10 ส.ค. 2568 | 17:00 น.
KEY
POINTS
เสียงไวโอลินขับขานกลางจตุรัสเมืองโอฟรูช ประเทศยูเครน สถานที่ซึ่งคราคร่ำไปด้วยขอทานมานั่งรวมตัวกัน เพื่อขอเศษเงินประทังชีวิตไปวัน ๆ แต่ทันทีที่เสียงไวโอลินของเด็กชายดังขึ้น ราวกับเวลาหยุดนิ่ง ทุกคนต่างถูกสะกดด้วยเสียงอันไพเราะที่หาได้ยากยิ่งท่ามกลางสงครามโลกอันโหดร้าย
ใช่, พวกเขากำลังถูกตามล่าและทำลาย เพียงเพราะไม่ได้มีสายเลือดอันบริสุทธิ์ อย่างที่ผู้นำเผด็จการ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ วาดหวังไว้ และนั่นนำมาสู่ความทุกข์ระทมครั้งใหญ่ในแผ่นดินยุโรป และเด็กชายกับไวโอลินคนนี้เองก็ตกเป็นเหยื่อของความโหดร้ายนี้เช่นกัน
‘มอร์เดไค ชไลน์’ (Motele Schlein) คือชื่อของเด็กชายคนนั้น เขาอายุเพียง 12 ปี แต่ฝีมือการเล่นไวโอลินไม่ธรรมดา และนั่นทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากทหารนาซีให้มาเล่นดนตรีในร้านอาหารที่นายทหารนาซีมักไปสังสรรค์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าชไลน์ คือ ‘ยิว’ และเขากำลังทำภารกิจครั้งใหญ่อย่างลับ ๆ ภารกิจที่จะทำให้ทหารนาซีหายไปจากเมืองนี้ตลอดกาล
นี่คือเรื่องราวของวีรบุรุษวัย 12 ปีที่ชื่อของเขาไม่ได้ถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์มากนัก แต่เพราะ ‘เสียงไวโอลิน’ ของเขานำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ชุมชนชาวยิวมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ แม้จะเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1930 เบลารุสเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวยิวขนาดใหญ่ ถึงขนาดภาษายิดดิชถูกบรรจุไว้เป็นภาษาชนกลุ่มน้อยอย่างเป็นทางการอีกด้วย และเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 1941 กองทัพนาซีบุกเบลารุสและเริ่มจับกุมชาวยิว พวกเขาเริ่มค้นไปทั่วทั้งเมือง จนมาถึงหมู่บ้านคาร์มาโนฟกา (Karmanovka) หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีชาวยิวเพียงไม่กี่ครอบครัวอาศัยอยู่ หนึ่งในนั้นคือครอบครัวชไลน์และเกอร์นสไตน์
ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มชี้เป้าให้พวกเขารู้ว่าครอบครัวยิวอยู่ที่บ้านหลังไหน และนั่นทำให้พวกนาซีบุกเข้าไปในบ้านของครอบครัวชไลน์และจับกุมทุกคนที่อยู่ในบ้าน ทั้งพ่อ แม่ และบาเชียเล่ห์ น้องสาวของเขา ถูกส่งไปยังค่ายเอาช์วิทซ์ทันที
แต่ในตอนนั้น มอร์เดไคหลบอยู่ในบ้านของครอบครัวเกอร์นสไตน์ ซ่อนตัวอยู่ใต้หลังคาอย่างหวาดกลัว เสียงฝีเท้าทหารนาซีใกล้เข้ามาทุกขณะ ทันใดนั้น ปัง! ปืนนัดแรกแรกขึ้น และนัดสองและสามไล่ตามมา เขาได้ยินเสียงนาซีสังหารทุกคนในบ้านด้านล่าง เสียงกรีดร้องของพวกเขายังดังก้องอยู่ในความทรงจำของเด็กชาย ไม่ว่าจะพยายามข่มความกลัวเอาไว้แค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อกลางคืนมาเยือนเขาก็อดสะอื้นไห้ออกมาไม่ได้
หลังจากรวบรวมสติกลับมา มอร์เดไคค่อย ๆ ย่องออกจากบ้าน โดยพกเพียงไวโอลินคู่กายติดตัว และวิ่งสุดฝีเท้ามุ่งสู่ป่า ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังเท่าที่เด็กชายวัย 12 ปีคนหนึ่ง ที่เพิ่งผ่านเหตุสะเทือนขวัญคนหนึ่งเท่าที่จะทำได้
อันที่จริง มอร์เดไคไม่ได้เป็นเด็กชายชาวยิวคนเดียวที่หนีเข้าป่า ยังมีชาวยิวอักหลายร้อยชีวิตรวมกลุ่มอย่างลับ ๆ เป็นกองกำลังใต้ดิน (partisan) ในป่าเบลารุส ทำภารกิจต่อต้านนาซีและสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่ไม่ห่าง
หนึ่งในผู้นำของกลุ่มต่อต้านเหล่านี้คือ ‘โมเช กิลเดินมัน’ (Moshe Gildenman) ก่อนสงคราม เขากับลูกชาย ‘ซิมชา’ (Simcha) เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชาวยิว 6,000 คนในเมืองโคเร็ตส์ ประเทศยูเครน เมื่อกองทัพนาซีเข้ายึดเมือง พวกเขาสร้างเขตกักกันล้อมรอบด้วยลวดหนาม ผู้คนจำนวนมากล้มตายด้วยโรคระบาด ส่วนอีก 2,000 คนถูกส่งไปค่ายมรณะ และอีกหลายร้อยถูกสังหารหมู่
โมเชและซิมชาตระหนักว่า หากอยู่ต่อจะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน พวกเขาจึงวางแผนหลบหนีอย่างกล้าหาญ ในปี 1942 เขานำชาวยิว 16 คนหลบหนีออกจากเขตกักกัน ทั้งหมดมีเพียงปืนสองกระบอกกับมีดแล่เนื้อหนึ่งเล่มเพื่อป้องกันตัว
พวกเขาวิ่งหนีเข้าป่าและข้ามชายแดนสู่เบลารุส ต่อมาได้โจมตีกลุ่มตำรวจนาซีกลุ่มเล็ก ๆ และยึดอาวุธมาได้ ทั้งปืนไรเฟิล 6 กระบอก ปืนพก 2 กระบอก และระเบิดมือจำนวนหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็ใช้กำลังอาวุธเหล่านี้โจมตีจุดสกัดของนาซีในพื้นที่ สะสมอาวุธเพิ่มเติม จนข่าวแพร่สะพัดไปว่ามีกลุ่มนักสู้ชาวยิวกล้าหาญในป่าใกล้ชายแดนยูเครน-เบลารุส ทำให้ชาวยิวที่หนีจากเงื้อมมือของนาซีเริ่มทยอยมาสมทบ กลุ่มของโมเชเป็นที่รู้จักในนาม ‘ดยาดย่า มิชา’ (Dyadya Misha) หรือลุงมิชา และเขาได้ร่วมกับลูกทีมในการโจมตีจุดยุทธศาสตร์ของนาซีและพันธมิตรยูเครน
มอร์เดไคเองก็ได้ยินเรื่องของลุงมิชามาเช่นกัน เขาพยายามหาทางเข้าร่วมกลุ่มต่อต้านนาซี จนได้รับการยอมรับให้เข้าร่วมกลุ่ม และในปี 1943 ได้มอบหมายภารกิจให้เขาออกไปช่วยเหลือกลุ่มพรรคพวก โดยให้เขาไปยังเมืองโอฟรูช ประเทศยูเครน ซึ่งมีกลุ่มขอทานจำนวนมากมาชุมนุมหน้าวิหารคริสต์ โมเชขอให้มอร์เดไคไปเล่นไวโอลินที่นั่นเพื่อขอทาน และใช้สถานที่นั้นเป็นจุดเฝ้าสังเกต
มอร์เดไคเริ่มเล่นเพลงพื้นบ้านยูเครนหน้าวิหาร แต่ภารกิจกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะถึงเขาจะอายุเพียง 12 ปี แต่ฝีมือการเล่นไวโอลินกลับก้าวล้ำเกินใคร จนทำให้ทั้งจตุรัสถูกสะกดอยู่ด้วยเสียงไวโอลินของเขา ผ่านไปไม่นาน ผู้คนจำนวนมากก็รุมล้อมเพื่อฟังเสียงดนตรี หนึ่งในนั้นคือนายทหารนาซี ซึ่งสั่งให้เขาไปเล่นที่ร้านอาหารท้องถิ่นยอดนิยมของเหล่าทหารและนายทหารนาซี
ส่วนพรสวรรค์ที่เขาได้รับมานั้น อันที่จริงต้องขอบคุณครอบครัวเกอร์นสไตน์ เพราะโดยพื้นฐานแล้วครอบครัวของเด็กชายคนนี้เป็นเพียงชาวนา ทำงานอยู่ในโรงสี เรียกได้ว่าไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากนัก เข้าขั้นยากจนข้นแค้นเลยก็ว่าได้ แต่โชคดีที่ครอบครัวเกอร์นสไตน์เป็นชาวยิวที่ร่ำรวยจากการขายน้ำตาลหัวบีท เขาเห็นมอร์เดไคมาตั้งแต่เด็กและรู้สึกถูกชะตา จึงขอรับเลี้ยงไว้เป็นลูกชายอีกหนึ่งคน มอร์เดชไย้ายไปอยู่กับครอบครัวเกอร์นสไตน์เมื่ออายุ 8 ขวบ เพื่อให้ลูกชายของเขาเอง ซึ่งเป็นนักไวโอลินสอนมอร์เดไคเล่นไวโอลิน
นั่นคือประวัติโดยย่นย่อของมอร์เดไค และที่มาของการเล่นไวโอลินที่เพราะพริ้งเกินกว่าวัย
ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมด เพราะมอร์เดชไต้องผ่านการคัดตัว เพราะร้านอาหารมีนักดนตรีประจำอยู่แล้ว ทันทีที่ถึงตาของมอร์เดไค นักเปียโนชราเริ่มบรรเลงเพลงที่ยากขึ้นหิ้งอย่าง
Minuet ของ ‘อิกนาซ แยน ปาเดเรฟสกี’ (Ignac Jan Paderewski) คีตกวีชื่อดังชาวโปแลนด์ยุค 1930 ขึ้นมา และสั่งให้เขาเล่น
ถึงจะเป็นบททดสอบสุดหิน แต่เด็กชายคนนี้ก็เล่นได้อย่างไร้ที่ติ และทันทีที่บรรเลงจบ เขาก็ได้รับข้อเสนอให้มาเป็นนักไวโอลินประจำร้าน ซึ่งถือเป็นโชคดีอย่างมากสำหรับพรรคพวกชาวยิวที่มี ‘สายลับเด็ก’ สามารถแฝงตัวเพื่อสอดแนมบทสนทนาของพวกนาซี ทว่า นี่ก็เป็นภารกิจที่เสี่ยงถึงตาย เพราะหากตัวตนชาวยิวของเขาถูกเปิดเผย เขาจะถูกทรมานและสังหารทันที และทั้งกลุ่มในป่าจะถูกกวาดล้างตามไปด้วย
แต่โชคดีที่หนุ่มน้อยคนนี้ไม่ได้มี ‘ความเป็นยิว’ ที่เด่นชัดมากนัก เพราะผมสีบรอนด์ของเขาทำให้เขาสามารถท่องไปมาทั่วเมืองแห่งนี้ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูก ‘กำจัด’ ลงวันไหน จนกว่าพวกเขาจะสืบสาวจนล่วงรู้ว่าเขาไม่ได้มีสายเลือดบริสุทธิ์
ทุกวัน มอร์เดไคออกจากป่าไปยังร้านพร้อมกล่องไวโอลิน วันหนึ่ง ระหว่างพัก เขาแอบลงไปในห้องเก็บของใต้ดินและสังเกตรอยร้าวลึกบริเวณฐานอาคาร เขาจึงรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้ากลุ่มต่อต้านรู้ และทั้งสองก็เริ่มวางแผนโจมตี
ตั้งแต่นั้น เด็กชายยังคงพกกล่องไวโอลินไปที่ร้านทุกวัน แต่ภายในไม่ได้มีไวโอลินอีกต่อไป เขาแอบบรรจุระเบิดไดนาไมต์เข้าไปแทน โดยมักจะแวะเข้าห้องเก็บของในช่วงต้นของกะงาน ทำทีว่าไปเอาไวโอลินจากจุดซ่อน และตอนจบงานก็จะซ่อนมันกลับไว้ตามเดิม
และหากใครพบไวโอลินโดยบังเอิญ เขาอาจถูกจับในทันที นี่คือภาระอันหนักหนาสำหรับเด็กวัย เพียง 12 ปี
แต่เขาทำได้สำเร็จ วันแล้ววันเล่า เขาขนระเบิด ซ่อนไว้ในร้าน และหยิบไวโอลินกลับมาเล่นโดยไม่มีใครสงสัย
หลังจากปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายเช่นนี้ถึง 6 ครั้ง มอร์เดไคสามารถลำเลียงวัตถุระเบิดรวมได้ 18 กิโลกรัม เขาค่อย ๆ ย่องลงไปยังห้องเก็บของในช่วงพัก และอัดวัตถุระเบิดเข้าไปในรอยร้าวของผนัง
หลังจากสะสมไดนาไมต์และส่วนผสมระเบิดเพียงพอ เด็กชายก็รอโอกาส โดยหวังว่าไม่มีใครจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในผนังห้องเก็บของ คืนหนึ่ง หน่วย SS ได้แวะพักที่เมืองระหว่างทางไปแนวหน้า พวกเขาไปที่ร้านอาหาร และมีนายทหารระดับสูงของนาซีประมาณ 200 นายที่เข้ามาดื่มกิน หลังจากค่ำคืนแห่งความบันเทิงจบลง มอร์เดไคเลิกงานตามปกติ เขาทำทุกอย่างไม่ต่างจากวันวาน แต่คืนนี้จะเป็นค่ำคืนแสนพิเศษ เขาจะลงมือทำ และจะทำมันให้สำเร็จภายในเสี้ยววินาที!
มอร์เดไคลงไปที่ห้องเก็บของที่มืดสนิท และเริ่มจุดชนวนระเบิดทันที
“ในความมืด เขาคลำหาปลายไส้ระเบิดและจุดไฟ” จากนั้น มอร์เดไคก็หยิบไวโอลิน เดินขึ้นไปข้างบน และค่อย ๆ เดินไปยังประตูหน้า
“เมื่อเขาไปถึงทางออก เขาชะลอฝีเท้า และเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่นาซีที่ยืนเฝ้า พร้อมกับเล่นมุกด้วย เขายกแขนขวาขึ้นแล้วพูดว่า ‘ไฮล์ ฮิตเลอร์!’”
นี่คือคำบอกเล่าของ โมเช กิลเดินมัน หลังจากเด็กชายวิ่งกลับมาเล่าความสำเร็จของภารกิจให้เขาฟัง “ตอนที่เหล่าทหาร SS ที่เมาแอ๋ส่งเสียงร่ำลา ผมก็เดินออกไปในยามค่ำคืน ยืนอยู่ห่างจากร้านเพียง 200 เมตร เมื่อระเบิดดังสนั่นก้องไปทั่วเมือง”
ซิมชา กิลเดินมัน รอรับมอร์เดไคอยู่ และพวกเขาขี่ม้าหนีจากที่เกิดเหตุ กลับไปหากลุ่มต่อต้านชาวยิว เมื่อเด็กชายเห็นพวกพ้อง เขาชูหมัดขึ้นฟ้าแล้วพูดว่า
“นี่เพื่อพ่อแม่และบาเซียเล่ห์ตัวน้อยของผม”
มอร์เดไคยังคงร่วมรบกับกลุ่มต่อต้านต่อไป แต่เพียงไม่นาน กลุ่มของลุงมิชาได้รวมเข้ากับกองกำลังโซเวียต และขยายปฏิบัติการต่อสู้อย่างจริงจัง ในปี 1944 หน่วยต่อต้านที่มอร์เดไคสังกัดอยู่ถูกโจมตีโดยทหารนาซีอย่างหนัก และเขาก็เสียชีวิตในวัยเพียง 14 ปี พร้อมกับนักสู้ชาวยิวอีกจำนวนหนึ่ง
ลุงมิชารอดจากการโจมตี และยังคงต่อสู้กับกองทัพโซเวียตต่อไป เขานำไวโอลินของมอร์เดไคติดตัวไปด้วย แม้ในยามรบหนักหรืออยู่ท่ามกลางห่ากระสุน เขานำไวโอลินนั้นไปจนถึงกรุงเบอร์ลิน ซึ่งเขาช่วยยึดเมืองให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร หลังสงคราม เขานำไวโอลินไปปารีส ก่อนจะย้ายไปอิสราเอล และตั้งถิ่นฐานที่เมืองเรโฮโวต ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะเล่าเรื่องราวของเด็กชายผู้กล้าหาญให้โลกได้รับรู้ และเขียนบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับเขา
ลุงมิชาเสียชีวิตในปี 1958 หลานชายของเขา ‘เซฟี ฮาเนกบี’ (Sefi HaNegbi) ทำงานเป็นไกด์ทัวร์ในเมืองอาราดทางตอนใต้ของอิสราเอล และยังคงรักษาไวโอลินของมอร์เดไคไว้ พร้อมเล่าเรื่องวีรกรรมของเขาอยู่เสมอ
จนวันหนึ่ง เธอได้ยินเรื่องของช่างทำเครื่องดนตรีชื่อดังในเทลอาวีฟชื่อ แอมนนอน ไวน์สไตน์ (Amnon Weinstein) ผู้ที่อุทิศตนในการซ่อมแซมเครื่องดนตรีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เหมือนกับหลายครอบครัวชาวยิว ครอบครัวไวน์สไตน์ก็มีเรื่องราวในยุคนาซีเช่นกัน พ่อแม่ของแอมนนอน คือ โมเชและโกลดา เป็นนักไวโอลินที่พบกันในโรงเรียนดนตรีในลิทัวเนีย ก่อนเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ เมื่อเห็นท่าไม่ดี พวกเขาตัดสินใจย้ายไปเทลอาวีฟในปี 1938 และเปิดร้านขายไวโอลิน หลังสงคราม โมเชรู้ว่าครอบครัวทั้งหมดของเขากว่า 400 คนถูกสังหารโดยนาซี ความโศกเศร้าทำให้เขาใจสลาย และไม่เคยพูดถึงครอบครัวอีกเลย
เมื่อแอมนนอนถามแม่ถึงญาติพี่น้อง โกลดาจะหยิบหนังสือเกี่ยวกับฮอโลคอสต์ออกมา เปิดภาพกองศพ แล้วพูดว่า “นี่คือครอบครัวของเรา” ก่อนจะร้องไห้
แอมนนอนกลายเป็นช่างไวโอลินชื่อดังระดับโลก และก่อตั้งองค์กรชื่อ Violins of Hope เพื่อซ่อมแซมและเผยแพร่เรื่องราวไวโอลินที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ภรรยาของแอมนนอนคือ อัสซาเอลา ไวน์สไตน์ (Assaela Weinstein) นักข่าวชาวอิสราเอล เป็นลูกสาวของอัสซาเอล บีลสกี (Asael Bielski) ผู้นำกลุ่มต่อต้านชาวยิวอีกกลุ่มในป่าเบลารุส ซึ่งเรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดในหนังสือและภาพยนตร์ชื่อ Defiance (2008) หรือชื่อไทยคือ วีรบุรุษชาติพยัคฆ์) หลังจากอ่านเกี่ยวกับงานของเขา เซฟี ฮาเนกบีรู้ทันทีว่าเขาเจอบ้านหลังใหม่ของไวโอลินมอร์เดไคแล้ว
แอมนนอนยังจำวันนั้นได้ดี เมื่อเซฟีเดินเข้ามาในร้าน เขาโชว์ไวโอลินให้ดู “มันเป็นเครื่องดนตรีธรรมดาของชาวยิวทั่วไป... เรียบง่าย ไม่แพง ไม่มีอะไรพิเศษ” แต่หลังจากฟังเรื่องราวของมอร์เดไค แอมนนอนก็ตัดสินใจซ่อมมัน และมอบให้ Yad Vashem (พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิว) เขาขอเพียงข้อเดียว ข้อเดียวเท่านั้น คือให้พิพิธภัณฑ์ใช้ไวโอลินนี้ในการแสดง เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
ในปี 2008 ไวโอลินของมอร์เดไคถูกบรรเลงที่กำแพงเมืองเก่าแห่งเยรูซาเล็ม โดยศิลปินหนุ่มชาวอิสราเอลชื่อ ‘เดวิด สตรองกิน’ (David Strongin) เขาเล่นเพลง Hatikva เพลงชาติอิสราเอล เพื่อเป็นเกียรติแก่มอร์เดไค
เรื่องราวของชไลน์เป็นแรงบันดาลใจให้กับ ‘NAKAM’ (2022) ภาพยนตร์สั้นความยาวครึ่งชั่วโมงที่ผ่านการคัดเลือกออสการ์ปี 2023 ผลงานของ อันเดรียส เคสเลอร์ (Andreas Kessler) บัณฑิตจากโรงเรียนภาพยนตร์ในเยอรมนี
NAKAM เปิดตัวรอบปฐมทัศน์ในงาน Cleveland International Film Festival ครั้งที่ 46 และคว้ารางวัลภาพยนตร์สั้นประเภทคนแสดงยอดเยี่ยม คำว่า Nakam ในภาษาฮีบรูหมายถึง ‘การแก้แค้น’ เนื้อหาของภาพยนตร์เล่าถึงการที่ชไลน์พยายามล้างแค้นให้กับการสังหารพ่อ แม่ และน้องสาว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกับกลุ่มผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 50 คนที่เรียกตัวเองว่า Nakam ซึ่งนำโดยกวีและนักสู้ต่อต้าน อับบา โควเนอร์ ที่เคยวางแผน (แต่ล้มเหลว) ในการวางยาพิษคนเยอรมัน 6 ล้านคน
NAKAM เป็นผลงานวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของเคสเลอร์ที่ Filmakademie Baden-Württemberg ในการให้สัมภาษณ์จากบ้านพักที่เมืองชตุทท์การ์ท เคสเลอร์ วัย 32 ปี เล่าว่า เขาเริ่มสนใจทำภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อราว 8 ปีก่อน หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับการบูรณะไวโอลินของชไลน์โดยโครงการ Violins of Hope โครงการนี้นำโดยช่างทำไวโอลินชาวอิสราเอล แอมนนอน และอัฟชาลอม ไวน์สไตน์ ทำการบูรณะและจัดแสดงไวโอลิน วิโอลา และเชลโลที่มีอายุก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นของชาวยิวที่เสียชีวิตหรือรอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เครื่องดนตรีเหล่านี้ยังคงถูกนำไปบรรเลงในคอนเสิร์ตและงานรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวทั่วโลก (มีหนังสือคู่ขนานเขียนโดย เจมส์ เอ. ไกรมส์ เกี่ยวกับประวัติและการบูรณะของเครื่องดนตรีเหล่านี้ ตีพิมพ์ในปี 2014)
ไวโอลินของชไลน์รอดจากสงคราม และปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ถาวรของยัด วาเชม (Yad Vashem) กรุงเยรูซาเล็ม น่าเศร้าที่ชไลน์เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 14 ปี ขณะกองกำลังของเขาถูกโจมตีอย่างหนัก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ เผยแพร่ในหลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย, เยอรมัน, ยูเครน และยิดดิช ใช้งบประมาณราว €60,000 ถ่ายทำ 10 วันในชนบทนอกกรุงเบอร์ลิน (เดิมตั้งใจถ่ายในยูเครน แต่ติดปัญหาโควิด) นักแสดงนำคือ อันตอน คริมสกี ชาวยูเครนที่ต้องเรียนไวโอลินเพื่อรับบท ‘มิตเก’ ตัวละครที่สร้างจากเรื่องจริงของชไลน์
เคสเลอร์ยังเพิ่มประเด็นทางศีลธรรมให้เรื่อง โดยให้มิตเกต้องเลือกระหว่างการระเบิดร้านอาหารกับการช่วยชีวิตเพื่อนนักเปียโนชื่อเยกอร์ สุดท้ายเขาไม่สามารถช่วยเพื่อนได้ และเยกอร์เสียชีวิตพร้อมนายทหารเยอรมัน เจ้าของร้าน และลูกสาวของเจ้าของร้าน
เคสเลอร์กล่าวว่า “หนังต้องการสื่อว่าผมเชื่อว่า ในสงครามไม่มีใครชนะ ความรุนแรงเพียงสร้างความรุนแรงและความโหดร้ายต่อเนื่อง นี่คือเรื่องราวสากลของความขัดแย้ง”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่าเหตุระเบิดร้านอาหารนี้เกิดขึ้นจริง ‘ไมเคิล ทาล’ (Michael Tal) ผู้อำนวยการฝ่ายโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑ์ยัด วาเชม กล่าวว่า “เราทราบเพียงว่ามีมอร์เดไค ชไลน์ เด็กชายที่เล่นไวโอลิน ทำการสอดแนมให้กับกองกำลังต่อต้าน และเขาเสียชีวิต เรารู้เพียงแค่นั้น”
แม้ข้อเท็จจริงนี้จะไม่แน่ชัด แต่มรดกของชไลน์ในฐานะนักสู้เยาวชนยังคงอยู่ ผ่านภาพและเสียงของไวโอลินของเขา กิลเดนแมนเก็บไวโอลินนี้ไว้จนจบสงคราม ก่อนนำไปยังอิสราเอลในทศวรรษ 1950 และต่อมาบริจาคให้ยัด วาเชม พร้อมเงื่อนไขให้ยังคงนำมาบรรเลงต่อไป
ปัจจุบันไวโอลินถูกนำออกมาบรรเลงอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และจะถูกบรรเลงอีกครั้งในสโลวีเนียในวันรำลึกการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สากล 27 มกราคม 2023 โดยมีสมุดพิเศษเดินทางคู่กับไวโอลิน บันทึกข้อความโดยทุกคนที่ได้เล่น ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นในอิสราเอลหรือนักดนตรีชื่อดังอย่าง ฮากาย ชาฮัม, ชโลโม มินต์ซ และเดวิด สตรองกิน
ทาลยังกล่าวอีกว่า “เรื่องราวของมอร์เดไค ชไลน์ยังคงสะเทือนใจผู้คน พวกเขายังคงขอเล่นหรือฟังเสียงไวโอลินของเขาเสมอ”
แม้กาลเวลาจะผ่านไปกี่สิบหรือกี่ร้อยปี เสียงไวโอลินของเขายังคงก้องอยู่ในหัวใจผู้คน เพราะมันไม่ใช่เพียงเครื่องดนตรี หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำถึงความโหดร้ายในอดีต เสียงที่ผลักให้เด็กชายวัยเพียง 12 ปี ต้องลุกขึ้นเป็นสายลับ และปิดฉากชีวิตลงในวัยเพียง 14 ปี
เขาอาจได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ แต่เกียรติยศใดจะชดเชยได้กับวัยเยาว์ที่ถูกพรากไป
และทุกครั้งที่คันชักสัมผัสสาย มันคือการย้ำเตือนว่า แม้ในความมืดมิดที่สุด มนุษย์ก็ยังสามารถบรรเลงท่วงทำนองแห่งอิสรภาพได้เสมอ และเสียงของเสรีชนจะไม่มีวันดับลง ตราบใดที่ยังมีคนฟังและจดจำ
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
อ้างอิง
12-Year-Old Jewish Hero of WWII
Israeli Life: Breaking the Silence
Oscar-qualifying short film strikes chord with story of heroic young WWII partisan
Remembering Motele Schlein – Jewish Violin Prodigy and WWII Partisan Hero