06 ส.ค. 2568 | 18:00 น.
KEY
POINTS
“ลูกของผมไม่มีทางฉลาดกว่า AI”
คือสิ่งที่ ‘แซม อัลต์แมน’ (Sam Altman) ซีอีโอแห่ง OpenAI ในพอดแคสท์หนึ่งของเขา ก่อนจะเสริมต่อว่าคนรุ่นลูกของเขาจะเติบโตขึ้นมาด้วยศักยภาพที่เพิ่มขึ้นกว่าผู้คนในยุคปัจจุบันมาก เพราะความสามารถในการใช้งาน AI ของพวกเขา เสมือนเป็นการปลดล็อคศักยภาพนับไม่ถ้วนที่รออยู่…
การเข้ามาอยู่ในการใช้งานกระแสหลักของ Generative AI ก็ทำให้ผู้คนมากมายต่างก็ตั้งคำถามว่า ‘AI จะมาแทนที่มนุษย์หรือเปล่า?’ ปฏิเสธว่าไม่มากก็น้อย AI ก็ได้แทนที่งานบางประเภทไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ความเป็นมนุษย์’ ก็ยังเป็นคุณลักษณะสำคัญของงานบางประเภทที่ยังขาดไปไม่ได้
การปรับตัวเพื่ออยู่รอดในยุคสมัยนี้จึงไม่ใช่แค่การพัฒนาตัวเองที่จะแข่งกับความสามารถของ AI เพียงเท่านั้น (พัฒนาทักษะไปในทางที่ AI ยากจะขยับตามได้) แต่ยังเป็นการรู้วิธีทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ให้มีประสิทธิภาพที่สุด
ตลอดประวัติศาสตร์เราจะเห็นได้ว่าเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาเสริมพลังความสามารถของมนุษย์ ก็มีแนวโน้มที่เราจะต้องละทิ้งความสามารถติดตัวเหล่านั้นไป ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา อาจไม่ต้องยกตัวอย่างที่ย้อนถอยไปไกลอย่างการขี่ม้าหรือการเดินทางไกลในสมัยก่อน เพราะในสมัยนี้เราจะเห็นได้ว่าเราไม่จำเบอร์โทรศัพท์กันแล้ว เพราะสามารถบันทึกไว้ในมือถือได้เลย หรือแม้แต่การเข้ามาของ GPS ที่ทำให้คนจำทางเองน้อยลง
ทักษะเหล่านี้ที่เลือนหายไปถือเป็นเรื่องปกติตามพัฒนาการของเทคโนโลยี เพราะเครื่องมือทั้งหลายที่ผุดขึ้นมานั้นจะเข้ามาทำหน้าที่เหล่านั้นแทนเราเอง เปรียบเสมือนกับการ ‘เอาท์ซอส’ (Outsource) เนื้องานเหล่านั้นให้กับเครื่องมือต่าง ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลที่ตามมาคือเราจะสูญเสียความชำนาญในทักษะเหล่านั้นไป
คงไม่เป็นไรอะไรมากนักถ้าทักษะเหล่านั้นเป็นการพิมพ์ดีดหรือการแหงนดูฟ้าเพื่อดูว่าตอนนี้คือเวลาไหนของวัน เพราะบางทักษะที่เหือดหายก็อาจไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตหรือความสามารถที่จำเป็นในระยะยาวขนาดนั้น
แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ในเมื่อขอบเขตความสามารถในการทำงานของ AI นั้นกว้างขวางเป็นอย่างมาก สามารถประยุกต์ใช้ได้กับแทบทุกเนื้องาน ตั้งแต่แปลเอกสารหรือจัดระเบียบงาน ไปจนถึงผู้ช่วยค้นคว้าหาข้อมูลการวิจัยและสรรค์สร้างวิดีโอโฆษณา แล้วหากว่าเราให้ AI มาช่วยเหลือหรือให้มัน ‘ทำแทน’ เราไปเสียหมด
เราจะสูญเสียความสามารถอะไรไปบ้าง?
ในงานวิจัยโดย Microsoft และมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ในชื่อ ‘The Impact of Generative AI on Critical Thinking: Self-Reported Reductions in Cognitive Effort and Confidence Effects From a Survey of Knowledge Workers’ พบว่ายิ่งผู้คนเชื่อมั่นใน AI มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของพวกเขามากเท่านั้น
พวกเขาได้อธิบายว่า เมื่อเรามอบหมายงานประจำที่เป็นกิจวัตรให้เครื่องจักรทำแทนให้มนุษย์รับมือเฉพาะกรณีที่ผิดปกติ เรากำลังพรากโอกาสที่มนุษย์จะได้ฝึกการใช้วิจารณญาณและเสริมสร้างกล้ามเนื้อทางปัญญาในชีวิตประจำวันไปโดยไม่รู้ตัว และอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในเนื้องานนั้น ๆ ของมนุษย์ หรือแม้แต่ทักษะความคิดในภาพรวมในระยะยาว
ในอีกงานวิจัยในชื่อ ‘AI Tools in Society: Impacts on Cognitive Offloading and the Future of Critical Thinking’ ก็สะท้อนผลลัพธ์ไปในทำนองเดียวกันว่า ยิ่งเราพึ่งพาเครื่องมือ AI เป็นหลักมาเท่าไร ก็จะยิ่งให้ทั้งความสามารถในการลงมือทำและความสามารถทางความคิดถดถอยลงไปเท่านั้น
ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ยิ่งชวนให้เราคิดถึงผลพวงของการใช้ AI มากขึ้นกว่าเดิม ว่าการไขว่คว้าหาผลิตภาพที่มากขึ้นผ่านการใช้งาน AI จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในระยะยาวอย่างไรบ้าง แล้วเนื้องานใดที่เราสมควรให้ AI ทำแทนเรา เพื่อที่จะคงรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ ท่ามกลางปัญญาประดิษฐ์ที่ดูจะเก่งกาจขึ้นทุกวัน
ใน The Hidden Dilemma สัปดาห์นี้ เราจึงอยากชวนผู้อ่านตั้งคำถามกับ AI ไม่ใช่แค่ในฐานะเครื่องมืออัจฉริยะ แต่ในฐานะเทคโนโลยีที่อาจเป็นได้ทั้ง ‘ผู้ช่วยเสริมพลัง’ (Augmenting Technology) และ ‘ตัวแทนที่’ (Replacing Technology) (อยู่ที่เราจะเลือกใช้อย่างไร) ผ่านกรณีศึกษา นวนิยาย ภาพยนตร์ หรือแม้แต่ดนตรี ที่อาจจะทำหน้าที่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ
บางครั้ง AI อาจเข้ามาเติมเต็มศักยภาพมนุษย์ เปิดทางให้ไอเดียที่คิดไม่ถึง ทำงานสร้างสรรค์ หรือมองปัญหาในมิติใหม่ ๆ แต่ในบางครั้ง หากเราโยนหน้าที่ทั้งหมดให้มันทำแทน เราอาจค่อย ๆ สูญเสียความสามารถดั้งเดิมไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราอาจเก่งขึ้นก็จริง แต่ก็อ่อนแอลงในแบบที่เรามองไม่เห็นด้วย
คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “AI จะมาแทนที่เราไหม?” แต่อาจต้องถามต่อว่า “มันจะพรากอะไรไปจากเราบ้าง?”
จะมองว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีที่จะมาช่วงชิงความสามารถของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างสมบูรณ์นั้นก็ดูจะเป็นการไม่ยุติธรรมไปเสียหน่อย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีที่มาช่วยให้เราไม่ต้องทำอะไรบางอย่างนั้นเป็นประโยชน์ยิ่งทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
แท่นพิมพ์ของกูเตนเบิร์ก (แม้จะใช้ระยะเวลาหนึ่งในการที่มันจะแพร่หลาย) ที่ทำให้อาชีพอย่าง ‘อาลักษณ์’ (Scribe) หรือทักษะในการคัดหนังสือต้องสูญหายไป แต่ก็ทำให้หนังสือสามารถเผยแพร่ไปได้กว้างขวางกว่าเดิมมาก หรือจะให้ชัดกว่านั้น การมาถึงของนาฬิกาที่ทำให้ผู้คนเข้าใจเวลาและวางแผนกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้จะต้องแลกมาด้วยความสามารถในการคาดเวลาจากตำแหน่งของดวงอาทิตย์ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มันก็อาจจะไม่สำคัญมากขนาดนั้นเมื่อเนื้องานเหล่านั้นที่มีเทคโนโลยีมาแทนที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพของมนุษย์ในภาพรวม อีกทั้งยังทำให้เรามีเวลาไปลงแรงและใส่ใจกับเรื่องอื่นมากขึ้นด้วย
แต่สำหรับ AI ที่สามารถแทนที่และเสริมแรงได้หลายแง่มุม โดยเฉพาะงานที่อาศัย ‘ความคิด’ เป็นหลัก อาจสร้างผลกระทบกับมนุษย์ในระยะยาว อันเป็นต้นทุนที่ต้องแลกมากับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ ตัวอย่างจากบรรดานวนิยายหรือภาพยนตร์เหล่านี้น่าจะทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้น
เมื่อกล่าวถึงปัญญาประดิษฐ์หรือหุ่นยนต์ที่พยายามจะเลียนแบบมนุษย์ก็ชวนให้นึกถึงนวนิยายไซไฟ ‘Do Androids Dream of Electric Sheep’ (1968) โดย ‘ฟิลิป เค. ดิก’ (Philip K. Dick) ที่โลกเต็มไปด้วยหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์จนแยกไม่ออก จนชวนผู้อ่านตั้งคำถามถึงเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างคนกับหุ่นยนต์ว่าแตกต่างกันเพียงไหน
[สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับนวนิยายดังกล่าวได้ที่ ‘Do Androids Dream of Electric Sheep? : ในวันข้างหน้า เส้นแบ่งระหว่าง ‘คน’ กับ ‘A.I.’ อยู่ตรงไหน?’ ]
แต่ที่น่าสนใจไปกว่าเนื้อหาหลักที่ถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ‘Blade Runner’ (1982) โดย ริดลีย์ สก็อต (Ridley Scott) คือบริบทและการใช้เทคโนโลยีในเรื่อง โดยเฉพาะกับ ‘เครื่องกระตุ้นอารมณ์เพนฟิลด์’ (Penfield Mood Organ)
จะเห็นได้ว่าด้วยเครื่องมือดังกล่าว ภรรยาของ ริค เดคคาร์ด (Rick Deckard) ที่เป็นตัวละครเอกของเรื่อง สามารถปรับเลือกอารมณ์ของเธอได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นสุข เศร้า เหงา หรือแม้แต่เร่าร้อนตามใจนึก หากว่าอยากจะรู้สึกสิ่งใดเพื่อทำอะไรตอนไหน ก็เพียงแค่กดปุ่ม ก็สามารถรู้สึกเช่นนั้นโดยไม่ต้องเสียเวลาบิวท์อารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
ทว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือการที่เธอจะรู้สึกอะไรตามสิ่งที่เธอคิดว่าสมควรรู้สึก ก็ต้องหันไปหาเครื่องเพนฟิลด์ กลายเป็นว่าอารมณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เดิมเกิดขึ้นจากมีปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ถูกตัดขาดด้วยเครื่องมือเสริมพลังที่จะทำให้ใครก็ตามเลือกสรรอารมณ์ที่ตัวเองต้องการ ตอนไหน อย่างไรก็ได้
แม้จะปรากฎมาเพียงไม่กี่หน้ากระดาษและแทบไม่มีส่วนสำคัญต่อเนื้อหาหลักของเรื่อง แต่เครื่องเพนฟิล์ดก็ทำหน้าที่ให้เราเห็นโลกอนาคตที่มนุษย์พึ่งพาปัญญาประดิษฐ์ให้ดูแลสิ่งต่าง ๆ แม้แต่ความรู้สึกภายในของตนเอง ซึ่งการอำนวยความสะดวกเหล่านี้อาจพรากความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ของเราไป แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ซึ่งคือ ‘ความรู้สึก’
ใน ‘Her’ (2013) AI ก็ดันตอบสนองความเป็นคนรักได้สมบูรณ์แบบเสียยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก จึงทำให้ตัวละครเอกอย่าง ธีโอดอร์ รู้สึกว่าการอยู่กับ AI นั้นตอบโจทย์ตัวเขามากกว่า หรือแม้แต่ใน ‘WALL-E’ (2008) มนุษย์ในโลกอนาคตดังกล่าวไม่สามารถแม้แต่เดิน ทิ้งขยะ หรือลุกกลับไปบนเก้าอี้ด้วยตัวเองเลยเสียด้วยซ้ำ
ตัดกลับมาที่บริบทปัจจุบันในโลกของเราทุกวันนี้บ้าง หากคุณมีงานวิจัยชุดหนึ่งที่ต้องไล่อ่านให้ครบ หรือหนังสือสักเล่มที่ต้องอ่านให้จบ หากเป็นในอดีตเราก็คงต้องใช้เวลากับการอ่านวัตถุดิบเหล่านี้อยู่ไม่น้อย เพื่อที่จะซึมซับและเข้าใจ ก่อนจะถ่ายทอดออกมาในสมุดหรือชอร์ตโน็ตของตัวเอง
แต่ในทุกวันนี้ หากคุณมีไฟล์ ก็สามารถที่จะโยนให้ AI อ่าน แล้วสรุปตามความต้องการของคุณได้เลย ร่นระยะเวลากว่ากันหลายเท่าตัว หากมองกันที่ผลลัพธ์ระยะสั้น แน่นอนว่าการทำแบบนี้ย่อมประหยัดเวลายิ่ง แต่ก็ทำให้เราซึมซับข้อมูลได้น้อยลง เพราะได้อ่านแต่สิ่งที่ AI กรองมาแล้วอีกที
ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้น วิถีแบบนี้กลายเป็นเรื่องปกติที่ทำกันในสังคม อาจจะส่งผลต่อความสามารถในการอ่าน ค้นคว้า ซึมซับข้อมูล และการคิดวิเคราะห์ของเราไปอย่างไรบ้าง
ซึ่งกรณีทำนองเดียวกันนี้ก็อาจส่งผลต่อเนื้องานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การแปล การสรุปและจับใจความ การคิดคำนวณ การเขียน การเรียบเรียงเนื้อหาในการนำเสนอ ซึ่งล้วนเป็นเนื้องานที่เกี่ยวโยงกับความคิดทั้งสิ้น
ไม่เว้นแม้แต่การพูดหรือตอบคำถาม ไม่นานมานี้ผู้เขียนเองแม้แต่เคยเห็นว่ามีโฆษณา AI ที่ใช้สำหรับการสัมภาษณ์งานด้วย ซึ่ง AI ดังกล่าวก็จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยไกด์คำตอบที่จะออกมาดูดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าจะดูเป็นตัวช่วยที่ชาญฉลาด แต่ก็น่าตั้งคำถามว่ามันจะส่งผลต่อความสามารถในการตอบคำถามหรือให้สัมภาษณ์ต่าง ๆ อย่างไร
จากกรณีทั้งหมดนี้ อาจถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมาทบทวนว่า ทักษะไหนที่ไม่ควรโยนให้ AI ทำแทนเราทั้งหมด โดยเฉพาะทักษะที่เกี่ยวข้องกับการคิด วิเคราะห์ เรียบเรียง และสร้างสรรค์ เพราะแม้ AI จะช่วยให้ผลลัพธ์ดูดีในระยะสั้น แต่ก็อาจค่อย ๆ พรากกระบวนการฝึกฝนซึ่งจำเป็นต่อการเติบโตของมนุษย์ไปอย่างเงียบ ๆ
การออกแบบวิธีทำงานในโลกที่มี AI จึงไม่ใช่แค่การใช้เครื่องมือให้ได้มากที่สุดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาพื้นที่ในการคิดเอาไว้เสมอ ซึ่งคือพื้นที่สำหรับการลองผิด ลองถูก การคิดช้า การผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่สามารถเอาท์ซอสได้
เพราะสุดท้ายแล้ว AI อาจไม่ได้มาแทนที่มนุษย์อย่างฉับพลัน
แต่มันอาจค่อย ๆ กลืนกินความสามารถบางอย่างของเราไป โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยก็ได้
อ้างอิง
Business Insider article
Rowe, A. (2025, June 18). OpenAI CEO Sam Altman says his kids will “never be smarter than AI.” Business Insider.
Fortune article
Pelton, T. (2025, February 11). AI might already be warping our brains, leaving critical thinking behind. Fortune.
MDPI journal article
Gerlich, M., & Lee, H. (2025). AI tools in society: Impacts on cognitive offloading and the future of critical thinking. Sustainability, 15(1), Article 6.
Microsoft Research report
Lee, H. P. H., Rintel, S., Banks, R., & Wilson, N. (2025). The impact of generative AI on critical thinking: Self‑reported reductions in cognitive effort and confidence effects from a survey of knowledge workers (Microsoft Research Report). Microsoft Research.
Tech.co articles
Rowe, A. (2025, January 16). Study: AI is making us all dumber. Tech.co.
Rowe, A. (2025, June 17). Yet another study finds that AI is making us dumb. Tech.co.
ReactorMag article on the Penfield Mood Organ
Beckett, C. (2015, May 21). *That was awesome — The Penfield Mood Organ in Do Androids Dream of Electric Sheep? ReactorMag.