04 พ.ย. 2568 | 15:00 น.

KEY
POINTS
ในทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าธรรมเนียม ‘การรัดเท้า’ (foot binding) นั้นเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและเป็น ‘มรดก’ จากอดีตของสังคมจีนที่ยังคงหลงเหลือสตรีชาวจีนที่ยังรัดเท้าอยู่เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น และล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยชรา ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ธรรมเนียมการรัดเท้าของสตรีชาวจีนถูกสั่งห้ามอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลก๊กมินตั๋งในปี 1912 และหมดไปจากสังคมจีนในทางปฏิบัติในปี 1949
เมื่อมองการรัดเท้าของสตรีชาวจีนในมุมมองของคนปัจจุบัน อาจมองได้ว่า ธรรมเนียมปฏิบัตินี้คือการสยบยอมต่อมาตรฐานความงามอันสูงค่าและสืบทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง ที่สตรีเหล่านี้จำต้องทรมานร่างกายของตนเองเพื่อให้ได้เท้าที่สวยงามดั่ง ‘ดอกบัวทอง’ อันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงสัญลักษณ์ทางสังคมของสตรีชั้นสูงที่มิต้องทำงานหนัก (จึงสามารถมีเท้าที่เล็กและสวยงามเช่นนี้ได้) ก่อนที่ธรรมเนียมนี้จะแพร่กระจายไปสู่สตรีชนชั้นล่าง และยังเป็นพิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน (rite of passage) จากวัยเด็กสู่วัยสาว และเป็นสัญลักษณ์ของความเต็มใจที่จะเชื่อฟังเมื่อเท้าที่ถูกบีบรัดทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเธอถูกจำกัดลง จนต้องพึ่งพาและตกอยู่ภายใต้อำนาจของสมาชิกครอบครัวเพศชายในที่สุด
ในหมู่ชาวตะวันตกที่เดินทางมาเยือนจีนในศตวรรษที่ 19 อันเป็นช่วงเวลาที่จีนทำสนธิสัญญาและเปิดเมืองท่าค้าขายกับชาติตะวันตก การรัดเท้าถือเป็นแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับจีนที่ชาวตะวันตกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยชาวตะวันตกมีมุมมองต่อการรัดเท้าในแง่ลบ เพราะการรัดเท้าเปรียบเสมือนการกระทำความรุนแรงต่อสตรีภายใต้ระบบปิตาธิปไตย (Patriarchy) เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ไร้เหตุผล และป่าเถื่อน อันเป็นภาพสะท้อนถึงมุมมองของชาวตะวันตกที่มีต่ออารยธรรมของจีนว่ามีความด้อยกว่าอารยธรรมของตนอย่างชัดเจน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวตะวันตกเหล่านี้จะเป็นนักปฏิรูปทางวัฒนธรรม และยื่นมือเข้าช่วยเหลือสตรีชาวจีนผู้ทุกข์ยากให้พ้นจากธรรมเนียมปฏิบัติที่พวกเขามองว่าเป็นการกดขี่ทางเพศอย่างชัดเจน
หนึ่งในชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามายังจีนในช่วงเวลานั้นมีนามว่า ‘อลิเซีย ลิตเติล’ (Alicia Little) หรือที่รู้จักกันในอีกนามหนึ่งคือนาง ‘อาร์ชิบอลด์ ลิตเติล’ (Mrs. Archibald Little) สุภาพสตรีชาวอังกฤษผู้สร้างชื่อเสียงของตนจากการเป็นนักเดินทางสตรีและนักเขียนผู้มีผลงานตีพิมพ์มากมาย อลิเซีย ลิตเติลติดตามสามีคืออาร์ชิบอลด์ ลิตเติล พ่อค้าและนักธุรกิจที่ดำเนินกิจการในจีนไปพำนักยังนครฉงชิ่ง (Chongqing) และเดินทางไปทั่วจีน ซึ่งในขณะนั้นกำลังอยู่ในช่วงสนธยาของราชวงศ์ชิง
อลิเซียได้ผลิตงานเขียนเป็นจำนวนมากอันมีเนื้อหาสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของเธอ ในฐานะชาวตะวันตก ที่มีต่อ ‘ความเป็นจีน’ ซึ่งแตกต่างจากความเป็นตะวันตกโดยสิ้นเชิง ถึงกระนั้น มรดกอันเป็นรูปธรรมอีกประการหนึ่งที่อลิเซียได้ฝากไว้และมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อสังคมจีนคือการรณรงค์ต่อต้านการรัดเท้าของสตรีชาวจีน ซึ่งดึงดูดความสนใจในหมู่ชาวตะวันตกที่อาศัยอยู่ในจีน และนักปฏิรูปชาวจีนเป็นอย่างมาก อันสะท้อนให้เห็นถึงจีนในห้วงของความเปลี่ยนแปลง เมื่ออิทธิพลจากภายนอก (หรือตะวันตก) เข้ามา ‘เปลี่ยน’ วิถีปฏิบัติทางวัฒนธรรมของดินแดนนี้ไปตลอดกาล
        
อลิเซีย ลิตเติล ถือกำเนิดในนาม ‘อลิเซีย เอลเลน เนฟ เบวิค’ (Alicia Ellen Neve Bewick) เมื่อปี 1845 ที่มาเดรา (Madeira Islands) หมู่เกาะที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรโปรตุเกส บิดาและมารดาของเธอเป็นชาวอังกฤษชนชั้นเจ้าที่ดินผู้มีฐานะ ทำให้อลิเซียมีชีวิตวัยเด็กที่สุขสบายและได้รับการศึกษาอย่างดี
เมื่ออายุ 20 ปี อลิเซียเดินทางกลับไปอาศัยอยู่ที่อังกฤษพร้อมทั้งเดินทางและเขียนนวนิยายจำนวนหลายชิ้นตลอดวัยยี่สิบถึงสามสิบปีของเธอ นวนิยายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่นำเสนอให้เห็นถึงภาพสังคมสมัยวิกตอเรียที่มีความซับซ้อนและให้ความสำคัญกับปฏิสัมพันธ์ การครองคู่ และเรื่องรักโรแมนติกระหว่างชาย-หญิง ตามค่านิยมของเวลานั้น
ผลงานบางชิ้นของอลิเซียได้สะท้อนให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายและความคับข้องใจที่เธอมีต่อฤดูกาลทางสังคมและ ‘ตลาดการแต่งงาน’ (marriage market) ของหนุ่มสาวชาวอังกฤษ และชี้ให้เห็นปัญหาสังคมที่สตรีชาวอังกฤษต้องเผชิญตลอดชีวิต ซึ่งฉายให้เห็นว่าสิทธิสตรีในสมัยวิกตอเรียนั้นย่ำแย่เพียงใด เช่น Miss Standish (1883) นวนิยายที่บอกเล่าเรื่องราวของสาวทึนทึก (spinster) ผู้หนึ่งที่ตั้งใจอุทิศชีวิตของตนให้กับโครงการทางมานุษยธรรมมากกว่าการแต่งงานในความหมายดั้งเดิม และ Mother Darling! (1885) อันเป็นเรื่องราวของแม่ผู้สูญเสียสิทธิในการเข้าถึงลูก ๆ ของตนเอง ตามกฎหมายการสมรสของอังกฤษในเวลานั้นที่อนุญาตให้สามีสามารถตัดสิทธิ์ภรรยาที่แยกกันอยู่ไม่ให้เข้าถึงทรัพย์สินและลูก ๆ ได้ ก่อนที่พระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์สินของสตรีที่สมรส (Married Women's Property Act) จะถูกประกาศใช้ในปี 1893
เมื่อมองชีวิตของเธอในอังกฤษ จะเห็นได้ว่าอลิเซีย เบวิค เป็นผู้มีความสนใจในประเด็นด้านสิทธิสตรีเป็นอย่างมาก และใช้นวนิยายของเธอเป็นกระบอกเสียงส่งสัญญาณไปสู่สาธารณชนอังกฤษให้รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของสตรีชาวอังกฤษในเวลานั้น ที่ยังมิได้มีสิทธิเท่าเทียมกับบุรุษในบริบทของสังคมวิกตอเรียนอันเคร่งครัดในศีลธรรมจรรยา และเมื่อเธอพบพื้นที่ใหม่ที่มีการปฏิบัติต่อสตรีอย่างไม่เท่าเทียมกัน ความพยายามของเธอในการบรรเทาความทุกข์ยากของสตรีเหล่านี้จะเป็นรูปธรรมยิ่งกว่าที่เธอแสดงออกผ่านปลายปากกาในอังกฤษ
ในปี 1886 เมื่ออายุได้สี่สิบเอ็ดปี อลิเซีย เบวิค เข้าพิธีสมรสกับอาร์ชิบอลด์ ลิตเติล พ่อค้า นักธุรกิจ และนักจีนศึกษา (sinologist) ชาวอังกฤษ อาร์ชิบอลด์เดินทางมายังจีนในปี 1859 เพื่อประกอบอาชีพเป็นนักชิมชาให้กับบริษัทสัญชาติเยอรมันก่อนที่ผันตัวมาค้าขายและลงทุนในจีนในเวลาต่อมา หลังจากสมรสแล้ว สองสามีภรรยาลิตเติลก็ได้ไปอยู่ที่นครฉงชิ่ง ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ พร้อมทั้งเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วจีน ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสสั่งสมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวจีนโดยทั่วไปเป็นอันมาก
แม้จะมีอุปสรรคตลอดการพำนักและการเดินทาง ดังที่อลิเซียประสบจากการที่เธอเป็นสตรีผิวขาวในพื้นที่ห่างไกลของจีน และมักตกอยู่ภายใต้สายตาไม่เป็นมิตรของชาวพื้นเมืองผู้เกลียดชังชาวต่างชาติ ที่มองพวกเขาราวกับเป็นของแปลกประหลาดจนถึงกับเคยขว้างปาด้วยก้อนดินเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี อลิเซีย ลิตเติลก็สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองในฐานะสตรียุโรปคนแรกที่เดินทางล่องขึ้นไปบนแม่น้ำแยงซีเกียงตอนบนและเดินทางด้วยเรือกลไฟไปยังทิเบต
ตลอดเวลาในจีน อลิเซียได้เขียนและตีพิมพ์บันทึกการเดินทางและนวนิยายที่สะท้อนประสบการณ์ของเธอที่มีต่อวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติ และความเชื่อของสังคมจีน พร้อมกับให้คำชี้แนะและวิพากษ์วิจารณ์ชาวตะวันตกที่พำนักอยู่ในจีน เช่น A Marriage in China (1896) นำเสนอเรื่องราวของกงสุลอังกฤษที่รับสตรีชาวจีนเป็นอนุภรรยาพร้อมมีบุตรเชื้อชาติผสม อันเป็นประเด็นอื้อฉาวในสังคมขณะนั้น และ Intimate China (1899) ซึ่งเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ในจีนของอลิเซีย ลิตเติลในรูปแบบของบันทึกการเดินทาง บันทึกความทรงจำ และบทวิจารณ์สังคมการเมืองเข้าไว้ด้วยกัน
ประเด็นหนึ่งที่อลิเซียมีโอกาสพบเห็นระหว่างการเดินทาง และสร้างความสะเทือนใจให้แก่เธอเป็นอันมาก คือ ธรรมเนียมการรัดเท้า ซึ่งเธอมีความเห็นว่าเป็นสร้างความความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากต่อสตรี ทำให้พวกเธออ่อนแอ เดินแทบไม่ได้ ต้องอาศัยให้ทาส (ที่เป็นหญิงที่ไม่ได้ถูกรัดเท้า) ช่วยเดิน หรือให้ผู้ชายแบกข้ามห้องราวกับกระสอบ ความทุกข์ยากและข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของสตรีชาวจีนทำให้ลิตเติลตั้งปณิธานในใจที่จะขจัดธรรมเนียมปฏิบัตินี้ให้หมดสิ้นไปจากสังคมจีน เพื่อให้สตรีชาวจีนพ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและทางจิตใจที่พวกเธอได้รับจากการถูกรัดเท้า ผ่านการจัดตั้ง ‘เทียนซู่ฮุ่ย’ (T’ien Tsu Hui) หรือ ‘สมาคมเท้าธรรมชาติ’ (Natural Feet Society) ขึ้นเพื่อรณรงค์ต่อต้านการรัดเท้าให้หมดสิ้นไปจากสังคมจีน
‘สมาคมเท้าธรรมชาติ’ หรือรู้จักในภาษาจีนว่า ‘เทียนซู่ฮุ่ย’ ถือกำเนิดขึ้นในเดือนเมษายน ปี 1895 เป็นผลผลิตจากความคิดริเริ่มของอลิเซีย ลิตเติลโดยมีบรรดาสตรีชาวตะวันตกผู้เป็นภริยาของเหล่ากงสุลและพ่อค้าซึ่งพำนักอยู่ในเซี่ยงไฮ้เป็นผู้สนับสนุนหลัก เทียนซู่ฮุ่ยมิใช่ความพยายามแรกของชาวตะวันตกที่จะ ‘ต่อต้าน’ ไม่ให้มีการรัดเท้าเกิดขึ้นอีก ก่อนหน้านี้ บรรดามิชชันนารีผู้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาและสอนหนังสือให้แก่เด็กนักเรียนชาวจีน ได้พยายามด้วยวิธีการต่าง ๆ ในอันที่จะทำให้การรัดเท้าหายไปจากจีน ทั้งการปลูกฝังทัศนคติใหม่แก่ชายชาวจีน ให้ยอมรับเอาหญิงที่มิได้รัดเท้ามาเป็นภรรยา (เพื่อทำให้ค่านิยมของผู้ปกครองในการรัดเท้าบุตรสาวของตนเพื่อจะได้มีสามีนั้นหายไป) การจำกัดให้มีแต่เด็กหญิงที่มิได้ถูกรัดเท้าเท่านั้นที่สามารถเข้าเรียนโรงเรียนของมิชชันนารีได้ และการจัดตั้งสมาคมเท้าสวรรค์ (Heavenly Foot Society) ในปี 1874 โดยสาธุคุณจอห์น แมคโกแวน (Rev. John McGowan) มิชชันนารีจากสมาคมมิชชันนารีแห่งลอนดอน (London Missionary Society)
อย่างไรก็ตาม อลิเซีย ลิตเติล ตระหนักว่าความพยายามของเหล่ามิชชันนารีในการต่อต้านธรรมเนียมการรัดเท้านี้เป็นสิ่งที่ถูกผลักดันโดยความเชื่อทางศาสนาเป็นหลัก ทำให้ยากที่จะเข้าถึงจิตใจของชาวจีนที่ถูกหล่อหลอมโดยความเชื่อในลัทธิขงจื๊อนานกว่าพันปี ด้วยเหตุนี้ สมาคมเท้าธรรมชาติของอลิเซีย ลิตเติล จึงต้องแสวงหาหนทางอื่นในการเผยแพร่อุดมการณ์ของตน โดยมีทิศทางที่แตกต่างจากการเผยแผ่ศาสนาของเหล่ามิชชันนารี
หนทางที่อลิเซียตัดสินใจเลือก คือการแสดงบทบาทของสมาคมในพื้นที่สาธารณะเพื่อเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงความเห็นของสาธารณชนชาวจีนผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การตีพิมพ์บทกวีของสตรีชาวจีนสองคนที่มีหัวข้อเกี่ยวกับการรัดเท้า การจัดทำแผ่นพับรณรงค์ต่อต้านการรัดเท้าพร้อมแปลเป็นภาษาจีน การตีพิมพ์เอกสารทางการแพทย์และเอกสารวิชาการต่าง ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงผลเสียของการรัดเท้า และการอ้างความชอบธรรมในการต่อต้านการรัดเท้าโดยใช้ ‘เสียง’ ของชาวจีนเอง เช่น การตีพิมพ์เผยแพร่คำร้องทุกข์ซุยฝู (Suifu Appeal) ที่เขียนโดยขุนนางชาวจีน และข้อเขียนของชาวจีนผู้สืบเชื้อสายของขงจื๊อ ซึ่งมีเนื้อหาวิจารณ์ธรรมเนียมการรัดเท้าและสมาคมเท้าธรรมชาติได้นำเอกสารเหล่านี้ปิดประกาศทั่วจีน
นอกจากการพิมพ์แล้ว อลิเซีย ลิตเติลยังพยายามรณรงค์ผ่านการเดินสายบรรยายตามนครและเมืองท่าต่าง ๆ ของจีน ฮ่องกง และมาเก๊า ซึ่งดึงดูดความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมาก ระหว่างการประชุม อลิเซียได้โน้มน้าวจิตใจของผู้เข้าร่วมผ่านการเผยให้เห็นโทษของการรัดเท้าผ่านภาพเอกซเรย์และภาพถ่ายทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นเท้าที่เสียหาย ผิดรูป และพิการของเด็กหญิงชาวจีน
นอกจากเป้าหมายในหมู่สตรีแล้ว เธอยังบรรยายให้นักธุรกิจ ข้าราชการ และนักเรียนชายชาวจีนเกี่ยวกับโทษของการรัดเท้า ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงความคิดจนไม่ต้องการแต่งงานกับสตรีที่ถูกรัดเท้าอีกต่อไป ซึ่งความพยายามของอลิเซียและสมาคมเท้าธรรมชาติประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญของจีนหลากหลายท่าน ทั้งคัง โหย่วเว่ย (Kang Yu-wei) นักปฏิรูป หลี่ หงจาง (Li Hongzhang) อุปราชแห่งกวางตุ้ง และซูสีไทเฮา (Dowager Empress, Cixi) ผู้มีพระราชโองการให้ชาวจีนควรหยุดธรรมเนียมการรัดเท้านี้
ความสำเร็จจากการรณรงค์ต่อต้านธรรมเนียมการรัดเท้าของอลิเซีย ลิตเติลและสมาคมเท้าธรรมชาติ ทำให้เธอเข้าไปมีบทบาทในการส่งเสริมสวัสดิภาพของสตรีจีนตลอดระยะเวลาที่เหลือของการพำนัก เธอมีส่วนร่วมในการก่อตั้งโรงเรียนสตรีแห่งแรกของจีนในปี 1898 และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานการประชุมสตรีในเซี่ยงไฮ้ในปี 1900 นอกจากนี้เธอยังได้รับการยอมรับในฐานะของหนึ่งในสตรีชาวยุโรปผู้มีส่วนในการก่อรูปความเห็นสาธารณะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของสตรีชาวจีน และได้รับการยกย่องจากข้าราชการประจำเมืองฝูโจวว่าเป็น ‘เจ้าแม่กวนอิมองค์ที่สอง’ (the second Chinese goddess of mercy) ซึ่งล้วนแล้วแต่ยืนยันให้เห็นถึงผลกระทบที่อลิเซีย ลิตเติลมีต่อสังคมจีน เธอไม่เพียงแต่เป็นสตรีชาวตะวันตกคนหนึ่งที่มีความสนใจในความเป็นจีนเท่านั้น หากแต่เธอได้แปรความสนใจของตนเองมาสู่ความพยายามในการยกระดับชีวิตของชาวจีนให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการต่อต้านการรัดเท้า ซึ่งกลายเป็นที่ยอมรับกันในหมู่ชาวจีนเองว่าการรัดเท้าไม่ใช่ธรรมเนียมที่ควรจะถูกสืบสานต่อไป
ในปี 1907 หลังจากพำนักอยู่จีนนานกว่ายี่สิบปี อาร์ชิบอลด์และอลิเซีย ลิตเติล ตัดสินใจเดินทางกลับอังกฤษ ในปีถัดมา อาร์ชิบอลด์เสียชีวิตลงในวัยเจ็ดสิบปี หลังจากนั้น อลิเซียได้ย้ายไปอาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอ อลิเซีย ลิตเติลยังคงอุทิศตนให้กับประเด็นต่าง ๆ ทางสังคม ทั้งการเรียกร้องสิทธิการเลือกตั้งของสตรีอังกฤษ การต่อต้านการค้ามนุษย์และการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติภายในจักรวรรดิอังกฤษ อลิเซีย ลิตเติลเสียชีวิตในวันที่ 31 กรกฎาคม 1926 ในวัยแปดสิบเอ็ดปี
เมื่อพิจารณาชีวิตอันยาวนานของอลิเซีย ลิตเติล จะพบว่า สิ่งหนึ่งที่เธอยังคงทำอยู่ชั่วชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ในอังกฤษหรือจีน อันเป็นดินแดนไกลโพ้นและแตกต่างอย่างมากจากความเป็นตะวันตกของเธอ คือการยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เธอเชื่อว่าเป็นเหตุอันสมควร (a good cause) เพื่อที่จะให้สังคมมีความก้าวหน้าขึ้นได้ และในกรณีของอลิเซีย เหตุนั้นคือสิทธิของสตรี ไม่ว่าจะเป็นสตรีชาวอังกฤษ หรือสตรีชาวจีน ก็ล้วนจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้สตรีเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ต้องถูกตีตราประทับว่าเป็น ‘เพศชั้นรอง’ ในสังคมของพวกเธออีกต่อไป
ภาพ : ชนิกา แซ่จาง
ที่มาภาพ : Public Domain
อ้างอิง
Oldfield, Sybil. “Little, Alicia Ellen Neve.” In Oxford Dictionary of National Biography - volume 34 Liston–McAlpine, edited by Brian Harrison, and H.C.G. Matthew, 15-16. Oxford: Oxford University Press, 2007
Schoenbauer Thurin, Susan. “Travel Writing and the Humanitarian Impulse: Alicia Little in China.” In A Century of Travels in China: Critical Essays on Travel Writing from the 1840s to the 1940s, edited by Douglas Kerr, and Julia Kuehn, 91-103. Hong Kong: Hong Kong University Press, 2007.
Rejali, Saman, “From Tradition to Modernity: Footbinding and Its End (1839-1911) – the History of the Anti-Footbinding Movement and the Histories of Bound-feet Women in China.” Prandium - The Journal of Historical Studies 3, no. 1 (Fall, 2014): 1-8.
Coomes, Phil. “Chinese foot binding.” BBC. 16 July 2014.
Smith, Tiffany Marie, “footbinding.” Britannica. September 13, 2025.