15 ต.ค. 2568 | 16:08 น.
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงทั่วโลก ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ จากปัจจัยทั้งสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนในเขตร้อนชื้น และความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติที่ยังมีไม่มาก จึงทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะยังไม่มีภัยพิบัติจากธรรมชาติครั้งใหญ่ แต่ประเทศไทยก็ยังประสบกับความร้อนสูง ภูมิอากาศแปรปรวน ฝุ่น PM 2.5 น้ำท่วม โรคและแมลงศัตรูพืช ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ผลผลิตทางการเกษตร และลุกลามสู่วิถีชีวิตของผู้คนโดยไม่รู้ตัว
นอกเหนือจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมรุนแรงขึ้น คืออุตสาหกรรมต่างๆ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และย้อนกลับมาทำลายวิถีชีวิตมนุษย์ หนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมปศุสัตว์ขนาดใหญ่
“โปรตีนจากพืช” วิถีดั้งเดิมเพื่อรับมือโลกร้อน
เมื่อกล่าวถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คนทั่วไปมักจะนึกถึงปัจจัยอย่างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น พลังงานฟอสซิล ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ประมาณ 70% ในสัดส่วนของโลก ขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับที่ 20 ของโลก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรามักจะมองข้ามไป คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้เกิดจากสัดส่วนของภาคพลังงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีระบบเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะการปลูกพืชเพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าสัดส่วนใหญ่ของการผลิตอาหารมักจะเป็นการปลูกพืชเพื่อให้เป็นอาหารสัตว์ และเราก็บริโภคเนื้อสัตว์เหล่านั้นอีกทอดหนึ่ง โดยไม่เพียงแต่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น การปลูกพืชเพื่อเลี้ยงสัตว์ยังใช้ทั้งพื้นที่และทรัพยากรมากมายตลอดห่วงโซ่การผลิต
กฤษฎา บุญชัย ผู้ประสานงานสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และ Thai Climate Justice for all กล่าวว่า 1 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจากระบบอาหาร และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในส่วนที่มาจากอาหารมาจากการผลิตโปรตีนสัตว์ ก็ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก
นอกจากนี้ กฤษฎายังกล่าวอีกว่า อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทย นั่นคือ PM 2.5 ซึ่งตัวการหนึ่งคือการเผาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ท่ามกลางภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง แนวทางหนึ่งที่กฤษฎามองว่าจะช่วยชะลอผลกระทบต่างๆ และอาจนำไปสู่การฟื้นฟูโลกได้ คือการย้อนกลับไปสู่วิถีดั้งเดิมของมนุษย์ อย่างการบริโภคโปรตีนจากพืช หรือแพลนต์เบสโปรตีน (Plant-based protein)
“ ถ้าเป็นโปรตีนจากพืช พืชใช้ที่ดินน้อยกว่ามาก เพราะไม่ต้องปลูกหลายขั้นใช่ไหมครับ ปลูกถั่วเราก็ได้กินถั่ว ปลูกพืชผักเราก็ได้กินผัก ไม่ต้องเอาถั่วหรือพืชผักไปให้หมูให้ไก่กินอีกที ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรอีกเยอะ”
“จะเห็นได้ว่า นอกจากลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรายังประหยัดพื้นที่ในการปลูกพืชได้เยอะมาก มีที่ให้เกษตรกร ให้ประชาชนมีที่ทำกินได้มากขึ้น จะประหยัดได้ขนาดไหนครับ เท่ากับจังหวัดนครราชสีมาทั้งจังหวัด ให้ประชาชนได้มีพื้นที่ให้กับความมั่นคงทางอาหาร ที่ดินทำกิน และมีการปรับตัวกับภูมิอากาศได้อย่างมั่นคง”
“ลอสแองเจลิส นิวยอร์ก มีนโยบายจัดซื้ออาหารพืชเพื่อลดคาร์บอน ภาคประชาสังคมในอังกฤษก็รณรงค์เปิดสภาท้องถิ่นผลักดันนโยบายเรื่องแพลนต์เบส เยอรมนี ฝรั่งเศส ก็มีนโยบายที่ชัดเจน” กฤษฎากล่าว
“เกษตรยั่งยืน” แนวทางเปลี่ยนผ่านสู่โปรตีนจากพืช
ขณะที่กฤษฎามองการเปลี่ยนผ่านจากโปรตีนจากเนื้อสัตว์สู่โปรตีนจากพืชเป็นหนึ่งแนวทางในการรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ พลูเพ็ชร สีเหลืองอ่อน ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.ฉะเชิงเทรา มองว่าโปรตีนจากพืชยังเป็นทางออกสำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจของเกษตรกรไทย เนื่องจากในอดีต ระบบการผลิตขนาดใหญ่บีบให้เกษตรกรต้องพึ่งพาปัจจัยจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เทคโนโลยีการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก ทว่าสิ่งที่ตามมาคือต้นทุนที่สูง และนำไปสู่ภาระหนี้สิน ตามด้วยการสูญเสียที่ดินทำกิน
“ก่อนหน้านี้เราลงทุนสูง ขายได้ราคาต่ำ แล้วก็ก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนทั้งหมด แต่พอเราหันมาปรับวิถีเกษตรกรรมทางเลือกหรือเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจครัวเรือนและระบบนิเวศ ระบบเกษตรแบบยั่งยืน และฟื้นฟูสุขภาพด้วย อันนี้พิสูจน์ด้วยวิถีการปรับเปลี่ยนของเกษตรกรเอง”
ในฐานะเกษตรกรที่ทำการเกษตรบนวิถีแห่งความยั่งยืน พลูเพ็ชรมองว่าระบบเกษตรยั่งยืนความสอดคล้องกับแนวทางการเปลี่ยนผ่านโปรตีน เพราะไม่เพียงแต่การหันมาปลูกพืชโปรตีน เช่น พืชตระกูลถั่ว เพื่อบริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นวิถีการเกษตรที่ช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย
“ระบบการผลิตแบบนี้จะมีความยืดหยุ่น คือเกษตรกรกังวลมากเกี่ยวกับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าเราทำเกษตรยั่งยืนในระบบที่ฟื้นฟูระบบนิเวศ ปลูกพืชผักหลากหลาย เลี้ยงสัตว์ในระบบ และอาศัยลักษณะธรรมชาติดั้งเดิมเป็นตัวตั้งในการผลิต ก็จะทำให้เกิดความยืดหยุ่น สามารถลดความเสี่ยงในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อม จะเกิดน้ำท่วม ฝนแล้ง อะไรก็ตาม ถ้ามีความหลากหลายหรือสอดคล้องกับระบบนิเวศ มันก็จะได้รับผลกระทบน้อยลง”
นอกจากนี้ พลูเพ็ชรยังเสริมอีกว่า ระบบเกษตรยั่งยืนเป็นการปลูกพืชที่อาศัยระบบนิเวศดั้งเดิม ซึ่งเป็นการปลูกพืชครั้งเดียวแต่ให้ผลผลิตนาน การดูแลไม่ยุ่งยาก ทำให้ประหยัดต้นทุนและแรงงาน ในขณะที่การปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมต้องอาศัยต้นทุนในการผลิตมากกว่าและบ่อยครั้งกว่า อีกทั้งยังไม่ต้องใช้วิธีการเผา จึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษ
“สรุปได้ว่า ถ้าเราจะพูดถึงสมดุลโปรตีน นั่นหมายความว่ามันเป็นเรื่องเดียวกับสมดุลสิ่งแวดล้อม คือหันมาให้ความสำคัญกับการบริโภคที่หลากหลาย ตอนหลังเราก็เริ่มรณรงค์ให้กินพืชผักให้มากขึ้น กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลงในจานข้าว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านโปรตีนจำเป็นต้องอาศัยพลังของผู้บริโภคในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง” พลูเพ็ชรกล่าว
บริโภคโปรตีนจากพืชอย่างไรให้ดีต่อร่างกายและดีต่อโลก
แต่ไหนแต่ไรมา เมื่อพูดถึงการบริโภคโปรตีน เรามักจะถูกปลูกฝังว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี ทั้งยังเต็มไปด้วยธาตุเหล็ก และยังเป็นโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้มากถึง 90 - 100% ขณะที่โปรตีนจากพืชมักจะถูกมองว่าเป็นโปรตีนที่ร่างกายดูดซึมได้ไม่ดีเท่าเนื้อสัตว์ รวมทั้งหลายคนยังมีทัศนคติที่ว่าการบริโภคเนื้อสัตว์นั้นคุ้มค่ากว่าบริโภคพืชผัก จึงทำให้โปรตีนจากพืชไม่ได้รับความนิยมมากนัก
“หลักการของ Planetary Health Diet ก็คือกินอาหารที่หลากหลาย ทุกคนคงเคยได้ยินเลข 2:1:1 ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน อันนี้คือจานสุขภาพดี แต่ Eat Lancet เขาพัฒนาไปมากกว่านั้น ก็คือว่า ในผักครึ่งจานควรจะเป็นผักที่หลากหลาย และควรจะเป็นผักท้องถิ่น อีกหนึ่งส่วนเป็นธัญพืช ก็เน้นความหลากหลายของท้องถิ่น ซึ่งประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้มากนัก เพราะว่าเรามีแหล่งธัญพืชค่อนข้างมาก”
“แต่ปัญหาต่อมาคือแหล่งของโปรตีน ใน Eat Lancet บอกว่าควรกินโปรตีนจากสัตว์ต่อโปรตีนจากพืชอยู่ที่ประมาณ 50:50 คือโปรตีนจากสัตว์ 50% โปรตีนจากพืช 50% หรือขยับเพิ่มขึ้นไปจนถึงโปรตีนจากสัตว์เพียง 40% และโปรตีนจากพืช 60% ได้ อันนี้เป็นตัวเลขการคำนวณความต้องการโปรตีนที่ช่วยให้ทุกท่านได้โปรตีนที่เพียงพอต่อสุขภาพ ไม่ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร แล้วก็ไม่ได้ผลเสียจากการกินโปรตีนจากพืชมากเกินไป ผมมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่เหมาะสมสำหรับการบริโภคโปรตีนในปัจจุบัน”
สำหรับสมิทธิ การบริโภคโปรตีนจากพืชไม่จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบราคาแพงจากต่างประเทศ แต่สามารถบริโภคถั่วเปลือกแห้ง ถั่วเปลือกแข็ง เต้าหู้ เมล็ดธัญพืช ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในประเทศไทย และสามารถให้โปรตีนได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
“ผมมองว่าอาหารที่ดีควรจะต้องส่งเสริมความยั่งยืนของสุขภาพ คือหนึ่ง คุณกินอาหารแบบนั้นแล้ว ในระยะยาวคุณไม่เป็นโรค ทั้งโรคขาดสารอาหารและโรคจากการได้รับสารอาหารมากเกินไป ขณะที่ทางออกที่สำคัญที่จะส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารได้ มันต้องมีสมดุลสัดส่วนของอาหารที่ดี โปรตีนจากสัตว์ประมาณ 50% โปรตีนจากพืชประมาณ 50 - 60% จะเป็นจุดคุ้มทุนในแง่ของการส่งเสริมเชิงสุขภาพ”
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักโภชนาการ สมิทธิมองว่าการเปลี่ยนผ่านสู่การบริโภคโปรตีนจากพืชยังคงมีความท้าทายให้ขบคิดกันต่อ นั่นคือประเด็นเรื่องราคาวัตถุดิบที่อาจสูงขึ้นเมื่อความนิยมในการบริโภคมีมากขึ้น เช่นกรณีศึกษาเกี่ยวกับผักวูลฟ์เฟีย ที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี เต็มไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ จนได้รับการผลักดันให้เป็นอาหารแห่งอนาคต แต่ก็ทำให้ราคาของผักชนิดนี้พุ่งขึ้น 3 - 4 เท่าทีเดียว ซึ่งสมิทธิให้ความเห็นต่อกรณีนี้ว่า
“แน่นอนว่ามันขายได้ในเชิงการตลาด เชิงการตลาดทำสำเร็จ เชิงนวัตกรรม ทำสำเร็จ อาหารแห่งอนาคต ทำสำเร็จ คำถามของผมก็คือว่า มันจะช่วยแก้ปัญหาประชาชนเข้าถึงสารอาหารจริงไหม ถ้าเราต้องการให้ผู้ที่มีปัญหาการเข้าถึงสารอาหารสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีได้ในราคาที่ถูก การไปเล่นกับเทรนด์การตลาดหรืออาหารแห่งอนาคต คุณควรเอาไปขายคนที่เขาซื้อได้มากกว่า”
“เพราะฉะนั้น มันต้องบาลานซ์ให้ดีว่าเรากำลังจะแก้ปัญหาเรื่องอะไร กับใคร เราจะผลักดันอาหารแห่งอนาคตหรืออาหารนวัตกรรม ผมไม่ขัด เพราะมันทำประโยชน์ ทำรายได้ได้ หรือว่าคุณจะไปกระแสแพลนต์เบส หรือผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปที่ยังคงดีต่อสุขภาพอยู่บ้าง อันนี้โอเค ในขณะเดียวกัน เราก็ยังต้องบาลานซ์การแก้ปัญหาของการเข้าถึงสารอาหารของกลุ่มประชาชนทั่วไปด้วยในเวลาเดียวกัน” สมิทธิกล่าว
โอกาสในการเปลี่ยนผ่านสู่โปรตีนจากพืช
การเปลี่ยนผ่านสู่โปรตีนจากพืชไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ให้กับปัจเจกบุคคล ทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทางด้านธุรกิจที่น่าสนใจด้วย โดยล่าสุด องค์กรสิ่งแวดล้อม Madre Brava ซึ่งเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องการเปลี่ยนผ่านการบริโภคจากโปรตีนจากสัตว์สู่โปรตีนจากพืช ได้วิเคราะห์ข้อมูลจาก Euromonitor International และพบว่าปัจจุบัน ตลาดของเนื้อสัตว์และอาหารทะเลแบบแพลนต์เบส หรือการใช้วัตถุดิบจากพืชหรือสาหร่ายมาผลิตอาหารให้มีรสสัมผัสและรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์และอาหารทะเล กำลังเติบโตขึ้น
วิชญะภัทร์ ภิรมย์ศานต์ ผู้อำนวยการประเทศไทย องค์กรสิ่งแวดล้อม Madre Brava อธิบายว่า “ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดนี้เติบโตขึ้น 30% และทาง Euromonitor ก็ได้คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดนี้ก็จะเติบโตพุ่งไปอีก 43% Madre Brava จึงมองว่านี่เป็นโอกาสของผู้ผลิตเนื้อสัตว์รายใหญ่ที่จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ติดอยู่กับการผลิตโปรตีนที่มาจากเนื้อสัตว์แบบดั้งเดิมแล้ว แต่เป็นโอกาสให้ขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์จากโปรตีนจากพืชด้วย”
วิชญะภัทร์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ในทวีปยุโรปเริ่มเห็นความสำคัญของโปรตีนแพลนต์เบส เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบด้านสุขภาพจากการบริโภคเนื้อสัตว์ และอีกส่วนหนึ่งก็มาจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่ประกาศเจตนารมณ์ว่าจะเพิ่มอัตราส่วนในการจำหน่ายโปรตีนจากพืชมากขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น
“ส่วนหนึ่งที่เขาประกาศเจตนารมณ์นี้ก็เพราะว่าเขาอยากจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่มาจากผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด เขามีเจตนารมณ์อย่างนี้ค่ะ ผู้บริโภคในยุโรปก็สนใจ ประเทศไทยก็ส่งเนื้อไก่ไปยุโรปอยู่แล้ว มันมีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว ก็สามารถส่งออกโปรตีนจากพืชไปยุโรปแทนได้ไหม ตลาดนั้นกำลังเติบโต น่าจะฉวยเอาไว้ เพื่อที่จะสร้างกำไร และช่วยประเทศไทยบรรลุเป้าหมายเรื่องสภาพภูมิอากาศด้วย” วิชญะภัทร์กล่าว
ก่อนหน้านี้ Madre Brava ได้ร่วมมือกับ Asia Research Engagement ทำการวิจัยเพื่อศึกษาถึงประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านด้านโปรตีน โดยผลการศึกษาพบว่า หากประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านด้านโปรตีน ให้มีโปรตีนจากพืชมาทดแทนโปรตีนจากสัตว์ ในอัตรา 50% ประเทศไทยอาจจะมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 1.3 ล้านล้านบาทในปี 2050 นอกจากนี้ก็ยังจะสามารถสร้างงาน สร้างตำแหน่งงานเพิ่มในสายงานการผลิตโปรตีนจากพืช การปลูกพืชโปรตีนสูง ถึง 1.15 ล้านตำแหน่ง ส่วนในด้านสิ่งแวดล้อม จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 35.5 ล้านเมตริกตัน ภายในปี 2050 แล้วก็ประหยัดพื้นที่ปลูกพืชเพื่อนำมาเลี้ยงสัตว์ประมาณ 21,000 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นขนาดพื้นที่เทียบเท่าจังหวัดนครราชสีมา
เมื่ออาหารในจานของเราทุกคนไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสุขภาพของโลกด้วย การเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี และวิถีชีวิตที่ยั่งยืน จึงน่าจะเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากจานอาหารของเราเอง บวกกับความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เชื่อแน่ว่าโอกาสในการสร้างสรรค์โลกที่ดีกว่าคงไม่เกินความจริงอย่างแน่นอน