10 ต.ค. 2568 | 19:00 น.
KEY
POINTS
รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2025 มอบให้แก่ ‘มาเรีย โครีนา มาชาโด’ (María Corina Machado) สตรีผู้กล้าหาญและมุ่งมั่นในการปกป้องสันติภาพของคนในประเทศ โดยไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจ และสายตาที่ใครต่อใครต่างมองว่า ‘ผู้หญิง’ ไม่ควรมีสิทธิ์มีเสียง และยิ่งผิดแผกเข้าไปใหญ่หากมีผู้หญิงคนใด ลงสนามการเมืองของเวเนซุเอลา
แต่ไม่ใช่กับมาเรีย โครีนา มาชาโด เธอคนนี้แตกต่าง เพราะตั้งแต่เด็กก็เฝ้าถามผู้เป็นพ่อมาโดยตลอดว่าเพราะเหตุใด เสียงของผู้หญิงจึงมักถูกเพิกเฉยในสังคมแห่งนี้ และเพราะคำถามเช่นนี้ทำให้เธอเลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างโดยไม่ย่อท้อ แม้ว่าเส้นทางการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมเช่นนี้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม
มาเรีย โครีนา มาชาโด คอยจุดไฟแห่งประชาธิปไตยให้ลุกโชนท่ามกลางความมืดที่กำลังปกคลุมบ้านเกิดของเธอและโลกใบนี้ เธอไม่ได้เป็นทายาทนักการเมือง ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น ‘ฮีโร่’ ของประเทศ แต่เธอตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เชื่อว่า ‘ไม่ถูกต้อง’ และนั่นทำให้ชื่อของเธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังของคนทั้งชาติ
เพราะเหตุนี้ คณะกรรมการ Norwegian Nobel Committee จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2025 ให้กับเธอไปครอง โดยระบุข้อความดังต่อไปนี้
“เธอได้รับรางวัลนี้ เพื่อยกย่องการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการส่งเสริมสิทธิประชาธิปไตยให้กับประชาชนชาวเวเนซุเอลา และเพื่อการต่อสู้ของเธอในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตยอย่างยุติธรรมและสันติ
“ในฐานะผู้นำขบวนการประชาธิปไตยของเวเนซูเอลา ‘มาเรีย โครีนา มาชาโด’ ถือเป็นหนึ่งในแบบอย่างอันโดดเด่นที่สุดของความกล้าหาญ ที่หาได้ยากยิ่งในภูมิภาคลาตินอเมริกาในช่วงเวลานี้
“มาชาโดเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในการรวมฝ่ายค้านที่เคยแตกแยกให้มีจุดยืนร่วมกัน จุดยืนที่เรียกร้องให้มี ‘การเลือกตั้ง’ และ ‘รัฐบาล’ ที่เป็นตัวแทนของประชาชน ซึ่งนี่คือแก่นแท้ของประชาธิปไตย ซึ่งหมายรวมถึงการยืนหยัดบนหลักการร่วมกัน แม้จะมีความเห็นต่างกัน ในยุคที่ประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคาม การปกป้องพื้นที่ร่วมนี้สำคัญยิ่งกว่าที่เคย
“เวเนซุเอลาเคยเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยและความรุ่งเรือง แต่กลับกลายเป็นรัฐเผด็จการที่โหดร้ายและกำลังเผชิญวิกฤตด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่อดอยากและยากจน ขณะที่คนเพียงไม่กี่กลุ่มที่อยู่บนยอดอำนาจกลับร่ำรวยยิ่งขึ้น เครื่องจักรความรุนแรงของรัฐถูกใช้ปราบปรามประชาชนของตัวเอง ประชาชนเกือบ 8 ล้านคน ต้องอพยพออกนอกประเทศ ฝ่ายค้านถูกปราบปรามอย่างเป็นระบบด้วยการโกงการเลือกตั้ง การดำเนินคดีทางกฎหมาย และการคุมขัง
“ในประเทศที่ถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการเช่นนี้ การทำงานทางการเมืองเป็นเรื่องยากยิ่ง มาชาโดเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์กร Súmate ซึ่งส่งเสริมประชาธิปไตยเมื่อกว่า 20 ปีก่อน เธอยืนหยัดเรียกร้องการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม ครั้งหนึ่งเธอได้กล่าวว่า “มันคือการเลือกกล่องลงคะแนนแทนกระสุนปืน” และในเวลาต่อมา เธอยังคงทำงานทางการเมือง ผลักดันความเป็นอิสระของตุลาการ การเคารพสิทธิมนุษยชน และการเป็นตัวแทนของประชาชน มาชาโดทุ่มเททั้งชีวิตเพื่ออิสรภาพของประชาชนเวเนซุเอลา
“ก่อนการเลือกตั้งปี 2024 มาชาโดได้รับเลือกให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากฝ่ายค้าน แต่รัฐบาลเผด็จการขัดขวางไม่ให้เธอลงสมัคร เธอจึงตัดสินใจสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคอื่นคือ Edmundo González Urrutia ผู้คนหลายแสนคนจากทุกฝ่ายการเมืองร่วมมือกันเป็นอาสาสมัคร เฝ้าสังเกตการณ์เลือกตั้งเพื่อให้กระบวนการโปร่งใส แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการถูกคุกคาม จับกุม หรือทรมาน ประชาชนทั่วประเทศยังคงยืนหยัดเฝ้าหน่วยเลือกตั้ง และบันทึกผลคะแนน ก่อนที่รัฐบาลจะมีโอกาสบิดเบือนหรือทำลายหลักฐาน
“ความพยายามร่วมกันของฝ่ายค้านทั้งก่อนและระหว่างการเลือกตั้งนั้น เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นในหนทางสันติ พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากประชาคมนานาชาติเมื่อเปิดเผยผลคะแนนที่รวบรวมมาจากทั่วประเทศ ชี้ชัดว่าฝ่ายค้านชนะอย่างขาดลอย ทว่ารัฐบาลเผด็จการกลับปฏิเสธผลการเลือกตั้งและเกาะกุมอำนาจต่อไป
“ประชาธิปไตยคือเงื่อนไขพื้นฐานของสันติภาพอย่างยั่งยืน ทว่าโลกในปัจจุบันกลับกำลังเผชิญ การถอยร่นของประชาธิปไตย มีระบอบอำนาจนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก พร้อมความรุนแรงและการละเมิดกฎหมาย รัฐบาลใช้อำนาจในทางมิชอบ ปิดปากสื่อ จับกุมนักวิจารณ์ และผลักดันสังคมเข้าสู่เผด็จการและการทหาร กล่าวได้ว่าปี 2024 เป็นปีที่มีการจัดการเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่กลับเป็นปีที่มีการเลือกตั้งที่เป็นธรรมลดลง
“ตลอดประวัติศาสตร์ คณะกรรมการโนเบลได้ให้เกียรติชายหญิงผู้กล้าหาญที่ลุกขึ้นสู้กับการกดขี่ ผู้ที่พกพาความหวังแห่งเสรีภาพไว้ในเรือนจำ บนท้องถนน และในจัตุรัสสาธารณะ และผู้ที่แสดงให้เห็นว่าการต่อต้านอย่างสันติสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ในปีที่ผ่านมา มาชาโดต้องใช้ชีวิตหลบซ่อน แต่แม้จะถูกข่มขู่เอาชีวิต เธอก็เลือกที่จะอยู่ในประเทศ การตัดสินใจนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับล้าน
“เมื่อระบอบเผด็จการยึดอำนาจ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องยกย่องผู้กล้าผู้ลุกขึ้นสู้เพื่อเสรีภาพ ประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับผู้คนที่ไม่ยอมเงียบงัน ผู้ที่กล้าออกมายืนหยัดแม้จะเสี่ยงอันตราย และผู้ที่เตือนเราว่า เสรีภาพไม่ใช่สิ่งที่ถูกมอบให้ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องปกป้องไว้ตราบชั่วชีวิต ด้วยคำพูด ด้วยความกล้า และด้วยความมุ่งมั่น
“มาชาโดเป็นผู้ที่ตอบโจทย์ทั้งสามข้อที่ ‘อัลเฟรด โนเบล’ (Alfred Nobel) กำหนดไว้สำหรับการมอบรางวัลสันติภาพ เธอสามารถรวมฝ่ายค้านของประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว เธอไม่เคยสั่นคลอนในการต่อต้านการทำให้สังคมเวเนซุเอลากลายเป็นสังคมทหาร และเธอยังคงยืนหยัดสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างสันติ
“มาเรีย โครีนา มาชาโด ทำให้โลกเห็นและเข้าใจว่า เครื่องมือของประชาธิปไตย ก็คือเครื่องมือของสันติภาพเช่นกัน เธอเป็นตัวแทนแห่งความหวังของอนาคตที่แตกต่าง อนาคตที่สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนได้รับการคุ้มครอง และเสียงของพวกเขาได้รับการรับฟัง อนาคตที่ผู้คนจะได้มีอิสรภาพและสันติภาพอย่างแท้จริง”
และนี่คือเรื่องราวส่วนหนึ่งในชีวิตที่ทำให้สตรีผู้นี้ กลายเป็น ‘นารีขี่ม้าขาว’ เข้ามาช่วยกอบกู้ความวุ่นวายภายในประเทศ
มาเรีย โครีนา มาชาโด เกิดเมื่อปี 1967 (ปัจจุบันอายุ 58 ปี) ณ กรุงการากัส ในครอบครัวชนชั้นกลางที่ให้ความสำคัญกับการศึกษามากกว่าสถานะทางสังคม พ่อของเธอเป็นวิศวกร ผู้เชื่อในพลังของความรู้และความซื่อสัตย์ ขณะที่แม่ของเธอปลูกฝังให้ลูก ๆ เชื่อมั่นในคุณค่าของความยุติธรรม
ตั้งแต่ยังเด็ก มาเรีย โครีนา มาชาโด เป็นคนช่างตั้งคำถาม เธอมักถามว่า “ทำไมประเทศเราถึงมีทั้งคนที่รวยมาก และคนที่จนมากขนาดนั้น” คำถามเหล่านี้ไม่ได้ถูกทิ้งไว้แค่ในวัยเยาว์ แต่กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ผลักดันให้เธอลุกขึ้นสู้ในเวลาต่อมา
หลังเรียนจบด้านวิศวกรรมอุตสาหการจากมหาวิทยาลัยในการากัส ประเทศเวเนซุเอลา (Universidad Católica Andrés Bello) เธอเดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ในสหรัฐฯ ช่วงเวลานั้นเองที่เธอได้เห็นโลกอีกใบที่แตกต่าง และได้สัมผัสกับอิสรภาพอย่างแท้จริง
โลกใบนี้ทำให้ตัวตนของเธอไม่ถูกเพิกเฉย
และเป็นโลกที่ประชาชนสามารถมีเสียงและมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยไม่ต้องหวาดกลัวผู้มีอำนาจ
เมื่อกลับมาที่เวเนซุเอลา มาเรียไม่ได้เลือกเส้นทางนักธุรกิจหรือข้าราชการ แต่เลือกทำงานภาคประชาสังคม เธอก่อตั้งองค์กรชื่อ Súmate ในปี 2002 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและความโปร่งใสของการเลือกตั้ง
ในขณะที่หลายคนกลัวรัฐบาลของ ‘ฮูโก้ ชาเบซ’ (Hugo Chávez) มาเรียกลับพูดในสิ่งที่หลายคนไม่กล้า เธอกล่าวหาตรง ๆ ว่าระบบการเลือกตั้งไม่โปร่งใส และยืนยันว่าประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบอำนาจรัฐ
ปี 2004 เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เพียงเพราะไปร่วมลงนามในจดหมายเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ‘จอร์จ ดับเบิลยู. บุช’ (George W. Bush) แต่นั่นไม่ทำให้เธอถอย เธอกลับยิ่งชัดเจนมากขึ้นว่า การนิ่งเฉยก็ไม่ต่างจากการยอมแพ้ให้กับความไม่เป็นธรรม
ในประเทศที่ผู้หญิงมักถูกกันออกจากวงการเมือง มาเรียตัดสินใจลงเล่นในสนามนี้เต็มตัว เธอลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2012 และกลายเป็นหนึ่งในนักการเมืองฝ่ายค้านที่ประชาชนเชื่อมั่นมากที่สุด
เมื่อฮูโก้ ชาเบซเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี 2013 ‘นิโคลัส มาดูโร’ (Nicolás Maduro) รองประธานาธิบดีในขณะนั้น ก็ประกาศว่าจะสานต่อเจตนารมณ์ของเขา
“เขาเป็นภัยคุกคามจริงและกำลังเติบโตต่อความมั่นคงของทั้งซีกโลกตะวันตก”
เธออธิบายถึงระบอบของเขาว่า เป็นระบอบที่ไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชน และต้องการให้ประชาชนยากจน อ่อนแอ และขาดการศึกษา พร้อมทั้งบีบให้ผู้คนต้องอพยพออกไปเป็นล้าน ๆ คน
เธอยืนยันว่าไม่ได้ขอให้ต่างชาติยื่นมือเข้ามาแทรกแซง เพราะยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาว่าการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากข้างใน จากประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศขึ้นไปสู่ข้างบน แต่เธอเชื่อว่า การโค่นล้มมาดูโรจะเป็นทางออกที่ได้ประโยชน์ร่วมกันสำหรับทุกประเทศประชาธิปไตยในซีกโลกตะวันตก ไม่ว่าจะในมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การอพยพ หรือมนุษยธรรม
ต่อมาในปี 2015 เวเนซุเอลาเข้าสู่ห้วงรัฐประหารโดยประธานาธิบดี ‘นิโคลัส มาดูโร’ (Nicolás Maduro) เธอจึงออกมาเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ และเป็นอีกครั้งที่ทำให้เห็นว่าเธอต่อสู้มากเพียงใดเพื่อไม่ให้บ้านเกิดถูกไฟแห่งการรัฐประหารแผดเผาจนไม่เหลือซาก โดยในแถลงการณ์เมื่อปี 2015 ระบุว่า
“ดิฉัน มาเรีย โครีนา มาชาโด แห่ง National Assembly (Venezuela) ประเทศของดิฉันกำลังเผชิญช่วงเวลาที่มืดมนและสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่ของยุคนี้ แต่รวมถึงอนาคตของคนรุ่นถัดไปด้วย เราได้เผชิญรัฐประหารที่เกิดขึ้นโดยรัฐบาลของตัวเอง นายมาดูโรและระบอบของเขาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เผด็จการทหาร นี้มีความเชื่อมโยงกับโลกอาชญากรรมใต้ดินและเครือข่ายค้ายาระหว่างประเทศ พวกเขาไม่มีความละอายหรือศีลธรรมในการปราบปรามและกดขี่ประชาชนของตนเอง
“ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา การปราบปรามได้ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งการตามล่า การเซ็นเซอร์ และการทรมาน นักศึกษา นักข่าว ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย สมาชิกสหภาพแรงงาน และนักธุรกิจ ถูกจับกุมโดยไม่มีหมายจับและโดยไม่กระทำความผิดใด ๆ นายกเทศมนตรีเมืองการากัส ‘อันโตนิโอ เลเดสม่า’ (Antonio Ledezma) ถูกจับตัวจากสำนักงานของเขาโดยไม่มีหมายจับ และถูกส่งไปยังเรือนจำทหาร Ramo Verde ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ผู้นำฝ่ายค้าน ‘เลโอโปลโด โลเปซ’ (Leopoldo López) ถูกคุมขังมากว่าหนึ่งปีแล้ว
“อันโตนิโอ เลเดสม่า, เลโอโปลโด โลเปซ และตัวดิฉันเอง ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนและทำลายระเบียบรัฐธรรมนูญ เพียงเพราะเราได้เรียกร้องให้มีการจัดประชุมระดับชาติ เพื่อสร้างความปรองดองระหว่างชาวเวเนซุเอลาและฟื้นฟูประเทศในก้าวต่อไป ก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างสันติภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ดิฉันอยากพูดกับคุณ มาดูโร ว่า ดิฉันสนับสนุนทุกถ้อยคำ ทุกแนวคิด จิตวิญญาณ และคุณค่าทั้งหมดของข้อตกลงการเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ ที่เราได้เชิญชวนให้ชาวเวเนซุเอลาทุกคนร่วมลงนาม
“ดิฉันเคยถูกทำร้ายร่างกาย ดิฉันถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นคนทรยศต่อชาติ เพียงเพราะได้กล่าวประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเวเนซุเอลาต่อ Organization of American States ดิฉันถูกใส่ร้ายว่ามีส่วนพัวพันกับการลอบสังหารและสมคบคิด ครอบครัวของดิฉันถูกโจมตี และแม้แต่ชีวิตของลูก ๆ ก็ถูกข่มขู่เป็นอันตราย ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ดิฉันถูกห้ามออกนอกประเทศ ไม่สามารถบอกเล่าให้โลกได้รับรู้ถึงการต่อสู้ของชาวเวเนซุเอลา ที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเสรีภาพจนกว่าจะสำเร็จ
“รัฐบาลประชาธิปไตยทั่วโลกหันหลังให้กับเรา มานานหลายปี บางทีอาจเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือภูมิรัฐศาสตร์ แต่ตอนนี้ นายมาดูโรได้ข้าม ‘เส้นแดง’ ไปแล้ว โลกได้เห็นแล้วว่าเขาละเมิดสิทธิมนุษยชน รัฐธรรมนูญของเวเนซุเอลา และข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบและขนาดใหญ่
“ดังนั้น ดิฉันอยากจะพูดกับผู้ศรัทธาในประชาธิปไตยทั่วโลกว่า เราต้องการให้คุณเปล่งเสียง ออกมาพูด และยืนเคียงข้างประชาชนเวเนซุเอลา เราหวังว่าโลกจะลุกขึ้นยืนอย่างแข็งขัน เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ของเราเพื่อประชาธิปไตย และปฏิเสธระบอบเผด็จการที่กำลังปกครองประเทศของเราอยู่ในขณะนี้ ชาวเวเนซุเอลาจะทำหน้าที่ของเรา และเราจะบรรลุการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยและเสรีภาพอย่างสันติในไม่ช้านี้
“จงเชื่อมั่นในเรา และเราก็เชื่อมั่นว่าโลกจะยืนหยัดเคียงข้างเราเช่นกัน”
เธอพูดตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่กลัวถูกโจมตี เธอพูดถึงภาพฝันในการก่อร่างสร้างเวเนซุเอลาใหม่ ที่ไม่มีการกดขี่ ไม่มีความจนที่ถูกผลิตซ้ำ ไม่มีรัฐบาลที่ผูกขาดอำนาจ และปิดปากสื่อจนไม่กล้ารายงานความจริงของประเทศให้ประชาชนรับรู้
“นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางการเมือง แต่มันคือการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว”
ในปี 2023 เธอกลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ได้รับการสนับสนุนสูงสุดจากประชาชนทั่วประเทศ เสียงตะโกน “¡Con María Corina sí se puede!” (กับมาเรีย โครีนา เราทำได้!) ดังก้องทั่วทุกมุมเมือง ไม่ว่าเธอจะเดินทางไปหาเสียงที่ไหน ประชาชนต่างออกมาร่วมขบวนอย่างหนาแน่น และต่างร้องตะโกนสนับสนุนเธอทุกฝีก้าว
แม้เธอจะถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี หลังจากชนะไพรมารีในปี 2023 ด้วยคะแนนกว่า 92% และต่อมาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ถูกจับตา ถูกคุกคาม และถูกบีบให้เงียบ แต่เธอก็ยังยืนอยู่ที่เดิม คอยอยู่เคียงข้างประชาชนไม่หนีหายไปไหน
“ฉันไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวฉันเอง แต่เพื่อลูกหลานของเรา ที่ควรจะได้เติบโตในประเทศเสรีและยุติธรรม”
เมื่อถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง มาเรียจึงผลักดันให้ ‘เอ็ดมุนโด กอนซาเลซ อูร์รูเตีย’ (Edmundo González) อดีตนักการทูตลงสมัครแทนเธอ หลังการเลือกตั้ง เขาได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯ และรัฐสภายุโรป (European Parliament) ว่าเป็นผู้นำที่ชอบธรรมของเวเนซุเอลา ทว่าเมื่อมาดูโรประกาศชัยชนะและออกหมายจับ กอนซาเลซก็ลี้ภัยไปสเปน จากนั้นมาดูโรก็กล่าวหาว่า มาเรียหนีออกนอกประเทศเช่นกัน พร้อมเรียกทั้งคู่ว่า ‘พวกขี้ขลาด’ ในการแถลงข่าวทางโทรทัศน์
“ฉันอยู่ในเวเนซุเอลา และไม่เคยจากไปไหน” เธอให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Elle ตอนที่ยังเป็นสมาชิกรัฐสภาในปี 2012 ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 ที่ผ่านมา
คืนสุดท้ายที่มาชาโดได้นอนที่บ้าน คือคืนก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดี 27 กรกฎาคม 2024 เธอไม่ได้เก็บกระเป๋าเพราะตั้งใจว่าจะกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น และเมื่อการนับคะแนนเริ่มต้นขึ้น ผลเบื้องต้นก็แสดงให้เห็นว่า เอ็ดมุนโด กอนซาเลซ อูร์รูเตีย พันธมิตรของเธอ มีคะแนนนำอย่างมาก
เช้าวันถัดมา รัฐบาลประกาศชัยชนะของมาดูโร ผู้นำของบราซิล โคลอมเบีย และเม็กซิโก ซึ่งก่อนหน้านี้มีท่าทีเป็นกลางหรือเห็นอกเห็นใจมาดูโร เริ่มเรียกร้องให้มีหลักฐานยืนยันชัยชนะ ขณะที่ชาวเวเนซุเอลาจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วง มาชาโดปรากฏตัวโดยไม่บอกกล่าว เธอปีนขึ้นไปบนหลังคารถและกล่าวกับฝูงชนว่า
“เราจะไม่ออกจากท้องถนนนี้!”
รัฐบาลตอบโต้ด้วย “การปราบปรามอย่างโหดร้าย” ตามรายงานของ Human Rights Watch ความรุนแรงแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนถูกโจมตีไม่เว้นแม้แต่เยาวชน ผู้หญิง ผู้สูงอายุ และคนที่เพียงแค่เดินอยู่ริมถนน มาชาโดเองก็ได้รับข้อความข่มขู่ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและรัฐบาลกำลังจะมาจับตัวเธอ
“ตอนนั้น ฉันต้องตัดสินใจปกป้องตัวเอง” มาชาโดเล่า
นั่นคือตอนที่เธอตัดสินใจ “หายตัวไป”
น่าเศร้าที่การต่อสู้ของมาเรีย ทำให้สามีของเธอลี้ภัยออกนอกประเทศ เช่นเดียวกับพี่น้องและแม่วัย 80 ปี ส่วนลูก ๆ ของเธอทั้ง 3 คน คือ เฮนริเกและริคาร์โดก็ได้ลี้ภัยออกไปพร้อมกัน เหลือเพียง อนา โครีนา ลูกสาวคนโต ที่ยืนยันจะอยู่เคียงข้างแม่ แม้สถานการณ์จะอันตรายขึ้นทุกขณะ และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่เธอรู้ว่า เธอไม่สามารถเป็นแม่ที่ดี และนักสู้เพื่อประชาธิปไตยได้พร้อมกัน
สำหรับใครหลายคน เธอคือนักการเมืองหญิงแกร่ง แต่สำหรับคนเวเนซุเอลาจำนวนมาก เธอคือความหวัง คนที่กล้าพูดในสิ่งที่คนทั้งประเทศอยากพูด คนที่ไม่ยอมแพ้แม้ต้องเผชิญอำนาจที่น่าหวาดเกรง อำนาจที่หมายรวมถึงการปลิดชีวิตของเธอได้ โดยที่อาจไม่มีใคร ‘กล้า’ ตามหาความจริง
แต่ในอีกมุมหนึ่งเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องรับความคาดหวังของคนทั้งประเทศไว้บนบ่าพร้อมกับคำว่า ‘แม่’ และเธอรู้ดีว่า การลุกขึ้นสู้อาจพรากช่วงเวลาสำคัญกับลูก ๆ ไป และรู้ดีว่า ความกล้าในวันวาน อาจแลกมาด้วยความสูญเสียที่ไม่มีแม่คนไหนอยากเผชิญ
แต่สุดท้ายแล้ว แม่คนนี้ก็ยังคงต่อสู้เพื่อคนทั้งชาติ และทำให้โลกเห็นแล้วว่าการต่อสู้ที่ไม่ลดละ แม้จะถูกคุกคาม ต้องอยู่ห่างจากครอบครัว ไปจนถึงการไม่สามารถใช้ชีวิตกลางที่สาธารณะได้ เพราะอาจถูกอุ้มหายในสักวันหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ก็ยังยืนหยัดเคียงข้างชาวเวเนซุเอลาอยู่เรื่อยมา
The People ขอแสดงความยินดีกับสตรีผู้แข็งแกร่งแห่งเวเนซุเอลา เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2025
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Getty Imges
อ้างอิง