About Endlessness : ชีวิตธรรมดาสารพันรส จะสุข เศร้า เหงา ทุกข์ แต่การเป็นมนุษย์ก็ยังงดงามนิรันดร

About Endlessness : ชีวิตธรรมดาสารพันรส จะสุข เศร้า เหงา ทุกข์ แต่การเป็นมนุษย์ก็ยังงดงามนิรันดร

วิเคราะห์ About Endlessness ภาพยนตร์จาก ‘รอย แอนเดอร์สสัน’ (Roy Andersson) ที่ว่าด้วยความหมายและการไม่มีความหมานของชีวิต

KEY

POINTS

 

นี่ก็เดือนกันยายนอีกแล้วนะ…

 

ความงดงามของภาพยนตร์แต่ละเรื่องล้วนมีความหมายแตกต่างกันไป ตั้งแต่การถ่ายทอดภาพที่สวยงามราวกับภาพวาดที่มีชีวิต งานศิลปะในองค์ประกอบที่เปล่งความจัดจ้านผ่านเสื้อผ้า ฉาก หรืออุปกรณ์ประกอบฉาก หรือแม้แต่บทภาพยนตร์ที่ถูกบรรจงเรียงร้อยออกมาเป็นเรื่องราวและถ้อยคำที่จะจารึกในหัวใจขอบงผู้คนไปอีกหลายทศวรรษ — สิ่งเหล่านี้คือบรรดาความงามหลากหลายรูปแบบที่ผู้ชมพบได้จากโลกภาพยนตร์

ทว่าความงดงามในนิยามที่จะได้เห็นใน ‘About Endlessness’ (2019) นั้น ไม่ได้มาจากความหวือหวางดงามของการถ่ายภาพหรือเนื้อหาคำพูดที่คมคาย แต่มาจากวิธีการเล่าที่ชวนผู้ชมได้สำรวจรายละเอียดรสชาติการเป็นมนุษย์ในระดับจุลภาคผ่านมุมมองแบบมหภาค ให้ผู้ชมคนธรรมดาได้เห็นว่า จะสุข เศร้า เหงา ทุกข์ แต่การเป็นมนุษย์ก็ยังงดงามในแบบฉบับของมันนะ

About Endlessness คือภาพยนตร์สัญชาติสวีเดนโดยผู้กำกับนามว่า ‘รอย แอนเดอร์สสัน’ (Roy Andersson) — คล้าย ๆ กับ เวส แอนเดอร์สัน (Wes Anderson) เพียงแต่เพิ่ม ‘s’ ที่นามสกุลไปหนึ่งตัว — ที่บอกเล่าความงดงามของการเป็นมนุษย์ในรูปแบบที่สุดแสนจะธรรมดา ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องผ่านฉากสั้น ๆ แบ่งเป็นตอนที่ไม่ต่อเนื่องกัน (แต่ในบางตอนก็จะเป็นเรื่องราวต่อจากตอนก่อน ๆ) โดยมีผู้บรรยายหญิงคอยเล่าถึงสิ่งที่เธอเห็นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยและคำอธิบายอันแสนจะตรงไปตรงมา

ตลอดเรื่องกล้องจะถูกตั้งนิ่งและจัดวางองค์ประกอบไว้อย่างสวยงามดุจภาพวาดทำให้หวนนึกถึงงานสไตล์ภาพวาดเรเนอร์ซองก์ที่ควรค่าแก่การสอดส่องสายตาไปทุกซอกทุกมุมของเฟรมภาพหรือแม้แต่ ‘เอ็ดเวิร์ด ฮอปเปอร์’ (Edward Hopper) ที่ฉายความเป็นมนุษย์และความเหงาผ่านสถานที่และช่องว่างที่เว้าแหว่ง ซึ่งหนังเองก็ไม่รีบ ปล่อยให้เราได้มองและสังเกตความเป็นไปของมนุษย์ผู้ถูกกักขังอยู่ในเฟรมภาพอย่างช้า ๆ 

เราจะได้เห็นบริกรคนหนึ่งรินไวน์ด้วยใจที่เหม่อลอยจนไวน์เอ่อล้นเลอะผ้าปูโต๊ะสีขาวซีด, ผู้หญิงคนหนึ่งเฝ้ารอแฟนของเธอด้วยความหวัง ณ สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง, บาทหลวงท่านหนึ่งสิ้นศรัทธาในสิ่งที่ตนเองพร่ำสอนจนต้องดิ้นรนไปสารภาพบาปกับจิตแพทย์เสียเอง, ชายวัยกลางคนที่อิจฉาเพื่อนที่สำเร็จกว่า, คู่รักสูงวัยนั่งอยู่บนม้านั่งแห่งหนึ่งในวันที่ฟ้ามืดครึ้ม พร้อมเอ่ยว่า “นี่ก็เดือนกันยาอีกแล้วนะ” และอีกมากมาย

ทุกเรื่องราวถูกเรียงร้อยต่อกันโดยแทบจะไร้ข้อเกี่ยวโยงที่สัมพันธ์ต่อกัน แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมัดรวมเป็นหนึ่งสะท้อนให้เห็นความงดงามและสัจธรรมของชีวิตที่เดินหน้าต่อไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทว่าความธรรมดา (Mundanity) ที่ถูกเล่าผ่านฝีแปรงของแอนเดอร์สสันดันสามารถกระตุ้นให้ผู้ชมคิดและหวนสำรวจความหมายและความไร้เหตุผลที่แสนสวยงามของการเป็นมนุษย์ได้ลุ่มลึกว่าที่เคยเป็น

บทความนี้จะพาไปสำรวจแง่มุมที่งดงามต่าง ๆ ที่ถูกบรรจุผ่าน About Endlessness ที่ไม่เพียงตีแผ่โลกและการเป็นอยู่ของประเทศแถบสแกนดิเนเวียเพียงอย่างเดียว แต่ชวนเราฉุกคิดถึงการมีอยู่ของมนุษย์ที่ดูจะชั่วคราว แต่ก็ขยับไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง เปราะบาง ไร้เหตุผล และงดงาม (ในแบบของมัน) ตลอดกาล

ภาพวาดของสัจธรรมชีวิต

ความน่าสนใจของ About Endlessness หรือภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของ รอย แอนเดอร์สสัน ที่หล่อหลอมเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาคือ ‘วิธีการเล่า’ เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นเหตุการณ์ที่มักไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ถูกนำมาเรียงร้อยต่อกันเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ หรือ ‘Vignette’ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปที่เรื่องราวอื่นต่อ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดมักถูกเล่าผ่านมุมกล้องภาพกว้างที่ตั้งไว้อย่างนิ่งเฉย ไร้กันตัด หรือการเคลื่อนกล้อง ราวกับผู้ชมเป็นใครสักคนที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอยู่ห่าง ๆ 

วิธีการเล่าเหล่านี้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องก่อน ๆ ของเขา โดยเฉพาะกับ ‘The Living Trilogy’ ซึ่งเป็นไตรภาพที่ประกอบไปด้วยภาพยนตร์สามเรื่องที่ไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวโยงกัน แต่สัมพันธ์กันในเชิงวิธีเล่าและแก่นของเรื่อง ที่ประกอบไปด้วย Songs from the Second Floor (2000) You, the Living (2007) และ A Pigeon Sat on a Branch Reflecting on Existence (2014) ก่อนจะมาถึง About Endlessness 

The Hunters in the Snow’ โดย ‘ปีเตอร์ เบรอเคิล’ (Pieter Bruegel) นับว่าเป็นภาพวาดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ก่อตัวเป็นวิธีเล่าเรื่องแบบของแอนเดอร์สสัน ที่ไม่เพียงให้เวลากับฉากแต่ละฉากทำหน้าที่เหมือนกับภาพวาดยุคเรเนอร์ซองก์ที่ชวนให้ผู้ชมค่อย ๆ ใช้สายตาละเมียดละไมสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ยังแบ่งวิธีการเล่าเป็นระดับสายตาหรือองค์ประกอบของภาพ 

ต่างจากภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่จะมีการตัดสลับมุมกล้องและขนาดภาพไปมา รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของกล้องที่จะเป็นเครื่องมือช่วยสื่อสารอารมณ์ชั้นยอด แต่แอนเดอร์สสันเลือกที่จะใช้วิธีการเล่าเรื่องราวกับภาพวาด ไม่ว่าจะเป็นการจัดองค์ประกอบที่เป๊ะสมบูรณ์แบบ หรือการใช้ระดับสายตาช่วยเล่าเรื่อง

ดังนั้น แต่ละฉากใน About Endlessness จึงไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงฉากเล่าเรื่อง แต่กลายเป็น ‘ภาพวาดมีชีวิต’ ที่ผู้ชมถูกเชิญให้เข้าไปยืนมองและตีความด้วยตนเอง ราวกับกำลังเดินชมแกลเลอรีที่แต่ละเฟรมคือผลงานจิตรกรรมที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ในมิติที่แตกต่างกัน บางฉากเผยให้เห็นความเปราะบางของชีวิตประจำวัน เช่น การผูกเชือกรองเท้าหรือการรอรถเมล์ ขณะที่บางฉากโยงไปถึงบาดแผลทางประวัติศาสตร์อย่างสงครามโลกหรือการสิ้นศรัทธาของนักบวช ซึ่งทั้งหมดถูกมอบน้ำหนักความสำคัญในระดับเดียวกัน วิธีการนี้ทำให้แอนเดอร์สสันสามารถทำให้เรื่องเล็กและเรื่องใหญ่มีค่าเท่ากัน ทั้งยังบังคับให้ผู้ชมละทิ้งการเสพแบบหนังเล่าเรื่องทั่วไป แล้วหันมามองรายละเอียด ความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ หรือบรรยากาศรอบข้างที่ซ่อนอยู่ในเฟรมแทน

อีกองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ About Endlessness แตกต่างออกไปคือเสียงบรรยายของผู้เล่าที่คอยกล่าวขึ้นต้นอย่างเรียบง่ายว่า “ฉันเห็น…” ก่อน ขณะที่ หรือหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้ว เสียงบรรยายนี้ไม่ได้ตีความหรือชี้นำอารมณ์ แต่ทำหน้าที่เสมือนพยานที่เฝ้าบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับมัคคุเทศก์ที่พาผู้ชมไปสำรวจว่า ‘การเป็นมนุษย์มีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหน?’

ในเหตุการณ์บริกรเทไวน์จนเอ่อล้นหกไปทั่วโต๊ะก็มีเสียงบรรยายกล่าวว่าเห็นคนที่กำลัง ‘ใจลอย’ ในฉากที่หญิงสาวคนหนึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มอีกคนจะเดินผ่านไปแล้วละสายตาจากเธอไม่ได้ เสียงบรรยายก็กล่าวกับเราว่า เธอเห็นคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน หรือแม้แต่ฉากที่สุภาพสตรีคนหนึ่งก้าวเดินมาจากขบวนรถไฟและกำลังมองหาใครสักคน ก่อนที่เสียงบรรยายจะกล่าวว่า “ฉันเห็นหญิงคนหนึ่ง ซึ่งคิดว่าไม่มีใครรอเธออยู่เลย” ก่อนที่จะนั่งรออย่างโดดเดี่ยว ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะวิ่งลุกลี้ลุกลนเข้ามาในฉากและเข้ามากอดเธอ

ท่ามกลางเปลือกนอกที่หลากหลายของเหตุการณ์ต่าง ๆ เสียงบรรยายเหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยบอกเล่าให้ผู้ชมเข้าใจบริบทของสถานการณ์ แต่เป็นการกระชากเปลือกเหล่านั้นออกให้เห็นถึง ‘ความเป็นคน’ ที่เรียบง่ายธรรมดา ที่เร้นหลบอยู่เบื้องหลังอารมณ์และการแสดงออกที่แตกต่างกันไป เพื่อสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์อย่างเรา ๆ ก็หาได้เข้าใจยาก เพราะคนทุก ๆ คนก็ล้วนก้าวผ่านอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันออกไป

การดูหนังของแอนเดอร์สสันโดยเฉพาะกับ The Living Trilogy และ About Endlessness จึงมีรสชาติที่ไม่เหมือนใครคือการได้จ้องมองและละเมียดคิดถึงเหตุการณ์อันแสนธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ว่ามันอัดแน่นไปด้วยเรื่องราว ความซับซ้อน และความเถรตรงของธรรมชาติความเป็นมนุษย์มากเพียงไหน

 

ความไร้สาระที่มีความหมายของชีวิต

สิ่งที่ผู้ชมบางท่านอาจรู้สึกเมื่อดู About Endlessness คือภาพเหตุการณ์ที่แสนจะธรรมดาและซ้ำซาก ตั้งแต่การรอรถโดยสารประจำทาง การบ่นซ้ำ ๆ ของชายคนหนึ่งถึงความหลังที่ไม่จางหาย กลุ่มวัยรุ่นที่เต้นรำหน้าร้านอาหาร หรือแม้แต่ภาพนักบวชที่พร่ำเพ้อถึงการสิ้นศรัทธาของตนเอง เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้มีจุดไคลแมกซ์หรือบทสรุป หากแต่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนบางครั้งชวนให้สงสัยว่า

 

แล้วทั้งหมดนี้เล่าไปเพื่ออะไร?

 

ในมุมหนึ่งคำถามดังกล่าวนับเป็นหัวใจของประสบการณ์ที่หนังพาเราเผชิญ ซึ่งคือความรู้สึกถึงความซ้ำซากและไร้จุดหมายที่ปกคลุมอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกับเรื่องราวของนักบวชที่หมดศรัทธาจนกลายเป็นฝันร้ายซ้ำ ๆ ยามค่ำคืน ยิ่งตอกย้ำภาพนี้ เมื่อเขาหันไปหาจิตแพทย์เพื่อถามว่า “แล้วจะเหลืออะไรให้เชื่อ?” คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” นี่คือการปะทะกันอย่างจังระหว่างความปรารถนาของมนุษย์ที่จะหาความหมาย กับความเงียบงันที่ไม่เคยมอบคำตอบกลับมา เมื่อความศรัทธาที่ยึดถืออย่างแนบแน่นได้อันตรธานไปในชั่วพริบตา เพราะเหตุใดก็ไม่อาจทราบได้

เรื่องราวทำนองนี้ชวนให้นึกถึงสิ่งที่ ‘อัลแบร์ กามูส์’ (Albert Camus) เรียกว่า ‘ความไร้สาระ’ (Absurd) ความขัดแย้งระหว่างความคาดหวังและความว่างเปล่าของจักรวาล สำหรับกามูส์ ชีวิตไม่ต่างอะไรจากตำนาน ‘ซิซิฟัส’ (Sisyphus) ชายผู้ต้องกลิ้งหินขึ้นเขาเพียงเพื่อเห็นมันกลิ้งลงมาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีปลายทาง ไม่มีคำตอบสูงสุด มีเพียงการซ้ำซากหมุนวนไปอย่างไม่มีสิ้นสุด เหมือนกับเหตุการณ์ในหนังของแอนเดอร์สสันที่ต่างติดอยู่ในวังวนกิจวัตรเล็กน้อยที่ไม่รู้จบ

แต่แทนที่หนังจะทำให้เราหมดหวัง About Endlessness กลับเล่าด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่แฝงด้วยความเมตตา ทุกฉากถูกนำเสนอด้วยโทน deadpan ที่ทั้งน่าขันและน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน ทำให้เราเห็นว่าแม้ชีวิตจะเต็มไปด้วยความไร้สาระ แต่ก็ยังมีความงดงามเล็ก ๆ ที่โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งคราว ไม่ว่าจะเป็นการที่พ่อก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้ลูก หรือคู่รักที่โอบกอดกันกลางเมืองโคโลญที่ถูกทำลายจากสงคราม

ในแง่นี้ หนังของแอนเดอร์สสันจึงสะท้อนแนวคิดของกามูส์อย่างแยบยล ว่าแม้ชีวิตจะไร้คำตอบสูงสุด ไร้ซึ่งสีสันฉูดฉาดที่รอปะทุตลอดเวลา แต่เรายังสามารถหาความหมายเล็ก ๆ ในความธรรมดาได้ การยอมรับและอยู่กับความไร้สาระ ไม่หลีก ไม่แต่งแต้มคำอธิบายปลอม ๆ คือท่าทีที่ทำให้การมีชีวิตอยู่ยังคงมีคุณค่า เพราะการไม่ได้มีความหมายก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตนั้นไม่สวยงาม

 

โลกที่เย็นชา

หนึ่งสิ่งที่อาจทำให้คนตั้งคำถามหรือรู้สึกได้จากเหตุการณ์ที่ถูกเล่าผ่านงานของแอนเดอร์สสันคือ ‘ความเย็นชา’ ของโลกใบนั้น ไม่ว่าจะเป็นโทนสีของตึกรามบ้านช่องหรือเสื้อผ้าผู้คนที่เรียบเฉย ไปจนถึงใบหน้าของตัวละครที่ซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความเย็นชาในการอยู่ในสังคมอย่างชัดเจน 

ความโหดร้ายที่สะท้อนออกมาในเรื่อง About Endlessness อาจไม่ใช่การลงทัณฑ์หรือความรุนแรงเป็นสำคัญ แต่เป็นบรรยากาศเย็นชา เฉยเมย และไร้การตอบสนองต่อความรู้สึกของมนุษย์รอบข้าง เมื่อมนุษย์คนหนึ่งเจ็บปวดทางใจอย่างแสนสาหัส แต่โลกทั้งใบก็ยังเดินหน้าต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

แต่นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้

ไม่ใช่ว่าสังคมหล่อหลอมให้ผู้คนในสังคมแบบนี้มีจิตใจที่เลวร้าย แต่ในสังคมที่ความเป็นปัจเจกนิยม (Individualism) ปกคลุมสำนึกของผู้คน การก้าวล่วงหรือเอื้อมเอ่ยไปถึงความรู้สึกของผู้อื่นจึงเป็นเรื่องที่เกินขอบเขตของใครสักคน เป็นไปได้ว่าแนวคิดทำนองนี้ได้หล่อหลอมให้เกิดภาวะความห่างเหินร่วมหมู่ (Collective Detachment) ที่ความรู้สึกของผู้คนในสังคมเริ่มปลีกแยกต่างกันจนสายสัมพันธ์เหล่านั้นเลือนลางไป

เฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ ณ คลินิกทำฟันที่ทันตแพทย์คนหนึ่งต้องเผชิญกับคนไข้ที่ไม่อาจทนทานต่อความเจ็บปวดได้จนต้องร้องออกมาไม่เว้นครั้ง ทันตแพทย์เองก็ทนไม่ได้กับความเปราะบางต่อความเจ็บปวดของคนไข้ของเขาเช่นเดียวกัน รวมไปถึงฉากอื่น ๆ ที่มนุษย์เฉยเมยต่อความรู้สึกของกันและกันจนเป็นเรื่องธรรมดา

แต่สิ่งที่ปกคลุมความธรรมดาเหล่านั้นคือความงดงามของชีวิตและรสชาติของการได้เกิดเป็นมนุษย์

 

ความงดงามของความธรรมดา

กลายเป็นว่าเสน่ห์ที่น่าสนใจที่สุดของ About Endlessness รวมไปถึง The Living Trilogy ของ รอย แอนเดอร์สสัน นอกจากความสวยงามในวิธีเล่าเรื่องแล้ว ก็คือความธรรมดาของการเป็นมนุษย์ แอนเดอร์สสันเหมือนจะบอกเราว่า ชีวิตไม่ได้ต้องการการตีความที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้มีคุณค่า ความเหงา ความเปิ่น ความซ้ำซาก หรือแม้แต่ความสุขเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของรสชาติเดียวกันที่เรียกว่า ‘การมีชีวิต’ และนั่นคือความงดงามที่แท้จริง ความงดงามที่เกิดขึ้นท่ามกลางความธรรมดาอันแสนธรรมดา

About Endlessness ไม่พยายามบีบคั้นให้คุณต้องรู้สึกอะไร เพียงแต่ปล่อยให้ความเป็นมนุษย์ที่สะท้อนผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในความรู้สึกของเราเอง ก่อนจะสะท้อนไปถึงห้วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตของผู้ชม ที่อาจจะเคยรู้สึกอะไรทำนองเดียวกันนี้มาบ้าง เพื่อให้ยังรู้ว่าแม้จะรู้สึกดีเลิศหรือเลวร้ายเพียงใด มันก็คือ ‘รสชาติ’ ของการได้ใช้ชีวิต

แม้ทุกอย่างจะไม่จีรัง แต่ความรู้สึกที่หมุนวนของมนุษย์ ที่ถูกผสมผสานเข้ากับความเปราะบางและเดียวดาย กลับกลายเป็นสิ่งที่จีรังและนิรันดรที่สุดเท่าที่มนุษย์เดินดินอย่างเรา ๆ พอจะจับต้องได้ About Endlessness เล่าถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ ผ่านเสี้ยวชีวิตของใครสักคน ที่จะสามารถสะท้อนไปถึงชีวิตของเราทุกคนได้อย่างแจ่มชัด

ทั้งหมดทั้งมวลของ About Endlessness ชวนผู้ชมย้อนกลับมาสำรวจที่ฉากแรกของหนังอีกครั้ง ซึ่งเป็นฉากที่คู่รักชรานั่งมองฝูงนกอพยพ แล้วเอ่ยเพียงว่า “นี่ก็กันยายนแล้ว” สะท้อนให้เห็นถึงกาลเวลาที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าทุกวัน ก้าวข้ามผ่านความเปลี่ยนแปลงในทุกกันยายนที่ก้าวผ่านไป แต่ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าในทุก ๆ กันยายน อะไร ๆ ก็ยังเป็นเหมือนเดิม มนุษย์ก็ยังเปราะบาง ยังเหินห่าง ยังอบอุ่น ยังตกหลุมรัก ยังเหม่อลอย ยังทุกข์ตรม แต่ทั้งหมดนั้นอาจย้ำชัดกับเราว่านี่คือความจีรังที่สุดของความเป็นมนุษย์ที่ไม่เสื่อมคลาย

เพราะในขณะที่สิ้นหวังอยู่นั้น ก็อาจมีหิมะที่งดงามโปรยปรายลงมาก็ได้