พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

เรื่องราวเบื้องหลัง 'เพลงชาติไทย' และบทบาทของพระเจนดุริยางค์ ผู้แต่งทำนองท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐใหม่ พร้อมผลกระทบที่ตามมาจากการสร้างเสียงแห่งชาติ

KEY

POINTS

  • ความจำเป็นของรัฐใหม่หลัง 2475 ที่ต้องมีเพลงชาติเพื่อสร้างอัตลักษณ์ และความล้มเหลวของเพลง “มหาชัย” ก่อนจะถึงเวอร์ชันที่ใช้จริง
  • พระเจนดุริยางค์ ได้รับมอบหมายให้แต่งเพลงชาติภายใต้เงื่อนไขที่ไม่อาจปฏิเสธได้ พร้อมเบื้องหลังการแต่งเพลงที่เกิดขึ้นกลางรถราง และผลกระทบจากการเปิดเผยชื่อ
  • มาจนถึงการเปลี่ยนแปลงเนื้อร้องจากขุนวิจิตรมาตรา ถึงการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย เช่น การเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น “ประเทศไทย” และการจัดประกวดคำร้องอีกหลายครั้ง

ทุกวันเวลา 08.00 น. และ 18.00 น. คนไทยจะหยุดยืนตรงแสดงความเคารพเมื่อเพลงชาติไทยบรรเลงขึ้นตามสถานที่สาธารณะ สืบเนื่องจากนโยบายของรัฐที่กำหนดให้มีการเปิดเพลงชาติควบคู่กับพิธีเชิญธง เพื่อสร้างความรู้สึกผูกพันและสำนึกร่วมที่มีต่อชาติ

เพลงชาติ มีจุดกำเนิดในปี พ.ศ. 2475 อันเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตย การมีเพลงชาตินับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเกิดขึ้นของ “รัฐใหม่” 

ก่อนปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทย (ขณะนั้นคือ สยาม) ยังไม่มีเพลงชาติอย่างเป็นทางการตามแบบสากล แม้จะมีการใช้เพลง “สรรเสริญพระบารมี” ในราชพิธีและกิจกรรมทางการทูต แต่เพลงดังกล่าวไม่ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการว่า เป็นเพลงชาติ 

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎร ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำการปฏิวัติ ได้จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวและพยายามวางรากฐานรัฐสมัยใหม่ ทั้งในด้านกฎหมาย การปกครอง และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม หนึ่งในนั้นคือ “เพลงชาติ” ซึ่งต้องสะท้อนอุดมการณ์ใหม่ของรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม ความพยายามแรกของคณะราษฎรในการกำหนดเพลงชาติไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก พวกเขาเลือกใช้เพลง “มหาชัย” เนื้อร้องโดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นเพลงชาติชั่วคราว แต่เพลงนี้ได้รับความนิยมน้อยมาก และไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของคณะราษฎร จึงมีการนำมาใช้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น

ในห้วงเวลาที่รัฐไทยกำลังก่อรูปใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรต้องการ “ดนตรี” ที่ทำหน้าที่เสมือน “เสียง” ของรัฐธรรมนูญ เพลงที่ไม่เพียงแต่จะใช้บรรเลงในพิธีการเท่านั้น แต่ยังต้องรวมใจของคนทั้งชาติไว้ภายใต้เสียงเดียวกัน

พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

บุคคลที่ถูกเลือกให้ทำภารกิจนี้ คือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ข้าราชการประจำกรมพิณพาทย์หลวง นักประพันธ์ดนตรีที่ได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญทั้งดนตรีไทยและดนตรีตะวันตก อีกทั้งมีความสามารถในการเรียบเรียงเสียงประสานและจัดวงดนตรีแบบสากล ซึ่งเหมาะต่อการประกาศความเป็นชาติในบริบทสมัยใหม่

แต่ภารกิจนี้กลับไม่ได้มีความราบรื่น หรือความเต็มใจตั้งแต่ต้น

พระเจนดุริยางค์เดิมชื่อ ปีเตอร์ ไฟท์ (Peter Feit) เกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2426 ที่ตำบลบ้านทะวาย จังหวัดพระนคร บิดาชื่อ จาคอบ ไฟท์ (Jacob Feit) ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน มารดาชื่อ นางทองอยู่ ชาวไทยเชื้อสายมอญ

พระเจนดุริยางค์ เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เมื่อ พ.ศ. 2433 จบการศึกษาหลักสูตรภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ ท่านเริ่มเรียนดนตรีกับบิดาเมื่ออายุ 10 ขวบ และศึกษาดนตรีด้วยตนเองจนมีความชำนาญ ต่อมาได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ Warsaw Conservatory กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์

จากบันทึกของพระเจนดุริยางค์ ระบุว่า ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2474 ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นาน ร.อ.หลวงนิเทศกลกิจ ร.น. (กลาง โรจนเสนา) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมวงการดนตรี ได้เข้ามาขอให้เขาแต่งเพลงใหม่ ในสไตล์เดียวกันกับ “La Marseillaise” เพลงชาติของฝรั่งเศส ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติประชาชน

พระเจนดุริยางค์ ได้ปฏิเสธคำขอในครั้งนั้นอย่างชัดเจน ด้วยเหตุผลว่า ยังไม่มีคำสั่งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลหรือสำนักพระราชวัง และเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ยังทำหน้าที่เป็นเพลงสำหรับพิธีการสำคัญอยู่ อีกทั้งในช่วงเวลาดังกล่าว ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติที่เริ่มหนาหู ทำให้พระเจนฯ เกรงว่าการแต่งเพลงลักษณะใหม่ที่หลุดจากธรรมเนียมเดิมอาจถูกนำไปใช้ในทางการเมือง

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผ่านไปเพียง 5 วัน หลวงนิเทศกลกิจ (ซึ่งภายหลังพระเจนฯ ทราบว่าเป็นหนึ่งในคณะราษฎร) ได้กลับมาขอร้องอีกครั้ง พร้อมอ้างว่าเป็น “ความต้องการของคณะผู้ก่อการ” ให้พระเจนฯ แต่งเพลงชาติอย่างเป็นทางการ

ในสถานการณ์ที่อำนาจรัฐเปลี่ยนขั้ว และคณะราษฎรกำลังวางรากฐานใหม่ พระเจนดุริยางค์เห็นว่าเป็นเรื่องสุดวิสัย และปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป แม้จะรู้ว่าการตอบรับครั้งนี้ อาจนำมาซึ่งผลกระทบต่อชีวิตราชการของตนในภายหลัง

พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

พระเจนฯ มีเวลาเพียง 7 วันในการแต่งทำนอง โดยวันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งรถรางสายบางขุนพรหม–ท่าเตียน เพื่อไปปฏิบัติงานราชการที่สวนมิสกวัน ทำนองเพลงได้ปรากฏขึ้นในสมอง เขารีบจดโน้ตเพลงลงบนกระดาษเพื่อป้องกันลืม พอถึงที่ทำงานก็ตรงดิ่งไปที่เปียโนทันที และดำเนินการเรียบเรียงเสียงประสานจนเสร็จสิ้นในเวลาต่อมา

สถานที่แห่งแรกที่เพลงชาติไทยถูกบรรเลงต่อสาธารณชน คือ พระที่นั่งอนันตสมาคม ในวันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2475 ซึ่งใช้จัดงานของรัฐบาลในช่วงแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยหลวงนิเทศกลกิจเป็นผู้รับมอบโน้ตเพลงชาติจากพระเจนฯ ไปให้วงดุริยางค์ใช้ในพิธี 

พระเจนฯ ขอร้องไม่ให้เปิดเผยชื่อของตนเอง อย่างไรก็ตาม ข่าวการแต่งเพลงชาติใหม่นี้ได้หลุดออกสู่สาธารณะเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อหนังสือพิมพ์ “ศรีกรุง” สื่อสำคัญในยุคนั้น ได้ตีพิมพ์ข่าวมีเนื้อหาทำนองว่า “พระเจนดุริยางค์เป็นผู้แต่งทำนองเพลงชาติใหม่ของรัฐบาล” 

ข่าวชิ้นนี้นำมาซึ่งผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าตัว ตามบันทึก พระเจนฯ ระบุไว้ว่า 

“ครั้นต่อมาในวันศุกร์รุ่งขึ้นตอนเช้า ข้าพเจ้าจับหนังสือพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งเคยรับเป็นประจำก็ได้ประสบข่าวที่ทำให้ต้องอกสั่นขวัญหาย ข่าวนั้นแจ้งว่า เมื่อวานนี้ได้มีการทดลองฟังการบรรเลงทำนองเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ ยกย่องว่าเป็นบทเพลงที่ไพเราะคึกคักน่าฟัง ทั้งกระทัดรัดกินเวลาบรรเลงเพียง 45 วินาที เหมาะสมที่จะยึดถือเอาเป็นเพลงชาติได้ ตอนท้ายได้นำเอานามของข้าพเจ้าลงตีพิมพ์ไว้ ว่าเป็นผู้ที่ได้ประพันธ์เพลงบทนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าข้าพเจ้าจะไม่ตระหนกตกใจมากยิ่งเพียงไร ทั้งรู้สึกเดือดดาลต่อสหายที่รักของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้กำชับไว้แล้วว่าให้ปกปิดนามของข้าพเจ้าไว้ แต่นี่กลับมาเปิดโปงเสียเช่นนี้ ก็ดูกระไรอยู่ ข้าพเจ้ารู้สึกหวาดในภัยที่จะคืบคลานมาสู่ตัวและครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นที่สุด…”

พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

วันนั้น เมื่อเดินทางมาถึงที่ทำงาน ได้มีโทรศัพท์จากกระทรวงวัง ต้นสังกัด เรียกให้ไปรายงานตัว โดย เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวังในขณะนั้น ได้ตำหนิพระเจนฯ อย่างรุนแรง ฐานเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่อาจกระทบต่อสถาบัน โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเขียนเพลงชาติ ที่ใช้แทน “สรรเสริญพระบารมี” ซึ่งเคยทำหน้าที่นี้โดยไม่เป็นทางการมานาน 

“รู้หรือไม่...พระเจ้าแผ่นดินของเรายังอยู่ ทำอะไรไว้ในเรื่องนี้ ทำไมไม่ปรึกษาขออนุญาตเสียก่อน”

แม้ในเวลาต่อมา พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะออกมาชี้แจงว่า การให้พระเจนฯ แต่งเพลงชาติเป็นความเห็นชอบของรัฐบาล และสภาฯ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นตามแนวคิดรัฐชาติสมัยใหม่ แต่กระนั้น พระเจนฯ ก็ไม่อาจรอดพ้นจากผลกระทบทางราชการไปได้

ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน พระเจนดุริยางค์ ได้รับคำสั่งให้ออกจากราชการ โดยได้รับเหตุผลว่า รับราชการมาครบ 30 ปี จึงสมควรได้รับเบี้ยบำนาญ และมีคำสั่งให้หักเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็นบำนาญ อีกครึ่งหนึ่งให้รับเป็นเงินเดือนตามอัตราใหม่ หากยังจะทำงานต่อในฐานะข้าราชการ

พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

“แม้ในเวลานั้นข้าพเจ้ามีอายุได้ 49 ปีเท่านั้น เงินเดือน 500 บาทต่อเดือนของข้าพเจ้า ก็ถูกแบ่งออกครึ่งหนึ่งเป็นบำนาญ อีกครึ่งหนึ่งเป็นเงินเดือน โดยให้รับราชการต่อไปในอัตราเงินเดือนใหม่นี้”

เรียกว่า นอกจากจะมิได้รับบำเหน็จรางวัลจากการแต่งเพลงสำคัญของชาติแล้ว ยังต้องถูกลงโทษอีกด้วย

คำร้องแห่งชาติ จากขุนวิจิตรฯ ถึงหลวงสารานุประพันธ์

แม้ว่าทำนองเพลงชาติจะแต่งเสร็จโดยพระเจนดุริยางค์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2475 แต่ “คำร้อง” ที่จะทำหน้าที่ส่งผ่านสารอุดมการณ์ของรัฐชาติสมัยใหม่ ยังไม่มีรูปแบบที่แน่นอนในช่วงแรก คณะผู้ก่อการจึงมอบหมายให้ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องฉบับแรกในปีเดียวกัน (2475) 

พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

เพลงฉบับนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็วในหมู่ประชาชนในเวลานั้น มีการพิมพ์แจกโดยโรงพิมพ์ศรีกรุง และใช้กันโดยทั่วไป แม้จะยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็น “เพลงชาติ” แต่ก็กลายเป็นที่รู้จักในระดับชาติและใช้กันต่อเนื่องในหมู่ทหาร นักเรียน และกิจกรรมของรัฐ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้จัดการประกวดคำร้องอย่างเป็นทางการ และนำคำร้องเดิมของขุนวิจิตรมาตราไปพิจารณาเพิ่มเติม โดยมีการเพิ่มอีก 2 บท (16 วรรค) จากผลงานของ ฉันท์ ขำวิไล ทำให้คำร้องฉบับนี้ มีความยาวรวม 32 วรรค

ด้วยเพลงชาติที่มีคำร้องยาวขนาดนั้น หากจะร้องให้ครบทั้ง 4 บท จะใช้เวลาถึง 3 นาที 52 วินาที (ไม่รวมอินโทร) ซึ่งถือว่ายาวเกินไปในบริบทของพิธีการสาธารณะ จึงไม่แพร่หลายเท่าฉบับเดิม 

ในปี พ.ศ. 2482 เมื่อรัฐบาลประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศ จาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” ก็เกิดความจำเป็นในการปรับคำร้องเพลงชาติให้สอดคล้องกับชื่อประเทศใหม่ รัฐบาลจึงจัดการประกวดคำร้องใหม่อีกครั้ง โดยข้อกำหนดในการประกวดครั้งนี้ชัดเจน คือ ต้องใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์เหมือนเดิม, คำร้องต้องมีความยาว ไม่เกิน 8 วรรค และต้องมีคำว่า “ไทย” อยู่ในเนื้อเพลง

จากผลงานคำร้องที่ส่งเข้าประกวด 614 สำนวน มีผู้ชนะการประกวด คือ หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ในนามกองทัพบก ซึ่งแต่งคำร้องที่กระชับ ชัดเจน ปลุกใจ และยืนยันความเป็นชาติแบบใหม่ในยุคสมัยของรัฐธรรมนูญ

“ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน…”

“สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย” 

มีการประกาศให้ใช้คำร้องนี้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน

เสียงของชาติ ทำนองที่หล่อหลอมรัฐ-ประชาชน

แม้คำร้องจะถูกปรับเปลี่ยนหลายครั้ง ตามเงื่อนไขของยุคสมัย แต่ “ทำนอง” ที่พระเจนดุริยางค์ประพันธ์ไว้ในปี พ.ศ. 2475 กลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง และยังคงทำหน้าที่เป็น “เสียง” ของรัฐไทยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 

โครงสร้างดนตรีของเพลงชาติฉบับนี้ มีลักษณะเรียบง่าย แต่ทรงพลัง ทั้งในแง่ท่วงทำนอง จังหวะ และการประพันธ์แนวประสานเสียง เพลงชาติไทยอยู่ในคีย์ C Major เป็นคีย์ที่ “โปร่ง สว่าง และมั่นคง” ไม่มีเครื่องหมายชาร์ปหรือแฟลตในบันไดเสียง จึงง่ายต่อการขับร้องและบรรเลงในหมู่ชนทุกระดับ ให้ความรู้สึก “มั่นคงในขอบเขต” สอดคล้องกับแนวคิดการสร้างเอกภาพแห่งชาติในยุคต้นของประชาธิปไตยไทย 

พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

ลักษณะนี้แตกต่างจากเพลงปลุกใจสไตล์ La Marseillaise ของฝรั่งเศสที่มีลีลารุกเร้า หรือ The Star-Spangled Banner ของสหรัฐฯ ที่มีช่วงกระโดดเสียงกว้าง (melodic leap) แบบโอเปราตะวันตก เพลงชาติไทยของพระเจนฯ สื่อสารผ่าน “ความสง่าแบบไม่ก้าวร้าว” ซึ่งเหมาะกับวัฒนธรรมไทยและยุทธศาสตร์สื่อสารของรัฐยุคนั้น (ทั้งนี้ บางหลักฐานอ้างว่า พระเจนดุริยางค์ ได้รับแรงบันดาลใจในการประพันธ์ทำนอง จากเพลง Mazurek Dabrowskiego ซึ่งเป็นเพลงชาติโปแลนด์ โดยมีจังหวะและโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน)

การที่พระเจนดุริยางค์เลือกใช้ดนตรีสากลในการแต่งเพลงชาติ ไม่ได้หมายความว่า เขาตัดขาดจากรากวัฒนธรรมไทย ในทางกลับกัน ทำนองที่เขาเรียบเรียงนั้นเปิดพื้นที่ให้สามารถบรรเลงได้ ทั้งในแบบ วงโยธวาทิตสากล และในแบบ เครื่องสายไทย ด้วยโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป แต่มีจังหวะและลมหายใจที่ปรับเข้ากับท่วงทำนองของไทยเดิมได้

นี่คือความสามารถเชิง “dual literacy” ที่หาได้ยาก ในการเป็นนักดนตรีที่เข้าใจทั้งสองโลก และสามารถประสานสองวัฒนธรรมให้ร่วมกันสร้างเสียงแห่งรัฐสมัยใหม่

พระเจนดุริยางค์กับ ‘เพลง’ ที่นิยามความเป็น ‘ชาติ’

ความเรียบง่ายขององค์ประกอบดนตรีทั้งหมด ทั้งโครงสร้าง ทำนอง จังหวะ และไดนามิก ส่งผลให้เพลงชาติไทยกลายเป็น "เสียงของรัฐ" ที่ทรงพลัง ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเหมือนเพลงโอเปราหรือเพลงคลาสสิกระดับโลก แต่กลับเปี่ยมด้วยพลังของสัญลักษณ์ เป็นประสบการณ์ร่วมของประชาชนไทยทุกคนที่แสดงออกถึงความเคารพต่อชาติในพิธีกรรมประจำวัน

เมื่อเสียงนี้บรรเลงขึ้นทุกเช้า เราจึงไม่ได้เพียงแค่ยืนตรงเคารพธงชาติ แต่ยังได้ยืนต่อหน้าผลงานของนักประพันธ์ดนตรี ผู้ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระ

ทำนองในเพลงชาติไทยของพระเจนดุริยางค์ คือ “เสียงของการก่อร่างสร้างชาติ” ที่ทำหน้าที่อย่างงดงามมานานเกือบร้อยปี และเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของความเป็นชาติไทยมาตราบจนทุกวันนี้

 

เรื่อง : อนันต์ ลือประดิษฐ์

 

ที่มา:

- เสทื้อน ศุภโสภณ, ตำนานเพลงชาติไทยฉบับสมบูรณ์ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายเฉวียง ผัสกุล ณ ฌาปนสถาน วัดตรีทศเทพ กรุงเทพฯ วันที่ 15 มกราคม 2532, (วัชรินทร์การพิมพ์)