17 มิ.ย. 2568 | 12:55 น.
KEY
POINTS
เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่เปลี่ยนบาดแผลให้กลายเป็นเครื่องมือแห่งการเยียวยา
เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2024 ภายในโบสถ์ Memorial Chapel ของโรงเรียน Northfield Mount Hermon ในนิวอิงแลนด์ ชายผู้หนึ่งยกขลุ่ยขึ้นเป่า บรรเลงทำนองเร้าใจและสดใส เป็นเพลงที่เขาหัดเล่นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
“นั่นคือเพลงปฏิวัติ” อาร์น ชอน-พอนด์ กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน หลังจบบทเพลงที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้
เขาพูดโดยไม่มีความขมขื่น แม้ทำนองนั้นจะเต็มไปด้วยเนื้อร้องที่พูดถึงการฆ่า เลือด และความรุนแรง แต่ในวันนี้ มันกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตและปัจจุบัน ระหว่างความเจ็บปวดและความหวัง
เดือนเมษายน 1975 เขมรแดงภายใต้การนำของ ‘พอล พต’ เข้ายึดครองกรุงพนมเปญ ความฝันของการสร้างสังคมเกษตรกรรมที่บริสุทธิ์กลายเป็นฝันร้ายของมนุษยชาติ
สำหรับเด็กชายอายุ 12 ปี ลูกชายของศิลปินโอเปร่าชื่อดัง โลกที่เขารู้จักแตกสลายไปในชั่วข้ามคืน ทุกคนถูกบังคับให้อพยพออกจากเมือง ครอบครัวถูกพรากจากกัน
อาร์นถูกส่งไปยังวัดพุทธแห่งหนึ่งพร้อมกับเด็กอีกประมาณ 700 คน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นค่ายแรงงานและสถานที่สังหาร ตามแนวคิดของ ‘อังกา’ องค์กรลึกลับของเขมรแดง การสร้างมนุษย์ใหม่จำเป็นต้องลบล้างทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอดีต
“ผมถูกบังคับให้ดูการสังหาร” เขาเล่าในการบรรยาย TED Talk เมื่อปี 2015 ด้วยน้ำเสียงที่สงบ “มีคนหลายพันถูกฆ่า โดยเฉพาะเด็ก ๆ”
ใครก็ตามที่มีการศึกษา หรือถูกมองว่าเป็นศัตรูของการปฏิวัติ จะถูกกำจัดทิ้ง พ่อแม่ของเขาซึ่งเป็นศิลปินก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่ามกลางความสยองขวัญ สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขาอีกครั้ง ชายคนหนึ่งชื่อ ‘ไมค์’ ถูกพาเข้ามาในค่าย ครูสอนดนตรีคนนี้กลายเป็นหนทางรอดของเขา
เมื่อมีการประกาศตั้งวงดนตรีเพื่อเล่นเพลงปฏิวัติ อาร์นยกมือเสนอตัวด้วยความหวัง “โดยปกติพวกเขาจะหลอกเรา แต่ครั้งนั้นไม่หลอก” เขาจำได้อย่างชัดเจน
แต่แม้ในช่วงเวลาแห่งความหวังนี้ ความโหดร้ายก็ไม่ได้หยุดลง “พวกเขาฆ่าเด็กสามคนเพราะเรียนไม่เร็วพอ”
ไมค์กับอาร์นกลายเป็นเพื่อนคู่ใจในการเอาชีวิตรอด เมื่อหนึ่งคนถูกขู่จะฆ่า อีกคนจะขอร้องไว้ชีวิตให้ “เพราะผมมีผิวขาวกว่าพวกเขา พวกเขาคิดว่าผมเป็นลูกชนชั้นกลาง สนับสนุนอเมริกา แต่ไมค์บอกพวกเขาไม่ให้ฆ่าผม”
ปี 1979 เวียดนามเข้าแทรกแซง เด็กจำนวนมากจากวัด รวมถึงอาร์น ถูกเกณฑ์ออกแนวหน้า ขลุ่ยในมือของเขาถูกแทนที่ด้วยปืน ความบริสุทธิ์ของวัยเด็กถูกปลิดชิงไปอย่างสิ้นเชิง
“พวกเขาบังคับเด็ก ๆ หลายพันคนให้เป็นด่านหน้ารับกระสุนก่อน ตายก่อน” เขาเล่าด้วยความเศร้า “เด็กหลายคนที่เป็นเพื่อนกับผม พวกเขาถูกยิงตาย โดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย”
ในที่สุด ความทนทานของเขาก็หมดลง เขาหนีเข้าป่าไปคนเดียว ใช้ชีวิตตามลิง หาของกินในป่า จนไปถึงค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย เป็นการเดินทางที่เขาไม่สามารถจำระยะเวลาได้แน่ชัด
บาทหลวง ‘ปีเตอร์ พอนด์’ พาเขาไปอเมริกาเมื่อปี 1980 แต่การเอาตัวรอดจากสงครามไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้จะจบลง ที่โรงเรียนมัธยมในนิวแฮมป์เชียร์ เขาค้นพบว่าความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้สร้างบาดแผลให้กับชีวิตได้เช่นกัน
“ผมไม่เคยเห็นเด็กผิวขาวเยอะขนาดนั้นมาก่อนเลย รู้ทันทีว่าต้องมีปัญหา” เขาเล่าความทรงจำอันขมขื่น
การรังแกเริ่มต้น เด็กที่โรงเรียนพากันเรียกเขาว่า ‘เจ้าลิง’ และบอกให้เขากลับประเทศไป “ผมรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าตอนอยู่ในป่าเสียอีก”
ความแตกต่างทางภาษาทำให้เขาไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปของตัวเองได้ ความโกรธสะสมจนเขาคิดจะซื้อปืนมาแก้ปัญหา พ่อบุญธรรมเห็นอันตรายและเข้ามาให้คำแนะนำที่เปลี่ยนชีวิต
“พ่อบอกว่า ลูกควรเล่าถึงชีวิตของตัวเองนะ เด็กพวกนี้ควรรู้ว่าลูกมาจากที่ไหน ถ้าลูกเอาตัวรอดจากป่าได้ ลูกก็น่าจะเอาตัวรอดจากป่านิวแฮมป์เชียร์นี้ได้”
วันหนึ่ง อาร์นรวบรวมความกล้า เริ่มพูดถึงชีวิตของตัวเอง และเล่นดนตรีอีกครั้งหลังจากเงียบไปนาน
สิ่งที่เกิดขึ้นเกินความคาดหมาย “ผมไม่เคยคิดเลยว่าการเล่นดนตรีจะทำให้บางคนร้องไห้” เขากล่าวด้วยความประหลาดใจ “ตอนนี้พวกเขาเข้าใจที่มาของผม แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็มีคนที่สนับสนุนผม”
การค้นพบนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ การรู้ว่าเรื่องราวส่วนตัวสามารถสร้างสะพานเชื่อมใจได้ “ตอนนั้นผมเคยคิดว่าปืนมีพลังมากที่สุด แต่ไม่เคยคิดเลยว่าแค่เล่นขลุ่ย จะทำให้เด็กเหล่านี้ร้องไห้เพื่อผม”
ขณะที่ยังเรียนมัธยมอยู่ เขาตัดสินใจเดินทางกลับไปเผชิญหน้ากับอดีต ในถนนที่เงียบเหงาของหมู่บ้านเก่า เขาเจอลุงที่รอดชีวิตมาได้ด้วยการตัดผมและดื่มเหล้า
“ผมวิ่งเข้าไปกอดเขา และเขาก็กอดผมกลับ เขายิ้ม แต่ผมเห็นน้ำตาไหลจากตาเขา น้ำตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน”
“เขาพูดต่อว่า ลูกต้องหาอะไรให้ลุงทำ ไม่งั้นลุงคงตายแน่” ประโยคนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาคิดถึงผู้คนที่ยังอยู่ นั่นคือเหล่าศิลปินผู้รอดชีวิต แต่หายใจต่อไปด้วยความยากลำบาก
จากนั้น เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยได้ยินเสียงร้องเพลงในวิทยุ เธอคือนักร้องโอเปร่าคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องที่คุ้นเคยอีกครั้ง เขารู้ว่าตัวเองพบสิ่งที่ตามหาแล้ว
“สำหรับผม มันคือครั้งแรกที่ได้ยินเสียงแบบนั้นอีกครั้ง ผมดีใจมาก เธอเรียกผมว่า ลูก”
นั่นคือจุดกำเนิดของ ‘Cambodian Living Arts’ โครงการที่เชื่อมโยงครูศิลป์ผู้รอดชีวิตกับนักเรียนรุ่นใหม่ ความพยายามอันอ่อนโยนในการฟื้นฟูสิ่งที่เกือบสูญหายไปตลอดกาล
เขาเรียนรู้ภายหลังว่าเขมรแดงสังหารศิลปินถึง 90% “สำหรับวัฒนธรรมที่สืบทอดกันด้วยวิธีปากเปล่า ผลกระทบจากการสังหารหมู่ครั้งนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง พวกเขาสอนดนตรีกันแบบปากต่อปากทีละคน ๆ พวกเขาไม่เขียนโน้ตดนตรีลงกระดาษเลย นั่นทำให้ศิลปะนั้นเปราะบางมาก”
แต่แทนที่จะยอมให้มรดกนั้นสูญหายไปตลอดกาล เขาเลือกที่จะสานต่อ ด้วยความอดทนและความหวัง Cambodian Living Arts เติบโตขึ้นเป็นองค์กรที่มีทุนการศึกษา ศูนย์ศิลปะชุมชน และชั้นเรียนในหลายจังหวัด
“เรายังสอนเด็ก ๆ เหล่านี้ให้แสดง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่เคยอยู่ข้างถนน ให้เรียนรู้ศิลปะพื้นบ้านที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน”
โครงการ ‘Kamaya Magic Music Bus’ เป็นการขยายความฝันของเขา การพาศิลปินและนักเรียนเดินทางสู่ชนบทห่างไกล ไปยังที่ที่เด็ก ๆ ไม่เคยได้สัมผัสเสียงดนตรีมาก่อน
“ไม่มีระเบิดอีกแล้ว ตอนนี้เรากำลังโรยเสียงดนตรีแทนระเบิด” เขากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
เขาคิดคำนวณเปรียบเทียบไว้ด้วย “ลองนึกดูสิ... ระเบิดลูกหนึ่งสามารถซื้อรถบัสแบบนี้ได้ตั้งกี่คัน”
เมื่อกลับมาเยือนโรงเรียนเก่าในปี 2024 อาร์น ชอน-พอนด์ไม่ได้มาเพื่อเล่าเรื่องสยองขวัญ เขามาแบ่งปันความหวังและแรงบันดาลใจ
“ผมตื่นเต้นนิดหน่อยครับ” เขากล่าวด้วยความถ่อมตัว “มันดีมากที่ได้กลับมาหลังจากหลายปี และมันมีความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา”
เขาเล่าให้นักเรียนฟังว่าดนตรีช่วยให้เขารอดชีวิตในอดีต และตอนนี้เขาใช้มันเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือคนอื่น “ในแง่หนึ่ง ดนตรีช่วยให้ผมรอดชีวิตมาได้”
ความสามารถในการเปลี่ยนประสบการณ์ที่เจ็บปวดให้กลายเป็นบทเรียนแห่งความหวัง คือสิ่งที่เขาต้องการมอบให้กับเยาวชนรุ่นใหม่
ในการบรรยาย TED Talk เขาจบด้วยการเล่นเพลงสุดท้าย ไม่ใช่เพลงปฏิวัติที่เขาเริ่มต้น แต่เป็นเพลงแห่งความรักและความหวัง
“มันเป็นเพลงที่ให้ความหวังทั้งกับผม และกับโลกใบนี้ ชื่อของมันคือเพลงกล่อมเด็ก ชื่อเพลงคือ Bompe เด็กทุกคนในโลกสมควรได้ยินเพลงนี้”
ความฝันของเขาเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง “การให้เด็กทุกคนในโลกนี้ ได้ถือเครื่องดนตรี และร้องเพลงเกี่ยวกับความรัก แทนที่จะถือปืนแล้วเทศน์เรื่องความเกลียดชัง”
เรื่องราวของ ‘อาร์น ชอน-พอนด์’ สอนเราว่า แม้ในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของประวัติศาสตร์ ดนตรีและศิลปะยังคงเป็นแสงสว่างที่นำทางมนุษยชาติกลับสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง เขาไม่ได้เลือกที่จะแบกความแค้น แต่เลือกที่จะสานต่อความงาม เพื่อให้โลกจดจำเราด้วยเสียงเพลง ไม่ใช่เสียงปืน
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
Arn Chorn-Pond: The Flute Player (2003 Documentary).” YouTube, uploaded by SlackerFoundation, 10 July 2018, www.youtube.com/watch?v=Crv9Bre_T2g. Accessed 17 June 2025.
“Alum Arn Chorn-Pond Returns to His Home.” Northfield Mount Hermon, 18 Jan. 2023, www.nmhschool.org/about-us/news/nmh-news/post-details/~board/news-and-events-board/post/alum-arn-chorn-pond-returns-to-his-home. Accessed 17 June 2025.