‘กันตรึม’ กับ ‘มรดกโลกศรีเทพ’ ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้

‘กันตรึม’ กับ ‘มรดกโลกศรีเทพ’ ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้

เมื่อการแสดงดนตรี ‘กันตรึม’ โดยศิลปินคือ ‘น้ำผึ้ง เมืองสุรินทร์’ ถูกยกเลิกการแสดงที่เมืองศรีเทพ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า อะไรคือ ‘วัฒนธรรมในพื้นที่’ ของมรดกโลกศรีเทพ?

KEY

POINTS

เมื่อทราบข่าวจากเฟซบุ๊กอาจารย์สุกรี เจริญสุข และรายงานจากสำนักข่าวถึงกรณีที่การแสดงดนตรี ‘กันตรึม’ โดยศิลปินคือ ‘น้ำผึ้ง เมืองสุรินทร์’ (นางสำรวม ดีสม) ได้ถูกยกเลิกการแสดงที่เมืองศรีเทพ เนื่องจากทางอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพได้ให้เหตุผลท้วงติงว่า ไม่ใช่วัฒนธรรมในพื้นที่’ 

เรื่องนี้นอกจากก่อให้เกิดประเด็นคำถามว่า อะไรคือ ‘วัฒนธรรมในพื้นที่ศรีเทพ’ และอะไรที่ไม่ใช่ แล้วยังก่อประเด็นคำถามต่อนิยามความเป็นเมือง ‘มรดกโลก’ ของศรีเทพโดยตรงอีกด้วย  

‘กันตรึม’ ไม่ใช่วัฒนธรรมในพื้นที่ศรีเทพจริงหรือ? แล้วเหตุใด ทำไม ‘ออร์เคสตรา’ ที่ได้รับอนุญาตให้แสดงได้โดยไม่มีปัญหาอย่างใดเลยนั้น ถึงไม่มีข้อหาว่า ‘ไม่ใช่วัฒนธรรมในพื้นที่’

กลายเป็นว่าดนตรีฝรั่งได้รับอนุญาตให้แสดงในพื้นที่ได้ แต่ดนตรีพื้นถิ่นที่มีรากกำเนิดในดินแดนประเทศไทยเองกลับต้องห้าม ครั้นจะว่าเพราะเกรงว่า ชาติอื่นจะมาเคลมมาอ้างเอาอะไรไปเป็นของตน ก็ดูเหลือเชื่อ หากหน่วยงานรัฐยังต้องมากังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องถึงเพียงนี้  

‘กันตรึม’ เป็นดนตรีพื้นถิ่นอีสานใต้ ไม่ใช่กัมพูชา           

การบอกว่ากันตรึมไม่ใช่วัฒนธรรมพื้นที่ศรีเทพ สะท้อนความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนหลายประการ นักวิชาการท้องถิ่นเมืองเพชรบูรณ์ เช่น อาจารย์วิศัลย์ โฆษิตานนท์ ก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพในเรื่องนี้ จริงอยู่ว่ากันตรึมเป็นดนตรีที่มีเนื้อร้องเป็นภาษาขะแมร์ แต่อย่าลืมว่าคนขะแมร์ที่ว่านี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะขะแมร์ที่ประเทศกัมพูชา คนอีสานใต้จำนวนไม่น้อยก็มีเทือกเถาเหล่ากอเป็นขะแมร์  

เพื่อจำแนกแตกต่างจากขะแมร์ที่กัมพูชา จึงมีการนิยามเรียกขะแมร์ในอีสานใต้ว่า ‘เขมรสูง’ หรือ ‘ขะแมร์สูง’ ตรงข้ามกับ ‘ขะแมร์ต่ำ’ คำว่า ‘สูง’ กับ ‘ต่ำ’ ในที่นี้ ไม่ได้เกี่ยวกับชนชั้นวรรณะใด ๆ หมายถึงคนที่เขตที่ราบสูงกับที่ราบต่ำ ถึงได้มีคำว่า ‘ที่ราบสูงโคราช’ กับ ‘ที่ราบลุ่มทะเลสาบเขมร’ (โตนเลสาบ) 

ในประวัติศาสตร์ชาวขะแมร์ทั้งสองเขตนี้ต่างก็เคยมีปฏิสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาช้านาน กษัตริย์ผู้สร้างนครวัดอย่างพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สถาปนานครธมอย่างพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต่างก็มีพื้นเพไปจากเขตที่ราบสูงโคราชนี้ เรียกว่า ‘ราชวงศ์มหินธรปุระ’  

‘วิมายปุระ’ หรือ เมืองพิมาย ในเขตจังหวัดนครราชสีมา ก็เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรกัมพูชา เมื่อกษัตริย์ราชวงศ์มหินธรปุระบางองค์โปรดเสด็จมาประทับว่าราชกิจอยู่ที่พิมาย เมื่อก่อนนั้นกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เสด็จฯ ไปประทับและว่าราชกิจอยู่ที่ใด ที่นั่นแหละเป็นเมืองหลวง  

และเพราะความสำคัญของเขตที่ราบสูงโคราชนี้เอง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถึงได้ให้สร้าง ‘ราชมรรคา’ (Royal road) เป็นถนนหลวงจากพิมายถึงนครธม ระหว่างทางยังมีการสร้างศาลาที่พักริมทางที่เรียกว่า ‘บ้านมีไฟ’ และอโรคยาศาลอีกกว่า 102 แห่ง  

เพราะความสำคัญของอีสานใต้ในฐานะภูมิลำเนาเดิมของชนชั้นปกครอง อีสานใต้จึงมีฐานะเป็นดินแดนบรรพชนของคนในลุ่มทะเลสาบเขมรที่อยู่ตอนล่างของอาณาจักร โบราณสถานประเภทปราสาททั้งเนื่องในศาสนาพราหมณ์ไวษณพนิกาย ไศวนิกาย ทั้งพุทธศาสนานิกายมหายานหรือบายน (Bayon) ตลอดจนประติมากรรมเทวรูป รูปพระโพธิสัตว์ รูปฉลองพระองค์ (รูปเหมือนของกษัตริย์) ถึงได้พบมากในเขตอีสานใต้ ประติมากรรม ‘โกลเด้น บอย’ กับ ‘สตรีพนมมือ’ ที่เพิ่งได้คืนมาจากสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย 

‘กันตรึม’ กับ ‘มรดกโลกศรีเทพ’ ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้

นั่นคือร่องรอยที่เห็นเป็นรูปธรรม แต่ทุกวัฒนธรรมย่อมต้องมีสิ่งอันเป็นนามธรรมหรือแบบแผนวัฒนธรรมบางอย่างที่สืบเนื่อง นอกจากรูปเคารพและโบราณสถานแล้ว อีสานใต้ยังเป็นดินแดนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ขะแมร์ - กูย ตั้งรกรากอยู่มาก อยู่กันมาช้านาน ประวัติศาสตร์ของคนที่นี่มีมาก่อนประวัติศาสตร์สุโขทัยและอยุธยาไม่รู้กี่ร้อยปี เพราะอย่างที่บอกแถบนี้คือดินแดนบรรพชน ดินแดนแบบนี้ย่อมเป็นที่ที่มีความเชื่อเรื่องผีบรรพชน (Ancestor warship) 

‘กันตรึม’ นั้น เดิมเป็นการแสดงเนื่องในพิธีกรรมบูชาผีบรรพชน ก่อนจะปรับปรุงมาสู่การแสดงดนตรีเพื่อความบันเทิงของประชาชน นิยมเล่นกันในแถบจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ภูมิภาคอีสานนั้นเป็นอีกดินแดนที่มีความหลากหลาย อีสานไม่ได้มีเฉพาะคนลาว มีขะแมร์ กูย (หรือกวย) จีน เวียด ผู้ไท ญ้อ ข่าหรือขมุ ฯลฯ (อีกมากมายสารพัด) หากแต่เพราะวัฒนธรรมหลักในภูมิภาคส่วนใหญ่เป็นลาว บ่อยครั้งหากมองจากภายนอก ดูเหมือนอีสานเป็นลาวไปทั้งหมด แต่ที่จริงไม่ใช่ และก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร  

เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะมาขึ้นกับสยาม ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่า ช่วงเวลาที่อีสานใต้ยังอยู่กับกัมพูชาหรือเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกัมพูชานั้นเป็นช่วงเวลายาวนานกว่าช่วงที่ถูกผนวกรวมเข้ากับสยามมาไม่รู้กี่ร้อยปี วัฒนธรรมไทยสยามต่างหากที่เป็นของประหลาดไม่เข้าพวกกับเขา    

ความสัมพันธ์ศรีเทพกับอีสานใต้ 

หลังจากศรีเทพได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประชาชนชาวไทยเคลมก็กำเริบเสิบสานได้ใจกันใหญ่ เอาศรีเทพไปขิงใส่คู่อริที่เป็นชาวเคลมโบเดีย แต่พฤติกรรมแบบเด็กวัยรุ่นยกพวกตีกันเอามันส์แบบนั้นไม่เพียงไม่ได้ช่วยอะไร ยังจะเพิ่มเรื่องให้บาดหมางกับเพื่อนบ้าน แทนที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ กลับชวนกันไปทะเลาะตบตีกับคนอื่น  

การได้ขึ้นทะเบียนเพียงที่เดียวเดี่ยวโดด นำมาซึ่งการยกย่องกันจนเวอร์หลุดลอยไปกว่าที่เป็นจริงไปไกลลิบ ศรีเทพไม่ใช่ ‘พ่อทุกสถาบัน’ ไม่ใช่ต้นกำเนิดเพียงหนึ่งเดียวของสยามประเทศแต่อย่างใด ตรงข้ามศรีเทพมีมิติเป็น ‘ลูก’ หรือทายาทที่สืบรับมรดกวัฒนธรรมมาจากที่อื่นอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมจากแดนไกลอย่างอินเดีย จีน เปอร์เชีย ศรีลังกา วัฒนธรรมจากแดนข้างเคียงอย่างพุกาม ทวารวดี จามปา ขะแมร์ (ทั้งก่อนสมัยพระนครและสมัยพระนคร)       

ศรีเทพยังมีเส้นทางการค้าและการคมนาคมติดต่อกับเขตอีสานใต้ ผ่านช่องเขาในเขตลำสนธิ เข้าสู่ลุ่มแม่น้ำมูนที่พิมาย ศรีเทพจึงพบของสำคัญอย่างรูปสลักพระโพธิสัตว์ที่มีลักษณะแบบเดียวกับประติมากรรมที่พบในเขตอีสานใต้ อยู่ที่ถ้ำเขาถมอรัตน์ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์   

สถานที่สำคัญในเขตเมืองศรีเทพอย่างปรางค์ศรีเทพ ปรางค์สองพี่น้อง ปรางค์ฤาษี ที่มีอยู่พร้อมกับสระบารายและทับหลัง ก็เป็นปราสาทที่แสดงความสัมพันธ์กับปราสาทที่พบหลายแห่งในอีสานใต้ ไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างแง่มุมวิวัฒนาการรูปแบบให้ไม่เป็นขะแมร์ให้เหนื่อยเปล่าแต่อย่างใดเลย    

ไหนจะมีการพบจารึกที่กล่าวถึงพระเจ้าภววรมัน ที่สะท้อนการรับรู้ถึงอำนาจและอิทธิพลของอาณาจักรกัมพูชาที่มาถึงแถบอีสานใต้ เมื่อเจ้าชายจิตรเสน (มเหนทรวรมัน) พระราชอนุชาของพระเจ้าภววรมันกำลังยกทัพบุกตะลุยไปทั่วทิศเพื่อรวบรวมอาณาจักรอยู่ในแถบอีสานและภาคตะวันออกเวลานั้น     

ในรายการเครื่องถ้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ขุดพบก็มีของผลิตจากแหล่งเตาบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงการค้าและการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างศรีเทพกับกลุ่มขะแมร์สูงในอีสานใต้เป็นอย่างดี และอีสานใต้ก็อยู่ในเส้นทางที่ชาวศรีเทพสามารถใช้เดินทางไปติดต่อกับเขตที่ราบลุ่มทะเลสาบเขมร ไดเวียด และจามปา ได้อีกด้วย  

ไหนจะทฤษฎีเก่าของอาจารย์ธิดา สาระยา ที่ว่า ศรีเทพคือ ‘ศรีจนาศะ’ คำว่า ‘ศรีจนาศะ’ พบในจารึกของเมืองโฆราฆปุระ ในเขต อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ถึงศรีเทพจะใช่ศรีจนาศะจริงหรือไม่ จะยังคงเป็นปัญหาทางประวัติศาสตร์โบราณคดี แต่ทว่าจารึกก็สะท้อนประเด็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันแน่ ๆ ระหว่างศรีเทพกับเมืองโบราณร่วมสมัยเดียวกันในแถบอีสานใต้   

อะไรคือ ‘วัฒนธรรมในพื้นที่’ ของมรดกโลกศรีเทพ? 

มุมมองต่อวัฒนธรรมแบบที่กระทรวงวัฒนธรรมเผยแพร่นั้นมีนักวิชาการติติงกันมานักต่อนักแล้วว่า เป็นการมองวัฒนธรรมแบบแช่แข็ง มุ่งสร้างสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงอย่าง ‘วัฒนธรรมชาติไทย’ ไม่มองวัฒนธรรมในแง่ที่เป็นสิ่งลื่นไหลและผันแปรไปตามเหตุปัจจัยในแต่ละยุคสมัย วัฒนธรรมแบบตั้งอยู่โดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวเอกานั้นไม่มี มีแต่วัฒนธรรมที่เป็นผลจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และผสมผสานกับวัฒนธรรมอื่น ๆ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘รัฐชาติไทย’ นั้น เป็นสิ่งเพิ่งมีภายหลังเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มานี้ ไม่ได้มีความเก่าแก่สืบย้อนกลับไปจนถึงศรีเทพ ดังนั้นหากเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ‘วัฒนธรรมศรีเทพโบราณ’ แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเริ่มต้นโดยการสแกนหาความเป็นไทยแท้ จะเข้าใจวัฒนธรรมศรีเทพโบราณ ต้องเริ่มจากการเข้าใจวัฒนธรรมอินเดียโบราณ จีนโบราณ ลังกา เปอร์เชีย เป็นต้น แค่พระศิวะที่ปรากฏบนทับหลังปรางค์ในเมืองศรีเทพ ก็ไม่ไทยแล้ว แถมจารึกภาษาที่พบก็อักษรปัลลวะ บ้างก็อักษรขอมไปอีก (ขอมก็คือเขมรโบราณ)     

อย่างไรก็ตาม การที่ศรีเทพเป็นแหล่งที่พบการรับวัฒนธรรมจากภายนอก กลับเป็นจุดเด่นที่ส่งผลทำให้การได้ขึ้นทะเบียนเป็น ‘มรดกโลก’ เกิดความสมเหตุสมผล เพราะ ‘มรดกโลก’ ก็คือมรดกร่วมของมนุษยชาติ หากเป็นแค่มรดกของชนในประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็ไม่อาจถือเป็น ‘มรดกโลก’ ในทางเนื้อหาสาระได้แต่อย่างใด  

ความเป็นมรดกโลกยังหมายถึงการเป็นพื้นที่ที่จะต้องเปิดกว้างแด่คนทุกหมู่เหล่า นั่นต่างหากที่ทำให้ศรีเทพเป็นสถานที่ที่ทรงคุณค่าน่าเที่ยวชม การที่ออร์เคสตราไม่ใช่วัฒนธรรมในพื้นที่ ไม่ได้หมายความว่าออร์เคสตราไม่ควรแสดงในพื้นที่แต่อย่างใด เช่นเดียวกัน จะกันตรึม ลูกทุ่ง หมอลำ ลิเก โนราห์ หรือการแสดงศิลปะแขนงใด ๆ ก็มีสิทธิจะเล่นให้คนไปศรีเทพได้ชมได้ทั้งนั้น ยิ่งเป็นมรดกโลก ยิ่งเป็นที่ที่ควรจะมีการจัดแสดงวัฒนธรรมจากต่างถิ่นต่างแดน  

เมืองโบราณไม่ใช่จะต้องมาทำทุกอย่างให้เป็นโบราณ สามารถแอพพลายของร่วมสมัยเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ยังไงก็ไม่มีทางฟื้นคืนความโบราณได้เต็มร้อย ที่ทำได้จริงก็เพียงแฟนตาซีทั้งนั้นแหละ ชุดโบราณที่สวมใส่กันไปถ่ายรูปในสถานที่แบบนี้ยังไงก็เป็นชุดที่ตัดกันใส่ในยุคปัจจุบัน ชุดโบราณที่อาจขุดหาได้จากหลุมศพที่ไหน ยังไงก็ไม่เหมาะจะเอามาใช้  

สำหรับดนตรีแล้ว ยิ่งเป็นคนละเรื่องกัน เพราะขืนไปฟังแต่เฉพาะเพลงโบราณ (ที่ต่อให้หามาฟังได้) ก็ไม่เข้ากับที่ใด ๆ เพราะคนที่ไปเที่ยวเยี่ยมชมเมืองโบราณ ยังไงก็เป็นคนรุ่นปัจจุบันที่มีรสนิยมการฟังเพลงแตกต่างจากคนในอดีต ไม่ต้องอดีตย้อนกลับไปจนถึงสมัยศรีเทพโบราณ เอาแค่ไม่กี่สิบปีผ่านมานี้ก็รู้แล้วว่า เพลงที่ฟัง ๆ กันอยู่นี้ต่างจากเพลงฮิตในอดีตแค่ไหนอย่างไร    

มรดกโลกกับ ‘ศิลปะข้ามพรมแดน’ ทำไมจะไปด้วยกันไม่ได้?  

วัฒนธรรมดนตรีอีสานในรุ่นปัจจุบันนี้ งานของอาจารย์พัฒนา กิติอาษา ก็เคยเสนอว่าจัดเป็น ‘ศิลปะข้ามพรมแดน’ คือไปไกลกว่ารัฐชาติไทยไปแล้ว กันตรึมเคยมีศิลปินนักร้องและวงดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับข้ามชาติมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เฉลิมพล มาลาคำ, คง มีชัย หรือร็อคคงคย, ดาร์กี้ กันตรึมร็อค เป็นต้น 

กรณีศิลปินอย่าง ‘น้ำผึ้ง เมืองสุรินทร์’ นอกจากมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในแถบอีสานใต้บ้านเฮาแล้ว ยังมีชื่อดังไกลเคยไปแสดงในต่างประเทศมามาก อาทิ พ.ศ. 2529 ร่วมแสดงดนตรีพื้นบ้านนานาชาติที่ประเทศเกาหลีใต้, พ.ศ. 2538 ร่วมการแสดงดนตรีพื้นบ้านที่ สปป.ลาว, พ.ศ. 2543 ร่วมการแสดงที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน, พ.ศ. 2544 ร่วมการแสดงพื้นบ้านที่สหรัฐอเมริกา เป็นเวลากว่า 33 วัน  

‘กันตรึม’ กับ ‘มรดกโลกศรีเทพ’ ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้

ภาพจาก ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น

กลายเป็นว่าดนตรีที่ได้รับเกียรติจากต่างประเทศให้ร่วมแสดงด้วยในงานสำคัญระดับนานาชาติที่จัดขึ้นในต่างประเทศ ในประเทศอันเป็นถิ่นกำเนิดของตนเอง แม้แต่สถานที่เมืองโบราณที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกลับมาถูกกีดกัน จะโทษแต่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพก็กระไรอยู่ ในเมื่อเป็นประเทศที่ชนชั้นนำคลั่งไคล้ใหลหลงและยกย่องแต่วัฒนธรรมไทยกระแสหลัก  

อุปสรรคไม่ได้มาจากประชาชน มาจากองค์ความรู้คับแคบและตื้นเขิน ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมที่มีลักษณะหลากชาติหลายพันธุ์ อันที่จริงปัญหาลักษณะนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะกับศรีเทพ เมืองโบราณอื่น ๆ ก็มีปัญหาให้เห็นมาแล้วนักต่อนัก  

อย่างช่วงที่ผู้เขียนยังสอนหนังสืออยู่ที่อยุธยา ก็เคยมีเรื่องที่ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านจะห้ามไม่ให้มีโรตีสายไหม หรืออย่างกรณีที่วัดเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งประกาศจะรื้อสุสานจีนเอาไปทำลานจอดรถ โดยที่การกระทำทั้งสองกรณีนี้มีการอ้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง  

เนื่องจากว่าโรตีสายไหมเป็นของใหม่ เพิ่งทำขายกันเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ ไม่ได้เป็นของมีอายุเก่าย้อนไปจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องชี้แจงบอกกล่าวว่า จริงอยู่โรตีสายไหมนี้เป็นของใหม่ ไม่เกี่ยวไม่ได้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรียังไม่แตก แต่นี่คือการทำขนมหาเลี้ยงชีพของคนมุสลิมในอยุธยา ถามว่าคนมุสลิมในอยุธยามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็มีมาตั้งรกรากอยู่อาศัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเมืองอยุธยามาตั้งแต่โน่นครั้งบ้านเมืองอยุธยายังดีอยู่นั่นแหละ  

เพียงแต่ว่าการทำมาหาเลี้ยงชีพของคนก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จะให้มาต่อเรือ ฟั่นเชือก ทำกะลามะพร้าว อยู่เหมือนบรรพชนรุ่นกรุงศรี ก็อดตายไม่มีกินกันพอดี เขาก็ต้องเปลี่ยนวิถีการยังชีพเป็นเรื่องปกติ โรตีสายไหมที่เป็นของกินประดิษฐ์ขึ้นมาจากชุมชนมุสลิมอยุธยา ก็จึงเป็นของเกี่ยวเนื่องกับอยุธยาได้ และ ‘ประวัติศาสตร์อยุธยา’ ก็ไม่ควรมีแค่ ‘ประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา’ มันยังมีช่วงเวลายุคสมัยหลังจากนั้นมาอีก เช่น มีอยุธยาสมัยธนบุรี, อยุธยาสมัยต้นรัตนโกสินทร์, อยุธยาหลัง 2475, อยุธยาหลัง 2500 เป็นต้น  

กรณีสุสานจีนหน้าถนนตรงข้ามวัดพนัญเชิงก็เช่นกัน เมื่อขึ้นป้ายประกาศให้ญาติมาขุดเอากระดูกออกไปเพื่อที่ทางวัดจะได้จัดทำเป็นลานจอดรถเพื่อบริการนักท่องเที่ยว ก็มีเหตุผลซัพพอร์ตอยู่ว่าไม่ใช่สุสานเก่าแก่ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสุสานที่เพิ่งมีเมื่อปลายทศวรรษ 2490  

แต่คำถามก็คือคนจีนที่ถูกนำร่างมาฝังไว้ ณ ที่แห่งนั้น เป็นคนจีนจากไหน ก็คนจีนในอยุธยา ถามว่าจีนอยุธยาสืบรากมาจากไหน ก็ย้อนกลับไปถึงกรุงศรีอยุธยา บางท่าน เช่น อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ในผลงานเล่ม ‘อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง’ เสนอด้วยซ้ำไปว่า มีชุมชนจีนอยู่ในบริเวณปากน้ำแม่เบี้ยมาตั้งแต่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 1893  

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็แล้วทำไมคนจีนจะไม่มีสิทธิฝังร่างบรรพชนอยู่ในสถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของพระนครศรีอยุธยาด้วยล่ะ? จะไปติดแค่ว่าเป็นสุสานใหม่ไม่ใช่สุสานเก่า หัวข้อทำนองนี้หากใช้กับโบราณวัตถุหรือโบราณสถานอื่นใด ก็ไม่มีปัญหาหรอก เช่นจะไปติติงว่าพระพุทธรูปองค์นั้นองค์นี้เป็นของทำใหม่ ไม่ใช่ของเก่าโบราณ ตามเหตุผลและหลักฐาน 1 2 3 4 ฯลฯ ย่อมทำได้ แต่กับ ‘คน’ ทำแบบนั้นไม่ได้  

คนก็คือ ‘คน’ จะใหม่ จะเก่า มาจากไหน ก็คือ ‘คน’ !    

‘คนศรีเทพ’ (รุ่นปัจจุบัน) กับ ‘คนอีสาน’ ใช่อื่นไกล   

เมืองศรีเทพโบราณนั้นถึงแม้จะมีอีกกระแสหนึ่งว่าไม่เคยร้างไป ผู้คนเพียงแค่อพยพย้ายถิ่นไปบริเวณใกล้เคียงอย่างที่วิเชียรบุรีและชัยบาดาลเท่านั้น ไม่เหมือนอย่างที่คนรุ่นสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เชื่อตามตำนานว่าร้างไปเพราะโรคระบาดร้ายแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่บริเวณเมืองศรีเทพโบราณก็เกิดสภาพผู้คนเบาบางลงกว่าในรุ่นก่อนอยุธยาจริงนั่นแหละ ความสำคัญของย่านศรีเทพในรุ่นอยุธยาเป็นลำดับมานั้นเป็น ‘เมืองศาสนา’ และ ‘แหล่งพิธีกรรม’

แต่ในรุ่นหลังจากที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยแรก (พ.ศ. 2481 - 2487) ได้มีนโยบายปฏิรูปที่ดินตั้งพัฒนานิคม กรมประชาสงเคราะห์ และต่อมาที่มีผลอย่างมากคือนโยบายย้ายเมืองหลวงมาที่เพชรบูรณ์ ถึงแม้ว่านโยบายหลังนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็ส่งผลทำให้เกิดการพัฒนาชุมชนเมืองและการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมในย่านลุ่มแม่น้ำป่าสักค่อนข้างมาก ยิ่งเมื่อมีการตัดถนนเชื่อมต่อระหว่างเพชรบูรณ์กับสระบุรีที่ อ.เสาไห้ แล้ว ก็ยิ่งทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานของผู้คนเข้ามาใหม่ในพื้นที่มาก  

ผู้คนที่อพยพเข้ามาใหม่ระลอกนี้ซึ่งมีผลต่อการกลับฟื้นเป็นย่านเกษตรกรรมสำคัญระดับประเทศก็คือ ‘คนอีสาน’ และเพราะคนอีสานเข้ามาตั้งรกรากหักร้างถางพงทำไร่ไถนากันมาก ศรีเทพก็เกิดความสำคัญจนตั้งเป็นอำเภอใหม่ขึ้นมาแยกจากอำเภอวิเชียรบุรีในเวลาต่อมา และคนศรีเทพที่ว่านี้ก็เป็นมนุษย์ยุคใหม่ที่รู้จักใช้รถ ใช้ถนน รู้จักไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่ใช้เรือ ใช้เกวียน ขี่ม้าส่งเมือง พิราบสื่อสาร ฯลฯ เหมือนในอดีต  

การบอกว่าวัฒนธรรมดนตรีของคนอีสานไม่ใช่วัฒนธรรมในพื้นที่ น่าจะเกิดจากการบอกโดยไม่ได้พิจารณาประเด็นสังคมวัฒนธรรมร่วมสมัย ที่คนศรีเทพไม่ใช่คนโบราณยุคทวารวดีมาตั้งนานนมแล้ว คนพื้นที่ศรีเทพในรุ่นปัจจุบันส่วนใหญ่คือ ‘คนอีสาน’ ที่อพยพเข้ามาบุกเบิกที่ดินทำกินในรอบไม่กี่สิบปีย้อนหลังมานี้  

ไม่เชื่อก็ลองเดินสำรวจไปพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ดู เว้าอีสานกันทั้งนั้น ไหนจะยุ้งฉาง พิธีกรรมวันสำคัญ ถ้าบอกว่าคืออีสาน ไม่ใช่ศรีเทพ ก็จะมีคนเชื่อ เพราะก็คนกลุ่มเดียวกัน วัฒนธรรมการกินอยู่ การใช้ชีวิตเหมือนกัน มีงานบุญงานบวชก็มีหมอลำ มีกันตรึม กันในท้องถิ่นตามปกติ ไปถามคนพื้นที่ เขาก็อาจจะอยากฟังอยากดูการแสดงหมอลำ กันตรึม มากกว่าออเคสตรา ก็ได้ แต่กลายเป็นว่าคนของทางการที่มาดูแลย่านโบราณในพื้นที่ไม่เข้าใจ และคงเห็นเป็นของประหลาดที่มีคนอีสานอยู่ในย่านเมืองศรีเทพที่ถูกยกให้เป็นของไทยแท้  

อันที่จริง ปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้มีเฉพาะที่ศรีเทพ อย่างที่สุโขทัย ศรีสัชนาลัย คนพื้นที่จริงเป็นคนลาวกันมาก เมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี, เมืองพระรถ จ.ชลบุรี, เมืองคูบัว จ.ราชบุรี, เมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี คนพื้นถิ่นในเมืองโบราณเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ไทย เป็นลาวกันซะเยอะ บ้างเป็นลาวที่สืบมาจากคนที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในสมัยธนบุรี บ้างเข้ามาสมัยรัชกาลที่ 3 บ้างเป็นลาวอีสานที่เพิ่งอพยพเข้ามาตั้งรกรากทำมาหาเลี้ยงชีพตอนหลัง อยุธยากับกรุงเทพฯ ยิ่งแล้วใหญ่ มีทั้งลาว ขะแมร์ จีน มอญ แขก ฯลฯ ซึ่งเป็นมรดกอย่างหนึ่งของการเป็น ‘สังคมเมืองท่านานาชาติ’ ในอดีต     

กล่าวโดยสรุป 

‘มรดกโลก’ ไม่ควรถูกใช้ไปในทางชาตินิยม เพราะมรดกโลกเป็นของร่วมมนุษยชาติ ดังนั้นจึงไม่ควรมีอคติกีดกันทางชาติพันธุ์ ‘กันตรึม’ ไม่ใช่การละเล่นดนตรีของขะแมร์ในฝั่งกัมพูชา เป็นของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายขะแมร์ - กูย ที่อีสานใต้บ้านเฮานี้เองแหละ วัฒนธรรมการละเล่นของชาวอีสานปัจจุบันมีพลวัตที่เป็นสากลค่อนข้าง จึงเหมาะที่จะเล่นในพื้นที่แหล่งมรดกโลกทุกแห่งทั้งในและต่างประเทศ  

ปกติดนตรีก็เป็นเรื่องข้ามพรมแดนอยู่แล้ว ไม่ใช่แต่เฉพาะกันตรึมหรือดนตรีของชาวอีสาน ดนตรีของผู้คนในภูมิภาคอื่น ๆ ก็สามารถนำมาแสดงในพื้นที่เมืองโบราณได้ แค่ต้องระวังไม่ให้แรงสั่นสะเทือนจากเครื่องเสียงไปมีผลกับโบราณสถานเท่านั้น ก็เป็นอันใช้ได้แล้ว      

การแสดงดนตรีโดยเฉพาะการร่ายรำบางอย่าง เช่น รำทวารวดี โขน ล้วนแต่เป็นของประดิษฐ์ใหม่และไม่ไทยทั้งสิ้น แต่เมื่อมีการจัดงานเฉลิมฉลองอะไรกันขึ้นก็เป็นหน่วยงานเกี่ยวข้องจัดรำ จัดโขน กันตลอด แม้แต่ตราสัญลักษณ์ที่เป็นพระพิฆเนศประทับนั่งบนบัลลังก์หัวกะโหลกนั้นน่ะ รัชกาลที่ 5 ก็เพิ่งจะได้มาเมื่อคราวเสด็จประพาสชวา ไม่ใช่ของดั้งเดิมในสยามประเทศไทยแต่อย่างใดเลย ก็ยังใช้กันได้ไม่เห็นมีปัญหาอะไร  

ในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น ควรต้องเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตคนมาทำงานบริหารด้านนี้ให้เข้าใจวัฒนธรรมสังคมร่วมสมัยด้วย ไม่ใช่เอาแค่พวกดูของโบราณเป็นมาทำหน้าที่ เพราะการจำแนกประเภทของเก่า - ของใหม่แบบองค์ความรู้เดิมนั้นใช้ได้แต่กับศิลปวัตถุและโบราณสถาน เอามาใช้กับวัฒนธรรมผู้คนในสังคมที่มีพลวัตความเปลี่ยนแปลงร่วมสมัยค่อนข้างมากไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็ควรมีมุมเข้าใจความหลากหลายบ้าง ไม่ใช่เอะอะอะไรก็พูดถึง “ไทยแท้แต่โบราณ”  

 

เรื่อง : กำพล จำปาพันธ์

ภาพ : Nation Photo

อ้างอิง :
    กำพล จำปาพันธ์. “ถนนโรตีสายไหมกับอัตลักษณ์มุสลิมอยุธยา” มติชนออนไลน์. (เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559). 
   กำพล จำปาพันธ์. “ปริศนาเมืองศรีเทพ (ตอน 1) ความสำคัญของเมืองศรีเทพในประวัติศาสตร์ไทย-สากล” The People.co (เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566). 
    กำพล จำปาพันธ์. “ปริศนาเมืองศรีเทพ (ตอน 2) อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่เป็นเมืองเก่าร้างไปเมื่อไหร่ อย่างไร?” The People.co (เผยแพร่เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2566). 
   กำพล จำปาพันธ์. “ไขปริศนาเมืองศรีเทพ: ศรีเทพหลังพุทธศตวรรษที่ 19 ไม่ได้หายไปไหน? ‘วิเชียรบุรี’ นครหลวงไก่ย่างรสเด็ด คือ ‘ทายาทสายตรง’ ของมรดกโลกศรีเทพ” ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 45 ฉบับที่ 3 (มกราคม 2567). 
   กำพล จำปาพันธ์. “สุสานจีนวัดพนัญเชิง: ประวัติศาสตร์โบราณคดีบนวิถีความตายและการดำรงอยู่.” วารสารเมืองโบราณ. ปีที่ 40, ฉบับที่ 2 (เมษายน - มิถุนายน 2557). 
    ชนัญ วงษ์วิภาค. มานุษยวิทยาประยุกต์ในศรีเทพและศรีสัชนาลัย. กรุงเทพฯ: ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2529. 
    ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2542. 
    ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. นิทานโบราณคดี. กรุงเทพฯ: ไทยควอลิตี้บุ๊คส์, 2559. 
    ธิดา สาระยา. ‘ศรีเทพคือศรีจนาศะ’ ใน สุจิตต์ วงษ์เทศ (บก.). ศรีจนาศะ รัฐอิสระที่ราบสูง. กรุงเทพฯ: มติชน, 2545.  
    พัฒนา กิติอาษา. สู่วิถีอีสานใหม่. กรุงเทพฯ: วิภาษา, 2557. 
    ไม่ระบุนามผู้เขียน.
‘เพลงพื้นบ้านกันตรึม’ ศูนย์ข้อมูลกลางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. (เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566).  
    วิศัลย์ โฆษิตานนท์.
“ยก 4 เหตุผล ไม่เห็นด้วย อุทยานศรีเทพปฏิเสธ แสดงดนตรี มูลนิธิสุกรี” มติชนออนไลน์ (เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2567). 
    อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ. จารึกที่เมืองศรีเทพ. กรุงเทพฯ: ฟิวเจอร์เพลส, 2534. 
    เอกสารนำเสนอเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพ. กรุงเทพฯ: สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกรมศิลปากร, 2564.