน ยังไม่เคยมีใครหลีกเลี่ยงไปได้ และสิ่งนั้นคือสิ่งที่มันควรจะเป็น เพราะความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดเพียงชิ้นเดียวของชีวิต มันคือตัวแทนความเปลี่ยนแปลงของชีวิต มันขจัดสิ่งเก่าเพื่อเปิดทางให้สิ่งใหม่ ตอนนี้พวกท่านคือสิ่งใหม่ แต่ต่อไปสักวันไม่นานนับจากนี้ ท่านจะค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งเก่าและถูกกำจัดออกไป ขอโทษนะที่ต้องดรามา แต่มันคือเรื่องจริง เวลาของพวกท่านมีจำกัด ดังนั้นจงอย่าเสียเวลาไปกับการมีชีวิตตามผู้อื่น จงอย่าติดกับดักของกฎเกณฑ์ความเชื่อ ซึ่งหมายถึงการมีชีวิตอยู่กับผลลัพธ์ตามความคิดของผู้อื่น อย่าปล่อยให้เสียงความคิดเห็นของผู้อื่นมากลบเสียงภายในตัวท่านเอง และที่สำคัญที่สุด จงกล้าหาญที่จะทำตามหัวใจและสัญชาตญาณของตนเอง จะด้วยเหตุใดก็ตามพวกมันทราบดีอยู่แล้วว่าท่านต้องการอะไรที่แท้จริง ส่วนสิ่งอื่น ๆ นั้นเป็นเรื่องรองลงมา ตอนผมเป็นวัยรุ่น มีสิ่งพิมพ์ชิ้นหนึ่งซึ่งน่าทึ่งเรียกว่า The Whole Earth Catalog มันเปรียบเหมือนหนึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม มันถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากฝีมือของเพื่อนนามว่า สจ๊วร์ต แบรนด์ เขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ในเมนโล ปาร์ก  และเขาทำให้มันมีชีวิตด้วยสัมผัสแห่งบทกลอน สิ่งนี้เกิดขึ้นในปลายทศวรรษ 1960 ก่อนจะมีการตีพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเดสก์ท็อป ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงทำจากเครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันคล้ายกับกูเกิลในรูปแบบกระดาษ ก่อนที่กูเกิลจะเกิดขึ้นมา 35 ปี มันคืออุดมคติ และเต็มไปด้วยเครื่องมืออันประณีตผนวกแนวคิดอันยิ่งใหญ่ สจ๊วร์ต และทีมงานของเขาตีพิมพ์เผยแพร่ The Whole Earth Catalog อยู่หลายฉบับ และเมื่อมันมาถึงตอนอวสาน พวกเขาตีพิมพ์ฉบับสุดท้ายออกมา มันคือช่วงกลางทศวรรษ 1970 และผมมีอายุเท่า ๆ กับพวกท่าน ที่ด้านหลังปกหนังสือฉบับสุดท้ายเป็นภาพถ่ายถนนชนบทสายหนึ่งในยามเช้าตรู่ แบบที่พวกท่านอาจอยากไปโบกรถเที่ยวเล่นบนถนนเส้นนั้นหากท่านรักการผจญภัย ใต้ภาพนั้นมีคำพูดว่า ‘จงเก็บรักษาความหิวกระหาย จงรักษาความโง่เขลาไว้’ มันคือข้อความอำลาขณะที่พวกเขาปิดตัวลง จงเก็บรักษาความหิวกระหาย จงรักษาความโง่เขลาไว้ ผมก็ปรารถนาให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับตัวเองเสมอ และตอนนี้ ขณะที่พวกท่านเรียนจบออกไปเริ่มต้นสิ่งใหม่ ผมขออวยพรสิ่งนั้นแด่พวกท่าน จงเก็บรักษาความหิวกระหาย จงรักษาความโง่เขลาไว้ ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ครับ”   เรียบเรียง: ภานุวัตร เอื้ออุดมชัยสกุล ข้อมูลอ้างอิง: https://news.stanford.edu/2005/06/14/jobs-061505/