ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

บทสัมภาษณ์ ‘คุ้ย - ทวีวัฒน์ วันทา’ ผู้กำกับภาพยนตร์ ขุนกระบี่ฯ ธี่หยด ถึงเรื่องใหม่ล่าสุดอย่าง ‘ท่าแร่’ กับเรื่องราวผี ๆ ที่ต้องให้ผู้กำกับหนังผีคนนี้มาตอบให้เราฟัง

KEY

POINTS

 

ตอนทำ ขุนกระบี่ฯ กับ อสุจ๊าก
ผมเป็นผู้กำกับที่คนดูอยากกระโดดถีบหน้ามากที่สุด

 

ภาพยนตร์สยองขวัญนามว่า ‘ธี่หยด’ ได้เรียกความนิยมที่ผู้คนมีต่อหนังผีไทยกลับมาอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะความสยองขวัญที่โด่งดังมาตั้งแต่นวนิยายหรือแม้แต่เรื่องเล่า แต่เมื่อถูกนำมาแปรรูปเป็นภาพยนตร์ในแบบฉบับของ ‘คุ้ย - ทวีวัฒน์ วันทา’ แล้ว ก็ยิ่งทำให้ความเป็นธี่หยดมีรสชาติหลากหลายมากกว่าเดิม — ทั้งสยองและสนุก — หรือแม้แต่จะย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ทวีวัฒน์ก็มีภาพยนตร์อย่าง ทองสุก 13 ก็ให้ความสยองขวัญในโทนคล้ายกัน

ผลงานภาพยนตร์สยองขวัญของทวีวัฒน์ ไม่ว่าจะมองจากในมุมของผู้ชมหรือค่ายภาพยนตร์ก็ล้วน ‘มั่นใจ’ ได้ไม่น้อยว่างานเหล่านั้นจะออกมาพร้อมคุณภาพ ทว่าหากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น มันตรงกันข้าม เพราะทั้งนายทุนหรือเฮาส์ต่าง ๆ ก็เบือนหน้าหนีที่จะคุย หรือแม้แต่ผู้ชมที่อาจจะกระโดดถีบหน้าเขาสักคนละหนึ่งครั้ง (ดังที่เขาได้อธิบาย) และต้นตอสาเหตุเหล่านั้นคงมาจากภาพยนตร์ขนาดยาวสองเรื่องแรกนามว่า ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’ และ ‘อสุจ๊าก

นั่นคือตอกย้ำตัวตนเลยว่า ‘คุ้ย ทวีวัฒน์ วันทา’ เป็นตัวอันตราย อันตรายยังไง? คือมึงทำหนังเอาแต่ใจตัวเองอ่ะ คือเฮาส์ไหนก็น่าจะกลัวผมอ่ะ จริง ๆ ผมว่า ณ ตอนนั้น ถ้าประเทศไทยมีกี่เฮาส์ กลัวผมหมด

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

ในบางส่วนของการสนทนาครั้งนี้ ทวีวัฒน์เล่า “ตอนที่ทำ ขุนกระบี่ ผีระบาด บอกเลยว่าแทบจะไม่ได้คิดอะไรเลยครับ ไม่พะวงหน้า ไม่พะวงหลัง ไม่สนผลกระทบอะไรเลยครับ ไม่สนคำครหาว่าถ้าที่บ้านไปดูจะไง คนรอบข้าง คือสมัยนั้นมันสดมาก” ซึ่งภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็ใช้เวลาเกินสิบปี กว่าที่คนจะหวนกลับมามองและย้อนนึกถึงมัน 

ทว่าในวันนี้ นอกจากขุนกระบี่ฯ แล้ว ทวีวัฒน์ก็เดินหน้าสร้างสรรค์ภาพยนตร์สยองขวัญจนผู้ชมก็ต่างตั้งแต่รอ โดยเฉพาะกับภาพยนตร์เรื่องใหม่บล่าสุดอย่าง ‘ท่าแร่’ ที่จะฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 นี้อีกด้วย ที่ทวีวัฒน์ได้บรรยายว่า ถ้าธี่หยดเปรียบเสมือนกับ ‘รถไฟเหาะ’ ท่าแร่ก็เปรียบเสมือนกับรถที่ ‘น้ำมันหมดกลางบ้านผีสิง’ 

ในบทสัมภาษณ์นี้ เราได้พูดคุยกับเขาตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนจะก้าวเข้าสู่เส้นทางสายผู้กำกับภาพยนตร์ เบื้องหลังภาพยนตร์ขุนกระบี่ ผีระบาด ความน่าสนใจของท่าแร่ ไปจนถึงเรื่อง ผี ๆ ในแบบฉบับของผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญนามว่า ‘ทวีวัฒน์ วันทา’ อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่บทความนี้

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

The People: เริ่มต้นจากคำถามง่าย ๆ โดยปกติคุณเป็นคนชอบดูหนังแนวไหนครับ?

ดูได้ทุกแนวครับ ดูหนังมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ พ่อพาไปดูหนังตั้งแต่น่าจะ 3-4 ขวบมั้ง ผมจำได้ว่าเรื่องแรกคือ ‘Lipstick’ นานมากแล้วครับ เหมือนพ่อได้บัตรฟรีครับ ก็ทำให้รู้สึกว่าเออ ดูหนังมันดีนะ มันประหยัดเวลา หลังจากนั้นก็เริ่มดูไปเรื่อย ๆ คือเก็บตังค์ดูหนังตั้งแต่อนุบาลนะครับ จำได้ว่าตอนนั้นอยากดู ‘King Kong’ แล้วรู้สึกว่าเราอยากให้เกียรติกับหนังมาก อยากดูบัตรแพงที่สุด

สมัยนั้นผมได้ค่าขนมวันละ 10 บาท ผมก็พยายามไม่ซื้อขนม ไม่ซื้ออะไรเลย เก็บเงินไว้ประมาณ 4 วันเพื่อจะดูบัตรชั้นบนสุด 40 บาท เพราะอยากดู King Kong มาก แต่พอเข้าไปจริง ๆ ด้วยความที่เป็นเด็กอนุบาล ที่นั่งมันสูง มองไม่เห็น ก็เลยต้องลงมานั่งบัตร 20 บาทเหมือนเดิม…

แล้วมันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า เออ เราชอบดูหนังนะ โตมากับหนัง แล้วก็ดูมันทุกอย่างเลย ทั้งหนังอาร์ต หนังดราม่า หนังหลาย ๆ ประเทศ หนังที่มันหาดูยาก เราก็ไปหาซื้อมาดูครับ สมัยก่อนมันมีตลาดเลเซอร์ดิสก์ แล้วเขาก็จะเอามาลงเป็นบนวีดีโอ แล้วเราก็ซื้อวีดีโอมาดู ๆๆๆ มันทุกแนวเลย จนสุดท้ายมันเลยตั้งคำถามว่าเราดูอะไรซ้ำเยอะที่สุดระหว่างหนังแมสกับหนังนอกกระแส แล้วเราสนุกกับอะไรมากที่สุด สุดท้ายแล้วก็เลยได้คำตอบว่า เราเป็นคนชอบหนังแมสนะครับ เสร็จแล้วก็คิดต่อว่า แล้วหนังแมสแบบไหนที่เราดูเยอะที่สุด มันก็ดันเป็นหนังสยองขวัญ มันก็เลยเป็นแบบนี้ครับ


The People : แสดงว่าชอบดูหนังสยองขวัญตั้งแต่เด็กเลย?

วัฒนธรรมการดูหนังผีมันเป็นเรื่องปกติของคนไทยตั้งแต่เด็กจนโตนะครับ เพราะเมื่อก่อนจะมีรายการหนังคืนวันศุกร์ของช่อง 7 จำได้ว่าหนังไทยที่เอามาฉายตอนกลางคืนจะเป็นหนังผี คล้าย ๆ กับบิ๊กซีนีม่า ผมจำภาพได้เลยว่าทุกคนในบ้านจะมานอนรวมกัน เอาหมอนข้างมากั้นเป็นเกาะกัน กลายเป็นกิจกรรมของครอบครัว มันเลยไม่ใช่แค่สนุกจากหนังอย่างเดียว แต่มันคืออีเวนต์ด้วย มันคือบรรยากาศรอบ ๆ ตัวที่ทำให้เราสนุก

 

The People : ถ้าต้องเลือกหนังที่มีอิทธิพลกับเราตอนนั้นจะเป็นเรื่องไหน?

หนังที่ impact จริง ๆ สำหรับผมคือเรื่อง ‘E.T.’ ครับ คือมันไม่ใช่หนังผี แต่ตอนนั้น E.T. ดังไปทั่วประเทศเลย โดยเฉพาะในหมู่นักเรียนประถม รู้สึกว่ามันถูกบิลด์อัพมาก และเป็นหนังที่ feel good ที่พูดถึงมิตรภาพระหว่างมนุษย์กับต่างดาว ผมว่ามันเป็นความชาญฉลาดของ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (Steven Spielberg) ที่เขาสามารถทำให้หนังของเขามีแรงกระแทกกับผู้ชมอย่างไร

แต่ก่อนหน้าจะดู E.T. สิ่งที่ผมเติบโตมาจริง ๆ คือหนังของ ‘สมโพธิ แสงเดือนฉาย’ ครับ อย่าง ‘หนุมานพบจัมโบ้เอ’ หรือ ‘ไอ้มดแดง’  อะไรแบบนั้น พวกนี้ก็ถือว่าเป็นแรงกระเพื่อมเหมือนกัน ผมจำได้ว่าเคยเก็บตังค์ไปดู ‘ไอ้มดแดง V4’ หรือ ‘ยักษ์วัดแจ้งปะทะจัมโบ้เอ’ นี่แหละ จำไม่ได้แน่ชัด แต่ที่จำได้ว่ามดแดง V.4 นี่กระโดดไป หน้ากากจะหลุดตลอด ต้องคอยเอามือจับไว้ (หัวเราะ)

ส่วนถ้าเป็นหนังไทยเลยก็มีที่เป็นแรงบันดาลใจหลายเรื่องนะ โดยเฉพาะของ ‘อาหลอง - ฉลอง ภักดีวิจิตร’ คือผมว่าหนังเขาแมสและบ้าระห่ำมากนะ ขี่มอเตอร์ไซค์ ปล่อยจรวด เอาดาราต่างประเทศมาแสดงได้ คือมันส์มาก 

 

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’


The People : แสดงว่าคุณเป็นคนชอบดูหนังตั้งแต่เด็กเลย แล้วไปอยากทำตอนไหน?

คือเป็นคนชอบดูหนังครับ พอดูเยอะ ๆ เข้า ก็เริ่มอยากทำบ้าง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไง ไม่มี how-to อะไรทั้งนั้น ก็เป็นผู้เสพไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่า ถ้ามีโอกาส เราอยากทำ พอถึงจุดหนึ่งก็ไปเวิร์คช็อปเขียนบทครับ ไปที่สมาคมฯ สมัยก่อน แล้วก็เริ่มทำหนังสั้นไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายมันก็ได้มากำกับหนังจริง ๆ

 

The People : ตอนนั้นเรามองเห็นตัวเองหรือมีเป้าหมายอย่างไร?

ต้องบอกก่อนเลยว่าตอนที่ผมทำครั้งแรก เป้าหมายผมน่าจะเพี้ยนมาตั้งแต่เด็ก ผมเริ่มที่ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’ คือตอนที่ทำ เรารู้สึกว่าอะไรที่เราชอบ เราอยากเอามาใส่ให้หมด อยากได้ซอมบี้ อยากได้มังงะ อยากได้ฮีโร่ อยากอะไรอย่างเงี้ย อัดมาแบบเต็มเหนี่ยว ซึ่งมันก็ออกมาตามนั้นครับ บ้า ๆ บอ ๆ 

 

The People : เรื่องแรกอย่าง ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’ ก็เป็นที่จดจำมากเลย อยากจะถามว่าในตอนนั้นที่เราเริ่มทำ เรามีความคิดอย่างไรในวันนั้น?

ตอนที่ทำ ขุนกระบี่ ผีระบาด บอกเลยว่าแทบจะไม่ได้คิดอะไรเลยครับ ไม่พะวงหน้า ไม่พะวงหลัง ไม่สนผลกระทบอะไรเลยครับ ไม่สนคำครหาว่าถ้าที่บ้านไปดูจะไง คนรอบข้าง คือสมัยนั้นมันสดนะครับ คือแม้ ณ ปัจจุบันนี้ผมก็ไม่สนแบบนั้น ให้ผมไปทำแบบนั้น ผมก็รู้สึกว่าผมอาจจะทำไม่ได้ คือตอนนั้นมันไม่สนอะไรเลยครับ มันเต็มเหนี่ยวไปเลยอ่ะครับ คือบ้าบ้าบอบอไปเลย

คือต้องบอกเลยว่าผมอ่ะก้าวกระโดดเป็นผู้กำกับไวมากนะครับ ไวมาก แล้วภาพในหัว กับสิ่งที่มันจะต้องทำได้จริงอ่ะ มันคือคนละแบบกัน อะไรหลายอย่าง คือโดยด้วยประสบการณ์ ด้วยตรรกะบางอย่าง ว่า เฮ้ย ก็เราดู Indiana Jones ไปได้ขนาดนี้ ทำไมหนังไทยจะทำไม่ได้ มันต้องทำได้ดิ...

ไม่ได้ครับ คือทุนไม่มี คนไม่เคยทำ งาน mechanic เราก็ไม่ได้ทันสมัยแบบเขา เราไม่ได้เป็นเซียนขนาดอะไรเงี้ย หลาย ๆ อย่างอ่ะครับ ก็เรียนรู้ว่า เรามีหนังไทย เราก็มีบั๊ก และมีเงื่อนไขแบบนี้ อะไรแบบนี้

 

The People : แล้วพอได้ลองทำเรื่องแรกแล้ว คุณไปชอบอะไรในรสชาติของการทำหนัง?

พอได้ทำเรื่องแรก ผมก็ยังไม่เข็ดนะครับ ผมยังทำ ‘อสุจ๊าก’ ต่อ นั่นคือตอกย้ำตัวตนเลยว่า ‘คุ้ย ทวีวัฒน์ วันทา’ เป็นตัวอันตราย อันตรายยังไง? คือมึงทำหนังเอาแต่ใจตัวเองอ่ะ คือเฮาส์ไหนก็น่าจะกลัวผมอ่ะ จริง ๆ ผมว่า ณ ตอนนั้น ถ้าประเทศไทยมีกี่เฮาส์ กลัวผมหมดอ่ะ คือรู้สึกเลยว่าผมเป็นคนเพี้ยน แล้วก็น่าจะคุยไม่รู้เรื่องครับ

 

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

 

The People : พอทำสองเรื่องนั้นแล้วมันส่งผลยังไงกับการพูดคุยกับเฮาส์ ค่าย หรือนายทุนบ้าง?

ไม่มีใครคุยเลยครับ ทุกคนบอก กูไม่อยากคุยกับมึง (หัวเราะ)

คือมันก็มีแหละว่าเราได้ทำในทางของเรา ซึ่งมันไม่ได้ตอบโจทย์อะไรเลย ตอบโจทย์คนทำมากกว่า แล้วก็จริง ๆ แล้วต้องบอกเลยว่า ขุนกระบี่ฯ กับ อสุจ๊าก มันใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 กว่าปี จนกว่าคนจะเก็ตมัน มันคือสมัยนั้นไม่มีใครเก็ต ไม่มีใครเอามันเลยครับ อย่างขุนกระบี่ฯ มันเพิ่งกลับมาถูกพูดถึงเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมาเองนะครับ ใช้เวลาเดินทางนานมากครับ ร่วม 15 ปีกว่าคนจะรู้สึกว่า “เออ มันบ้าดี” อะไรอย่างเงี้ย อะสุจ๊าก ก็เหมือนกันครับ มันใช้เวลาเดินทางนาน

เพราะฉะนั้น กว่าเราจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราทำแล้วมันถูกต้อง โอ้โห มันนานมากครับ คือต้องบอกเลยว่า ระหว่างนั้น คำชื่นชมน่ะ ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เพราะไม่มี

 

The People : คุณคิดว่าทำไมหนังของคุณมันถึงใช้เวลาในการเดินทางนานขนาดนั้น?

ผมอาจจะเพี้ยนก่อนเวลาก็ได้

คือผมอาจจะตั้งหลักด้วยความคัลต์มาก่อน คือผมดูหนังเยอะไงครับ ดูหนังคัลต์ทั้งฝั่งอเมริกาและนอกอเมริกา ทั้งฝั่งญี่ปุ่น หรืออื่น ๆ เราเลยรู้สึกว่า ไอ้สิ่งที่เราทำอ่ะ มันก็ปกติอ่ะ มันไม่ได้แบบพิสดารอะไรนี่ แต่ในบริบทไทย มันไม่ใช่ไง…

ผมว่าที่มันเดินทางมาแปลว่า วัยรุ่น หรือว่าคนยุคนี้เขาอาจจะได้เสพอะไรเยอะขึ้น จนรู้สึกว่า... อ๋อ มันก็คือแบบนี้แหละ อืม เป็นเรื่องปกติแล้วล่ะ เราจะเบากว่าเขาเสียด้วยซ้ำไป

 

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

 

The People : คุณเล่าว่าตอนเด็ก ๆ เรารู้สึกตัวเองได้ว่าเราชอบหนังแมส แล้วในสองเรื่องแรกที่เราทำ เราคิดว่ามันเป็นหนังแมสมั้ยครับ?

คิดแมสสิครับ คือผมต้องบอกก่อนว่าสมัยก่อนการทำหนังแมสของผมมันไม่มีความเป็นพาณิชย์เลยครับ เราไม่รู้จักเรื่องพาณิชย์ ไม่รู้จักเรื่องขีดจำกัด เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันต้องแปลกใหม่ คุณไม่สามารถหาดูอะไรแบบนี้ได้ในทีวี หรือในฟอร์แมตไทย หรือว่าในช่องทางไหน ๆ ให้มากที่สุด เรารู้สึกว่าเราอยากทำอะไรที่มันใหม่ที่สุดครับ แล้วมันก็เลยเป็นแบบนั้น

 

The People: ตั้งแต่ ขุนกระบี่ฯ มาจนถึงช่วงที่ทำ ธี่หยด ใช้เวลาประมาณ 19 ปี อยากถามว่าในช่วง 19 ปีนั้น คุณได้หล่อหลอมตัวเองอย่างไรบ้าง?

ผมพยายามศึกษาตลอดนะครับ ศึกษาฟีดแบ็กว่าคนดูรู้สึกยังไง ตอนทำ ขุนกระบี่ฯ กับ อสุจ๊าก ผมเป็นผู้กำกับที่คนดูอยากกระโดดถีบหน้ามากที่สุด เพราะว่าไปดูแล้วแบบ โอ้โห โคตรเกลียดเลยอะ ผมก็จะเข้าใจว่าเพราะแบบนี้นี่เอง จนเรากระโดดไปทำ ‘อนุบาลเด็กโข่ง’ ทำหนังเด็ก มันก็ยังเหมือนเดิมครับ มันก็ยังไม่ได้แมสอะไร มันก็ยังเพี้ยน ๆ อยู่ 

แล้วมันก็เป็นช่วงที่ฟองสบู่หนังไทยกำลังโรยรา ผมก็เลยหนีไปทำละคร ทีนี้พอทำละคร มันก็ทำให้เราได้เห็นฟอร์แมตบางอย่าง ละครเนี่ยมันมีความโหดอย่างนึง คือมันจะขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ แล้วการทวีตเนี่ย มันทวีตกันนาทีต่อนาทีเลย ทวิตเตอร์มันเลยเป็นภาพแทนของอารมณ์แบบเรียล ๆ เลย มันไม่มีการกลั่นกรอง อยากพิมพ์อะไรก็พิมพ์ แล้วเราก็ได้เข้าใจว่าอารมณ์เรียลไทม์มันเป็นแบบนี้ คนมันรู้สึกแบบนี้ เราก็อยู่กับมันไปเรื่อย ๆ แล้วก็ผมทำละครจนกระโดดมาทำ ‘ทองสุก 13

ละครมันทำให้เราได้รู้จักเทมโป (Tempo) ของเรื่อง ว่ามันควรจะสวิง ควรจะฮุคตอนไหน เพราะว่าเราทำละคร เราจะรู้เลยว่า “เดี๋ยวมึงคอยดู เบรก 4 สิ กูฮุคหงายหลังแน่” แต่มันทรมานกว่าจะไปถึงเบรก 4 อะ นึกออกมั้ยครับ ก่อนมันจะหมดแต่ละเบรก เแต่ก่อนจะถึงตรงที่เราจะฮุคเบรก 4 มันด่าไป 3 เบรกแล้ว (หัวเราะ) จนเรารู้สึกว่า ทมโปก็คือจังหวะที่มันต้องขึ้นตอนไหน ถ้าเราเอาความตื่นเต้นของเบรก 4 มาใส่เบรก 2 เราจะหล่อเลย

 

The People : คุณก็เลยหยิบเอาเทคนิคเหล่านี้มาประยุกต์กับการทำ ‘ทองสุก 13’?

คือ ทองสุก 13 หนังเรื่องนั้นก็จะเป็นแนวรถไฟเหาะเลย คือบีบอัดอย่างเดียว จนพอเราทำหนังเรื่องนี้เสร็จ เราก็เข้าใจบีทมันละ แล้วผมก็หยุดยาวเลยครับ มาทำละครอย่างเดียว เพราะว่าอาชีพผู้กำกับหนังมันไม่สามารถเป็นรายได้หลักได้ในตอนนั้น มีอยู่แค่ไม่กี่คนเองครับที่ยึดอาชีพผู้กำกับได้จริง ๆ ก็มีพี่พชร์ อานนท์ หรือ พี่ต้อม ยุทธเลิศ ที่สามารถทำได้ แล้วก็พี่ยอร์ช ฤกษ์ชัย อีกคนหนึ่ง แต่คนอื่นเป็นไปไม่ได้เลยครับ คนอื่นต้องหางานสำรอง

แล้วผมก็ดันหาสูตรน้ำก๋วยเตี๋ยวไม่ทัน ผมก็เลยหนีไปทำละครดีกว่า ไม่น่าจะไหว เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ทัน ก็เลยทำละคร ทำไปเรื่อย ๆ คือจริง ๆ ผมบอกกับทุกคนเลยนะครับว่า ถ้าเราอยากทำสิ่งที่เรารัก เราควรจะมีพื้นฐาน มีจุดตั้งหลักให้ดีก่อน พื้นฐานที่ว่านั้นก็คือค่าครองชีพ เราต้องเอาตรงนี้ให้อยู่รอดก่อน แล้วค่อยไปทำสิ่งที่ฝัน สำหรับผม การทำหนังคือสิ่งที่ฝันนะครับ แต่ชีวิตมันต้องอยู่รอดก่อน ก็เลยทำละครไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งผมได้เจอนิยายเรื่อง ‘ธี่หยด

มันเป็นนิยายไทยที่อ่านแล้วรู้สึกขนลุกเลยครับ คือผมอ่านนิยายมาก็เยอะนะ แต่ไม่เคยมีนิยายเรื่องไหนที่เขาบอกว่าน่ากลัว แล้วพอผมอ่านแล้วมันน่ากลัวจริง ๆ มันอาจจะเป็น Folk Horror ที่เหมือนบรรยากาศตอนเด็ก ๆ ที่บ้านผม บ้านผมอยู่ชานเมืองกรุงเทพ ซึ่งบ้านผมก็จะเป็นแบบในเรื่อง เป็นบ้านไม้ มีคลอง มีทุ่งมองออกไปเห็นท้องนา คืออินกับมันมาก เราเลยรู้สึกว่า นี่แหละ เราควรกระโดดมาทำสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ ก็เลยได้มาทำหนังเรื่องนี้

 

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

 

แต่หลังจากทำ ธี่หยด เสร็จ ผมก็คิดว่า แล้วมันจะมีเรื่องอะไรอีกวะ ที่เรารู้สึกว่าอยากทำอีก รู้สึกตื่นเต้นอีก จนมันมีเรื่อง ‘ท่าแร่’ เข้ามา แล้วพอได้เรื่องนี้มา ผมก็รู้สึกว่า เฮ้ย นี่แหละ มันคือ Folk Horror ที่เราค้นหามานานแล้ว แล้วมันก็เป็นรูปแบบใหม่ด้วย

รูปแบบใหม่ที่ว่านี่คือ มันพูดถึงการที่ ‘บาทหลวงมาปะทะกับผีไทย’ คือผมชอบ ‘The Exorcist’ มากนะ ผมดูทั้งเวอร์ชันหนัง เวอร์ชันซีรีส์ แล้วพอดูซีรีส์ผมก็พยายามจับสูตรมันว่าทำไมเราถึงสนุกกับมัน มันมีอะไรบ้าง จนมันถูกโยนมาใส่กับ folklore ของไทย ปีศาจในตำนานของเรา แล้วให้บาทหลวงมาต่อกรกับผี แล้วมันยังมีอีก คือบาทหลวงต้องร่วมมือกับหมอเหยา ซึ่งเป็นหมอผีท้องถิ่นอีก โอ้โห อันนี้เลย ว้าวเลย ผมรู้สึกว่ามันพิสดาร แล้วมันก็ลงตัวมาก

 

The People : เหมือนเป็นการเอาสองวัฒนธรรม หรือว่าสองความเชื่อมารวมกัน?

ใช่ครับ เพราะว่ามันชัดเจนเลยว่าอีกฝั่งหนึ่งนับถือพระเจ้า อีกฝั่งหนึ่งนับถือผี ซึ่งมันเป็นคนละศาสตร์ความเชื่อเลยครับ แต่คุณต้องมาปราบปีศาจตัวเดียวกัน คุณสามารถเอาสองความเชื่อนี้มาคอลแลบกันแล้วสู้กับมันได้หรือเปล่า แล้วมันก็เล่าในยุคปัจจุบันด้วยนะครับ แล้วเราก็ไปถ่ายในชุมชนท่าแร่ ที่เราได้เห็นกิจกรรม เห็นวัฒนธรรมของเขาจริง ๆ เลย

 

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

 

เบื้องหลัง ‘ท่าแร่’

ภายหลังจากนั้น ทวีวัฒน์เล่าให้เราฟังต่อถึงกระบวนการศึกษาหาข้อมูลทางวัฒนธรรมของทั้งพิธีขับไล่ปีศาจ (Exorcism) แบบคาทอลิก โดยมี ‘บาทหลวง อนุชา ไชยเดช’ ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกแห่งประเทศไทย เป็นผู้ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ ตั้งแต่การแต่งกายที่ถูกต้องไปจนถึงลำดับขั้นของพิธีตามหลักคาทอลิก โดยที่ในประเทศเองก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น โดยนอกจากผู้กำกับอย่างทวีวัฒน์แล้ว ตัวละครเอกของเรื่องที่สวมบทบาทเป็นบาทกลวงอย่าง ‘เจมส์ จิ’ (จิรายุ ตั้งศรีสุข) ก็เดินทางไปเรียนรู้วิธีการสวดหรือประกอบพิธีด้วยตัวเองเลย ซึ่งก็เปรียบเสมือนการเวิร์กช็อปโดยกลาย ๆ 

แต่นอกจากฝั่งบาทหลวงแล้ว อีกฝั่งที่มีความท้าทายไม่แพ้กันคือฝั่ง ‘ภูไท’ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์บริเวณอีสานทางเหนือกับพิธีการขับไล่ผีแบบ ‘หมอเหยา’ โดยมี ‘ครูคิม นิติ ไชยวงศ์คต’ ที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมและผู้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับหมอเหยา เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านข้อมูลต่าง ๆ จนได้ไปพบกับ ‘แม่หมอโอปอ’ ซึ่งเป็นหมอเหยาตัวจริง โดย ‘มีน พีรวิชญ์’ ก็ได้ไปซึมซับพิธีกรรมขั้นตอนต่าง ๆ เฉกเช่นเดียวกับฝั่งของบาทหลวงเลย

อีกหนึ่งตัวละครที่เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจอย่างมากคือ ‘ตามิ่ง’ ที่ได้ ‘ธเนศ วรากุลนุเคราะห์’ มาสวมบทบาทในอดีตบาทหลวงที่กำลังเผชิญหน้ากับผีร้านที่ถูกสิงสู่ในครั้งนี้ โดยทวีวัฒน์เล่าว่าการได้ร่วมงานกับธเนศนับเป็นความบังเอิญ เพราะมีโอกาสพบกันที่รอบปฐมทัศน์ของธี่หยด แถมบ้านจของทั้งคู่ยังอยู่ใกล้เคียงกัน จนได้มีโอกาสชักชวนธเนศมาสวมบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ 

โดยทวีวัฒน์ก็ยังเล่าต่อถึงการทำงานกับธเนศว่า “เขาอินมากนะครับ เขาไม่อยากให้คนเห็นว่าเขามาเล่นหนังผี แต่เขาอยากให้คนรู้ว่าเขากำลังเล่นละครเวทีในโรงหนัง เขารู้สึกว่าเขากำลังอยู่ในโรงละครเวที แล้วทุกครั้งที่เขาแสดง เขาอิน เขารู้สึกกับมันมาก แล้วเขาเป็นคนที่เทกเดียวจบได้เลย แบบเก่งมากครับ คือเขาทำการบ้านมาเต็มที่ แล้วเขาเข้าใจตัวละครแบบลึกซึ้งมาก ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้เขามาเล่น” ทวีวัฒน์เล่าต่อว่าเมื่อแต่งหน้าเสร็จ ธเนศจะกลายเป็นตามิ่งในทันใด โดยไม่ต้องรอกล้อง ไฟ หรือคำสั่งแอคชั่นจากเขาเลยแม้แต่น้อย…

 

The People : อย่างตอนที่ทำ ‘ธี่หยด’ หรือว่าเรื่องก่อน ๆ ก็ล้วนมีรสชาติเฉพาะตัว คุณคิดว่าอะไรคือรสชาติใหม่ของ ‘ท่าแร่’?

รู้สึกว่าเทมโปมันเปลี่ยนไปนะครับ อย่าง ทองสุก 13 หรือ ธี่หยด เทมโปมันจะสับ ๆ เหมือนรถไฟเหาะ เรื่องนี้มันคล้ายกับรถดับกลางบ้านผีสิง ไปก็ไปไม่ได้ อยู่ก็อยู่ไม่ได้ จะยังไงดีวะ ต้องอยู่กับมันเหรอ? มันเป็นจังหวะอีกแบบหนึ่งเลย

คือมันมีความเป็นการสืบสวนสอบสวนด้วย มีการตามหาว่า “ผีที่อยู่ในร่างนี่คือผีอะไร?” แล้ว “ทำไมมันถึงกลับมาจาก 40 ปีก่อน?” อย่างบาทหลวงที่จะมาทำพิธีไล่ผีได้เนี่ย เขาต้องมีข้อมูลชัดเจนว่าคนนี้โดนผีเข้า ไม่ใช่คนวิกลจริต

แล้วเงื่อนไขของบาทหลวงในการจะปราบผีได้ก็คือ คนที่โดนผีเข้าต้องเป็นคาทอลิก สมมุติว่าคุณนับถือพุทธแล้วโดนผีเข้า บาทหลวงจะทำพิธีให้ไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องผ่านกระบวนการสืบสวนก่อน แล้วบาทหลวงถึงจะเข้ามาที่บ้านเพื่อทำพิธีปราบ

เรารู้สึกว่าความแปลกของเรื่องนี้คือมันมีหมอเหยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันเป็นสองวิธีที่ต่างกัน เหมือนตอนที่เราได้ดูหนังเกาหลีเรื่อง ‘Exhuma’ เราว้าวเลยครับ เราว้าวตรงพิธีกรรม มันไม่ใช่แค่เรื่องผี ผียังบินได้อีก เรารู้สึกว่ามันขำดี เรื่องนี้ก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันครับ มันเน้นพิธีกรรมและรายละเอียดของความเชื่อด้วย

 

The People : อยากจะฝากอะไรถึงผู้ชมบ้าง?

ภาพยนตร์เรื่อง ท่าแร่ ครับ 7 สิงหาคมนี้ เป็นภาพยนตร์ที่ ผมบอกเลยว่าตอนที่ผมได้รับโปรเจกต์นี้ ผมตื่นเต้นมาก เหมือนตอนที่ผมได้อ่านนิยายเรื่อง ธี่หยด แล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย มันต้องทำ ถ้าไม่ทำเนี่ย ไม่นั่งขัดมุ้งลวดเล่นอยู่บ้านเลยนะ” คือปกติแล้วโจทย์ของผู้กำกับมีสองแบบครับ หนึ่งคือทำเพื่อรายได้ แต่อีกแบบคือทำเพราะมันเป็นสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ เป็นเหมือนเรคคอร์ดในชีวิต ว่าครั้งหนึ่งเราเคยทำสิ่งนี้ แล้วเราแฮปปี้ เหมือนที่ผมเคยทำ ขุนกระบี่ฯ แล้วผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว ก็ไม่เคยมีหนังแบบนั้นอีกเลย เหมือนกับ อสุจ๊าก และมันก็ไม่เคยมีหนังแบบ อสุจ๊าก อีกเลย

แต่เรื่องนี้แมสครับ เรื่องนี้ผมตั้งใจให้แมส พาณิชย์เลย ไม่อาร์ต ไม่แถ ไม่อะไรเลย ผมอยากให้คนดูสนุกไปกับมันจริง ๆ เพราะฉะนั้น 7 สิงหาคมนี้ ฝาก ท่าแร่ ไว้ด้วยนะครับ เป็นหนังที่เราตั้งใจทำ และรู้สึกสนุก ตื่นเต้นมาก ๆ กับมัน

สิ่งที่ผมหวังก็คือ อยากให้ทุกคนไปน้ำมันหมดกลางบ้านผีสิงกันครับ

 

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

 

The People : คุณทำหนังผีมามาก แล้วตัวคุณเองกลัวผีไหม?

จะบอกว่ากลัวก็กลัว จะบอกว่าไม่กลัวก็ไม่เต็มปากครับ เพราะเวลาไปนอนต่างถิ่น เราก็เผลอจินตนาการบ้างนะว่า เอ๊ะ มีอะไรยืนอยู่บนเตียงรึเปล่า ยืนอยู่นอกหน้าต่างไหม แต่ผมเคยมีประสบการณ์อยู่ครั้งนึงครับ ตอนนั้นนอนอยู่ในห้อง แล้วจู่ ๆ ก็ขยับตัวไม่ได้เลยครับ ขาก็ขยับไม่ได้ เสียงก็ออกไม่ได้ ตอนนั้นแม่ง... เริ่มดีใจนะ!

คือผมรู้สึกว่า “เฮ้ย! นี่กูโดนผีอำเหรอวะ เหมือนที่เค้าเล่ากันเลย!” ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นนะ เอาไงดีวะ แล้วแบบ ลิ้นเริ่มชา แต่ก็ไม่มีอะไรมาปรากฏเป็นตัวเป็นตนซะที สุดท้ายมันก็เหมือนความรู้สึกที่แบบ... คล้าย ๆ ตอนฝันว่ากำลังจะตกจากที่สูง หรือเหมือนลอยอยู่กลางอากาศแล้วหล่นลงมา แล้วเราก็ตื่นพอดีครับ

ตอนหลังถึงรู้ว่า “อ๋อ นี่มันคือผีอำนี่หว่า” คือเราฝันว่าเรานอนอยู่ตรงนั้นเลย มันซ้อนกัน ผมก็เลย อุตส่าห์ดีใจนะว่าผีมาแล้ว! เพราะงั้นเลยตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าผมกลัวหรือไม่กลัว สรุปคือ... งงอยู่ครับ (หัวเราะ)

 

The People : คุณชอบผีอะไรที่สุด?

ตอบไวเลยครับ ผมชอบ ‘ซอมบี้’! ผมรู้สึกว่ามันเป็นผีที่แอคทีฟ แล้วเราต่อกรกับมันได้ มันสนุกครับคือผมจะซื้อน้ำดื่มไว้ที่บ้านเยอะมากเลยนะ แล้วก็จะมีของพวก survival เตรียมไว้ มีซอส มีหนังสือการ์ตูนเพียบเลย สมมุติวันนึงซอมบี้บุกมา น้ำตัด ไฟตัด ผมโอเคเลย มีอะไรอ่านอยู่ได้ ผมไม่กลัว ผมชอบจินตนาการด้วยว่า ถ้าซอมบี้อยู่ชั้น 2 ของบ้าน มันจะปีนขึ้นมาได้ไหมวะอะไรแบบนี้ รู้สึกว่า... เออ มันเป็นผีที่เราสนุกกับมันครับ

 

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’


The People : ถ้าซอมบี้บุกขึ้นมาจริง ๆ คุณก็คงเป็นเหมือนเรื่อง ขุนกระบี่ฯ เลยใช่ไหม?

ถ้าขนาดนั้นผมไม่รอดหรอกครับ (หัวเราะ) 

แต่ซอมบี้มันช่วยให้ผมเวทเทรนนิ่งนะ คือมันทำให้ผมฝึกวิ่ง เพราะผมคิดตลอดว่าถ้าซอมบี้บุกมาที่บ้านเนี่ย ผมนี่แหละจะเป็นคนเดียวในบ้านที่วิ่งเร็วที่สุด วิ่งไปหาอาหารแล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไม่หยุดเลย! ถ้าเป็นคนอื่นในบ้าน วิ่งได้ร้อยเมตรก็แย่แล้ว (หัวเราะ) 

ซอมบี้นี่แหละทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย การวิ่งของเราดีขึ้นจริง ๆ มีแรงบันดาลใจแบบนี้แหละครับ ผมเตรียมตัวไว้แล้ว

 

The People: ทำไมหนังผีหรือหนังสยองขวัญถึงเป็นหนึ่งในแนวที่คนชอบมากที่สุด?

ผมว่าน่าจะเริ่มมาตั้งแต่งานมหรสพเลยครับ เหมือนเวลาเราไปงานวัดที่เขาฉายหนัง หนังผีจะเป็นที่นิยมสุด เพราะทุกคนคาดหวังว่าต้องมีหนังผี เราโตมากับละครผี เช่น แม่นาค ปอบ ผีฟ้า ผีกระสือ ฯลฯ ประเทศไทยคือเมืองผีเลยนะครับ ผีเยอะมาก บนต้นไม้เรายังมีเลย เราเติบโตมากับความเชื่อแบบนี้ มันทำให้เรารู้สึกผูกพันกับหนังผี เช่น ถ้าเราเห็น ติ๊ก เจษฎาขับยานเอ็นเตอร์ไพร์สเราจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ถ้าติ๊กขี่หลังเปรต เราเชื่อนะครับ (หัวเราะ)

หนังผีมันเป็นกิจกรรมกลุ่ม เหมือนนั่งรถไฟเหาะ จะให้นั่งคนเดียวคงไม่อยากนั่ง แต่ถ้ามีกันทั้งห้อง เราจะเอาด้วยแน่ ๆ มันเลยเป็นกิจกรรมที่สนุกกับกลุ่มเพื่อน และหนังผีก็ยังโดดเด่นในทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ในไทย คือแนวอื่นจะมาหรือจะตาย แนวนี้ก็ยังอยู่ตลอด

ผมว่าผีไทยตอนนี้มันซับซ้อนมากเลย ผีไทยเรามีเยอะมาก แล้วคนทำก็เริ่มเครียด เพราะไม่รู้จะหาท่าใหม่ยังไงแล้ว สมัยก่อน ถ้าเราดูหนังยุคดารารุ่นเก่า ๆ อย่าง ปรียา รุ่งเรือง อะไรแบบนั้น ผียังบีบคอ หักคอ ควักไส้คนได้ หลอกแล้วคนก็หนี เราจะขำกันไปกับการหลอกแบบนั้น

จนมายุคพี่อุ๋ย นนทรีย์ ผีเริ่มฆ่าคนไม่ได้แล้ว ผีจะแค่โผล่มา แล้วทำให้คนตกใจจนเกิดอุบัติเหตุตาย หรือฆ่าตัวตายเองแบบใน ชัตเตอร์ ที่คล้าย ๆ ผีแบบหนังญี่ปุ่น คือผีทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากสร้างความหลอน ผีกลายเป็นแค่ตัวหลอก สร้างความกลัวเฉย ๆ คือถ้าคนดูผีหลอกแบบนี้ 10 เรื่องเขากฌน่าจะชินแล้ว เราเลยต้องคิดใหม่ เช่นใน ธี่หยด ผมก็เริ่มศึกษาว่าปอบทำอะไรได้บ้าง ผีที่เข้าไปในร่างมันจะทำให้เครื่องในแตก เลือดทะลักอะไรแบบนี้ เราอยากให้ผีกลับมามีอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง

ผมว่าผีไทยมันสามารถดิ้นได้ไปเรื่อย ผีไทยมันเปลี่ยนตามยุคตามสมัย ยุคพี่อุ๋ย (นนทรีย์ นิมิบุตร) หรือยุคโต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล) ก็เป็นยุคของผีแบบ slow burn แต่ตอนนี้เราอาจจะต้องกลับมาเน้นแอคชั่นให้มันดุเดือดหน่อย แล้วผีไทยก็ยังเป็นสินค้าส่งออกนะครับ ยังฮอตในต่างประเทศ และน่าจะเป็น Soft Power ได้ เพราะความกลัวเป็นภาษาสากลครับ

 

The People : ตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงตอนนี้ คุณก็ดูจะเป็นคนกล้าลองอยู่เสมอเลย?

ใช่ครับ หลายคนก็บอกว่า “เอาเถอะ ทำแบบปกติเถอะ” อะไรอย่างนั้น แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องของการรักษาความกล้าหรอกครับ เพราะสารตั้งต้นของผมคือ “เราอยากทำ” และเราไม่อยากทำอะไรที่เราเคยทำมาแล้ว เราอยากทำของใหม่ ๆ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราทำจะออกไปไกลกว่าในประเทศไทย มันควรจะไปได้ไกลกว่าเดิม เลยรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ทำอะไรที่มันใหม่ขึ้นดีกว่า อย่างน้อยก็ใหม่กว่าที่เราเคยทำ มันเลยเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ถ้าถามว่าอะไรจะหยุดการกล้าทำ กล้าลอง ก็ไม่มีครับ ไปเลย!

 

ทวีวัฒน์ วันทา : ผู้กำกับที่ (เคย) มีแต่นายทุนกลัว ไม่ใช่เพราะทำหนังผี แต่เพราะทำ ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’

 

The People: ถ้าให้คุณเลือก 3 ภาพยนตร์ในดวงใจ จะเป็นเรื่องอะไรบ้างครับ?

ต้องตอบให้ใกล้คอนเซปต์หนังเราที่สุดเลยนะครับ อันดับหนึ่งเลยคือ Evil Dead เป็นหนังที่สมัยก่อนบ้านไหนมีเครื่องเล่นวิดีโอต้องมีเรื่องนี้ น่ากลัวสุด และเราก็สนุกกับมันมาก มันทำให้ผมรู้จักแซม ไรมี (Sam Raimi) ผู้กำกับที่ผมชอบเลยครับ

อีกเรื่องก็คือ The Exorcist มันให้ความรู้สึกว่าเราไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้แม้แต่ตัวละครก็ไม่รู้ว่าผีจะทำอะไร จะเกิดอะไรขึ้น มันหลอกทั้งครอบครัวทั้งบาทหลวง มันน่ากลัวเพราะความไม่รู้นี่แหละครับ นักแสดงก็แสดงได้ดูป่วย ดูเย็นยะเยือก สกอร์ก็ดีมาก ผมว่า The Exorcist คือสุดจริง ๆ

ส่วนเรื่องสุดท้ายคือ Jaws ภาคแรกเลยครับ มันทำให้เรากลัวทะเล กลัวการอยู่ในน้ำ ไม่กล้าห้อยขา กลัวไปหมด กลัวสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะทั้งเรื่องแทบจะไม่เห็นฉลามเลย เห็นแค่ตอนจบ แล้วใช้กล้องแทนสายตา ใช้แค่สกอร์ดนตรีกับความเวิ้งว้าง มันคือความกลัวจากจินตนาการ มันเป็นผีในจิตใต้สำนึกของเรา ผมว่ามันได้ผลมาก ๆ ครับ

 

The People : คำถามสุดท้ายครับ ตั้งแต่วันที่เราเป็นเด็กอนุบาล เก็บเงิน 20 บาทไปดูหนัง จนถึงวันที่เราเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ การทำหนังมันสอนอะไรกับชีวิตคุณบ้าง?

ผมอยากบอกกับเด็กคนนั้นนะครับ ว่า

น่าจะไปเรียนบริหารนะ ไม่น่ามาทำหนังเลย” (หัวเราะ) 

 

และนั่นคือเรื่องราวทั้งหมดของ ‘คุ้ย - ทวีวัฒน์ วันทา’ ผู้กำกับที่…

ล้อเล่นครับ พี่คุ้ยตอบต่อดังนี้

 

เพราะเรามาอยู่สายผู้กำกับ เจอคนบริหาร เจออะไรแบบนี้ เราก็เหมือนเป็นตัวตลกในกลุ่มนะครับ แบบ “ไอ้นี่แสดงหนังได้นะ เอาไปแสดงสักฉากไหม” แต่จริง ๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะผมก็ถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่ได้ทำสิ่งที่ชอบ ได้ทำในสิ่งที่ฝัน ผมไม่มีเส้น ไม่มีญาติอยู่ในวงการ มันคือการปากกัดตีนถีบล้วน ๆ เลยครับ มันแลกกันมารุ่นต่อรุ่น ผมยังจำได้เลยว่าคุณพ่อเคยพาไปดูหนังเรื่อง Lipstick แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็รู้สึกแฮปปี้นะครับ ที่เราได้ทำในสิ่งที่เราตั้งใจไว้