ลินดา บราวน์ : เด็กหญิงที่อยากเรียนใกล้บ้านและจุด ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ให้อเมริกา

ลินดา บราวน์ :  เด็กหญิงที่อยากเรียนใกล้บ้านและจุด ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ให้อเมริกา

เรื่องราวของ ‘ลินดา บราวน์’ (Linda Brown) เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่ปราถนาอยากจะเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน สู่คดี ‘Brown v. Board of Education’ ที่จุดประกายตุลาการภิวัฒน์ในอเมริกา

KEY

POINTS

ปรัชญาในทางสังคมศาสตร์เคยเสนอว่า ‘ประวัติศาสตร์กับเวลาไม่ใช่เรื่องเดียวกัน’ มันเป็นสิ่งที่ซ้อนทับกันอยู่ ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ไม่ได้วางอยู่บนเงื่อนไขเวลาแบบใหม่ แต่อ้างอิงจากเวลาก่อนสมัยใหม่ในทางศาสนา เช่น ศาสนาพุทธมีการมองเวลาแบบวงกลม (continuity) ในแง่นี้ประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่วนเวียนในรูป ‘เกิด แก่ เจ็บ ตาย’ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คล้ายกันกับในปัจจุบันที่ใช้การมองเวลาแบบกรีกและโรมัน ที่หั่นเวลาออกหน่วยเท่า ๆ กันในเชิงปริมาณ และนำชิ้นส่วนของเวลา (คน + เวลา = เหตุการณ์) มาเรียงต่อกันเป็น ‘อดีต - ปัจจุบัน – และอนาคต’ วิธีการมองเวลาแบบนี้คือฐานการเขียนประวัติศาสตร์ของผู้มีอำนาจ ที่เส้นเวลาถูกจัดเรียงไว้เพื่อกำหนดอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และเราจะเห็นว่าในเส้นเวลาทางประวัติศาสตร์การเมือง จะมีชิ้นเวลา (event) บางชิ้นได้ถูกเบียดขับออกไป เพราะผู้มีอำนาจเห็นว่ามันจะนำไปสู่อนาคตในแบบที่รัฐไม่ต้องการ เช่น เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรงของรัฐที่อยากให้ทุกคนหลงลืม ด้วยเหตุนี้การจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เราต้องเปลี่ยนวิธีการมองเวลา และค้นหาชิ้นเวลาบางชิ้นที่สูญหายไปหรือถูกบดบัง

หากจะพูดถึงการต่อสู้ด้านสิทธิพลเมือง (Civil Rights Movement) ในสังคมอเมริกัน โดยเฉพาะประเด็นการแบ่งแยกสีผิว คนส่วนใหญ่จะนึกถึง ‘มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์’ (Martin Luther King Jr.) ในคำปราศรัยชื่อดัง ‘I Have a Dream’ แต่ก่อนที่วีรกรรมของเขาจะถูกยกย่อง กลับมีเรื่องราวการต่อสู้เพื่อความฝันเล็กๆของเด็กหญิงคนหนึ่งที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้สังคมเริ่มสนใจกับความเหลื่อมล้ำที่ถูกทำให้เป็นเรื่อง ‘ปกติ’ มายาวนานในสังคมอเมริกัน แต่กลับเป็นเพียงเหตุการณ์ที่พร่ามัวหรือกระทั่งจางหายไปในความทรงจำ 

 

ฉันเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อยากไปโรงเรียนใกล้บ้าน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าก้าวเดินของฉันจะช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศได้

 

ฤดูหนาวราวปี 1950s ในเมืองโทพีกา (Topeka) สหรัฐอเมริกา ‘ลินดา คารอล บราวน์’ (Linda Carol Brown) เด็กหญิงวัยเก้าขวบเดินทางฝ่าลมหนาวทุกวันเพื่อไปโรงเรียนของเธอซึ่งมีแต่คนผิวดำ แต่อยู่ไกลกว่าโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านเธอเพียงไม่กี่ช่วงตึกซึ่งมีแต่คนผิวขาว ครอบครัวบราวน์ไม่เข้าใจว่าทำไม ‘ระยะทางของความไม่เท่าเทียมนี้’ ต้องถูกวัดด้วยสีผิว สำหรับพวกเขาข้อสงสัยนี้ไม่ได้เป็นความต้องการใด ๆ มากไปกว่าอยากให้ลูกได้เข้าโรงเรียนใกล้บ้านก็เท่านั้น ทว่าสิ่งนี้กลับไปสร้างรอยร้าวสำคัญในโครงสร้างสังคมอเมริกันในยุคนั้น เพราะในระบบการศึกษาที่โรงเรียนต่าง ๆ ยังแยกคนผิวขาวกับคนผิวดำออกตามกฎหมายว่าด้วยหลัก ‘แตกต่างแต่เท่าเทียม’ (Separate but Equal) สืบเนื่องมาจากคดี Plessy v. Ferguson (1896) ซึ่งบอกว่าการแยกคนตามเชื้อชาติไม่ผิด หากโรงเรียนมีความเท่าเทียมกัน ในทางปฏิบัติความเท่าเทียมที่เขียนไว้ในกฎหมายมักสวนทางกับความเป็นจริง เพราะโรงเรียนของเด็กผิวดำนั้นทรุดโทรม ขาดแคลนครู และเต็มไปด้วยอุปกรณ์การเรียนเก่าๆ การศึกษาในอเมริกาช่วงนั้นจึงสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลงในสังคม 

ต่อมาในปี 1951 ครอบครัวบราวน์ได้ยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการด้านศึกษาเมืองโทพีกา (Board of Education of Topeka) เพื่อต่อต้านระบบโรงเรียนแบบแบ่งแยกสีผิว โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาคมเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสีแห่งชาติ (National Association for the Advancement of Colored People) กลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีที่สั่นสะเทือนหลักสิทธิพลเมืองในชื่อ Brown v. Board of Education of Topeka (1954) ที่ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกามีคำตัดสินว่า “การแบ่งแยกนักเรียนตามสีผิวในโรงเรียนของรัฐนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ” แต่สิ่งที่ผู้คนจดจำกลับเป็นชื่อของคดี แต่ไม่ใช่ชื่อของเด็กหญิงลินดา บราวน์

ขั้นตอนในการต่อสู้ ศาลทบทวนวิธีการพิจารณาจากจุดเริ่มต้นในคดี Plessy v. Ferguson ในปี 1896 ที่เป็นข้อพิพาทว่าทำไมในขบวนรถไฟจึงมีการแยกโบกี้คนดำกับโบกี้คนขาว ซึ่งคำพิพากษาเป็นที่มาของคำว่า ‘แตกต่างแต่เท่าเทียม’ หากในปี 1954 ทุกอย่างเปลี่ยนไปในคดี ‘Brown v. Board of Education’ เมื่อศาลสูงสุดมีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ว่า “การแยกโรงเรียนของรัฐตามสีผิวนั้นขัดต่อหลักความเท่าเทียมที่บัญญัติไว้ในบทแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 14” และกลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกของสิ่งที่นักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์เรียกว่า ‘Judicial Activism’ (ตุลาการภิวัฒน์) ที่แสดงถึงการที่ศาลตีความกฎหมายอย่างก้าวหน้าเพื่อจำกัดอำนาจรัฐและขยายสิทธิพลเมืองให้กว้างขวางขึ้น โดยวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักกฎหมายชื่อดังเคยอธิบายในทำนองที่ว่า 

คดี Plessy v. Ferguson (1896) ในยุคแห่งการแบ่งแยกสีผิว หน่วยงานการรถไฟมีการจัดเส้นทางการเดินรถโดยมีการแยกเป็นโบกี้คนดำ และโบกี้คนขาว ห้ามปะปนกัน หมายความ​ว่า คนขาวห้ามนั่งกับคนดำ คนดำห้ามนั่งกับคนขาว ซึ่งแสดงถึงความแตกต่างแต่เท่าเทียม มีการฟ้องร้องกันว่า ลักษณะดังกล่าวขัดกับหลักความเสมอภาค เป็นการเลือกปฏิบัติ แต่ในระยะนั้นศาลยืนยันว่าทำได้ ไม่มีปัญหา ต่อมาอีก 60 ปี เกิดกรณีคล้ายกันเกิดขึ้น แต่เป็นการแยกระหว่างโรงเรียนคนผิวดำ โรงเรียนคนผิวขาว ในคดี Brown v. Board ​of Education โดยลินดา บราวน์ สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนประถมข้างบ้านซึ่งมีแต่คนผิวขาวแต่เธอเองเป็นคนผิวดำ โรงเรียนจึงไม่ให้เข้าเรียน เธอจึงฟ้องศาลเพื่อให้โรงเรียนยกเลิกนโยบายแบ่ง​แยกสีผิว ในคดีนี้ศาลได้ตีความใหม่จากคดี Plessy v. Ferguson โดยให้เหตุผลว่า เราไม่อาจย้อนเวลากลับไปในปี 1868 ได้ เมื่อพิจารณาข้อต่อสู้ของลินดา ​บราวน์ แล้วเห็นว่าโอกาสทางการศึกษาที่จัดขึ้นโดยรัฐ ถือเป็นสิทธิ์ที่ทุกคนต้องได้รับอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกัน ดังนั้นการแบ่งแยกสีผิวในโรงเรียนจึง​ขัดต่อหลักความเสมอภาคตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ คำพิพากษาจากคดีของลินดา บราวน์ ไม่เพียงแสดงถึงการที่ศาลตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่ใช้การตีความเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” 

หากผู้คนมักจดจำว่าเพียงว่าเหตุการณ์นี้ (ชิ้นเวลา) คือพัฒนาการของผู้พิพากษาและศาล แต่กลับเบียดขับ บดบังจุดเริ่มในการต่อสู้ของครอบครัวเล็ก ๆ ที่ไม่ยอมรับความอยุติธรรมในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ คดี Brown v. Board of Education ยังเต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนเล็กๆ ทั้งในมุมของทนายที่รับว่าความให้ลินดา บราวน์ที่ชื่อ ‘เทอร์กู๊ด มาร์แชล’ (Thurgood Marshall) บัณฑิตหนุ่มผิวดำจากจากฮาร์วาร์ด เขาได้วางกลยุทธ์ในการต่อสู้คดีด้วยการโจมตีไปถึงรากฐานของ ‘จิตสำนึกทางสังคม’ โดยยืนยันว่า ‘การแยก’ โดยตัวมันเองคือ ‘การเลือกปฏิบัติ’ (Discrimination) เพราะมันส่งผลทางจิตวิทยาและสังคม ทำให้เด็กผิวดำรู้สึกถูกด้อยค่า พร้อมทั้งการนำเสนอหลักฐานทางจิตวิทยาจากการทดลองแบบ ‘ตุ๊กตา’ (Doll Test) ของเคนเน็ธและ ‘มาเม อาร์. คลาร์ก’ (Kenneth and Mamie Clark) การทดลองนี้ให้เด็กผิวดำลองตัดสินใจว่าจะเลือกตุ๊กตาผิวขาวหรือผิวดำ ผลพบว่าเด็กส่วนใหญ่เลือกตุ๊กตาผิวขาว และบอกว่าตุ๊กตาผิวดำ ‘น่าเกลียด’ หรือ ‘ไม่ดี’ ทนายความมาร์แชลใช้ผลนี้เพื่อยืนยันว่า การแบ่งแยกโรงเรียนสร้างความรู้สึกด้อยค่าในจิตใจของเด็กผิวดำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการพัฒนาอัตลักษณ์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ศาลรับฟังข้อเท็จจริงนี้และใช้เป็นส่วนสำคัญของคำวินิจฉัย และเป็นจุดเริ่มต้นของการนำหลัก ‘จิตวิทยา’ มาใช้ในการวินิจฉัยข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ และ 14 ปีต่อมา ทนายคนนี้เองได้กลายเป็น ผู้พิพากษาศาลสูงสุดผิวดำคนแรกของสหรัฐอเมริกา ถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ‘ลินดอน บี. จอห์นสัน’ (Lyndon Baines Johnson) 

อย่างไรก็ตาม การตัดสินของศาลสูงสุดในคดี Brown v. Board of Education แม้จะถือเป็นชัยชนะทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ แต่โลกไม่ได้เปลี่ยนในชั่วข้ามคืน ความไม่เท่าเทียมที่ฝังรากลึกในโครงสร้างสังคมอเมริกันยังคงดำรงอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ปรับรูปลักษณ์ไปสู่วิธีการแบบใหม่ โรงเรียนจำนวนมากทั้งในรัฐทางใต้และทางเหนือหลายส่วน ยังคงปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลสูงสุด พวกเขาต่างใช้กลวิธีทางกฎหมายและกลยุทธ์ทางสังคมเพื่อชะลอหรือหลีกเลี่ยงความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ โดยอ้างเหตุผลเรื่องการจัดการความแตกต่างในแต่ละบริบทของท้องถิ่น และข้ออ้างเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชน

ในความเป็นจริงแล้วการเปิดโรงเรียนให้เด็กผิวดำและผิวขาวเรียนร่วมกันได้กลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการต่อสู้ทางสังคม เช่น ครูผิวขาวบางคนลาออกเพื่อแสดงสัญลักษณ์ของการต่อต้าน ผู้ปกครองผิวขาวจำนวนมากย้ายลูกไปเรียนในโรงเรียนเอกชนหรือแม้แต่การก่อตั้งโรงเรียนขึ้นใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการให้ลูกต้องเรียนกับคนผิวดำ รัฐบางแห่งถึงขั้นประกาศปิดโรงเรียนชั่วคราวแทนที่จะยอมรับเด็กผิวดำเข้าสู่ระบบการศึกษา ภาพของห้องเรียนที่ว่างเปล่าจึงสะท้อน ‘การต่อต้านเชิงสัญลักษณ์’ ที่เต็มไปด้วยอคติและความกลัวในใจของผู้คน

หนึ่งในเหตุการณ์ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคหลังคำพิพากษาคือกรณีที่รัฐอาร์คันซอว์ในปี 1957 เด็กนักเรียนผิวดำเก้าคนสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยม Little Rock Central High School ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนของคนผิวขาวทั้งหมด แต่การมาถึงของพวกเขากลับถูกขัดขวางโดยผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอว์ในขณะนั้น ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่มาปิดกั้นไม่ให้เด็กทั้งเก้าคนเข้าโรงเรียน ภาพของเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ‘เอลิซาเบธ เอ็กฟอร์ด’ (Elizabeth Eckford) เดินถือหนังสือท่ามกลางฝูงชนที่ตะโกนด่าและข่มขู่ กลายเป็นภาพที่โลกไม่อาจลืม รัฐบาลกลางภายใต้การนำของประธานาธิบดี ‘ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์’ (Dwight D. Eisenhower) จำเป็นต้องส่งกองทัพสหรัฐเข้าไปคุ้มกันนักเรียนทั้งเก้าคนให้สามารถเดินเข้าโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ‘ความเท่าเทียมทางกฎหมาย’ นั้น ไม่ได้หมายถึงความเท่าเทียมทางสังคมในชีวิตจริง เพราะกฎหมายอาจประกาศสิทธิได้ แต่ไม่อาจบังคับให้หัวใจของผู้คนยอมรับได้ในทันที ในขณะที่ลินดา บราวน์ เธอเติบโตขึ้นอย่างเงียบๆ ในเมืองโทพีกาโดยทำงานเป็นนักการศึกษา และในปี 1979 เธอกลับมาฟ้องร้องคณะกรรมการการศึกษาอีกครั้งในฐานะผู้ใหญ่ เมื่อพบว่าการแบ่งแยกในโรงเรียนยังไม่เกิดขึ้นจริง 

ในมิติทางการเมือง คดี Brown v. Board of Education ไม่เพียงพลิกกฎหมายการศึกษา แต่ยังสั่นสะเทือนแนวคิดเรื่อง ‘บทบาททางการเมืองของศาล’ (Judicialization of Politics) กล่าวคือ ในระบบการเมืองอเมริกันนั้น มีวิธีการหนึ่งที่ให้อำนาจฝ่ายตุลาการเข้าไปตรวจสอบการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะมองว่าอำนาจนิติบัญญัติมีลักษณะเชิงรุก (active) เพราะสามารถออกกฎหมายและนโยบายที่อาจส่งผลต่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชนได้ และด้วยบริบทของการเป็นรัฐรวมซึ่งมีโอกาสที่รัฐบาลท้องถิ่นจะออกกฎหมายที่ขัดกับรัฐบาลกลาง จึงให้ฝ่ายศาลเข้าไปตรวจสอบทบทวนข้อพิพาทเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า ‘Judicial Review’ แต่เมื่อศาลเข้าไปทบทวนบ่อยครั้งและยังมีคำวินิจฉัยในทางก้าวหน้าที่แสดงถึงการขยายสิทธิพลเมือง ความเท่าเทียม และสนับสนุนประชาธิปไตย ทำให้กระบวนการนี้ถูกเรียกว่า ‘ตุลาการภิวัฒน์’ (Judicial Activism)  แต่เมื่อหันมองวิกฤติการเมืองไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2549 สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน จากคำว่า ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ที่ถูกอธิบายในทางสากลว่าคือการตีความกฎหมายอย่างก้าวหน้าตามแนวทางคำพิพากษาในคดีของลินดา บราวน์ แต่ในระยะนั้นตุลาการภิวัฒน์ถูกใช้ในความหมายที่ต่างออกไปในมุมที่ว่า เมื่อเกิดข้อพิพาททางการเมืองหรือรัฐธรรมนูญ ศาลและผู้พิพากษาจะเข้ามาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาทุกสิ่งอย่าง ซึ่งมีเส้นบาง ๆ กั้นระหว่างการตีความกฎหมายอย่างก้าวหน้ากับการตีความกฎหมายโดยเป็นปฏิปักษ์และแทรกแซงองค์กรที่มาจากการเลือกตั้ง เราจึงเห็นองค์กรศาลไทยส่งผ่านคำพิพากษาเหล่านี้อย่างต่อเนื่องกว่า 2 ทศวรรษ ทั้งการสนับสนุนการรัฐประหาร (ทำลายสถาบันรัฐธรรมนูญ) การยุบพรรคและตัดสิทธิ์นักการเมือง (ทำลายเจตจำนงของประชาชน) รวมถึงการทำให้การเลือกตั้งเป็นโมษะ (ต่อต้านกระบวนการประชาธิปไตย) จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็น ‘ตุลาการภิวัฒน์เชิงลบ’ (Judicialization of Politics) ที่ถูกบิดผันให้กลายเป็น การที่องค์กรตุลาการแทรกแซงกระบวนการทางการเมือง หรือแม้แต่การที่ศาลมีคำวินิจฉัยข้อพิพาทางรัฐธรรมนูญโดยมีธงทางการเมืองชี้นำ
 
การต่อสู้ในคดีของลินดา บราวน์ จึงเป็นการพลิกโฉมแนวคิดว่าด้วย ‘บทบาททางการเมืองของศาล’ อย่างสิ้นเชิง ที่ศาลไม่ได้เพียงตัดสินตามแนวทางคำพิพากษาในอดีต แต่ตีความในทางที่ก้าวหน้า (Progress) ถูกบันทึกไว้ในตำรากฎหมายและรัฐศาสตร์ทั่วโลกว่าเป็นตัวอย่างของ ‘ตุลาการภิวัฒน์เชิงบวก’ (Positive Judicialization of Politics) คือการที่ศาลใช้บทบาทของตนเองเพื่อจำกัดอำนาจรัฐ และขยายสิทธิของประชาชนให้ออกไปไกลกว่าที่กฎหมายเคยรับรองไว้ การตีความเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ศาลเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่ยังทำให้เป็นผู้พิทักษ์คุณค่าพื้นฐานของมนุษยชาติ แม้ในบางพื้นที่หลักการเหล่านี้จะถูกบิดผันเพื่อรับใช้อำนาจทางการเมืองก็ตาม

ลินดา คารอล บราวน์ เสียชีวิตอย่างสงบในปี 2018 ด้วยวัย 76 ปี แต่ชื่อของเธอยังคงเป็นชิ้นเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์โลก หากมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เป็นแสงสว่าง ลินดาก็คือเงาที่คอยสะท้อนความพยายามและความกล้าหาญที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง ดังคำกล่าวของคิงที่ว่า

 

The arc of the moral universe is long,
but it bends toward justice

 

หรือ “เส้นโค้งของจักรวาลทางศีลธรรมนั้นยาวไกล แต่ในที่สุดมันโค้งเข้าหาความยุติธรรม” ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เราจำเป็นต้องเริ่มจากการค้นหาชิ้นเวลาส่วนเล็ก ๆ ที่หล่นหายไปจากเส้นเวลาของประวัติศาสตร์กระแสหลัก ซึ่งถูกจัดเรียงเป็นเรื่องเล่าของผู้มีอำนาจ บันทึกไว้แค่เหตุการณ์ใหญ่โต การสนับสนุนสังคมชายเป็นใหญ่ มหาบุรุษในสงคราม เพื่อกลบฝังความขัดแย้งทางชนชั้น และความกล้าหาญของผู้คนธรรมดาอย่างลินดา บราวน์ ให้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความก้าวหน้าในแวดวงกฎหมาย การค้นหาชิ้นเวลาเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันช่วยฉายภาพเหตุการณ์ในสิ่งที่รัฐพยายามปกปิดว่า ครั้งหนึ่งในดินแดนที่มีจุดเด่นเรื่องเสรีภาพอย่างสหรัฐอเมริกา เคยพลาดพลั้งรังแกผู้คนที่อยู่ชายขอบของสังคม และช่วยเปิดพื้นที่ให้มีคนทุกส่วนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อรองเชิงนโยบาย ทำให้อนาคตไม่ถูกกำหนดจากอดีตว่าสังคมจะเดินไปในทิศทางแบบใด 

ประวัติศาสตร์จึงมิใช่เรื่องเล่าของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่คือการต่อสู้ด้านความทรงจำที่ผู้คนธรรมดาต่างพยายามยืนยันการมีอยู่ของตน บทบาทของลินดา คารอล บราวน์ จึงไม่ได้ทิ้งไว้แต่คำพิพากษาที่พลิกโฉมกฎหมายสิทธิพลเมืองในอเมริกา แต่เธอคือเงาของเวลาที่ทอดสะท้อนเพื่อให้เราตระหนักว่า การเปลี่ยนแปลงมิได้จำกัดอยู่ที่ชนชั้น เพศสภาพ การศึกษา สถานะทางเศรษฐกิจ และสีผิว แต่อาจเกิดจากก้าวเล็กๆ ของคนธรรมดาที่กล้าท้าทายความไม่เท่าเทียมในชีวิตประจำวัน แม้ผู้คนจะหลงลืมเรื่องราวไปบ้าง แต่ไม่ได้หลงหายไปในกาลเวลา ยังคงถูกเล่าจากน้ำเสียงของผู้ไร้อำนาจเพื่อย้ำเตือนว่า ในทุกยุคสมัย ยังมี ‘ชิ้นเวลา’ ที่รอให้เราเก็บขึ้นมาทบทวนอยู่เสมอ

ภาพ : ชนิกา แซ่จาง
ที่มาภาพ : Getty Images