กว่า 40 ปีบนเส้นทางธุรกิจโรงแรมที่ ‘แพ้ไม่ได้’ ของ ‘อัศวิน อิงคะกุล’ เจ้าของมิราเคิล กรุ๊ป

กว่า 40 ปีบนเส้นทางธุรกิจโรงแรมที่ ‘แพ้ไม่ได้’ ของ ‘อัศวิน อิงคะกุล’ เจ้าของมิราเคิล กรุ๊ป

‘อัศวิน อิงคะกุล’ ประธานกรรมการบริหาร มิราเคิล กรุ๊ป เป็นที่รู้จักดีในแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ซึ่งไม่เพียงมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวในธุรกิจนี้มานานกว่า 40 ปี แต่ยังเป็นคนที่มีความเป็น ‘นักสู้’ และ ‘มีไฟตลอดเวลา’ แม้ตอนนี้อายุจะย่างเข้าสู่ 79 ปีแล้ว

จากชีวิตกลางวันทำอาชีพเป็นครูสอนหนังสือด้าน Economics ที่สยามธุรกิจ ย่านประตูน้ำ ส่วนกลางคืนทำงานดูแลไนต์คลับ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบดูแลเทคแคร์คนอื่น ทำให้อัศวินถูกชักชวนให้มาทำงานโรงแรม เริ่มต้นแห่งแรกที่ ‘ชวลิตโฮเทล’ แถวสุขุมวิท จากนั้นขยับมาดูแลด้านการขายและการตลาดที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ตามด้วยโรงแรมรามาการ์เด้นส์ และโรงแรมเอเชีย พัทยา

กระทั่งปี 2535 เขาได้ตัดสินใจทำโรงแรมของตัวเองแห่งแรกใช้ชื่อว่า ‘หลุยส์ แทเวิร์น’ ที่วิภาวดี 64  และขยายธุรกิจมาเรื่อย ๆ กลายเป็นอาณาจักรมิราเคิล กรุ๊ป ประกอบด้วย ‘มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น’ ย่านดอนเมือง , ‘มิราเคิล สุวรรณภูมิ’ ถ.กิ่งแก้ว 

และล่าสุดได้เปิดโรงแรม ‘อัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น’ (Asawin Grand Convention Hotel) ใกล้กับมิราเคิล แกรนด์ฯ ดอนเมือง ซึ่งอัศวินบอกว่า โรงแรมนี้เป็นโรงแรมแห่งสุดท้ายของเขา

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจ Transit Hotel ทั้งที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ไม่ว่าจะเป็น เลานจ์ ร้านอาหาร Sleep box

“ชีวิตผมมันแปลก เมื่อกว่า 40 ปีก่อนผมยังไม่รู้จักโรงแรมเลย พอมีคนชวนผมบอกว่าจะไปหาแขกที่ไหน แต่สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กคือชอบเทคแคร์ เพราะผมดูแลพ่อแม่เรา ชอบเซอร์วิส สมัยเรียนหนังสือก็ดูแลเพื่อนฝูง กว่าจะตัดสินใจมาทำงานโรงแรมเขาตื๊ออยู่ 6 - 7 เดือน” 

ธุรกิจโรงแรมตอนนี้ต่างจากอดีตราวฟ้ากับดิน

เมื่อเราได้มาพูดคุยกับผู้มากประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรมแล้ว ก็พลาดไม่ได้ที่จะได้ฟังถึงภาพของธุรกิจโรงแรมว่า ณ ปัจจุบันกับเมื่อ 40 ปีก่อนแตกต่างกันแค่ไหน

อัศวินตอบว่า ‘ต่างกันราวฟ้ากับดิน’ ทั้งในเรื่องคนในสายงาน โดยคนทำงานเซอร์วิสสมัยนี้ไม่ค่อยมีจิตวิญญาณทางด้านนี้ มีความอดทนน้อย และรูปแบบการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง มีระบบเชนเข้ามามาก เพราะต้องการอาศัยชื่อในการทำธุรกิจ และเน้นสร้างรายได้จากห้องพัก

กว่า 40 ปีบนเส้นทางธุรกิจโรงแรมที่ ‘แพ้ไม่ได้’ ของ ‘อัศวิน อิงคะกุล’ เจ้าของมิราเคิล กรุ๊ป ขณะที่ตัวเขาไม่ทำ เนื่องจากวางจุดแข็งเป็นเรื่อง F&B (Food and Beverage) ที่แม้ต้นทุนจะสูงกว่า แต่สามารถสร้างหาเงินได้ยืดหยุ่นกว่า

“เรามีจุดแข็งเรื่องการจัดเลี้ยง ถ้าเผื่อห้องพักของผมได้สมมตินะเดือนหนึ่ง 10 ล้านบาท F&B ผมได้ประมาณ 30 - 40 ล้านบาท เพราะทำอะไรได้เยอะ ส่วนห้องพัก fix อยู่ค่าห้องอย่างเดียว ผมมีประชุมสัมมนา ห้องอาหารผมเปลี่ยน เป็นมื้อเที่ยงมื้อเย็น เรายืดหยุ่นกว่า ส่วนเชนจะค่อนข้าง fix”

ถามว่ากังวลกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อบรรดาเจ้าสัวต่างหันมารุกธุรกิจโรงแรมมากขึ้น

อัศวินบอกว่า ไม่กลัว เพราะไม่เคยคิดไปแข่งขันด้วย และเขาขอแข่งกับตัวเอง โดยต้องการมีรายได้ให้ตัวเองและลูกน้องอยู่ได้ แค่นี้ก็พอใจแล้ว ซึ่งการแข่งกับตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องขยัน ต้องอดทน ต้องดิ้นรน ต้องไม่เซ็ง และติดตามทุกนาที แต่นั่งในรถปุ๊บก็หลับปั๊บ (หัวเราะ)

มิราเคิล กรุ๊ป ปิดไม่ได้ เพราะเป็นศักดิ์ศรี

นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเข้าใจ คือ โรงแรมเป็น ‘สินค้าที่เน่า’ ไม่ต่างอะไรจากหนังสือพิมพ์ เช่น ถ้าห้องพักไม่สามารถขายได้วันนี้ ก็หมายถึงไม่สามารถสร้างรายได้ให้ได้ ดังนั้น การทำธุรกิจนี้ต้อง ‘ตื่นตัวตลอดเวลา’ และ ‘อย่าคาดหวังกับวันพรุ่งนี้’  

“การทำงานของผมเอาปัจจุบันเป็นที่ตั้ง ไม่พูดถึงอนาคต มันใช้ไม่ได้เลย ใครวาดอนาคตพังหมด ไม่มีอะไรแน่นอน เอาวันนี้ให้ดีที่สุด”

ยกตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของโควิด-19 ใครจะไปคิดว่าจะอยู่กับเรามานานกว่า 2 - 3 ปี แถมกระทบกับทุกคนไม่เลือกชนชั้นวรรณะ และเขายอมรับว่า ตลอดกว่า 40 ปีที่ทำธุรกิจโรงแรมมา วิกฤตที่กระทบหนักที่สุดก็คือโควิด-19 เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไม่รู้จะพลิกตำราแก้เกมอย่างไร

กว่า 40 ปีบนเส้นทางธุรกิจโรงแรมที่ ‘แพ้ไม่ได้’ ของ ‘อัศวิน อิงคะกุล’ เจ้าของมิราเคิล กรุ๊ป

สถานการณ์ครั้งนั้น มีการประกาศเคอร์ฟิว สนามบินและโรงแรมหลายแห่งจำเป็นต้องปิดตัวลง แต่มิราเคิล กรุ๊ปปิดไม่ได้ เพราะเป็นศักดิ์ศรีของผู้ชายชื่อ อัศวิน อิงคะกุล  

“พูดแล้วน้ำตาไหล (หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา) ห้องมีเป็นร้อย มีแขก 2 - 3 ห้อง โรงแรมอื่นปิดหมด ศักดิ์ศรีเรายิ่งใหญ่ ศักดิ์ศรีคนชื่ออัศวิน ผมมีลูกน้องเป็นพันคนต้องดูแล ถ้าปิดแล้วลูกน้องจะอยู่ยังไง เปิดนิดหน่อยเขายังได้อยู่”

อัศวินเล่าด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า ณ ตอนนั้น เขาใช้มิราเคิลเป็นศูนย์รวมเปิดให้พนักงานและบรรดาคนในชุมชนใกล้เคียงสามารถมารับอาหารได้ 3 มื้อ พร้อมกับจ่ายเงินเดือนให้ลูกน้องปกติ เดินพูดคุยกับพนักงาน เจอแขกก็ทักทาย  

ขณะเดียวกัน ช่วงเวลาดังกล่าวเขาได้มีการดำเนินการก่อสร้างโรงแรม Asawin ที่มีมูลค่าลงทุน 2,000 ล้านบาท สร้างเสร็จแล้ว 2 ตึก จากทั้งหมด 3 ตึก นับเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่เขายังเดินหน้าสร้างต่อไป และย้ำว่า แพ้ไม่ได้ ตายซะดีกว่า

“พอโควิด-19 มา แบงก์ไม่ปล่อยกู้ แต่เราต้องไปต่อ หยุดไม่ได้ ลูกน้องทำยังไง 1. เราพอมีทุนบ้าง 2. เรามีคอนเน็กชัน เราดูแล เรามีความกตัญญู ลูกค้าเห็นเราลำบาก เขาสงสารก็มาอุดหนุนเรา เขาบอกผมเลยว่า ผมมาช่วยนะ เพราะเราดูแลเขาสม่ำเสมอ ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ บางคนมาประชุมสัมมนาเพราะอยากมาช่วยเรา”

‘ผู้รุกอยู่เสมอคือผู้ชนะ’ นิยามของคนชื่อ ‘อัศวิน’

จากวิกฤตดังกล่าว ย้ำถึงคติที่เขายึดถือมาเสมอตั้งแต่อายุ 14 - 15 ปี นั่นคือ ‘ผู้รุกอยู่เสมอคือผู้ชนะ’ โดยผู้ที่อยากจะชนะต้องคิดสู้และลงมือทำอยู่ตลอดเวลา อย่ายอมแพ้ ต้องมีความอดทน ทำงานต้องสม่ำเสมอ ปะติดปะต่อ และกัดไม่ปล่อย 

กว่า 40 ปีบนเส้นทางธุรกิจโรงแรมที่ ‘แพ้ไม่ได้’ ของ ‘อัศวิน อิงคะกุล’ เจ้าของมิราเคิล กรุ๊ป

แม้ชีวิตคนเราจะชนะทุกครั้งไม่ได้ แพ้บ้างไม่เป็นไร แต่ให้ลุกขึ้นสู้ใหม่ อดีตไม่ต้องพูดถึง  เสียเวลาเปล่า เพราะเป็นสิ่งที่เอากลับมาไม่ได้

และสำหรับตัวเขาแล้ว การท้อถอย หมดอาลัยตายอยาก นั่นคือความพ่ายแพ้ ซึ่งในฐานะผู้นำและตัวเขาชื่ออัศวิน ชื่อที่แม่ตั้งให้มาเป็นนักรบ ก็จะสู้ต่อไป ไม่มีถอย

“เหนื่อย ท้อ คำพวกนี้ผมไม่พูด โอเคธุรกิจมันมีขึ้นมีลง ไม่ใช่ดีทุกวัน ไม่ดีก็ต้องอดทน แล้วแก้ใหม่ แค่คุณอย่าท้อ ไม่สู้ อย่างยอดรายได้ไม่ดี เราต้องลงไปดู ลงไปจี้พนักงาน ทุกอย่างมันมากับการเป็นผู้นำเหมือนกับกองทัพ”

การสู้ครั้งใหม่กับโรงแรมแห่งสุดท้ายในชีวิต Asawin Grand Convention Hotel

กว่า 40 ปีบนเส้นทางธุรกิจโรงแรมที่ ‘แพ้ไม่ได้’ ของ ‘อัศวิน อิงคะกุล’ เจ้าของมิราเคิล กรุ๊ป

อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ต้นว่า เมื่อไม่นานมานี้ ทางมิราเคิล กรุ๊ป ได้มีการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ นั่นคือ Asawin Grand Convention Hotel ใช้เงินลงทุนไปประมาณ 2,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 9 ไร่ ห่างจากโรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ไม่เกิน 100 เมตร  

อัศวินเล่าว่า โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมแห่งสุดท้ายในช่วงบั้นปลายของชีวิต เพราะหลังจากนี้การสร้างโรงแรมใหม่เป็นไปได้ยาก เนื่องจากคนทำงานในอุตสาหกรรมโรงแรมที่ดี มีคุณภาพมีอยู่น้อยมาก

โรงแรมดังกล่าววางกลุ่มเป้าหมายพรีเมียมกว่ามิราเคิล และเน้นงานประชุม งานสัมมนา ไปจนถึงงานแต่งงาน โดยจะใช้ข้อได้เปรียบของอัศวินที่มีประสบการณ์โรงแรมกว่า 40 ปีมาใช้เป็นจุดแข็งในการแข่งขัน ซึ่งเขาเชื่อว่าสามารถทำได้ แม้ตอนนี้ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมยังกลับมาแบบไม่ 100%

ขณะที่รายได้ของมิราเคิล ตอนนี้เริ่มดีขึ้นประมาณ 50 - 60% และหากจะเหมือนเดิมต้องใช้เวลาอีก 2 ปี และใน 2 ปีที่ว่านี้ สถานการณ์บ้านเมืองต้องสงบ และไม่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม หรือโรคระบาด

ขอทำงานจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต 

แม้อัศวินตอนนี้อายุย่าง 79 ปี และผ่านร้อนผ่านหนาวในธุรกิจโรงแรมมากว่า 40 ปี แต่เขายังสนุกอยู่กับการทำงาน และทุกลมหายใจเป็นเรื่องของธุรกิจ 

“ผมรู้อย่างเดียวคือ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมรู้แค่นั้นเอง ก็ 7 วันสิ งานเยอะคืองานสนุก ทำให้ enjoy สุขภาพดี ไม่มีงานสิจะเศร้า ผมนี่ไม่ได้เลยนะ พอห้องว่างปุ๊บ ผมจะเช็กเลย ต้องหาแขก”

เพราะความสุขของอัศวิน คือลูกน้องมีความสุข ธุรกิจไปได้ดี มีความเคลื่อนไหว แม้จะไม่เลิศเลอ และเขายืนยัน จะทำงานไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

“นี่ฟังนะ รู้ไหมการพักผ่อนที่มีความสุขที่สุดคืออะไร คือการนอนอยู่ในโลงศพ ไม่มีใครรบกวนคุณ เมื่อนอนอยู่ตรงนั้นแล้วก็จบ เป็นการพักผ่อนที่คุณไม่ต้องห่วง คุณพักผ่อนไปเลย และนั่นคือความสุขและชีวิตของผม”

กว่า 40 ปีบนเส้นทางธุรกิจโรงแรมที่ ‘แพ้ไม่ได้’ ของ ‘อัศวิน อิงคะกุล’ เจ้าของมิราเคิล กรุ๊ป

.

ภาพ: จุลดิศ อ่อนละมุน