19 ธ.ค. 2568 | 17:19 น.

KEY
POINTS
กรกฎาคม ปี 1948 เหนือน่านฟ้ากรุงเบอร์ลินที่ยังคงมีร่องรอยบาดแผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียงคำรามของเครื่องยนต์ไม่ได้มาจากเครื่องบินทิ้งระเบิดเพื่อทำลายล้างอีกต่อไป แต่มาจากเครื่องบินลำเลียง C-54 Skymaster ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่บินโฉบผ่านหลังคาตึกอะพาร์ตเมนต์เพื่อร่อนลงจอดอย่างต่อเนื่อง เบื้องล่างนั้นคือซากปรักหักพังของอาคารที่พังทลายจากระเบิดและกระสุนปืนใหญ่
ที่สนามบินเทมเพลฮอฟ (Tempelhof Central Airport) ในเขตเบอร์ลินตะวันตก การจราจรทางอากาศหนาแน่นจนน่าตกใจ เครื่องบินลำเลียงเสบียงต้องลงจอดทุก ๆ ไม่กี่นาที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อขนส่งแป้ง มันฝรั่ง และถ่านหิน มาหล่อเลี้ยงชีวิตชาวเมืองกว่า 2 ล้านคนที่ถูกปิดล้อม
หนึ่งในนักบินเหล่านั้นคือ ร้อยโท ‘เกล ฮัลวอร์เซน’ (Lt. Gail Halvorsen) ชายหนุ่มวัย 27 ปี จากรัฐยูทาห์ ในวัยเด็ก เขาเคยมองดูเครื่องบินสีเงินบินผ่านท้องฟ้าด้วยความฝันที่จะได้เป็นนักบิน แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า หน้าที่ของเขาในวันนี้จะไม่ใช่การสู้รบ แต่เป็นการต่อสู้กับความหิวโหย
ฮัลวอร์เซนบันทึกความรู้สึกในตอนนั้นไว้อย่างน่าประทับใจว่า
“ผมไม่เคยรู้เลยว่าเมื่อโตขึ้น ผมจะได้ขับนกสีเงินเหล่านั้นด้วยตัวเอง ผมไม่เคยจินตนาการเลยว่า ผมจะต้องบินส่งอาหารให้กับเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องอดตาย”
ในวันฤดูร้อนวันหนึ่ง ฮัลวอร์เซน มีเวลาว่างระหว่างรอเที่ยวบิน เขาตัดสินใจเดินไปที่รั้วลวดหนามบริเวณปลายรันเวย์เพื่อถ่ายวิดีโอเครื่องบินที่กำลังร่อนลงจอด ที่นั่น เขาได้พบกับกลุ่มเด็กชาวเยอรมันราว 30 คน อายุระหว่าง 8 ถึง 14 ปี ยืนเกาะรั้วมองดูการทำงานของเจ้าหน้าที่
ฮัลวอร์เซน รู้ดีว่าเด็กเหล่านี้คือผู้รอดชีวิตจากสงคราม พวกเขาเติบโตมากับการหลบระเบิดและการคุ้ยเขี่ยหาอาหาร โดยปกติแล้ว เมื่อทหารอเมริกันพบเจอเด็ก ๆ ในพื้นที่สงคราม เด็กมักจะรุมล้อมเพื่อขอขนมหรือช็อกโกแลต แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ริมรั้ววันนั้นกลับทำให้เขาประหลาดใจ
เมื่อได้พูดคุยกัน เด็ก ๆ บอกเขาด้วยแววตาที่มุ่งมั่นว่า พวกเขากังวลเรื่อง ‘อิสรภาพ’ มากกว่า ‘ความหิว’ พวกเขาบอกฮัลวอร์เซนว่า “อย่าทอดทิ้งพวกเรา” แม้ว่าเสบียงอาหารจะร่อยหรอ แต่พวกเขายอมอดอยากดีกว่าต้องยอมจำนนและสูญเสียเสรีภาพให้กับฝ่ายโซเวียตที่กำลังปิดล้อมเมืองอยู่
เด็กชายคนหนึ่งมองหน้านักบินหนุ่มและพูดประโยคที่กระแทกใจเขาอย่างจัง
“เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเสบียงอันน้อยนิด แต่เราอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากความหวัง”
ความรู้สึกท่วมท้นถาโถมเข้ามาในใจของ ฮัลวอร์เซน เขาอยากให้อะไรบางอย่างแก่เด็ก ๆ แต่เมื่อล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า เขาพบเพียงหมากฝรั่ง Doublemint เพียง 2 ชิ้น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กลัวว่าการให้ของเพียงเล็กน้อยกับเด็ก 30 คนอาจก่อให้เกิดการแย่งชิงกัน
แต่เขาคิดผิด ฮัลวอร์เซนหักหมากฝรั่งแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ชิ้น ยื่นผ่านรั้วไป เด็ก 4 คนที่ได้รับเคี้ยวมันอย่างมีความสุข ส่วนเด็กที่เหลือ... พวกเขาไม่ได้โกรธเคืองหรือแย่งชิง แต่กลับขอกระดาษห่อฟอยล์มาฉีกแบ่งกัน เพื่อสูดดมกลิ่นมินต์ที่ยังหลงเหลืออยู่
ภาพของเด็ก ๆ ที่มีความสุขเพียงแค่ได้ดมกลิ่นกระดาษห่อหมากฝรั่ง ทำให้ ฮัลวอร์เซน สะเทือนใจอย่างที่สุด เขาเล่าถึงเหตุการณ์นั้นว่า
“ในประสบการณ์ทั้งหมดของผม... ผมไม่เคยเห็นการแสดงออกถึงความประหลาดใจ ความปิติ และความสุขล้วน ๆ เช่นนี้มาก่อน”
วินาทีนั่นเอง ฮัลวอร์เซนตัดสินใจว่า หมากฝรั่ง 2 ชิ้นนี้จะไม่ใช่จุดจบ แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการที่โลกจะต้องจดจำ
เมื่อกลับถึงฐานทัพที่ไรน์-เมน (Rhein-Main Air Base) ความคิดของ ฮัลวอร์เซน ยังคงวนเวียนอยู่กับเด็ก ๆ ที่รั้วลวดหนาม เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อแววตาเหล่านั้นได้ แต่ปัญหาคือโควตาขนมของทหารอเมริกันนั้นมีจำกัด และการจะแบ่งให้เด็ก 30 คนให้ทั่วถึงนั้นเป็นเรื่องยาก
เขาจึงตัดสินใจเล่าแผนการบ้าบิ่นนี้ให้กับเพื่อนร่วมทีมฟัง แทนที่จะคัดค้าน เพื่อน ๆ ของเขากลับยอมเสียสละโควตาช็อกโกแลตและหมากฝรั่งของตัวเองมารวมกัน ฮัลวอร์เซน รู้ดีว่าถ้าทิ้งขนมลงไปเฉย ๆ ด้วยความเร็วเครื่องบินขณะลงจอด มันอาจกลายเป็นอาวุธที่ทำร้ายเด็ก ๆ ได้ เขาจึงปิ๊งไอเดียในการทำ ‘ร่มชูชีพ’ ขึ้นมา
พวกเขาใช้ผ้าเช็ดหน้า ผูกมุมทั้งสี่ด้วยเชือก แล้วมัดติดกับแท่งช็อกโกแลตและหมากฝรั่ง เพื่อให้มันร่อนลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล
แต่เด็ก ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องบินลำไหนคือเครื่องบินของ ‘คุณลุงใจดี’?
ฮัลวอร์เซน จำบทสนทนาที่รั้วลวดหนามได้แม่นยำ เขาบอกเด็กๆ ว่า “เมื่อลุงบินอยู่เหนือศีรษะ ลุงจะขยับปีกเครื่องบิน” (Wiggle the wings)
เด็กหญิงคนหนึ่งถามด้วยความงุนงงในตอนนั้นว่า “What is viggle?” (วิกเกิ้ล คืออะไร?) ฮัลวอร์เซนจึงกางแขนออกแล้วโยกตัวซ้ายขวาให้ดูเป็นตัวอย่าง จนเด็ก ๆ หัวเราะชอบใจและเข้าใจสัญญาณลับนี้
วันต่อมา เมื่อเครื่อง C-54 ของเขาบินผ่านช่องเขาเข้าสู่เบอร์ลิน ฮัลวอร์เซน มองเห็นกลุ่มเด็ก ๆ ที่ปลายรันเวย์ เขาโยกคันบังคับ... เครื่องบินยักษ์สีเงินเอียงปีกซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังเต้นระบำ ทันทีที่เห็นสัญญาณ ร่มชูชีพผ้าเช็ดหน้า 3 อันแรกก็ถูกปล่อยลงไป ลอยละล่องเหมือน ‘ป๊อปคอร์น’ กลางเวหา สู่มือเล็ก ๆ เบื้องล่าง
ปฏิบัติการลับดำเนินต่อไป จากร่มชูชีพ 3 อัน เพิ่มเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ความลับก็แตก
พันเอก ‘ฮอน’ (Colonel Haun) ผู้บังคับบัญชา เรียกตัว ฮัลวอร์เซน เข้าพบด่วน พร้อมกับโยนหนังสือพิมพ์แฟรงก์เฟิร์ตลงบนโต๊ะ พาดหัวข่าวระบุว่ามีร่มชูชีพขนมลอยว่อนในเบอร์ลิน และนักข่าวเกือบโดนแท่งช็อกโกแลตหล่นใส่หัว!
ฮัลวอร์เซน ยืนตัวแข็ง เตรียมใจรับโทษทัณฑ์ฐานฝ่าฝืนกฎการบิน แต่พันเอกฮอนกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“ท่านนายพลโทรมาแสดงความยินดีกับผม และผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย! ทำไมคุณไม่บอกผม?”
แทนที่จะถูกลงโทษ คำสั่งที่เขาได้รับคือ “บินต่อไป... ทิ้งของต่อไป และรายงานให้ผมทราบด้วย” นับจากวินาทีนั้น ปฏิบัติการกองโจรของนักบินหนุ่มก็กลายเป็นภารกิจอย่างเป็นทางการในชื่อ ‘Operation Little Vittles’ (ปฏิบัติการเสบียงจิ๋ว)
ในขณะที่ ฮัลวอร์เซน มองสิ่งที่ทำว่าเป็นเพียงการแบ่งปันความสุข แต่ในเวทีการเมืองระดับโลก สิ่งที่เขาทำคือกุญแจสำคัญที่ไขล็อกความขัดแย้งของสงครามเย็น
‘ทอม สแตนเดจ’ (Tom Standage) ผู้เขียนหนังสือ ‘An Edible History of Humanity’ ได้วิเคราะห์เหตุการณ์นี้ไว้อย่างลึกซึ้งว่า การต่อสู้ครั้งแรกของสงครามเย็นไม่ได้ตัดสินกันด้วยลูกกระสุนหรือระเบิดนิวเคลียร์ แต่เป็นการต่อสู้กันด้วย “นม ลูกอม เกลือ และเสบียงอาหาร”
สหภาพโซเวียตใช้อาหารเป็นอาวุธ (Food as a weapon) อย่างชัดเจน ตามคำกล่าวของ ‘แมกซิม ลิตวินอฟ’ (Maxim Litvinov) รัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียต การปิดล้อมเบอร์ลินมีเป้าหมายเพื่อทำลายขวัญกำลังใจและบีบให้ชาวเมืองยอมจำนนด้วยความหิวโหย
แต่ปฏิบัติการของฮัลวอร์เซน และการขนส่งทางอากาศ (Berlin Airlift) ได้พลิกเกมนี้อย่างสิ้นเชิง อาหารไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยยังชีพ แต่กลายเป็น ‘สัญลักษณ์ของเสรีภาพ’
ภาพลักษณ์ของเครื่องบินรบที่เคยเป็นมัจจุราชทิ้งระเบิดใส่เยอรมนีเมื่อไม่กี่ปีก่อน ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล กลายเป็น ‘Rosinenbomber’ (Raisin Bomber หรือเครื่องบินทิ้งลูกเกด) ในสายตาชาวเยอรมัน พลังของ ‘Soft Power’ นี้รุนแรงจนบริษัท Douglas ผู้ผลิตเครื่องบิน C-54 ถึงกับทำโปสเตอร์โฆษณาเป็นรูปเด็กผู้หญิงชูแก้วนมรอรับของจากท้องฟ้า พร้อมข้อความที่ประกาศก้องว่า
“MILK . . . NEW WEAPON OF DEMOCRACY”
(นม... อาวุธใหม่ของประชาธิปไตย)
โปสเตอร์นี้ระบุชัดเจนว่า “ความหวังของประชาธิปไตยยังคงมีชีวิตอยู่” ด้วยการส่งมอบเสบียงเหล่านี้ ขนมหวานของ ฮัลวอร์เซน จึงไม่ได้ทำหน้าที่แค่เติมเต็มกระเพาะ แต่ทำหน้าที่เติมเต็ม ‘จิตวิญญาณ’ ที่โซเวียตพยายามบดขยี้ มันคือการประกาศว่า โลกเสรีจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา
เมื่อข่าวปฏิบัติการ ‘Operation Little Vittles’ แพร่สะพัดออกไป ชื่อเสียงของ ฮัลวอร์เซน ก็โด่งดังไปทั่วเบอร์ลิน เด็ก ๆ ต่างพากันเรียกเขาด้วยฉายาที่น่าเอ็นดู อย่าง ‘Uncle Wiggly Wings’ (คุณลุงปีกดุ๊กดิ๊ก) หรือ ‘The Chocolate Pilot’ (นักบินช็อกโกแลต) กองทัพจดหมายจากเด็ก ๆ หลั่งไหลมาที่ฐานทัพเทมเพลฮอฟทุกวัน เพื่อขอบคุณ ขอขนม หรือแม้แต่เล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันให้เขาฟัง
ในบรรดาจดหมายนับหมื่นฉบับ มีเรื่องราวที่ ฮัลวอร์เซน จำได้ไม่ลืม เรื่องแรกมาจากเด็กหญิงวัย 7 ขวบชื่อ ‘เมอร์เซเดส ไซมอน’ (Mercedes Simon) เธอเขียนจดหมายมาเล่าปัญหาหนักอกให้คุณลุงนักบินฟังว่า เธออาศัยอยู่ใกล้สนามบิน และฝูงไก่ที่บ้านของเธอก็ตกใจเสียงเครื่องบินลำเลียง C-54 จนพวกมันหวาดกลัวและไม่ยอมออกไข่
ด้วยความเป็นเด็กช่างเจรจา เธอจึงยื่นข้อเสนอที่น่ารักน่าชังว่า
“ไก่ของเราคิดว่าเครื่องบินของคุณเป็นเหยี่ยว และพวกมันก็ตกใจกลัว... ถ้าคุณเห็นไก่สีขาว โปรดทิ้ง (ช็อกโกแลต) ลงตรงนั้น แล้วทุกอย่างจะโอเคเอง”
ฮัลวอร์เซน พยายามมองหาไก่สีขาวจากห้องนักบิน แต่ด้วยความเร็วและระยะสูง เขาไม่สามารถหาเจอ เขาจึงตัดสินใจส่งหมากฝรั่งและลูกอมใส่ซองจดหมายส่งไปให้เธอทางไปรษณีย์แทน
อีกเรื่องราวหนึ่งมาจากเด็กชายวัย 9 ขวบ ชื่อ ‘ปีเตอร์ ซิมเมอร์แมน’ (Peter Zimmerman) ผู้ซึ่งมีความมุ่งมั่นไม่แพ้นักบินรบ ปีเตอร์เขียนจดหมายมาบ่นว่าเขาพยายามวิ่งไล่ตามร่มชูชีพขนมหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยทันเด็กโตเลยสักที เขาจึงวาดแผนที่ระบุพิกัดสวนหลังบ้านของเขาอย่างละเอียดแนบมาในจดหมาย พร้อมกำชับว่าให้ทิ้งขนมลงตรงจุดนี้
แต่เมื่อ ฮัลวอร์เซน พยายามหย่อนขนมลงไปตามพิกัด กระแสลมกลับพัดร่มชูชีพลอยไปตกที่อื่น ปีเตอร์จึงเขียนจดหมายตอบกลับมาด้วยความผิดหวังปนประชดประชันว่า
“คุณเป็นนักบินจริงหรือเปล่า? ผมให้แผนที่ไปแล้วนะ พวกคุณชนะสงครามมาได้ยังไงกัน?”
คำตัดพ้อที่ไร้เดียงสานี้ทำให้ ฮัลวอร์เซน หัวเราะและประทับใจในความกล้าหาญของเด็กชาย สุดท้ายเขาก็ส่งขนมไปให้ปีเตอร์ทางไปรษณีย์เช่นกัน เพื่อให้แน่ใจว่าคราวนี้จะไม่พลาดเป้าอีก
ในเดือนพฤษภาคม ปี 1949 สหภาพโซเวียตยอมยกเลิกการปิดล้อมเบอร์ลินในที่สุด แต่ปฏิบัติการขนส่งทางอากาศยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนกันยายน เพื่อให้มั่นใจว่าชาวเบอร์ลินจะมีเสบียงสำรองเพียงพอ ตลอดระยะเวลา 15 เดือน ฮัลวอร์เซน และเพื่อนนักบินได้โปรยขนมและหมากฝรั่งลงไปกว่า 23 ตัน สู่มือของเด็ก ๆ ที่รอคอยด้วยความหวัง
แม้สงครามเย็นจะแบ่งแยกโลกออกเป็นสองฝั่ง แต่การกระทำของ ฮัลวอร์เซน ได้ถักทอสายใยบาง ๆ ที่เชื่อมโยงมนุษยชาติเข้าด้วยกัน เขาไม่ได้แค่เอาชนะการปิดล้อมด้วยยุทธวิธี แต่เขาเอาชนะด้วย ‘หัวใจ’
หลายปีต่อมา ในปี 1970 ฮัลวอร์เซน ได้กลับมาที่เบอร์ลินอีกครั้งในฐานะผู้บัญชาการสนามบินเทมเพลฮอฟ เขาได้รับเชิญไปทานอาหารค่ำที่บ้านของครอบครัวหนึ่ง เมื่อไปถึง หญิงสาวเจ้าของบ้านได้ยื่นจดหมายฉบับเก่าคร่ำครึให้เขาดู มันคือจดหมายตอบกลับที่เขาเคยส่งให้เด็กหญิงเจ้าของไก่สีขาว... เมอร์เซเดส ไซมอน นั่นเอง ทั้งคู่สวมกอดกัน น้ำตาแห่งความปลื้มปิติยืนยันว่ามิตรภาพที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งนั้นยั่งยืนเพียงใด
เกล ฮัลวอร์เซน มักจะกล่าวอย่างถ่อมตนเสมอ เมื่อมองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่กลายเป็นตำนานนี้ เขายิ้มและพูดประโยคที่ย้ำเตือนใจเราทุกคนว่า การกระทำเล็ก ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
“ทั้งหมดนี้... เกิดขึ้นจากหมากฝรั่งเพียงสองชิ้น!”
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images