read
interview
09 เม.ย. 2564 | 18:34 น.
ทอม-อิศรา กิจนิตย์ชีว์: ชีวิตบนเส้นทางแห่งเสียงเพลง ในวันที่เปิดประตูบานใหม่ในฐานะศิลปินเดี่ยว
Play
Loading...
ทอม-อิศรา
กิจนิตย์ชีว์
เป็นที่รู้จักครั้งแรกในบทบาท ‘ส้มฉุน’ จากละครเรื่องเรือนมยุรา ก่อนจับพลัดจับผลูมาร้องเพลงจนเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องอาชีพวง Room39 และโด่งดังอีกครั้งในฐานะหน้ากากทุเรียน ผู้ชนะรายการ The Mask Singer Season 1
ชีวิตที่เต็มไปด้วยการค้นหาและเปิดประตูบานใหม่อยู่เสมอทำให้ทอมค้นพบความสุขจากการส่งต่อความหมายในบทเพลง ไปพร้อมกับการเข้าใจความเปลี่ยนแปลงในชีวิต และ
วันนี้ทอมได้เปิดประตูบานใหม่อีกครั้งในบทบาทศิลปินเดี่ยวกับผลงานล่าสุดในเพลง ‘ไม่ใช่ไม่รูัสึก’
The People: ย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เข้ามาในวงการบันเทิง ตอนแรกไม่ได้มาจากการร้องเพลง แต่มาจากการเป็นนักแสดงก่อน
ทอม: ใช่ ตอนเด็ก ๆ เราไม่ได้มาจากการร้องเพลง เข้าวงการมาด้วยการแสดง เล่นโฆษณา ถ่ายโฆษณาก่อน ทำให้คนอื่น ๆ พอเห็นหน้าค่าตาบ้าง แล้วเขาก็เรียกไปแคสต์ ผลงานชิ้นแรกที่ทำให้ทุกคนรู้จักผมนั่นก็คือละครเรื่องเรือนมยุรา ผมรับบทเป็นส้มฉุน ที่คุณน้าคุณป้าอาจจะยังเรียกอยู่ ตอนนั้นยังไม่มีฝันเลยครับ รู้แค่ว่าก็ชอบไปถ่ายละคร ชอบไปกองละคร ชอบกินข้าวกอง ชอบเจอพี่ ๆ ร้องเพลงก็ชอบ พออยู่ในกองผู้ใหญ่ก็จะชอบ ไหนร้องเพลงให้ฟังหน่อยนู่นนี่นั่น มันก็สนุกกับการร้องเพลงแบบนั้นมากกว่า ไม่ได้มีภาพที่เราคิดเอาไว้ว่าโตขึ้นเราจะเป็นนักร้องนะ หรือมีโอกาสเราจะไปประกวดเพื่อที่จะได้ไปเป็นนักร้อง ไม่มีเลย
The People: แล้วเริ่มเข้ามาเป็นนักร้องอาชีพได้ยังไง
ทอม: มันจับพลัดจับผลูไปเป็นอาชีพ แต่เราไม่ได้คาดหวังเอาไว้ คือตอนที่ทอมจบ ม.3 แล้วย้ายไปต่อไฮสคูลที่อเมริกาจนจบมหา’ลัย ก็มีเพื่อนของพี่ชายร้องเพลงอยู่ในร้านอาหารร้านหนึ่ง ชื่อว่าร้านเครื่องเทศ ใน LA ไทยทาวน์ พี่เขาชวนให้เราขึ้นไปร้องแจมเล่น ๆ ขำ ๆ ตอนนั้นเขาก็เห็นว่าเราร้องเพลงโอเค เลยชวนให้มาร้องเพลง แรก ๆ ก็ไปบ้าง อาทิตย์หนึ่ง คืนหนึ่งสั้น ๆ เป็นอย่างนี้ไปสักพัก แล้วพี่ตู่ภพธรกำลังจะย้ายกลับประเทศไทยพอดี ตอนนั้นเค้ากลับมาทำเพลงกับพี่บอย โกสิยพงษ์ มันก็เลยทำให้มีสปอตที่ว่างอยู่ ก็เลยให้ทอมไปประจำ นั่นก็คืออ้าว อ๋อ! โอเค สรุปให้ผมเป็นนักร้องจริง ๆ เหรอ นี่น่าจะเป็นจุดแรกเลยที่ได้เงินจากการร้องเพลง
The People: มีช่วงหนึ่งที่ทั่วประเทศเขาให้ความสนใจเยอะมาก คือช่วงที่ทอมเป็นหน้ากากทุเรียน อะไรคือจุดเริ่มต้นที่เข้ามาในรายการนี้
ทอม: ตอนนั้นผมเป็นพิธีกรในรายการสตูดิโอโกแกง ของเวิร์คพอยท์ แล้วก็มีผู้ใหญ่ในเวิร์คพอยท์ พี่แก้วพี่ดาวชักชวนให้ไปรายการนี้ ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นรายการเกี่ยวกับการร้องเพลง ใส่หน้ากากแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร เราก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่ใหม่ดี แปลว่าเราจะทำอะไรก็ได้ใช่ไหม อะไรอย่างนี้ เขาก็บอกทำอะไรก็ได้เลย ให้ไปคิดมาเป็นการบ้านว่าจะอยากเป็นหน้ากากอะไรดี
The People: ก็เลยเป็นหน้ากากทุเรียน
ทอม: ใช่ครับ เพราะว่าชอบกินทุเรียน
The People: แล้วพอได้ไปร้องเพลงในแบบที่คนอื่นไม่เห็นตัวเรา มีความรู้สึกที่แตกต่างจากการร้องเพลงบนเวทีปกติไหม
ทอม: แตกต่างครับ ผมรู้สึกไม่เครียดเลย เพราะบางทีการที่เราอยู่ในวงการที่คนรู้จักเราแล้ว มันมีการคาดหวัง มีภาพจำในแบบที่เขามอบให้เรา การที่ผมได้ขึ้นไปร้องเพลงภายใต้หน้ากาก โดยที่ไม่มีใครรู้ มันรู้สึกอิสระมาก ๆ อิสระในเรื่องของความคิด อิสระในการนำเสนอแต่ละโชว์ออกมา
The People: เคยมีบทสัมภาษณ์หนึ่งทอมบอกว่า ตอนเป็นหน้ากากทุเรียน เหมือนเป็นการปิดเพื่อเปิดอะไรบางอย่างในตัวเอง ตอนนั้นค้นพบอะไรในตัวเองบ้าง
ทอม: ก็จะเป็นเรื่องของอิสระทางความคิด บางคนที่เคยจำภาพว่าทอมจะต้องร้องเพลงแบบอาร์แอนด์บี ผมก็ได้ลองทำลองร้องเพลงมือปืน ซึ่งเป็นเพลงเพื่อชีวิต แต่ผมคิดมาตลอดว่าผมไม่น่าจะร้องเพลงเพื่อชีวิตได้ เลยได้โอกาสจากตรงนั้นที่ผมได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ผมอยากจะลองทำดู
The People: แล้วหลังจากนั้นเรื่องฟีดแบค หรือการทำงาน
มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไหม
ทอม: จริง ๆ ก็มีเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ในเรื่องของโชว์ตัวเองด้วย เพราะว่า ณ ตอนนี้ คนก็คาดหวังที่จะได้ฟังเพลงลูกทุ่ง เพลงเพื่อชีวิตในโชว์บ้าง แฟนคลับหลากหลายมากขึ้น มีตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้ใหญ่ แล้วก็รู้สึกเอ็นจอยกับการได้เจอผู้คนใหม่ ๆ
The People: สิ่งที่ยากกว่าการร้องเพลงเพราะ คือการมีเอกลักษณ์และเป็นตัวของตัวเอง คิดยังไงกับประโยคนี้
ทอม: จริง ๆ แล้วผมเชื่อว่าเราคือคนขวนขวายอยากมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่การที่เราคิดมากเกินไป มันคือการสังเคราะห์ เอาจริง ๆ ขนาดผมเองผมยังเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เลย แต่ก่อนถ้าย้อนกลับไปฟังเพลงหน่วงเมื่อสัก 10 ปีที่ผ่านมา มันก็ร้องอีกแบบหนึ่ง วันนี้ผมเองก็ร้องเพลงหน่วงไม่เหมือนเดิมแล้ว มันเป็นตัวเราที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลามากกว่าครับ แต่ก็ยังเป็นตัวเราอยู่
The People: ในฐานะคนร้อง คิดว่าเสน่ห์ของการทำอาชีพนี้คืออะไร หรือชอบอะไรในอาชีพนี้
ทอม: ผมชอบที่จะถ่ายทอดผ่านบทเพลงมากกว่า ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง จริง ๆ มันไม่ใช่ไม่กล้าพูดนะ แต่กลัวว่าพูดออกไปแล้วมันผิด เราไม่รู้ว่าคนที่กำลังฟังเราอยู่ เขาจะคิดยังไง หรือคนที่ไม่ได้ตั้งใจฟังเรา แต่เขาบังเอิญได้ยินแล้วเขาจะคิดยังไง ผมก็เลยเลือกที่จะถ่ายทอดความรู้สึกผ่านบทเพลง อยากจะให้บทเพลงที่ผมร้องได้เยียวยาหัวใจของผู้คน หรือว่าทำให้เขาก้าวผ่านเรื่องที่กำลังเครียดอยู่ได้
The People: มักจะเคยได้ยินบางคนบอกว่าเวลาเอาแพสชันมาเป็นการทำงานแล้วเราจะรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำงานเลย
ทอม: บางคนอาจจะงงว่าแบบ เอ๊ะ ! มันควรจะเป็นสิ่งที่เราชอบที่สุด เราต้องทำได้ทุกวันสิ ทำไมเราถึงเหนื่อย ทำไมเราถึงขี้เกียจ ทำไมถึงไม่อยากล่ะ อะไรแบบนี้ มันก็จะมีบ้างแหละ ผมก็เลยเลือกที่จะทำอย่างอื่นมาสลับบ้าง อย่างเช่น ออกไปถ่ายรายการทำคอนเทนต์โน่นนี่นั่น มันคือการบาลานซ์ทุกอย่างให้มันพอดี เราลองไปทำอะไรอย่างอื่นแล้วกลับมาทำมันจะรู้สึกสนุกมากเลยนะ รู้สึกว่าพรุ่งนี้กลับมาโชว์แล้วว่ะ อยากโชว์และรู้สึกสนุก รู้สึกคิดถึงมันแล้ว
The People: แล้วตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาจนถึงตอนนี้ เรียกว่าประสบความสำเร็จในด้านหน้าที่การงานแล้วหรือยัง
ทอม: การที่ได้มีโอกาสกลับมาทำเพลง ทุกวันนี้ยังได้ร้องเพลงอยู่ ผมว่ามันสำเร็จตั้งนานแล้ว แล้วผมก็มีความสุข ผมมองว่ายังไงชีวิตคนเรามันต้องมีขึ้นมีลงอยู่แล้วตั้งแต่ตอนเด็กๆ ถ้าย้อนกลับไปก็คือตั้งแต่ 8 ขวบที่เคยแสดงละครส้มฉุน ตอนนั้นเราก็เป็นที่รู้จักในแบบของส้มฉุน ผ่านไปก็ถูกรู้จักในนามของ Room39 เวลาผ่านไปเราเองก็ถูกรู้จักเราในอีกฐานะหน้ากากทุเรียน วันนี้เราก็รู้สึกว่ามันประสบความสำเร็จที่สุดแล้ว
The People: แล้วความสุขของทอมทุกวันนี้คืออะไร
ทอม: ความสุขคือการไม่คิดมากเลยครับ ผมพยายามไม่ตั้งเป้าว่าผมจะต้องมีความสุขแบบไหนจะต้องสำเร็จเมื่อไร จะต้องเครียดกับการที่มันไม่สำเร็จสักทีหนึ่ง ความสุขของผมคือความว่างเปล่า เราไม่ต้องคิดอะไรเลยครับ ไม่ต้องสุขที่สุด ไม่ต้องทุกข์ที่สุดครับตอนเด็ก ๆ มันก็ทำอะไรด้วยความสนุก มีความสุขเหลือเกิน พอวันหนึ่งอะไรที่เราคุ้นเคย เราก็จะเริ่มเฉย ๆ เราเคยผ่านมาหมดแล้ว เสียใจมากที่สุดมันก็ผ่านมาแล้ว เราก็เห็นว่ามันไม่สามารถลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ได้เลย เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ด้วย
The People: บทเรียนที่ตกตะกอนในช่วงชีวิตที่ผ่านมา
ทอม: คือ ชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลงอยู่แล้วครับ แล้วผมก็มองว่าเรายังอยากทำตรงนี้ต่อไป เราควรจะสร้างงานใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นมา เราคงไม่อาศัยงานเก่าไปเรื่อย ๆ ผมคงไม่เป็นส้มฉุนไปตลอด ไม่เป็น Room39 ไปตลอด ไม่เป็นหน้ากากทุเรียนไปตลอด วันหนึ่งมันก็คงทำให้ผมต้องเปิดหมวกอะไรใหม่ ๆ เปิดหน้าต่างบานใหม่ เปิดประตูบานใหม่ ให้คนทั่วไปได้เห็นผลงาน ได้เสพผลงานได้ ชีวิตคนเรามันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเวลา ตามกระแส ตามอะไรมันพัดพาเราไปได้ตลอดเวลา
The People: ความสุขของการทำงาน หรือแรงผลักดันในการทำงานในแต่ละวันคืออะไร
ทอม: น่าจะเป็นเรื่องของแฟนคลับครับ ไม่ว่ามันจะเยอะหรือจะน้อย อย่างน้อยก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่เขายังรอฟังเราอยู่ เรามองไปแล้วรู้สึกว่าเขายังอยู่เพื่อเรานะ เราก็น่าจะทำตรงนี้ต่อไปเพื่อเขา อะไรแบบนี้
The People: การสื่อสารกับแฟนคลับในช่วง 10 ปีที่แล้วกับตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปไหม
ถาม: ด้วยความเป็นนักร้อง เราน่าจะคุ้นเคยกับเรียลไทม์ฟีดแบค ปกติเราขึ้นไปร้องอยู่บนเวทีเราก็จะเห็น ถ้าคนเขาเอ็นจอยร้องเพลงเราได้มากน้อยขนาดไหน คุยกันได้ โน่นนั่นนี่ได้อะไรอย่างนี้ แต่ ณ ตอนนี้ก็คือไม่ต้องรอแค่เฉพาะตอนโชว์อย่างเดียวแล้ว เราก็แค่ไลฟ์คุยกับแฟนคลับได้ เขามีความรู้สึกยังไงเกี่ยวกับเพลงเราบ้าง บางทีเราก็เป็นที่ปรึกษาสำหรับเขาได้ด้วยนะ เวลาที่เขาฟังเพลงเราแล้วเขารู้สึกอย่างไรบ้าง เรื่องเหล่านี้มันไปตรงใจเขาโน่นนั่นนี่ เราก็อ๋อ...การที่เราได้รับฟังเขามันไม่ใช่แค่เราได้ช่วยเขา มันเป็นความรู้สึกดีของเราเองด้วยนะว่า เพลงเรามันได้ไปขับเคลื่อนความรู้สึกของเขา มันไม่ใช่แค่ว่าเรารู้ว่าเราดังนะ คนชอบเราเยอะ แต่ว่าไม่เลย ความตั้งใจของคนร้อง คนเขียนเพลง มันถูกใส่เข้าไปอยู่ในเพลง ถ้ามันได้ไปทำปฏิกิริยาอะไรกับผู้ฟังสักอย่างหนึ่งคงรู้สึกดีมาก
The People: คิดว่าเพลงมีความหมายกับชีวิตยังไงบ้าง
ทอม: เยอะเลยครับ เพลงเนี่ยมันสามารถ relate กับหลายคนได้เลย เริ่มตั้งแต่ผู้เขียน ผู้ร้อง ไปจนถึงผู้ฟัง เรามักจะสังเกตได้หลาย ๆ ครั้งในเรื่องของเรามักจะเห็นว่าคนร้องอินกับมันมากขนาดไหน ผู้เขียนก็จะหยิบเรื่องราวที่มาเขียนแล้วโดนใจขนาดไหน เพราะว่ามันออกมาจากผู้เขียนเองเหมือนกัน หรือว่าเพื่อนของผู้เขียนหรือคนรอบข้างของผู้เขียนอีกทีหนึ่ง ผู้ฟังก็จะเข้ามาคอมเมนต์ใน YouTube ว่าแบบโห! นี่มันเรื่องของผมชัด ๆ เลย นี่พี่เขียนให้ผมหรือเปล่า อะไรจะตรงกับชีวิตขนาดนั้น
บางทีมันก็มีสิ่งที่แอบซ่อนเอาไว้ในเพลง ในความรู้สึกของผู้ร้องหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะว่าผมมองว่าบางสิ่งบางอย่าง เราไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้ โพสต์ลงไปใน public ให้ใครได้เห็นได้ หรือบอกเล่าให้คนทั่วไปฟังได้ เรามักจะแอบซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในเพลง ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ อาจจะเป็นความรักบ้างก็ดี หรือว่าเรื่องราวอะไรบ้างก็ดีในเพลงอะไรอย่างนี้อะครับ
The People: อยากให้เล่าถึงเพลงล่าสุด ‘ไม่ใช่ไม่รู้สึก’
ทอม: อันนี้เขียนโดยพี่แทน ลิปตาครับ เป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง เราก็ถามสารทุกข์สุกดิบกัน พี่แทนก็ถามว่าทอมเป็นยังไงบ้าง มุมมองชีวิต มุมมองความรักเป็นอย่างไรบ้าง ก็เล่าให้ฟังว่าผมเองถ้าให้พูดถึงเรื่องความรักตรง ๆ มันก็แทบจะนึกไม่ออกแล้ว เพราะตอนนี้ผมก็มีภรรยาแล้ว จะให้มานึกถึงแบบช่วงโมเมนต์อะไรอย่างนี้ก็แทบจะนึกไม่ออกแล้วเหมือนกัน เราเลยเล่าความรู้สึกตอนนี้ว่า เราเป็นคนที่ขี้เกรงใจ เรามักจะเป็นคนที่ไม่กล้าบอกความรู้สึกของเราออกไปตรง ๆ สมมติว่า คนถามหิวไหม กินอะไรหรือยัง รีบไหม เราก็ตอบไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ไม่รีบครับ พี่สบาย ๆ นะครับ แต่จริง ๆ แล้วเรารีบนะ หรือบางทีเราหิว แต่เราไม่กล้า ด้วยความที่ว่าทุกคนกำลังรีบหรือเปล่าถ้าให้เรากิน ก็คงไม่ดีมั้ง เราก็เลยบอกพี่แทนไปประมาณนี้ พี่แทนเขาก็เลยคิดว่า ถ้าเราเอามาเล่าเป็นเรื่องของความรักล่ะ จะเล่าออกมายังไงดี ผมก็เลยนึกถึงเรื่องการที่แอบรักเพื่อน เพราะว่าเรารู้อยู่แล้วว่าการรักเพื่อนเนี่ยเป็นอะไรที่ผิดมาก ถ้าเราบอกเนี่ยคือโคตรแย่เลย ถ้าเราจะบอกไปเราก็คงผิด แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อเรารู้สึก มันก็เลยเกิดมาเป็นเพลงนี้ ไม่ใช่ไม่รู้สึก ติดตามได้ทาง YouTube ช่อง Tom Isara ฟังได้ทุก ๆ มิวสิคแพลตฟอร์ม apple iTunes Jook AISplay ครับ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
COTTO รุกอุตสาหกรรม “วัสดุตกแต่ง” เจาะกลุ่มนักออกแบบยุคใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ “Reimagine Living Refinement”
02 พ.ค. 2568
20
ทีเอ็มบีธนชาต เปิดตัวโครงการ “Circle of boon” เพื่อโรงพยาบาลท้องถิ่น
01 พ.ค. 2568
10
รับสมัครผู้เข้าแข่งขัน เก็บขยะชิงแชมป์โลก ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
30 เม.ย. 2568
26
แท็กที่เกี่ยวข้อง
Culture
The People
ทอม อิศรา