‘เกล ฮัลวอร์เซน’ คุณลุงปีกดุ๊กดิ๊ก ฮีโร่ที่ชนะสงครามด้วย ‘ขนมหวาน’ 

‘เกล ฮัลวอร์เซน’ คุณลุงปีกดุ๊กดิ๊ก ฮีโร่ที่ชนะสงครามด้วย ‘ขนมหวาน’ 

เหนือฟ้าเบอร์ลินที่ยังเต็มไปด้วยซากสงคราม เครื่องบินลำหนึ่งไม่ได้ทิ้งระเบิด แต่ทิ้งความหวัง เรื่องจริงของ ‘เกล ฮัลวอร์เซน’ นักบินหนุ่มผู้เปลี่ยนหมากฝรั่งสองชิ้น ให้กลายเป็นอาวุธลับของเสรีภาพ

KEY

POINTS

กรกฎาคม ปี 1948 เหนือน่านฟ้ากรุงเบอร์ลินที่ยังคงมีร่องรอยบาดแผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียงคำรามของเครื่องยนต์ไม่ได้มาจากเครื่องบินทิ้งระเบิดเพื่อทำลายล้างอีกต่อไป แต่มาจากเครื่องบินลำเลียง C-54 Skymaster ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่บินโฉบผ่านหลังคาตึกอะพาร์ตเมนต์เพื่อร่อนลงจอดอย่างต่อเนื่อง เบื้องล่างนั้นคือซากปรักหักพังของอาคารที่พังทลายจากระเบิดและกระสุนปืนใหญ่

ที่สนามบินเทมเพลฮอฟ (Tempelhof Central Airport) ในเขตเบอร์ลินตะวันตก การจราจรทางอากาศหนาแน่นจนน่าตกใจ เครื่องบินลำเลียงเสบียงต้องลงจอดทุก ๆ ไม่กี่นาที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อขนส่งแป้ง มันฝรั่ง และถ่านหิน มาหล่อเลี้ยงชีวิตชาวเมืองกว่า 2 ล้านคนที่ถูกปิดล้อม

หนึ่งในนักบินเหล่านั้นคือ ร้อยโท ‘เกล ฮัลวอร์เซน’ (Lt. Gail Halvorsen) ชายหนุ่มวัย 27 ปี จากรัฐยูทาห์ ในวัยเด็ก เขาเคยมองดูเครื่องบินสีเงินบินผ่านท้องฟ้าด้วยความฝันที่จะได้เป็นนักบิน แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า หน้าที่ของเขาในวันนี้จะไม่ใช่การสู้รบ แต่เป็นการต่อสู้กับความหิวโหย

ฮัลวอร์เซนบันทึกความรู้สึกในตอนนั้นไว้อย่างน่าประทับใจว่า

“ผมไม่เคยรู้เลยว่าเมื่อโตขึ้น ผมจะได้ขับนกสีเงินเหล่านั้นด้วยตัวเอง ผมไม่เคยจินตนาการเลยว่า ผมจะต้องบินส่งอาหารให้กับเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องอดตาย”

จุดเปลี่ยนที่รั้วลวดหนาม

ในวันฤดูร้อนวันหนึ่ง ฮัลวอร์เซน มีเวลาว่างระหว่างรอเที่ยวบิน เขาตัดสินใจเดินไปที่รั้วลวดหนามบริเวณปลายรันเวย์เพื่อถ่ายวิดีโอเครื่องบินที่กำลังร่อนลงจอด ที่นั่น เขาได้พบกับกลุ่มเด็กชาวเยอรมันราว 30 คน อายุระหว่าง 8 ถึง 14 ปี ยืนเกาะรั้วมองดูการทำงานของเจ้าหน้าที่

ฮัลวอร์เซน รู้ดีว่าเด็กเหล่านี้คือผู้รอดชีวิตจากสงคราม พวกเขาเติบโตมากับการหลบระเบิดและการคุ้ยเขี่ยหาอาหาร โดยปกติแล้ว เมื่อทหารอเมริกันพบเจอเด็ก ๆ ในพื้นที่สงคราม เด็กมักจะรุมล้อมเพื่อขอขนมหรือช็อกโกแลต แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ริมรั้ววันนั้นกลับทำให้เขาประหลาดใจ

เด็กกลุ่มนี้ไม่ขอขนมเลยสักคน

เมื่อได้พูดคุยกัน เด็ก ๆ บอกเขาด้วยแววตาที่มุ่งมั่นว่า พวกเขากังวลเรื่อง ‘อิสรภาพ’ มากกว่า ‘ความหิว’ พวกเขาบอกฮัลวอร์เซนว่า “อย่าทอดทิ้งพวกเรา” แม้ว่าเสบียงอาหารจะร่อยหรอ แต่พวกเขายอมอดอยากดีกว่าต้องยอมจำนนและสูญเสียเสรีภาพให้กับฝ่ายโซเวียตที่กำลังปิดล้อมเมืองอยู่

เด็กชายคนหนึ่งมองหน้านักบินหนุ่มและพูดประโยคที่กระแทกใจเขาอย่างจัง

“เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเสบียงอันน้อยนิด แต่เราอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากความหวัง”

ความรู้สึกท่วมท้นถาโถมเข้ามาในใจของ ฮัลวอร์เซน เขาอยากให้อะไรบางอย่างแก่เด็ก ๆ แต่เมื่อล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า เขาพบเพียงหมากฝรั่ง Doublemint เพียง 2 ชิ้น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กลัวว่าการให้ของเพียงเล็กน้อยกับเด็ก 30 คนอาจก่อให้เกิดการแย่งชิงกัน

แต่เขาคิดผิด ฮัลวอร์เซนหักหมากฝรั่งแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ชิ้น ยื่นผ่านรั้วไป เด็ก 4 คนที่ได้รับเคี้ยวมันอย่างมีความสุข ส่วนเด็กที่เหลือ... พวกเขาไม่ได้โกรธเคืองหรือแย่งชิง แต่กลับขอกระดาษห่อฟอยล์มาฉีกแบ่งกัน เพื่อสูดดมกลิ่นมินต์ที่ยังหลงเหลืออยู่

ภาพของเด็ก ๆ ที่มีความสุขเพียงแค่ได้ดมกลิ่นกระดาษห่อหมากฝรั่ง ทำให้ ฮัลวอร์เซน สะเทือนใจอย่างที่สุด เขาเล่าถึงเหตุการณ์นั้นว่า

“ในประสบการณ์ทั้งหมดของผม... ผมไม่เคยเห็นการแสดงออกถึงความประหลาดใจ ความปิติ และความสุขล้วน ๆ เช่นนี้มาก่อน”

วินาทีนั่นเอง ฮัลวอร์เซนตัดสินใจว่า หมากฝรั่ง 2 ชิ้นนี้จะไม่ใช่จุดจบ แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการที่โลกจะต้องจดจำ

ปฏิบัติการลับ และรหัส ‘ปีกดุ๊กดิ๊ก’

เมื่อกลับถึงฐานทัพที่ไรน์-เมน (Rhein-Main Air Base) ความคิดของ ฮัลวอร์เซน ยังคงวนเวียนอยู่กับเด็ก ๆ ที่รั้วลวดหนาม เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อแววตาเหล่านั้นได้ แต่ปัญหาคือโควตาขนมของทหารอเมริกันนั้นมีจำกัด และการจะแบ่งให้เด็ก 30 คนให้ทั่วถึงนั้นเป็นเรื่องยาก

เขาจึงตัดสินใจเล่าแผนการบ้าบิ่นนี้ให้กับเพื่อนร่วมทีมฟัง แทนที่จะคัดค้าน เพื่อน ๆ ของเขากลับยอมเสียสละโควตาช็อกโกแลตและหมากฝรั่งของตัวเองมารวมกัน ฮัลวอร์เซน รู้ดีว่าถ้าทิ้งขนมลงไปเฉย ๆ ด้วยความเร็วเครื่องบินขณะลงจอด มันอาจกลายเป็นอาวุธที่ทำร้ายเด็ก ๆ ได้ เขาจึงปิ๊งไอเดียในการทำ ‘ร่มชูชีพ’ ขึ้นมา

พวกเขาใช้ผ้าเช็ดหน้า ผูกมุมทั้งสี่ด้วยเชือก แล้วมัดติดกับแท่งช็อกโกแลตและหมากฝรั่ง เพื่อให้มันร่อนลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล

แต่เด็ก ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องบินลำไหนคือเครื่องบินของ ‘คุณลุงใจดี’?

ฮัลวอร์เซน จำบทสนทนาที่รั้วลวดหนามได้แม่นยำ เขาบอกเด็กๆ ว่า “เมื่อลุงบินอยู่เหนือศีรษะ ลุงจะขยับปีกเครื่องบิน” (Wiggle the wings)

เด็กหญิงคนหนึ่งถามด้วยความงุนงงในตอนนั้นว่า “What is viggle?” (วิกเกิ้ล คืออะไร?) ฮัลวอร์เซนจึงกางแขนออกแล้วโยกตัวซ้ายขวาให้ดูเป็นตัวอย่าง จนเด็ก ๆ หัวเราะชอบใจและเข้าใจสัญญาณลับนี้

วันต่อมา เมื่อเครื่อง C-54 ของเขาบินผ่านช่องเขาเข้าสู่เบอร์ลิน ฮัลวอร์เซน มองเห็นกลุ่มเด็ก ๆ ที่ปลายรันเวย์ เขาโยกคันบังคับ... เครื่องบินยักษ์สีเงินเอียงปีกซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังเต้นระบำ ทันทีที่เห็นสัญญาณ ร่มชูชีพผ้าเช็ดหน้า 3 อันแรกก็ถูกปล่อยลงไป ลอยละล่องเหมือน ‘ป๊อปคอร์น’ กลางเวหา สู่มือเล็ก ๆ เบื้องล่าง

ปฏิบัติการลับดำเนินต่อไป จากร่มชูชีพ 3 อัน เพิ่มเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ความลับก็แตก

พันเอก ‘ฮอน’ (Colonel Haun) ผู้บังคับบัญชา เรียกตัว ฮัลวอร์เซน เข้าพบด่วน พร้อมกับโยนหนังสือพิมพ์แฟรงก์เฟิร์ตลงบนโต๊ะ พาดหัวข่าวระบุว่ามีร่มชูชีพขนมลอยว่อนในเบอร์ลิน และนักข่าวเกือบโดนแท่งช็อกโกแลตหล่นใส่หัว!

ฮัลวอร์เซน ยืนตัวแข็ง เตรียมใจรับโทษทัณฑ์ฐานฝ่าฝืนกฎการบิน แต่พันเอกฮอนกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

“ท่านนายพลโทรมาแสดงความยินดีกับผม และผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย! ทำไมคุณไม่บอกผม?”

แทนที่จะถูกลงโทษ คำสั่งที่เขาได้รับคือ “บินต่อไป... ทิ้งของต่อไป และรายงานให้ผมทราบด้วย” นับจากวินาทีนั้น ปฏิบัติการกองโจรของนักบินหนุ่มก็กลายเป็นภารกิจอย่างเป็นทางการในชื่อ ‘Operation Little Vittles’ (ปฏิบัติการเสบียงจิ๋ว)

บริบทสงครามเย็น: เมื่อ ‘นม’ กลายเป็นอาวุธ

ในขณะที่ ฮัลวอร์เซน มองสิ่งที่ทำว่าเป็นเพียงการแบ่งปันความสุข แต่ในเวทีการเมืองระดับโลก สิ่งที่เขาทำคือกุญแจสำคัญที่ไขล็อกความขัดแย้งของสงครามเย็น

‘ทอม สแตนเดจ’ (Tom Standage) ผู้เขียนหนังสือ ‘An Edible History of Humanity’ ได้วิเคราะห์เหตุการณ์นี้ไว้อย่างลึกซึ้งว่า การต่อสู้ครั้งแรกของสงครามเย็นไม่ได้ตัดสินกันด้วยลูกกระสุนหรือระเบิดนิวเคลียร์ แต่เป็นการต่อสู้กันด้วย “นม ลูกอม เกลือ และเสบียงอาหาร”

สหภาพโซเวียตใช้อาหารเป็นอาวุธ (Food as a weapon) อย่างชัดเจน ตามคำกล่าวของ ‘แมกซิม ลิตวินอฟ’ (Maxim Litvinov) รัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียต การปิดล้อมเบอร์ลินมีเป้าหมายเพื่อทำลายขวัญกำลังใจและบีบให้ชาวเมืองยอมจำนนด้วยความหิวโหย

แต่ปฏิบัติการของฮัลวอร์เซน และการขนส่งทางอากาศ (Berlin Airlift) ได้พลิกเกมนี้อย่างสิ้นเชิง อาหารไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยยังชีพ แต่กลายเป็น ‘สัญลักษณ์ของเสรีภาพ’

ภาพลักษณ์ของเครื่องบินรบที่เคยเป็นมัจจุราชทิ้งระเบิดใส่เยอรมนีเมื่อไม่กี่ปีก่อน ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล กลายเป็น ‘Rosinenbomber’ (Raisin Bomber หรือเครื่องบินทิ้งลูกเกด) ในสายตาชาวเยอรมัน พลังของ ‘Soft Power’ นี้รุนแรงจนบริษัท Douglas ผู้ผลิตเครื่องบิน C-54 ถึงกับทำโปสเตอร์โฆษณาเป็นรูปเด็กผู้หญิงชูแก้วนมรอรับของจากท้องฟ้า พร้อมข้อความที่ประกาศก้องว่า

“MILK . . . NEW WEAPON OF DEMOCRACY”

(นม... อาวุธใหม่ของประชาธิปไตย)

‘เกล ฮัลวอร์เซน’ คุณลุงปีกดุ๊กดิ๊ก ฮีโร่ที่ชนะสงครามด้วย ‘ขนมหวาน’ 

โปสเตอร์นี้ระบุชัดเจนว่า “ความหวังของประชาธิปไตยยังคงมีชีวิตอยู่” ด้วยการส่งมอบเสบียงเหล่านี้ ขนมหวานของ ฮัลวอร์เซน จึงไม่ได้ทำหน้าที่แค่เติมเต็มกระเพาะ แต่ทำหน้าที่เติมเต็ม ‘จิตวิญญาณ’ ที่โซเวียตพยายามบดขยี้ มันคือการประกาศว่า โลกเสรีจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา

จดหมายจากภาคพื้นดิน

เมื่อข่าวปฏิบัติการ ‘Operation Little Vittles’ แพร่สะพัดออกไป ชื่อเสียงของ ฮัลวอร์เซน ก็โด่งดังไปทั่วเบอร์ลิน เด็ก ๆ ต่างพากันเรียกเขาด้วยฉายาที่น่าเอ็นดู อย่าง ‘Uncle Wiggly Wings’ (คุณลุงปีกดุ๊กดิ๊ก) หรือ ‘The Chocolate Pilot’ (นักบินช็อกโกแลต) กองทัพจดหมายจากเด็ก ๆ หลั่งไหลมาที่ฐานทัพเทมเพลฮอฟทุกวัน เพื่อขอบคุณ ขอขนม หรือแม้แต่เล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันให้เขาฟัง

ในบรรดาจดหมายนับหมื่นฉบับ มีเรื่องราวที่ ฮัลวอร์เซน จำได้ไม่ลืม เรื่องแรกมาจากเด็กหญิงวัย 7 ขวบชื่อ ‘เมอร์เซเดส ไซมอน’ (Mercedes Simon) เธอเขียนจดหมายมาเล่าปัญหาหนักอกให้คุณลุงนักบินฟังว่า เธออาศัยอยู่ใกล้สนามบิน และฝูงไก่ที่บ้านของเธอก็ตกใจเสียงเครื่องบินลำเลียง C-54 จนพวกมันหวาดกลัวและไม่ยอมออกไข่

ด้วยความเป็นเด็กช่างเจรจา เธอจึงยื่นข้อเสนอที่น่ารักน่าชังว่า

“ไก่ของเราคิดว่าเครื่องบินของคุณเป็นเหยี่ยว และพวกมันก็ตกใจกลัว... ถ้าคุณเห็นไก่สีขาว โปรดทิ้ง (ช็อกโกแลต) ลงตรงนั้น แล้วทุกอย่างจะโอเคเอง”

ฮัลวอร์เซน พยายามมองหาไก่สีขาวจากห้องนักบิน แต่ด้วยความเร็วและระยะสูง เขาไม่สามารถหาเจอ เขาจึงตัดสินใจส่งหมากฝรั่งและลูกอมใส่ซองจดหมายส่งไปให้เธอทางไปรษณีย์แทน

อีกเรื่องราวหนึ่งมาจากเด็กชายวัย 9 ขวบ ชื่อ ‘ปีเตอร์ ซิมเมอร์แมน’ (Peter Zimmerman) ผู้ซึ่งมีความมุ่งมั่นไม่แพ้นักบินรบ ปีเตอร์เขียนจดหมายมาบ่นว่าเขาพยายามวิ่งไล่ตามร่มชูชีพขนมหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยทันเด็กโตเลยสักที เขาจึงวาดแผนที่ระบุพิกัดสวนหลังบ้านของเขาอย่างละเอียดแนบมาในจดหมาย พร้อมกำชับว่าให้ทิ้งขนมลงตรงจุดนี้

แต่เมื่อ ฮัลวอร์เซน พยายามหย่อนขนมลงไปตามพิกัด กระแสลมกลับพัดร่มชูชีพลอยไปตกที่อื่น ปีเตอร์จึงเขียนจดหมายตอบกลับมาด้วยความผิดหวังปนประชดประชันว่า

“คุณเป็นนักบินจริงหรือเปล่า? ผมให้แผนที่ไปแล้วนะ พวกคุณชนะสงครามมาได้ยังไงกัน?”

คำตัดพ้อที่ไร้เดียงสานี้ทำให้ ฮัลวอร์เซน หัวเราะและประทับใจในความกล้าหาญของเด็กชาย สุดท้ายเขาก็ส่งขนมไปให้ปีเตอร์ทางไปรษณีย์เช่นกัน เพื่อให้แน่ใจว่าคราวนี้จะไม่พลาดเป้าอีก

ในเดือนพฤษภาคม ปี 1949 สหภาพโซเวียตยอมยกเลิกการปิดล้อมเบอร์ลินในที่สุด แต่ปฏิบัติการขนส่งทางอากาศยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนกันยายน เพื่อให้มั่นใจว่าชาวเบอร์ลินจะมีเสบียงสำรองเพียงพอ ตลอดระยะเวลา 15 เดือน ฮัลวอร์เซน และเพื่อนนักบินได้โปรยขนมและหมากฝรั่งลงไปกว่า 23 ตัน สู่มือของเด็ก ๆ ที่รอคอยด้วยความหวัง

แม้สงครามเย็นจะแบ่งแยกโลกออกเป็นสองฝั่ง แต่การกระทำของ ฮัลวอร์เซน ได้ถักทอสายใยบาง ๆ ที่เชื่อมโยงมนุษยชาติเข้าด้วยกัน เขาไม่ได้แค่เอาชนะการปิดล้อมด้วยยุทธวิธี แต่เขาเอาชนะด้วย ‘หัวใจ’

หลายปีต่อมา ในปี 1970 ฮัลวอร์เซน ได้กลับมาที่เบอร์ลินอีกครั้งในฐานะผู้บัญชาการสนามบินเทมเพลฮอฟ เขาได้รับเชิญไปทานอาหารค่ำที่บ้านของครอบครัวหนึ่ง เมื่อไปถึง หญิงสาวเจ้าของบ้านได้ยื่นจดหมายฉบับเก่าคร่ำครึให้เขาดู มันคือจดหมายตอบกลับที่เขาเคยส่งให้เด็กหญิงเจ้าของไก่สีขาว... เมอร์เซเดส ไซมอน นั่นเอง ทั้งคู่สวมกอดกัน น้ำตาแห่งความปลื้มปิติยืนยันว่ามิตรภาพที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งนั้นยั่งยืนเพียงใด

เกล ฮัลวอร์เซน มักจะกล่าวอย่างถ่อมตนเสมอ เมื่อมองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่กลายเป็นตำนานนี้ เขายิ้มและพูดประโยคที่ย้ำเตือนใจเราทุกคนว่า การกระทำเล็ก ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

“ทั้งหมดนี้... เกิดขึ้นจากหมากฝรั่งเพียงสองชิ้น!”

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: Getty Images