11 ก.ย. 2568 | 19:00 น.
KEY
POINTS
ว่ากันว่าชีวิตก็เหมือนการเดินทาง จากจุดเริ่มต้นมุ่งหน้าสู่ปลายทางที่แต่ละคนต่างฝัน สั่งสมความทรงจำระหว่างทาง ก้าวข้ามผ่านทางลาดชันและทางเดินทางที่ขรุขระ แต่หากมุ่งเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง — อาจจะมีหยุดพักบ้างระหว่างทาง — ก็สามารถก้าวเท้าถึงเป้าหมายในสักวันหนึ่ง…
ย่อหน้าดังกล่าวน่าจะเป็นการเปรียบเปรยเส้นทางชีวิตที่คุ้นตาและยังช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการเดินไปข้างหน้าได้ในทุก ๆ วัน ติดเพียงแต่ว่าชีวิตของคนเราอาจไม่ได้เรียบง่ายในภาพรวมอย่างนั้น และเรียบง่ายในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงความเรียบง่ายในทางกายภาพที่ถนนหนทางจะสอดรับไปกับอุ้งเท้าของผู้เดินอย่างสะดวกสบาย แต่เรียบง่ายในความหมายที่ว่าผู้เดินตระหนักรู้ดีว่ากำลังเดินหน้าไปทางไหน เพื่ออะไร ถึงเมื่อไหร่ และไปทำไม
เพราะในหลาย ๆ ครั้งชีวิตไม่ได้เหมือนการขับรถจากกรุงเทพไปภูเก็ต หรือการเดินขึ้นเขาภูกระดึง ที่มีจุดมุ่งหมายและจุดพักผ่อนที่แน่นอน ในบางเส้นทางชีวิตของใครหลายคน การหาความหมายของชีวิตและการเดินก็เป็นสิ่งยากยิ่ง และที่เลวร้ายไปกว่านั้น การหย่อนขาหยุดพักสักชั่วคราวก็อาจเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการ
ในปี 1977 นักเขียนนามว่า ‘ริชาร์ด บาคแมน’ (Richard Bachman) ตีพิมพ์ต้นฉบับนวนิยายระทึกขวัญที่เจ้าตัวลงมือเขียนเอาไว้ราว 10 ปีก่อนนามว่า ‘The Long Walk’ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของโลกดิสโทเปียกับการแข่งขันเดินมาราธอนของผู้ชายจำนวนหนึ่งร้อยคน ทว่าเส้นชัยหาได้ถูกขีดเส้นไว้ที่จุดใด แต่ถูกกำหนดด้วยคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในการเดินครั้งนี้ เพราะหากว่าใครที่เดินช้ากว่าที่ควรจะเป็นหรือหยุดเดินจะถูกเตือน และถ้าถูกเตือนครบสามครั้งจะถูก ‘จัดการ’ ในทันที ส่วนผู้ชนะหนึ่งเดียวจะคว้าความมั่งคั่งมหาศาลและพรหนึ่งข้อไปครองอย่างสมใจนึก
แม้ว่าจะมีความพยายามจะหยิบนวนิยายเรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนต์อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งในปี 2025 ที่ ‘ฟรานซิศ ลอว์เรนซ์’ (Francis Lawrence) ผู้กำกับจากภาพยนตร์ชุด The Hunger Games ก็หยิบเอานวนิยายเรื่องนี้ของบาคแมนมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ได้สำเร็จ จนทำให้ผู้ชมสามารถรับชมการเดินมาราธอนหฤโหดพร้อม ๆ กับลิ้มรสความระทึกขวัญจากปลายปากกาของ ริชาร์ด บาคแมน
อย่างไรก็ตาม หากชื่อ ‘ริชาร์ด บาคแมน’ ฟังดูไม่คุ้นหู
จะเรียกชายคนนี้ว่า ‘สตีเฟน คิง’ (Stephen King) ก็ได้
ไม่ใช่ว่าการหยิบเอานวนิยายที่มีอายุเกือบห้าทศวรรษมาสร้างในยุคนี้จะเปี่ยมล้นไปด้วยเอฟเฟกต์หรือซีจีตระการตา แต่ The Long Walk ฉบับภาพยนตร์เรียกได้ว่าแทบจะเป็นภาพยนตร์ของการ ‘เดิน’ และ ‘คุย’ สลับกับจังหวะระทึกขวัญตะเกียกตะกายหนีตายโดยการเดินให้มีความเร็วไม่ต่ำกว่า 3 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งภายในบทสนทนาเหล่านั้นที่มีอยู่ตั้งแต่ในฉบับนวนิยายและถูกถ่ายทอดมาถึงจอภาพยนตร์อย่างทรงพลัง นอกจากจะมอบความบันเทิงแล้ว ยังชวนผู้ชมฉุกคิดถึงแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต การปกครอง ตลอดจนถึงสัญชาติญานและความเป็นมนุษย์
/ บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ The Long Walk /
ถ้อยคำในช่วงแรกของภาพยนตร์ปรากฎขึ้นเป็นข้อความตอบรับการเข้าร่วมการแข่งขันเดินมาราธอนในชื่อ ‘The Long Walk’ ที่ถูกส่งกลับไปหา ‘เรย์ การ์แรตี’ (Ray Garraty) ตัวละครเอกของเรื่อง ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเป็นตัวอย่างที่ดีและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนภายในประเทศ รวมไปถึงโอกาสจะไขว่คว้าชีวิตที่ดีกว่าให้กับครอบครัวของเขาเอง (หากว่าคุณคือผู้ชนะ) ซึ่งการแข่งขันทั้งหมดนี้ ผู้เข้าร่วมล้วน ‘สมัครใจ’ (Voluntary)
ทว่าในโลกที่ทั้งหนังสือวรรณกรรมและปรัชญามากมายกลายเป็นสิงของต้องห้าม หรือแม้ถูกทิ้งไว้ในอดีตและตีตราว่าเป็นของจาก ‘โลกเก่า’ ที่เพียงแต่ครอบครองหรืออ่านก็อาจต้องแลกมาด้วยชีวิต แต่เหตุใดการเดินมาราธอนหฤโหดครั้งนี้จึงเป็นระบบสมัครใจ หมายความว่าในโลกดิสโทเปียอันเลวร้ายที่ถูกปกครองและกดขี่โดยเดอะเมเจอร์นั้น ผู้คนก็ยังพอจะเห็นแสงที่เลือนรางของเสรีภาพอยู่บ้าง
แม้ว่าการเข้าแข่งขันจะเป็นไปโดยสมัครใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าประชาชนเหล่านั้นมีเสรีภาพเสียทีเดียว โดยเฉพาะในโลกที่รายล้อมไปด้วยความเสื่อมโทรมของอารยธรรมและความเลวร้ายของเศรษฐกิจ ผลักให้บรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้นหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตนเอง และดูเหมือนว่าทางออกเดียว (ที่ที่ผู้ชมหรือผู้อ่านพอจะรับทราบ) ก็คือการเข้าร่วมแข่งขันมาราธอน The Long Walk นี้
การอยู่ในโลกแห่งนั้นก็อาจไม่ได้ต่างอะไรจากการแข่งขันที่คุณมีเสรีภาพที่จะเลือกได้อย่างเต็มที่ว่าจะ ‘เดิน’ หรือ ‘หยุด’ หากว่าการเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างตรากตรำอาจเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ก็ไม่มีใครห้ามผู้เข้าแข่งขันจากการหยุดพัก เพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายอาจเป็นการตักเตือน หรือแม้แต่ชีวิต ไม่ต่างอะไรจากการอยู่ในโลกแห่งนั้นที่ผู้ปกครองมอบทางรอดให้กับประชาชนด้วยการเข้าแข่งขัน เพราะผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนก็สามารถเลือกที่จะนอนอยู่บ้านดูเกมโชว์เหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าการเป็นผู้ถูกเลือกให้เดิน อาจเป็นทางรอดเดียวที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า
จากจุดนี้ หากว่าเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมถูกออกแบบมาให้ผู้คนต้องตะเกียกตะกายหาทางรอด ในขณะที่บรรดาทางรอดนั้นถูกออกแบบมาให้เลือกเพียงไม่กี่แบบ หรือเพียงแบบเดียว เสรีภาพในการเลือกของผู้คนยังถือว่าเป็นเสรีภาพอยู่หรือไม่? หรือว่าทางเลือกเดอะเมเจอร์มอบให้กับผู้แข่งขัน จะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาว่าเขาเหล่านั้นครอบครองเสรีภาพ และทำให้ผู้เข้าแข่งขันและประชาชนทุก ๆ คนเดินหน้าใช้ชีวิตต่อในทุก ๆ วัน ด้วยความหวังที่จะ ‘รอดพ้น’ กับความเชื่อใน ‘เสรีภาพ’ ที่ตนถือครอง
หากมองผ่านมิตินี้ เสรีภาพในโลกของ The Long Walk ก็แทบไม่ต่างจากแคร์รอท (Carrot) ที่แขวนไว้บนหัวของลา (Donkey) ให้มันก้าวเดินหน้าต่อไปในทุก ๆ วันด้วยความหวังที่จะครองมันในสักวัน
กติกาของ The Long Walk แทบไม่มีอะไรซับซ้อน — ‘เดิน’ หรือ ‘ตาย’ — ผู้ชนะคือผู้ที่ยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้าย ทว่าภายใต้กฎง่าย ๆ นี้ อุปสรรคที่หฤโหดที่สุดอาจไม่ใช่เพียงระยะทาง ความลาดชัน หรือความอ่อนล้าของร่างกาย แต่ ‘ความไร้ความหมายของการเดิน’ และ ‘การมองไม่เห็นปลายทาง’ สำหรับผู้ที่ฝ่าฟันความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจมาได้แล้ว อุปสรรคที่แท้จริงคือความว่างเปล่าของการกระทำที่ไร้จุดหมาย ดังที่ปรากฎให้เห็นตลอดการเดิน โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายที่เหลือกันเพียงไม่กี่คน
ในช่วงหนึ่งของการเดิน การ์แรตีเอ่ยถาม ‘ปีเตอร์ แมคฟรีส์’ (Peter McVries) ว่าในยามที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ หรือแม้แต่ตัวเขาเองรู้สึกท้อแท้กับทางข้างหน้า เพราะไม่เพียงแค่มันห่างไกล แต่ไม่มีใครสามารถมองเห็นปลายทางได้เลย แต่ตัวเขายังมีความร่าเริงและมุ่งมั่นอยู่ คำตอบของแมคฟรีส์คือการมองการเดินอันแสนยาวนานนี้เพียงเป็นช่วงเวลา อิ่มเอมกับช่วงเวลาปัจจุบัน และเฝ้ามองเพียงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงถัดไปเพียงเท่านั้น
ท่ามกลางเป้าหมายที่ดูว่างเปล่าของกติการการเดิน เมื่อการ์แรตีเริ่มหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการเดิน หรือการเก็บกุมเรื่องเล่าบางอย่างเอาไว้เล่าในเช้าวันถัดไป ก็กลับทำให้การเดินนี้มีความหมายและน่าอภิรมย์ขึ้นมาบ้างเสียอย่างนั้น
ในงานเขียน ‘The Myth of Sisyphus’ (Le mythe de Sisyphe) ในปี 1942 ที่ ‘อัลแบร์ กามูร์’ (Albert Camus) นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้มีอิทธิพลสำคัญต่อแนวคิด ‘Absurdism’ ที่มองว่าชีวิตมนุษย์นั้นไร้ความหมายและแก่นสารสาระใด ๆ กามูร์เสนอว่า ความขัดแย้งระหว่างความปรารถนาของมนุษย์ที่จะหาความหมายกับความเงียบงันของจักรวาล คือ ‘ความย้อนแย้งของชีวิต’ ใจความสำคัญของงานชิ้นนี้คือ มนุษย์ต้องเผชิญกับความไร้ความหมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ชีวิตสิ้นหวัง
กามูร์ถ่ายทอดแนวคิดทางปรัชญานี้ผ่านตำนานของ ‘ซิซีฟัส’ (Sisyphus) ผู้ที่ถูกลงโทษให้กลิ้งก้อนหินขึ้นภูเขาอย่างไม่มีวันจบสิ้น อันเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับความไร้ความหมาย ทว่าแม้ทุกความพยายามจะไม่มีผลถาวร แต่การตระหนักรู้และยอมรับความย้อนแย้งนี้ ทำให้มนุษย์มีอิสระในการใช้ชีวิตเต็มที่ เพราะความสุขไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์สุดท้าย แต่เกิดจากความเข้าใจในการกระทำของตนเองและความพยายามในการค้นหาความหมายท่ามกลางความไร้เหตุผลของโลกและจักรวาล
เฉกเช่นเดียวกับกรณีของการ์แรตีที่การมองไปข้างหน้าบนถนนยางมะตอยที่ไร้จุดจบที่อาจทำให้ผู้เข้าแข่งขันเริ่มตั้งคำถามว่า ‘จะเดินต่อไปเพื่ออะไร?’ แต่ท่ามกลางเส้นทางที่ต้องเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้คำตอบ การเลือกที่จะมองเป้าหมายระยะสั้น เลือกที่เห็นความงามของการมีเพื่อนระหว่างทาง หรือแม้แต่เข้าใจความเป็นมนุษย์ของคนอื่นมากกว่าเดิมก็อาจทำให้ทุก ๆ ก้าวเดินมีความหมายมากกว่าเพ่งมองไปเพียงแต่ปลายทางที่อยู่ตรงไหนก็ไม่อาจทราบได้
อย่างน้อยการ์แรตีก็มีเป้าหมายที่แน่วแน่และชัดเจนว่าตัวของเขานั้นตัดสินใจลงแข่งและเอาชีวิตลงมาเดิมพันเพื่ออะไร แต่สำหรับผู้เข้าแข่งขันบางคน พวกเขาไม่มีแม้แต่เป้าหมายที่แท้จริงว่าลงแข่งเพื่อสิ่งใด
‘แฮงค์ โอลเซน’ (Hank Olsen) ถือเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ศึกษากฎกติกามาอย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังเตรียมสภาพร่างกายมาให้พร้อมกับการแข่งขัน ทว่าปัญหาสำคัญของโอลเซนคือ ตัวเขาไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัดว่าถ้าคว้าชัยชนะได้แล้วจะเลือกขออะไรหนึ่งอย่างจากเดอะเมเจอร์ (ซึ่งแทบทุกอย่างล้วนเป็นไปได้) แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาจะขอคือผู้หญิงจำนวน 10 คน ก่อนที่จะถูกแย้งว่า ถ้าต้องการแบบนั้นเอาเงินที่ได้มาพร้อมกับพรหนึ่งข้อ ไปซื้อก็คงได้มั้ง ทำไมไม่ขออะไรที่ ‘เงินซื้อไม่ได้’ แทน ซึ่งโอลเซนก็แทบไม่ได้คิดถึงมุมนั้นเลย สะท้อนให้เห็นว่าตัวเขานั้นไม่ได้มีเป้าหมายที่แน่ชัด หรือการเอาเป้าหมายของเขาไปผูกอยู่เป้าหมายที่สังคมสถาปนาขึ้น
จากจุดนี้จึงน่าหวนกลับไปสำรวจถ้อยคำหนึ่งจาก The Myth of Sisyphus ดังว่า “การฆ่าตัวตายทางปรัชญาคือการยอมจำนนต่อคำตอบสำเร็จรูปของศาสนาและปรัชญาอื่น ๆ แทนที่จะเผชิญหน้ากับความไร้ความหมายของชีวิตอย่างตรงไปตรงมา” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการฝากความหมายของชีวิตไว้กับคำตอบสำเร็จรูปที่ถูกสร้างขึ้น โดยไม่ค้นหาหรือสถาปนาสิ่งนั้นขึ้นมาเอง ก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้วในเชิงปรัชญา
แม้ว่าโอลเซนจะไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันคนแรก ๆ ที่ตกรอบ ทว่าการเดินไปข้างหน้าของเจาในทุก ๆ ไมล์ก็ไม่ต่างอะไรจากผีดิบ ไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย ไร้ซึ่งสำนึก ไร้ซึ่งการตอบสนอง เพียงแต่เดินหน้าไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ ไมล์จากขุมพลังเดียวที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ที่แรก โดยปราศจากเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต จิตวิญญาณของโอลเซนได้ตายตากไปแล้ว เหลือเพียงกายหยาบเดินไปข้างหน้าตามครรลองของกติกาในโลกที่เขาดำรงอยู่
หากมองในกรอบคิดของความสมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์ กติกาเกมเช่นนี้ล้วนถูกสถาปนาขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันห้ำหั่นกันเอง แม้ว่าภายในเกมจะมุ่งเน้นไปที่เพียงการเดินอย่างเดียว แต่หากมองตามกฎกติกานี้ ผู้เข้าแข่งขันแทบจะไม่มีแรงจูงใจใด ๆ เลยที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยืนอยู่ด้วยกัน เพราะทุก ๆ ผู้เข้าแข่งขันที่หลุดออกจากเกม โอกาสในการคว้าชัยชนะของทุกคนก็เพิ่มขึ้นไป ดังนั้นหากคุณเป็น ‘มนุษย์เศรษฐศาสตร์’ (Homoeconomicus) ที่ประพฤติอย่างสมเหตุสมผล (rational) โดยตัดทอนปัจจัยความเป็นมนุษย์ออกไป สิ่งที่คุณควรทำคือการเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ในขณะเดียวกันก็เป็นไปได้ที่ผู้เข้าแข่งขันจะมีแรงจูงใจนร่วมไม้ร่วมมือกันเพื่อทุ่นแรงในการอยู่รอดให้ได้นานกว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ เช่นกลุ่มทหารเสือ หรือแม้แต่จับมือกันเพื่อที่จะสร้างอำนาจในการต่อกรผู้ที่แข็งแกร่งกว่าในการเดิน แต่ในท้ายที่สุดนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเหลือกันเพียงสองหรือสามคนแล้ว การแข่งขันกันเองก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
การ์แรตีคิดแบบนั้นในคราวแรก ตัวเขาเองนั้นไม่แม้แต่จะไว้ใจแมคฟรีส์เสียด้วยซ้ำ เพราะตัวเขามองว่าไม่มีทางที่ผู้เข้าแข่งขันอีกคนจะรู้สึก ‘อยากเป็นเพื่อนอย่างแท้จริง’ กับผู้เข้าแข่งขันอีกคน แต่ภายหลังจากบทพิสูจน์หลายครั้งที่แมคฟรีส์เลือกจะช่วยการ์แรตี ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย กรอบคิดของการ์แรตีก็เปลี่ยนแปรไป
กลับกลายเป็นว่าแม้จะเดิมพันด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดอย่าง ‘ชีวิต’ มนุษย์ก็ให้คุณค่ากับความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ต่อเพื่อนมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์ต่อตนมากกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจในการจับกลุ่มอยู่รอด แต่ท้ายที่สุดนั้น มิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นก็กลับมีคุณค่าและความหมายมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตนเสียอย่างนั้น
แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การเมคเฟรนด์ในการแข่งขันที่มีกฎกติกาแบบนี้ก็ช่างเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มเอาเสียเลย หรือแม้แต่เป็นการผลักให้ให้คน ๆ นั้นเข้าไปอยู่ในสถานะที่ ‘เสียกับเสีย’ เสียด้วยซ้ำ เพราะแม้ว่าคุณจะไต่บันไดไปถึงชัยชนะได้มากขึ้น แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับมิตรภาพที่สั่งสมมา ต้นทุนที่ต้องจ่ายในการเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าการที่เขาคนนั้นไม่ต้องมีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว (เลือกตัวเองสูญเสียเพื่อน ; หากเลือกเพื่อนก็ต้องเสียสละตนเอง) จนอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงนวนิยายหนึ่งของ ‘เออร์เนสต์ เฮ็มมิงเวย์’ (Ernest Hemmingway) เรื่อง ‘Winner Take Nothing’ โดยมีชื่อฉบับแปลไทยโดย ‘ณรงค์ จันทร์เพ็ญ’ ว่า ‘ผู้ชนะที่ปราชัย’
ไม่ว่าคุณจะคว้าชัยชนะทางใด คุณก็จะปราชัยในอีกทางหนึ่ง
แต่มาถึงตรงนี้แล้ว เราคงพอจะเห็นตรงกันบ้างว่ามนุษย์ในสถานการณ์เช่นนั้นอาจจะโยนกรอบคิดใด ๆ ทิ้งไปตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะในตอนที่คุณต้องเดินกว่าสามร้อยไมล์อย่างไม่หยุดพัก โดยมีมิตรสหายเพียงไม่กี่คนก้าวเดินอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกร่วมที่ตรากตรำอุปสรรคและความทุกข์ทรมานร่วมกัน อาจกลายเป็นความสัมพันธ์ที่มีคุณค่ากว่าสิ่งใด — อาจจะมากกว่าผลประโยชน์อันเป็นแรงบันดาลใจตั้งต้นเสียด้วยซ้ำ
อาจเป็นอีกครั้งว่าท่ามกลางโลกที่ล่มสลาย นวนิยายเรื่องหนึ่งสะท้อนสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งของมิตรภาพระหว่างเพื่อนมนุษย์ ที่ไม่เพียงช่วยส่งต่อเจตนารมณ์และความหวังของการเปลี่ยนแปลงต่อไป แต่ยังเป็นบทพิสูจน์คุณค่าสำคัญอย่างหนึ่งที่ท่ามกลางความเลวร้าย สิ่งนี้กลับเบ่งบานขึ้นอย่างแข็งกร้าวและสง่างาม