12 ส.ค. 2568 | 12:13 น.
KEY
POINTS
การดำรงอยู่ของชุมชนคริสต์นิกายคาทอลิกขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อย่างชุมชนบ้านท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ยังเป็นชุมชนที่ชาวโลกให้ความสนใจไม่น้อย ด้วยเป็นตัวอย่างของชุมชนที่ตั้งอยู่ได้ในท่ามกลางสังคมที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมในทางสังคมวัฒนธรรมสูงอย่างสังคมไทยสยาม
แม้ว่าอีสานจะเป็นดินแดนที่ค่อนข้างเปิดกว้างต่อความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมอยู่เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นในประเทศเดียวกันก็ตาม แต่การที่มีชุมชนคริสต์อยู่ในอีสาน แถมอยู่มานานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แต่อีสานก็ไม่ใช่พื้นที่ที่วัฒนธรรมอื่นจะแทรกปนเข้ามาได้ง่าย ๆ มีกลุ่มวัฒนธรรมอื่น ๆ ครองพื้นที่อยู่มาช้านานก่อนการเข้ามาของศาสนาพุทธ+พราหมณ์เสียอีก
ความเชื่อเรื่อง ‘ผีบรรพชน’ (Ancestor warship) ของคนอีสาน สืบย้อนกลับไปได้จนถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ พบร่องรอยพิธีกรรมเกี่ยวข้องตามแหล่งโบราณคดีมากมาย และบริเวณแอ่งสกล ก็เป็นอีกแหล่งที่พบเรื่องนี้มาก
เรารู้จากประวัติชุมชนท่าแร่ว่า กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชาวคริสต์ที่นี่ผ่านเหตุการณ์เรื่องราวการถูกกดขี่และเบียดเบียนทางศาสนามามาก โดยเฉพาะในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ช่วงที่มีสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส
แต่แล้วปัจจุบันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอีสาน การต่อสู้ดิ้นรน การปะทะ ปรับเปลี่ยน โต้แย้ง ต่อรอง ระหว่างความเชื่อที่แตกต่างกันสุดขั้ว เมื่อถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบภาพยนตร์ด้วยชื่อเดียวกับชุมชนดังกล่าวนี้จึงได้รับความสนใจ เช่นเดียวกับที่เคยเป็นกรณีศึกษามาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ภาพยนตร์เรื่อง ‘ท่าแร่’ นำเสนอให้เห็นแนวทางการอยู่ร่วมกันระหว่างคนเชื่อเรื่องผีกับพระเจ้า แบ่งเป็น ๒ แนว คือ
(๑) ‘แนวผสมปนเป’ ถ้าเรียกโดยอิงตามบทบาทตัวละครในเรื่อง ก็คือ ‘แนวแบบตามิ่ง-ยายแสง’ เป็นแนวทางเก่าดั้งเดิม
(๒) แนว ‘Purification’ (การทำให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง) ถ้าเรียกตามบทบาทตัวละครในเรื่อง ก็คือ ‘แนวแบบบิชอป-เปาโล’
ในเรื่องยกให้แนวที่ ๒ เป็นพระเอก หรือฝ่ายธรรมะ ขณะที่ฝ่ายแรกถูกจัดวางให้เป็นผู้ร้าย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพราะมีแนวทางแรกนั่นแหล่ะถึงได้สามารถจะเกิดแนวที่สองตามมาได้
เมื่อแนวทางแรกถูกมองเป็นความเสื่อมของคริสต์ที่ท่าแร่ เพราะตามิ่ง อดีตบาทหลวงท่านหนึ่งหันไปเลี้ยงผีเพื่อใช้ผีปราบผี แน่นอนว่าบาทหลวง/ตามิ่ง อาจมีเจตนาที่ดีในการช่วยผู้คนให้พ้นจากภัยคุกคามจากผีร้าย เมื่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏพระองค์ มีแต่ผีที่จะกำราบผีด้วยกันได้ สำหรับอีสานแล้ว ก็ต้องเป็น ‘ผีแถน’ คือผีที่มีอำนาจเป็นใหญ่เหนือผีอื่น ๆ เรียกได้ว่าเป็น ‘ลาสต์บอส’ ของเหล่าผีทั้งหลายในอีสานนั่นเอง
แต่มันมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเพราะผีแถนก็ไม่ยอมให้ถูกควบคุมไปใช้งานได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้งานในนามของพระเจ้า ไม่ใช่ในฐานะผีแถน ผีแถนก็แค้นเป็นธรรมดา เลยจองเวรตามิ่งกับลูกหลาน เมื่อผีแถนที่ตัวเองเซ่นสรวงบูชาอย่างลับ ๆ ก่อปัญหาสร้างความไม่สงบสุขแก่ชุมชนคริสต์เสียเอง ตามิ่งทำอะไรไม่ได้นอกจากกำจัดร่างมนุษย์ที่ผีแถนจะยึดครอง นั่นคือต้องฆ่าคนเพื่อไม่ให้ผีแถนได้เข้ายึดร่าง
แนวทางที่สอง (การทำให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง/Purification) เป็นแนวทางปกติของทุกศาสนา เมื่อเกิดความรู้สึกและรับรู้ว่า ศาสนาที่ตนนับถืออยู่นั้นกำลังมัวหมองหรือเสื่อมถอยลง ศาสนาอินเดีย (ทั้งพุทธและพราหมณ์) เรียกสิ่งนี้ว่า ‘การสังคายนา’ แต่สำหรับชาวคริสต์ สิ่งนี้เป็นแนวทางให้กำเนิดนิกายโปรแตสแตนท์มาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ หรือกรณีพุทธไทย แนวทางแบบนี้คือแนวแบบพระวชิรญาณภิกขุ (รัชกาลที่ ๔) ที่นำมาสู่การก่อตั้งธรรมยุติกนิกาย
แนวทางที่สอง ปฏิเสธการปะปนกับความเชื่อศาสนาอื่น ในที่นี้ก็คือ ‘ศาสนาผี’ แต่อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าตัวเอก (บาทหลวงเปาโล รับบทโดยเจมส์จิ) ก็ยังต้องพึ่ง ‘หมอเหยา’ ในการปราบผี ความสัมพันธ์ระหว่างบาทหลวงเปาโลกับหมอเยา เป็นความสัมพันธ์แบบในอุดมคติมาก ๆ ที่คนหนุ่มรุ่นใหม่จากความเชื่อแตกต่างกันต้องมาร่วมมือกันปราบปีศาจด้วยกัน โดยที่ปีศาจที่ว่านี้ก็คือแหล่งอำนาจของหมอเยาเอง
ความสัมพันธ์เปาโล-หมอเหยา มีลักษณะเป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมในความเป็นตัวตนของอีกฝ่าย โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับ หมอเหยาใช้น้ำมนต์ของบาทหลวง (เปาโล) มาสาดใส่ผี ขณะที่เปาโลก็ต้องอาศัยเสียงแคนและพิธีของหมอเหยาในการทำให้ผีมาปรากฏตัวหรือออกจากร่างคน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครบอกได้จริง ๆ ว่าแนวทางไหนถูก แนวทางไหนผิด (จากทั้งสองแนวข้างต้น) ซึ่งในเนื้อเรื่องของหนังจงใจทำให้แนวทางแรกผิดที่ไปฆ่าคน แต่ถ้าไม่ได้ฆ่าคนล่ะ คำถามคือตามิ่งจะถูกหรือผิด และโอกาสที่แนวทางที่สองของเปาโล จะผิด ก็ไม่ใช่ ไม่มี แนวทางนี้ยิ่งมีข้อผิดพลาดได้มาก เพราะการทำให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็หมายถึงการต้องกำราบปราบปรามอีกฝ่าย
ทุกศาสนาสายเคร่งล้วนแต่เป็นตัวก่อปัญหา/สร้างความขัดแย้งได้ทั้งนั้น กรณีคริสต์ศาสนาตัวอย่างก็ ‘สงครามครูเสด’ ที่ชาวคริสต์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปรบเข่นฆ่าชาวมุสลิม เพื่อแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ กินเวลานานถึง ๒๐๐ ปี หรืออย่างสงครามในตะวันออกกลางปัจจุบัน ก็ล้วนมีข้ออ้างจากความไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องของศาสนาเป็นชนวนเหตุทั้งนั้น
ในไทยเอง ข้ออ้างเรื่องความไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องของพุทธศาสนา ชนชั้นนำกรุงเทพฯ ก็เคยใช้ในการจัดการกับกลุ่มคนที่เชื่อแตกต่างจากตนในท้องถิ่นมาแล้ว เช่น กรณีการจัดการกับครูบาศรีวิชัยของล้านนา หรือกรณีเจ้าแขกเจ็ดหัวเมืองทางปักษ์ใต้ หรืออย่างการปราบปรามขบถผู้มีบุญในอีสาน เป็นต้น
ส่วนใหญ่ ‘ศาสนาแบบชาวบ้าน’ ซึ่งคือการนับถือศาสนาปะปนกับความเชื่อจากศาสนาอื่น ทั้งศาสนาที่มีมาก่อนหน้าและที่เข้ามามีอิทธิพลในท้องถิ่นภายหลัง มักถูกมองอย่างไม่เป็นที่ไว้วางใจของส่วนกลาง เนื่องจากชนชั้นนำที่ส่วนกลางสร้างความชอบธรรมแก่ตนเองจากการดำรงอยู่ของความเชื่อหลักในศาสนา
ผู้ใด ใครบอก ศาสนาไม่เกี่ยวการเมือง นั่นคุณกำลังเข้าใจผิดอย่างแรง และนั่นก็เป็นหลักเกณฑ์สำคัญหนึ่งเลยในการจำแนกแยกแยะระหว่างศาสนา/การเมืองในโลกยุคก่อนและหลังสมัยใหม่
การเกิดบาทหลวงนอกรีตอย่างตามิ่ง จึงมีประเด็นอะไรคล้าย ๆ กับการเกิด ‘ผู้มีบุญ’ ซึ่งคือคนที่ตีความศาสนาหลักเข้ากับความเชื่อท้องถิ่น และกระทั่งบทบาทของเปาโลก็แทบไม่ต่างจากบทบาทของกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้ปราบขบถผู้มีบุญในประวัติศาสตร์อีสานที่เป็นจริง
แล้วแบบนี้ใครถูก ใครผิด กันล่ะ? ไม่ง่ายที่จะตัดสินกันอย่างที่คิดใช่ไหมล่ะครับ?
แต่แน่นอนว่า ถ้ามุมมองคนปัจจุบัน เจมส์จิยังไงก็หล่อกว่าชนชั้นนำสยามท่านนั้น
และนี่ไม่ใช่เรื่องของการที่ผู้เขียนมาทำเป็น ‘แทงสวน’ อะไร เพราะจากประวัติศาสตร์อีสานแล้ว จะมองเป็นอื่นไปกว่านั้นไม่ได้ ‘ท่าแร่’ ผู้เขียนให้คะแนนได้ที่ “๕ เต็ม ๑๐”
ที่ให้ “๕ เต็ม ๑๐” ก็เพราะถือว่าสอบผ่านหัวข้อเกี่ยวกับ Exorcist และพิธีกรรมท้องถิ่น แต่เรื่องลาสต์บอสอย่าง ‘ผีฟ้าพระยาแถน’ ที่นำเสนอมานั้น ไม่อาจให้คะแนนเต็มสิบได้ ผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่า ทีมรีเสิร์ชข้อมูลของหนังเรื่องนี้คงไม่ได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีแถน อย่างน้อยสุดก็คือ ‘นิทานขุนบูลมราซา’ ซึ่งฉบับหนึ่งมีแปลเป็นภาษาไทยไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ที่ใช้ชื่อว่า ‘พงศาวดารล้านช้าง’ (ปัจจุบันรวมพิมพ์อยู่ในชุดประชุมพงศาวดารฯ)
ถูกแล้วที่ผีแถนเป็น ‘ลาสต์บอส’ ของผีอีสาน และเป็นผีที่มีอำนาจฤทธิ์เทียบเทียมพระเจ้า สัญลักษณ์ในเรื่องนี้ก็อย่างเช่น การทำให้ไม้กางเขนเหี่ยวหรือร่วงหล่นลงพื้นได้ และที่สำคัญคือผีแถนยังมีอำนาจตัดสินความผิดบาปแรก (Original sin) อย่างการดึงเปาโลไปพบแม่ติดยาที่ตัวเองต้อง “ทำให้หลุดพ้น” ไปพบความตาย ด้วยความรู้สึกผิดนี้จึงทำให้เปาโลต้องมาเป็นบาทหลวงปราบผี (Exorcist) หรืออย่างการตัดสินเผือกที่มีความผิดจากการเคยแจ้งตำรวจไปจับกุมเพื่อนเข้าคุก อีกกรณีคือจากที่เปาโลสวดมนต์ขออำนาจพระเจ้า แต่เป็นผีแถนมาถีบอกพร้อมกับพูดว่า “กูไม่ให้” อันนี้คือหนังทำได้ดี
แต่อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘ผีฟ้าพระยาแถน’ ไม่ใช่คำเรียกเฉพาะ ซึ่งจะเป็น ‘นามปีศาจ’ ที่ Exorcist จะสามารถเรียกเอาอำนาจพระเจ้ามาจัดการให้สูญสลายไปให้ได้ ผีฟ้าพระยาแถนมีหลายตน ถ้าตนที่เป็น ลาสต์บอส อย่างที่เนื้อเรื่องบอกแล้ว จะต้องเป็น ‘พระยาแถนหลวง’ คำว่า ‘แถน’ ในวัฒนธรรมไท-ลาว (อีสานและล้านซ้าง) นั่นแหล่ะหมายถึง ‘ผี’ เช่นเดียวกับที่คนชาวขะแมร์-กูยเรียก ‘โขมด’ พม่า-มอญเรียก ‘นัต’ ชวา-มลายูเรียกว่า ‘ญิน’ ฟิลิปปินส์เรียก ‘ติวาทาส’
ผีแถน ที่ว่านี้ ไม่เหมือนผีทั่วไป เพราะคือบรรพชนผู้ล่วงลับที่ได้รับการเซ่นสรวงบูชายกขึ้นเป็นเทพเจ้า ผีแบบนี้ก็คือ ‘เทพ’ ความเชื่อเรื่องผีแถนของชาวไทลาว แบ่งจักรวาลออกเป็น ‘เมืองบน’ กับ ‘เมืองล่าง’ เมืองบนคือสวรรค์ เมืองล่างคือโลกมนุษย์ ไม่มีนรกภูมิ ทุกคนที่ตายล้วนแต่จะต้องไปเป็นผี/แถน/เทพ อยู่เมืองบน (สวรรค์) หมด มีการเทียบเคียงว่า ‘พระยาแถนหลวง’ ของลาว เทียบเท่า ‘พระศิวะ’ ของพราหมณ์-ฮินดู เทียบเท่า ‘พระอินทร์’ ของชาวพุทธ เทียบเท่ากับ ‘เง็กเซียน’ ของจีน เทียบเท่า ‘ซุส’ ของกรีกโบราณ เป็นต้น
อำนาจฤทธิ์ของพระยาแถนหลวงตาม ‘พงศาวดารล้านช้าง’ (เดิมคือ ‘นิทานขุนบูลมราซา’ ฉบับหนึ่ง) สามารถบันดาลน้ำท่วม ฝนตกต้อง-ไม่ต้องตามฤดูกาล โรคระบาด วัวควายสัตว์เลี้ยงล้มตาย ทำไร่ไถนาหว่านพืชเพาะปลูกไม่ได้ผล สร้างต้นไม้สูงใหญ่ (เครือเขากาด) ปกคลุมเมืองล่าง (โลกมนุษย์) มืดมิดจนทำให้มนุษย์ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน เนรมิตน้ำเต้าปุงมากักขังครอบมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ไว้ในนั้นได้หมด ฯลฯ เรียกได้ว่าแต่ละอย่างที่ทำได้นั้นล้วนแต่จัดว่าเป็นระดับมหันตภัยทั้งสิ้น
ดังนั้นแล้ว ผี/เทพที่มีอำนาจฤทธาอานุภาพมากขนาดนั้น ถ้าจะทำร้ายมนุษย์ ไม่มีหรอกจะมาควักไส้พุงมนุษย์กิน นั่นมันแค่ผีปอบธรรมดา ปอบกับแถนคนละเรื่องละราว คนละเลเวลกัน (อย่างรุนแรง)
จริง ๆ แล้ว ถ้าบอกว่านี่ไม่ใช่ศึกระหว่างพระเจ้ากับผี หากแต่เป็นศึกระหว่าง ‘พระเจ้า’ (ของชาวคริสต์) กับ ‘พระเจ้า’ ของคนไทลาว เพราะ ‘พระยาแถนหลวง’ ในอีกมุมหนึ่งก็คือ ‘พระเจ้า’ ของชาวอีสาน-ล้านซ้าง นั่นแหล่ะ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับชาวอีสาน ก็อาจจะมองว่า พระเจ้าก็คือ ‘แถน’ ของชาวคริสต์นั่นเอง
จากอำนาจฤทธิ์ระดับมหันตภัย ก็เป็นสิ่งเดียวกันหรือคล้ายคลึงกับที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้นแก่อาณาจักรอียิปต์โบราณเมื่อครั้งโมเสสจะพาทาสชาวยิวกลับคืนสู่ดินแดนพันธะสัญญา พระเจ้าก็คือธรรมชาติ ในเชิงเปรียบเทียบ อำนาจฤทธาบารมีของพระยาแถนหลวงก็มีลักษณะเป็น ‘ผีธรรมชาติ’ คือเป็นคำอธิบายเบื้องหลังปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตก น้ำท่วม ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ความแห้งแล้ง ความอุดมสมบูรณ์ ฯลฯ ไปจนปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น โรคระบาด ล้วนเป็นสิ่งที่ปราชญ์ลาวโบราณอธิบายให้การเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้มีพระยาแถนอยู่เบื้องหลัง
นั่นเป็นยุคที่เหตุผลแบบมนุษย์นิยมและความรู้วิทยาศาสตร์ ยังไม่ใช่คำอธิบายหลักของสังคมยุคสมัย ที่อื่น ไม่ว่าจะในคัมภีร์ใบเบิล หรืออย่างอัลกุรอาน ก็มีคำอธิบายลักษณะนี้ พุทธพราหมณ์ก็ด้วย เพิ่งจะมีคำอธิบายเชื่อมโยงกับหลักวิทยาศาสตร์กันในชั้นหลัง กระทั่งมีวาทกรรมว่า คริสต์เป็นวิทยาศาสตร์ พุทธเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
ประเด็นต่อมาก็คือ เมื่อพระยาแถนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ พระยาแถนหลวงก็ไม่อาจสูญสลายได้เหมือนอย่างในหนัง (ท่าแร่) เพราะถ้าไม่มีธรรมชาติ มนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้อง “ตุยเย่” ไปเหมือนกัน หรือหากมีใครสามารถทำให้พระยาแถนสูญสลายได้ ก็ยังมีบอสรองคือ ‘ผีเจือง’ ที่จะสามารถแทนที่ ‘ผีแถน’ ได้ทันที และจากอำนาจฤทธายิ่งใหญ่เป็นล้นพ้น จนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ (ซะขนาดนั้นแล้ว) สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาปุถุชนทำได้จึงมีเพียงการอ่อนน้อมถ่อมตนและสวดอ้อนวอนขอความเมตตา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างก็มีข้อยกเว้น...
‘พระยาคันคาก’ หรือ ‘คางคกยกรบ’ เป็นข้อยกเว้นที่ว่านี้ จากตำนานที่ดัดแปลงมาจากนิทานชาดก พระยาคันคากคือผู้นำเหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย จัดตั้งเป็นกองทัพแล้วยกพลขึ้นไปบุกเมืองบน (สวรรค์) จนเอาชนะพระยาแถนหลวงได้ บังคับให้พระยาแถนหลวงต้องทำหน้าที่ตามปกติ อย่างการบันดาลฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล
โดยเมื่อลูกหลานพระยาคันคากส่งเสียงร้องแล้ว พระยาแถนจะต้องทำฝนตก เป็นการอธิบายเหตุที่เมื่อคางคกหรือพวกกบเขียดร้องแล้ว เป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตก ส่วนมนุษย์ก็ให้ทำบั้งไฟจูดขึ้นไปเมืองฟ้าเป็นสัญญาณ
ที่พระยาคันคากสามารถเอาชนะพระยาแถนหลวงได้นั้น ก็ได้รับคำอธิบายว่าเพราะพระยาคันคากผู้นี้คือพระโพธิสัตว์ คือพระพุทธเจ้าในอดีตชาติก่อนที่จะมาจุติเป็นเจ้าชายสิทธิธัตถะ เป็นวิธีการสร้างคำอธิบายให้นัยยะแสดงความเหนือกว่าของพุทธศาสนาที่มีต่อศาสนาผี และกดเหยียดศาสนาผีของคนพื้นเมืองไปพร้อมกัน
ก่อนจะมีหนังท่าแร่ ย้อนหลังกลับไปนับพันปี พุทธศาสนาก็เคยพยายามปราบผีมาตลอด เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็มาก เช่น ใน ‘ตำนานอุรังคธาตุ’ หรือ ‘อุรังคนิทาน’ ก็มีเล่าเรื่องการที่พวกนาคเมื่ออพยพลงใต้มาสู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขง-ซี-มูน-หนองหานหลวง-หนองหานน้อย พวกนาคก็ต้องรบราฆ่าฟันกับพวกผี (หมายถึงพวกที่นับถือผี)
แรกเริ่มเดิมทีพวกนาคแพ้ สู้พวกผีไม่ได้ ต้องหนีไปจนออกแม่น้ำสมุทร (ทะเล) จนเกิดแก่งลี้ผีหรือแก่งหลี่ผี (หมายถึงบริเวณที่พวกนาคหลบหลี้หนีพวกผี) แต่ต่อมาเมื่อพวกนาคหันไปยอมรับนับถือพุทธศาสนา นาคก็กลับมีกำลังเข้มแข็งขึ้นจนเอาชนะพวกผีได้เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่อาจทำให้พวกผีสูญสลายไปได้
นอกจาก ‘พงศาวดารล้านช้าง’ แล้ว จาก ‘พงศาวดารลาว’ ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์โดยตรง ไม่ได้เล่าเรื่องในเชิงอิทธิปาฏิหาริย์ ก็ยังมีเรื่องในบางรัชกาล เช่น สมัยพระเจ้าโพทิสานราด (พระราชบิดาของพระเจ้าไซยะเซดถาทิราด) ก็เคยประกาศให้ราษฎรชาวลาวเลิกนับถือผีแถน สั่งให้รื้อหอ ศาล เซ่นสรวง ทั่วราชอาณาจักร นั่นคือเหตุการณ์สมัยร่วมยุคกับอยุธยาตอนกลางของไทย แต่ผีก็ยังอยู่ ไม่ได้สูญสลายหรือหายไปไหน
ในประวัติศาสตร์ไทยเอง ประชุมประกาศสมัยรัชกาลที่ ๔ ก็มีห้ามไม่ให้อ้างอำนาจผี เป็นความพยายามของชนชั้นนำสยามที่จะขจัดอิทธิพลความเชื่อเรื่องผีฟ้าพระยาแถนในหมู่ราษฎรครั้งสำคัญในสังคมไทยสยาม ซึ่งเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการสังคายนาพุทธศาสนาที่นำมาสู่การก่อตั้งธรรมยุติกนิกาย ยิ่งสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อเกิดการปฏิรูปสู่ความทันสมัย คนอีสานที่นับถือผีเป็นจำนวนมากต้องหาว่าเป็นขบถที่เรียกกันว่า ‘ขบถผู้มีบุญ’ หรือที่ทางการไทยเรียกว่า ‘กบฏผีบุญ’ สยามสมัยนั้นถึงขนาดต้องใช้กองทัพปราบปรามกลุ่มผู้นับถือผีด้วยความเฉียบขาดรุนแรง ถึงขั้นเป็นสงครามจนทั่วอีสาน
แต่กระนั้น ก็ยังเห็นได้ว่า ลัทธิถือผีก็ไม่ได้สูญสลายหรือหายไปจากอีสาน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความเชื่อหลักที่ได้รับการยอมรับจากส่วนกลาง
สรุป การปราบผีแถนเนี่ย พุทธทำมาก่อนคริสต์เป็นเวลาช้านานนับพันปี ถึงชุมชนคริสต์ที่ท่าแร่จะเป็นชุมชนเก่าแก่ แต่ก็อยู่มาได้ร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง ลำพังบาทหลวงหนุ่มหล่ออย่างเปาโล จะมาทำให้ผีแถนต้องพ่ายแพ้และสูญสลายไปอย่างในเรื่องนั้น เป็นไปไม่ได้
ที่สำคัญ ยังต้องพิจารณาด้วยว่า ‘ท่าแร่’ ในหนังเรื่องนี้คือท่าแร่ในฐานะที่เป็น ‘ภาพแทน’ (Representation) ในโลกภาพยนตร์เท่านั้น ไม่ใช่ท่าแร่ที่เป็นชุมชนคนเป็น ๆ และก็เป็น ‘ท่าแร่’ ในจินตนาการของชนชั้นกลางชาวกรุงเสียด้วย เพราะเปาโลคือบาทหลวงที่ถูกส่งมาจากกรุงเทพฯ จึงเหมือนเป็นตัวแทนของส่วนกลางในการไปปราบท้องถิ่น ซ้อนทับลงไปอีกต่อหนึ่ง...
ในส่วนของผู้ทำหนังนั้น อย่างที่เห็นกันแล้วว่า หนังผียังคงได้รับความสนใจจากคนดูอยู่มาก เป็นอีกครั้งที่เรื่องของอีสานถูกนำเสนอในภาพพจน์และประเด็นที่ค่อนข้างจะสากล แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะดียิ่งขึ้นกว่านี้อีก ถ้าไม่นับเรื่องที่พลาดอย่างเรื่อง ‘ลาสต์บอส’ กับบทบาทส่วนกลางที่นำเสนออย่างซ้อนทับกันอยู่นั้นแล้ว อย่างอื่นถือว่าโอเคทีเดียว...
เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
อ้างอิง
กำพล จำปาพันธ์. ข่าเจือง: ขบวนการผู้มีบุญหลังสถาปนาพระราชอาณาเขตสยาม-ล้านซ้าง. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2555.
นิพล สายศรี (ผู้ปริวรรต). พระยาคันคาก. มหาสารคาม: กลุ่มงานอนุรักษ์เอกสารโบราณ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2555.
พงศาวดารล้านช้าง ใน ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 2. กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, 2545.
สมชัย ฟักสุวรรณ์ (ผู้รวบรวม). วรรณคดีอีสาน. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2555.
สะถาบันวิทะยาสาดสังคมแห่งซาด และสะถาบันค้นคว้าปะหวัดสาด. ฮิบโฮม-วิเคาะ ตำนานขุนบูลม (ภาษาลาว). นะคอนหลวงเวียงจัน: สำนักพิมสินไซ, 2019.
สาลินี มานะกิจ. “ความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงของชุมชนคาทอลิกบ้านท่าแร่ จังหวัดสกลนคร พ.ศ.2427-2508” วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548.
สิลา วีระวงส์. พงสาวะดานลาว แต่บูรานเถิง 1946 (ภาษาลาว). นะคอนหลวงเวียงจัน: สะถาบันวิทะยาสาดสังคมแห่งซาด สปป.ลาว, 2019.
สุเนด โพทิสาน และคะนะ. ปะหวัดสาดลาว (ดึกดำบันเถิงปะจุบัน) (ภาษาลาว). นะคอนหลวงเวียงจัน: กะซวงถะแหลงข่าวและวัดทะนะทำลาว, 2000.
อุรังคธาตุฉบับสมเด็จอดีตสังฆนายกแห่งประเทศลาว พระลูกแก้ว (คูน มะนีวงส์) วัดทาดหลวง นะคอนหลวงเวียงจัน (ฉบับสมบูรณ์). แปลและเรียบเรียงโดย กำพล จำปาพันธ์, กรุงเทพฯ: อัดสำเนา, 2568.
Mayoury & Pheuiohanh Ngaosrivathana. The Enduring Sacred Landscape of the Naga. Chiangmai: Mekong Press, 2009.