01 ก.ค. 2568 | 12:02 น.
KEY
POINTS
26 มิถุนายน ณ ริมชายฝั่งหาดสะกอม ม.4 ต.ปากบาง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ยังคงมีเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่งและเสียงของชาวบ้านที่ไม่เคยเงียบหายไป นั่นคือกลุ่มคนธรรมดาที่รวมตัวกันเพื่อรักษาทะเล บ้านเกิด และความมั่นคงทางอาหารของลูกหลาน พวกเขาเรียกตัวเองว่า "นักรบผ้าถุง" เช่นเดียวกับอีกหลายๆกลุ่มคนที่เป็นเครือข่าย จะนะรักษ์ถิ่นที่ร่วมรักษาทะเลจะนะและย้ำในจุดยืนร่วมกันมาหลายครั้ง ตั้งแต่ท่อกาซไทย มาเลยเซีย เมื่อ 30 ปีก่อน ตลอดจนจนถึงโรงไฟฟ้าถ่านหิน จนมาล่าสุดโครฃการเขตอุตสาหกรรมนิคมจะนะ
“เรามองไม่เห็นตัวเลขบนกระดาษ… แต่เรามองเห็นทะเลที่เราหากิน เห็นลูกหลานที่ยังต้องเติบโตอยู่ตรงนี้” ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าว
เมื่อสองสามปีก่อน ชาวบ้านกลุ่มนี้ยอมทิ้งอวน ทิ้งเรือ ออกเดินทางไกลจากบ้านเกิด รวมกับอีกหลายกลุ่ม ไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล และองค์การสหประชาชาติในกรุงเทพฯ เพื่อทวงสัญญาจากรัฐให้ประเมินผล กระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน โครงการเขตนิคมอุตสาหกรรมจะนะซึ่งมูลค่าการลงทุนหมื่นถึงแสนล้านนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้เปลี่ยนผืนดินให้เป็นโรงงาน แต่กำลังจะกลืนชีวิต กลืนกินวิถีประมงที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
การชุมนุมเมื่อปี 2564 มีชาวบ้าน 37 คนถูกกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่สุดท้าย อัยการมีความเห็นไม่ฟ้อง เพราะพวกเขาชุมนุมโดยสงบ สะท้อนเจตนารมณ์การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างชอบธรรม
โดยภาพการถูกจับครั้งนั้นขณะที่ใส่ผ้าถุงทำให้ฉายาว่า"นักรบผ้าถุง" โด่งดังเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นแลัวต่อสู้มาตลอดจนถึงทุกวันนี้
ซึ่งถึงแม้โครงการจะถูกชะลอในเวลาต่อมา แต่ชาวบ้านจะนะรู้ดีว่า เม็ดเงินจากทุนใหญ่ไม่ได้หายไปไหน มันแค่ซ่อนตัวอยู่ในเงา และพร้อมจะกลับมาได้ทุกเมื่อ เพราะผลประโยชน์อันมหาศาล ทำให้ชุมชนนี้ รวมถึงอีกหลายชุมชน หลายภาคส่วนในอำเภอจะนะไม่อาจวางใจได้เลย
ที่บ้านของ ‘นางจันทิมา ชัยบุตรดี’ หรือ ‘ก้ะเนาะ’ ประธานกลุ่มนักรบผ้าถุง คือหนึ่งในแนวหน้า พวกเขาเริ่มเก็บ 'ข้อมูลชุมชนโดยชุมชน' ทั้งเรื่องสัตว์น้ำ ทรัพยากรชายฝั่ง อาชีพดั้งเดิม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา EHIA (Environmental Health Impact Assessment : การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ) และ SEA (Strategic Environmental Assessment : การจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์) นี่ไม่ใช่เพียงงานวิจัยเชิงวิชาการ แต่คือ 'เครื่องมือแห่งการต่อรอง' ที่มีความแม่นยำและยึดโยงกับชีวิตจริง
ปี 2567 - 2568 ชาวบ้านจะนะร่วมกับอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ จนเกิดเป็นคลังทรัพยากรชายฝั่งที่น่าทึ่ง ประกอบด้วย ปลาทะเล 156 ชนิด (ยังเก็บไม่ครบ) หอย 70 ชนิด ปู 32 ชนิด กุ้ง 22 ชนิด หมึกอีกหลากชนิด กำลังสำรวจ แต่ยังไม่ครบ นอกจากนี้มีปลาใหญ่โลมา ฉลาม และวาฬอีก 9 ชนิด ที่มาผลุบโผล่ปรากฎตัวให้เห็นบริเวณนี้
“สิ่งที่อยู่ในทะเลของเรานั้นไม่ใช่แค่สัตว์น้ำ แต่มันคือมรดกที่หล่อเลี้ยงทั้งหมู่บ้าน” ประธานกลุ่มนักรบผ้าถุงบอก
ขณะเดียวกัน งานเก็บข้อมูลนี้ไม่ได้จบลงแค่ตัวเลข ชาร์ต หรือกราฟ แต่ถูกแปลงเป็นเมนูอาหารพื้นบ้าน ผ่านกิจกรรมในชุมชนที่เรียกว่า ‘อาหารปันรัก’ ซึ่งไม่เพียงแค่บอกว่า ปลาชนิดนี้คืออะไร แต่ยังสาธิตว่า เรากินมันอย่างไร เราอยู่กับมันอย่างไร ปรุงอาหารอะไรออกไป นี่คือวิธีสื่อสารทรัพยากรธรรมชาติให้เข้าใจได้ง่ายและเข้าถึงใจ
โมเดล ‘อาหารปันรัก’ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่เป็นทั้งวัฒนธรรมและการเมือง นี่คือการใช้เมนูอาหารและการเวิร์กช็อปสื่อสารเรื่องสิทธิในทรัพยากรอย่างมีรากฐาน อีกทั้งไม่เพียงแต่ชาวบ้านจะลุกขึ้นปกป้องทะเล แต่ยังกลายเป็นนักวิจัยและครูผู้ถ่ายทอดความรู้ในแบบของตนเอง
เพราะสิ่งที่ชาวจะนะต่อสู้ไม่ใช่เพื่อคนวัยพวกเขา แต่เป็นการต่อสู้เพื่อคนรุ่นต่อไป
จันทิมาเล่าเสริมว่า “เราสู้ ไม่ใช่เพื่อวันนี้ แต่เพื่อให้หลานของเรายังได้เห็นปลา ได้มีที่ออกเรือ ได้มีอาหารจากทะเลที่สะอาดและยั่งยืน”
อีกทั้งล่าสุดมีการจัดอบรมหลักสูตร 'ผู้นำเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน' ประเด็นสิ่งแวดล้อม พื้นที่เรียนรู้จังหวัดสงขลาจากตัวแทนประเทศไทย SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นประมวลเป้าหมายของโลก 17 ข้อที่เชื่อมโยงกันที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นพิมพ์เขียวเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองเพื่อประชาชนและโลก
เรื่องราวของจะนะคือบทเรียนสำคัญของการพัฒนาและการมีส่วนร่วมจากชุมชน จากคนธรรมดาที่เคยถูกมองข้าม พวกเขาได้เปลี่ยนบทบาทของตนเองให้กลายเป็นผู้มีสิทธิโดยชอบธรรมในการตัดสินอนาคตบ้านเกิด
ชายฝั่งทะเลจะนะจึงไม่ใช่แค่ชายหาดหนึ่งในภาคใต้ แต่คือภาพสะท้อนของการต่อสู้เพื่อชีวิต สิ่งแวดล้อมกับนายทุนใหญ่ระดับประเทศ และอนาคตที่ไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการสูญเสีย
ประธานชุมชนเล่าว่า “จากอดีตถึงปัจจุบัน เราก็ยังทำเหมือนเดิม ยังเฝ้าระวังทรัพยากรทางทะเลในพื้นที่ของเรา พวกเราไม่เคยไว้วางใจรัฐเลย เพราะรัฐบาลเขาจะคอยดูว่า พวกชาวบ้านเราจะอ่อนแอลงเมื่อไหร่ แล้วเขาจะจ้องจะมาทำนโยบายการลงทุนให้เป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมของพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กลัวว่าจะต้องสูญเสียทรัพยากรทางทะเล กลัวว่าชุมชนของเราจะต้องล่มสลายวัฒนธรรมของบ้านเราเอง
“พวกเราจึงต้องร่วมปกป้องกันอย่างเข้มแข็งให้มากขึ้น และสื่อสารให้คนข้างนอกได้เห็นความสำคัญ ให้คนทั่วประเทศไทยได้รับรู้ว่าพื้นที่จะนะมีความอุดมสมบูรณ์มากมายอย่างไร เราเก็บข้อมูล ทำ SEA ร่วมมือทำกับสภาพัฒน์ และ กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หาดใหญ่ ถึงประมาณสิงหาคม 2568 นี้ก็จะเสร็จ
“เราขอเรียกร้องว่า รัฐจะต้องคำนึงถึงศักยภาพของคนในพื้นที่ก่อนว่าเรามีแค่ไหน หากจะลงทุน การพัฒนาก็ต้องทำให้สอดคล้องกับวิถีของพวกเรา พี่น้องชาวบ้านต้องการแปรรูปอาหาร ต้องการท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น”
ขณะที่อภิญญา ผกาเพชร นิโลมา หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนักรบผ้าถุง เล่าว่า ปัจจุบันชาวจะนะก็พยายามขยายขอบเขตวิถีชาวประมง สร้างรายได้ให้กับชุมชนในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้วิถีของชาวจะนะอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
“บ้านเราเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่อาศัยทะเลเป็นอาหารหลักและอยู่ด้วยกันมานานแล้ว สิ่งที่ชุมชนเราขับเคลื่อนอยู่ก็คือทำนอกจากขายปลาแล้วก็เป็นการแปรรูปทำกะปิ จากสูตรชาวบ้านดั้งเดิมมาปรับปรุงใหม่ให้มีสูตรและได้มาตรฐาน เพิ่มมูลค่าพัฒนาการขายทางออนไลน์ ทำชุมชนท่องเที่ยว วัฒนธรรมวิถี จากนั้นมาทานอาหารกันในชุมชน อันนี้เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์และยั่งยืนสำหรับเรา
“นอกจากนั้น เพื่อรักษาสมบัติทรัพยากรของเราให้ไปถึงคนรุ่นลูกหลาน เราทำกลุ่ม Young food และ the sea walk พวกเขาตั้งกลุ่มของเขาเอง และเริ่มมีกิจกรรมช่วยเหลือชาวบ้าน ศึกษาเรียนรู้วิถีชุมชน เด็กรุ่นลูกรุ่นเล็กออกไปอีกให้มีการสร้างจิตสำนึกและมีการรู้รักอนุรักษ์บ้านเกิดให้เข้มแข็ง มีการนำชุมชนท่องเที่ยวเสร็จแล้วก็เอาอาหารมาปรุงกันให้พวกเราได้จัดการกันในชุมชนซึ่งเป็นการก้าวต่อไปในอนาคต”
การพัฒนาหรือการลงทุนใด ๆ ในประเทศนี้ รัฐบาลต้องเข้ามาดูและยึดความต้องการของชาวบ้าน ประชาชนก่อน คำนึงถึงความยั่งยืนดูว่าเขามีอะไร เช่นที่จะนะ ที่นี่อุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งอาหารโลก แล้วรัฐฯ จะมาถมทะเล ทำท่าเรือ เปลี่ยนเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดังนั้นรัฐควรเข้ามาส่งเสริมสิ่งต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ จึงจะสามารถเกิดการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันได้อย่างแท้จริง
ภาพ : สุกรี มะดากะกุล