จุก เบี้ยวสกุล : ตัวละครจาก ‘ส. อาสนจินดา’ ถึงนักวาดการ์ตูนไทย และ 7 ประจัญบาน

จุก เบี้ยวสกุล : ตัวละครจาก ‘ส. อาสนจินดา’ ถึงนักวาดการ์ตูนไทย และ 7 ประจัญบาน

เรื่องราวของ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ จากตัวละครของ ‘ส. อาสนจินดา’ ก่อนจะกลายเป็นนามปากกาของนักวาดการ์ตูน และตัวละครที่สวมบทโดย ‘ค่อม ชวนชื่น’ จนเป็นที่จดจำมาถึงปัจจุบัน

 

ไอ้จุก แม่มึงขึ้นสวรรค์ไปแล้ว!

 

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปี ดูเหมือนว่ารอยยิ้มและความฮาที่ดาวตลก ‘น้าค่อม ชวนชื่น’ ฝากไว้กับคนไทยจะยังคงอยู่ราวกับไม่เคยจางหายไปไหน โดยเฉพาะบทบาทการแสดงในโลกภาพยนตร์ไทยที่กลายมาเป็น ‘มีมตลก’ ระดับตำนานจนถึงปัจจุบัน

เมื่อเอ่ยถึง น้าค่อม ชวนชื่น หนึ่งในบทบาทการแสดงที่แฟน ๆ ตลกคงจำกันได้ดีคือ บท ‘จุก เบี้ยวสกุล’ มือระเบิดใฝ่ธรรมะจากภาพยนตร์เรื่อง ‘เจ็ดประจัญบาน’ (พ.ศ. 2545) ซึ่งถือว่าเป็นตัวละครแจ้งเกิดในฐานะนักแสดงหลัก ของ น้าค่อม ในโลกภาพยนตร์ไทย

ทว่า เมื่อนำชื่อ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ไปสืบค้นบนโลกอินเทอร์เน็ต นอกจากจะพบว่าคือชื่อตัวละครในเจ็ดประจัญบานแล้ว ก็ยังอาจจะพบด้วยว่า มีนักวาดการ์ตูนไทยฝีมือบรมครูในชื่อ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ 

จุก เบี้ยวสกุล’ คือใครกันแน่? มีตัวตนจริง ๆ หรือเป็นเพียงตัวละครในจินตนาการที่สร้างชื่อให้กับ น้าค่อม ชวนชื่น บทความนี้ มีคำตอบ

 

กำเนิด ‘จุก เบี้ยวสกุล’

ย้อนเวลากลับไปในราวต้นปี พ.ศ. 2501 นักแสดงและผู้กำกับรุ่นใหม่ นาม ‘ส. อาสนจินดา’ (สมชาย อาสนจินดา) กำลังโกรธแค้นโรงภาพยนตร์แกรนด์ ที่ตัดภาพยนตร์เรื่อง ‘พ่อจ๋า’ ผลงานการสร้างอย่างตั้งใจของ ส. อาสนจินดา ออกจากโรงภาพยนตร์อย่างกระทันหัน หลังเพิ่งเข้าฉายในช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2500 ได้เพียงไม่นาน

ด้วยวิถีแบบเสือปืนไว โรงภาพยนตร์พัฒนากร ซึ่งเคยประสบความสำเร็จจากการนำภาพยนตร์เรื่อง ‘สุภาพบุรุษสลึมสลือ’ (พ.ศ. 2500) ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นของ ส. อาสนจินดา เข้าฉายมาก่อน จึงติดต่อและตัดสินใจให้เงินลงทุนแก่ ส. อาสนจินดา สร้างภาพยนตร์แนวบู๊แอคชั่นเรื่องใหม่ โดยมีข้อแม้สำคัญว่า ต้องสร้างให้ทันฉายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 ซึ่งตรงกับวันตรุษจีน

จากความแค้น เปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสสร้างหนังเรื่องใหม่ของ ส. อาสนจินดา

ควรเกริ่นว่า ในช่วงปลายทศวรรษ 2490 กระแสภาพยนตร์แนวคาวบอยจากตะวันตก (Spaghetti Western) กำลังบุกยึดโรงภาพยนตร์ไทยและยิงกันอย่างฝุ่นตลบอบอวล อาทิ High Noon  หรือ ‘เที่ยง ดวล เดือด’ (ปี พ.ศ. 2495), SHANE (ปี พ.ศ. 2496) และ The Searchers (ปี พ.ศ. 2499) รวมไปถึงภาพยนตร์ที่น่าจะเป็นแรงบัลดาลใจให้กับ ส. อาสนจินดา อย่างมากคือ Seven Samurai หรือ ‘เจ็ดเซียนซามูไร’ (ปี พ.ศ. 2497) ผลงานอมตะแห่งโลกภาพยนตร์ของผู้กำกับชั้นครู ‘อากิระ คูโรซาวะ’ (Akira Kurosawa)

อาจเพราะกระแสภาพยนตร์แอคชั่นแนวคาวบอยซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ส.อาสนจินดา จึงน่าจะคิดสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่โดยผสมผสานกับความเป็นไทย ด้วยการสร้างตัวละครพระเอกนักบู๊แบบไทย ๆ จำนวน  7 คน โดยที่ชื่อพระเอกแต่ละคนจะคล้องจองกัน ซึ่งกล่าวกันว่า ส.อาสนจินดา ได้แรงบัลดาลใจมาจากชื่อของเหล่าพระเอกในเรื่อง ‘อกสามศอก’ จากบทประพันธ์ของอรวรรณ ที่มีชื่อคล้องจองกันว่า มิตร เมืองแมน, แสน สุรศักดิ์, กรด แก้วสามสี, ปลิว ปานทอง และ วิง ไกรลาศ 

ดังนั้น เมื่อ ส.อาสนจินดา คิดสร้างตัวละครในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของตัวเองขึ้นมา 7 คน จึงตั้งชื่อให้มีสัมผัสสระและอักษรในภาษาไทยอย่างสอดคล้องกัน ว่า 

จ่าดับ จำเปาะ, 
เหมาะ เชิงมวย, 
ตัวกวย แซ่ลี้, 
อัคคี เมฆยันต์, 
ดั้น มหิทธา, 
กล้า ตะลุมพุก 
และ จุก เบี้ยวสกุล
และตั้งชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ‘หนึ่งต่อเจ็ด

ด้วยเงื่อนไขที่ต้องเข้าฉายให้ทันวันตรุษจีน ส. อาสนจินดา จึงสร้างภาพยนตร์เรื่อง ‘หนึ่งต่อเจ็ด’โดยใช้เวลาเพียง 27 วัน ยกกองกันไปถ่ายทำที่ ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ที่ภาคใต้ จังหวัดสงขลา รวมทั้งภาคกลางที่กรุงเทพมหานคร ตัดต่อเข้าฉายรอบพิเศษที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2501 ซึ่งเป็นวันตรุษจีน ตามเงื่อนไขของนายทุนพอดี

หนึ่งต่อเจ็ด’ เป็นเรื่องราวว่าด้วยวีรกรรมการกอบกู้ชาติไทยของเหล่าพระเอกแบบไทย ๆ จำนวน 7 คน โดยมีตัวละครเอกคือ ‘จ่าดับ จำเปาะ’ ซึ่งรับบทโดย ส. อาสนจินดา ในลุคมาดเท่ห์เทสไทย ๆ  ‘เชือกกล้วย กางเกงแดง’ ซึ่งได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของตัวละครนี้ถึงปัจจุบัน ผลปรากฏว่า หลังออกฉาย ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถกวาดรายได้รวมเกินหลักล้าน และสามารถทำรายได้ให้แก่โรงภาพยนตร์พัฒนากรได้เกือบ 9 แสนบาท ซึ่งถือว่าสูงมากในสมัยนั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวละครเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้จะคือ จ่าดับ จำเปาะ แต่ก็ดูเหมือนว่ามีอีกหนึ่งตัวละครที่แฟน ๆ ภาพยนตร์ในยุคนั้นจะชื่นชอบเป็นอย่างมากด้วยเช่น คือ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ที่รับบทโดย ทรนง นิ่มนวล ดังปรากฏว่า มีนักวาดการ์ตูนหนุ่มผู้หนึ่ง ถึงกับเปลี่ยนชื่อนามปากกา/ดินสอ มาเป็น ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ตามตัวละครเจ็ดประจัญบานที่เขาชื่นชอบ

 

นักวาดการ์ตูน ที่ชื่อ ‘จุก เบี้ยวสกุล’

ในช่วง ปี พ.ศ. 2500 มีนักวาดการ์ตูนหนุ่มผู้หนึ่งชื่อ ‘จุลศักดิ์ อมรเวช’ นักเรียนชั้นปี 1 จากโรงเรียนเพาะช่าง ซึ่งมีฝีไม้ลายมือในด้านการวาดรูป กำลังก้าวเข้าสู่ถนนสายการ์ตูนด้วยการเริ่มวาดการ์ตูนให้กับสำนักพิมพ์บางกอก เขาเริ่มมีชื่อเสียงเล็ก ๆ ในนามปากกา ‘จุลศักดิ์’ จากวาดเขียนการ์ตูนชิ้นแรกคือนิยายภาพเรื่อง ‘จอมอภินิหาร’ (Superman) ซึ่งเป็นงานที่ทำต่อจากนักวาดคนอื่นที่เขียนค้างไว้ก่อนเสียชีวิต 

ด้วยความหลงใหลในเส้นสายลายการ์ตูน จุลศักดิ์ จึงเริ่มคิดเขียนนิยายภาพด้วยตัวเอง โดยเป็นทั้งผู้เขียนบทและผู้เขียนภาพประกอบในลักษณะนิยายภาพหรือที่เรียกว่า การ์ตูน (คอมมิค) ซึ่งพระเอกของเรื่องจะมีบุคลิกและการแต่งตัวแบบ ‘เอลวิส เพรสลีย์’ (Elvis Presley) ศิลปินนักร้องที่เขาชื่นชอบในขณะนั้น และตั้งชื่อการ์ตูนภาพเรื่องนี้ว่า ‘เจ้าชายผมทอง

การ์ตูน ‘เจ้าชายผมทอง’ (ปี พ.ศ. 2501) ได้รับกระแสการตอบรับจากผู้อ่านอย่างล้นหลาม กลายเป็นนิยายภาพหรือการ์ตูนคอมมิคแบบไทย ๆ ติดตลาดขายดิบขายดี มีเด็ก ๆ กำเงินสดมารอซื้อที่หน้าร้านขายหนังสือทั้งในพระนครและต่างจังหวัด มากไปกว่านั้น มีผู้กล่าวว่า การ์ตูน ‘เจ้าชายผมทอง’ เรื่องนี้ คือหนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์การ์ตูนไทยเลยทีเดียวด
 
กระนั้น ความนิยมของการ์ตูน ‘เจ้าชายผมทอง’ ที่สร้างชื่อให้แก่ผู้เขียนเป็นอย่างมาก กลับมิใช่ในนามปากกา ‘จุลศักดิ์’ แต่คือนาม ‘จุก เบี้ยวสกุล’
 
ภาพยนตร์เรื่อง ‘หนึ่งต่อเจ็ด’ ที่ออกฉายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 ได้กลายเป็นความชื่นชอบของนักวาดการ์ตูนหนุ่ม ‘จุลศักดิ์ อมรเวช’ จนถึงขนาดที่ว่าเปลี่ยนนามปากกามาเป็น ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ตามชื่อตัวละครที่เขาชื่อชอบ ซึ่งผลก็ปรากฏว่า นามปากกา ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ได้กลายเป็นชื่อที่สร้างผลงานและชื่อเสียงให้แก่นักวาดการ์ตูนผู้นี้นับตั้งแต่นั้นจนถึงตลอดช่วงชีวิตบนเส้นทางถนนการ์ตูนไทย

จุก เบี้ยวสกุล จากชื่อตัวละครในโลกภาพยนตร์ได้กลายเป็นชื่อในชีวิตจริงของนักวาดการ์ตูนชื่อดัง ตามที่ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ เจ้าชายแห่งนิยายภาพไทย ได้บันทึกไว้ซึ่งการเดินทางมาพบกันของ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ จากโลกภาพยนตร์ กับ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ บนถนนสายการ์ตูน ว่า 


ที่มาของจุก เบี้ยวสกุล เขาหยิบมากจากจอหนังไทย มีตัวละครในเรื่อง ‘หนึ่งต่อเจ็ด’ ของ ส.อาสนจินดา มีตัวละครชื่อ จุก เบี้ยวสกุล เขามีอารมณ์สมพ้องกับตัวละครดังกล่าวจึงกลายมาเป็น ‘จุก เบี้ยวสกุล’”

 

เช่นเดียวกับบันทึกความทรงจำของ ‘สิงห์สนามหลวง’ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ที่มีต่อ จุก เบี้ยวสกุล หรือ จุลศักดิ์ อมรเวช  และ จุก เบี้ยวสกุล ในภาพยนตร์ ‘หนึ่งต่อเจ็ด’ ที่ต่อมามีการสร้างเป็นภาพยนตร์ชุดต่อเนื่องกันหลายปีจนกลายเป็นที่จดจำในชื่อภาพยนตร์ชุด ‘เจ็ดประจัญบาน

 

“ยุคนั้นมีหนังไทยที่ ส.อาสนจินดา สร้างและกำกับอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่อง เจ็ดประจัญบาน ซึ่งเราเรียกกันตามประสาเด็กวัยรุ่นดูหนังบู๊ล้างผลาญแบบไทย - ไทย ว่าเป็นแฟนตาซีประเภท ‘พระเอกคนเดียว ผู้ร้ายนับพัน’ เรื่อง เจ็ดประจัญบาน นี่ก็เป็นทำนองนั้น...ดังนั้นเมื่อหนังเรื่อง เจ็ดประจัญบาน มีพระเอกถึง 7 คน ที่เข้ามาประสานมือร่วมด้วยช่วยกัน ผลของมันก็ต้องมันส์ระเบิด อย่าบอกใคร นั่งไง...จ่าดับ จำเปาะ, เหมาะ เชิงมวย, ตัวกวย แซ่ลี้, อัคคี เมฆยันต์, ดั้น มหิทธา, กล้า ตะลุมพุก และ จุก เบี้ยวสกุล เห็นมั้ย...ไม่ว่าทั้ง 7 คนจะไปโผล่ที่ใด อันธพาลนับร้อยนับพันที่มีแผนร้ายอยู่เบื้องหลังต้องเป็นพังกระเจิง ยิ่งตอนจ่าดับ จำเปาะ ที่นำแสดงโดย ส.อาสนจินดา ถึงเวลาโชว์กางเกงแดง พกปืนคาดด้วยเชือกกล้วยด้วยแล้ว แฟนหนังเป็นต้องลืมขี้ลืมเยี่ยวไปเลย...

คุณจุลศักดิ์ อมรเวช กับผม อายุห่างกันไม่กี่ปี อาจถือเป็นคนร่วมยุคกันเลยก็ว่าได้ ดังนั้นในช่วงวัยรุ่นเราจึงคงเกิดอาการ ‘รักฟ้าเมืองไทย’ ไม่แตกต่างกัน อย่างน้อยก็น่าจะมาจากหนังเรื่อง เจ็ดประจัญบาน ของ ส.อาสนจินดา นี่แหละ แต่กระนั้นสำหรับผมเอง หลายสิ่งหลายอย่างดูเหมือนจะสะดุดหยุดลงเพราะเกิดไปหลง ‘แสงสีอันวิจิตร’ ในห้องสมุดกลางของธรรมศาสตร์ที่เริ่มเปิดโลกการอ่าน การดู และการฟัง....แต่ทว่า ‘เจ็ดประจัญบาน’ ของ จุลศักดิ์ อมรเวช น่าจะยังคงลุกโชนอยู่ เพราะเมื่อเขาเริ่มเข้าสู่วงการ ‘นิยายภาพ’ เพื่อหาเงินส่งเสียตัวเองที่กำลังเรียนอยู่เพาะช่างปี 1 ในปี 2501 ขณะที่เจ็ดประจัญบาน กำลังโกยเงินอยู่ที่โรงหนังพัฒนากรนั้น นิยายภาพเรื่อง เจ้าชายผมทอง ฉบับปฐมฤกษ์ของเขาที่เริ่มใช้นามว่า ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ก็พลันปรากฏออกสู่โลกการ์ตูนในเดือนตุลาคม 2501 ด้วย ดังนั้นหนึ่งในเจ็ดที่เป็น ‘น้องนุชสุดท้อง’ ของ ส.อาสนจินดา จึงผงาดขึ้นมาในวงการนิยายภาพและการ์ตูนเล่มของไทยตั้งแต่นั้น จุลศักดิ์ อมรเวช ให้เหตุผลว่า ที่เขาหยิบเอานามสุดท้ายของตัวละครในหนังเรื่อง เจ็ดประจัญบาน มาเป็นนามวาดภาพก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า 

เพราะเห็นว่า (ตัวละครนี้) น่ารักและตลกดี’

 

จากตัวละครไร้ชีวิตในโลกภาพยนตร์ที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นโดย ส.อาสนจินดา ได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจให้กับคนที่มีหัวใจและมีชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงของนักวาดการ์ตูนนาม จุลศักดิ์ อมรเวช ได้กลายเป็น ‘จุก เบี้ยวสกุล’ เจ้าชายแห่งนิยายภาพไทย

แต่การเดินทางของตัวละคร ‘จุก เบี้ยวสกุล’ บนโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เพราะในกาลก่อมา ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ยังได้เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตดาวตลกคาเฟ่ ซึ่งต่อมาทุก ๆ คนในสังคมไทยรู้จักเขาดีในชื่อ ‘น้าค่อม ชวนชื่น

 

‘จุก เบี้ยวสกุล’ ตัวละครแจ้งเกิด

น้าค่อม ชวนชื่น ในโลกภาพยนตร์ไทย

หลังคาเฟ่ตลกถึงคราวล่มสลายในช่วงต้นทศวรรษ 2540 บรรดาตลกคาเฟ่ก็จำเป็นต้องหนีตายออกเดินทางจากเวทีตลกสู่โลกของวงการสื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์ แน่นอนว่า ดาวตลกตัวตบมุกของตลกคณะชวนชื่นอย่าง ‘ค่อม ชวนชื่น’ ก็คือหนึ่งในนั้น

แม้นักแสดงตลกจะปรากฏในภาพยนตร์ไทยมานานแล้ว แต่ทว่าก็ยังมิใช่ในฐานะนักแสดงนำหลักจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2544 ผู้กำกับ ‘ยุทธเลิศ สิปปภาค’ นำดาวตลกชั้นนำของเมืองไทย 4 คน ได้แก่ เทพ โพธิ์งาม, หม่ำ จ๊กมก, ถั่วแระ เชิญยิ้ม, และเท่ง เถิดเทิง มารับบทนำในภาพยนตร์ ‘มือปืน/โลก/พระ/จัน’ 

ผลปรากฏว่า ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้และเสียงชื่นชม

ความสำเร็จในการนำนักแสดงตลกมาปรากฏกายในฐานะนักแสดงนำหลักของภาพยนตร์ไทยยุคหลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ผู้กำกับ ‘เฉลิม วงศ์พิมพ์’ ดึงเอาสองดาวตลกอย่าง เท่ง เถิดเทิง มารับบทเป็น ‘หมัด เชิงมวย’ และ ค่อม ชวนชื่น มารับบทนำเป็น ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ในภาพยนตร์เรื่อง ‘7 ประจัญบาน’ ฉบับปี พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นผลงานสานต่อและหวนรำลึกถึงบรมครูผู้ให้กำเนิดภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง ส.อาสนจินดา

การกลับมาของภาพยนตร์ ‘7 ประจัญบาน’ ในปี พ.ศ. 2545 ไม่เพียงแต่ช่วยปลุกตัวละครน้องนุชสุดท้องอย่าง ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ให้กลับมาโลดเล่นบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง แต่ยังเป็นหนึ่งในละครที่ ‘ปลุกชีวิต’ หรือแจ้งเกิดดาวตลก ค่อม ชวนชื่น ในโลกภาพยนตร์ไทยในฐานะผู้รับบท ‘จุก เบี้ยวสกุล

ค่อม ชวนชื่น หรือในชื่อจริง ‘อาคม ปรีดากุล’ ดาวตลกตัวตบมุกของคณะชวนชื่น เข้าสู่วงการภาพยนตร์เป็นครั้งแรกจากบทตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่อง ‘กลิ่นสีและทีแปรง’ (พ.ศ. 2539) และ ‘แจ้งเกิด’ อย่างเต็มตัวในฐานะนักแสดงนำหลักจากภาพยนตร์เรื่อง ‘7 ประจัญบาน’ ปี พ.ศ.2545 ในบทบาท ‘จุก เบี้ยวสกุล’ มือระเบิดผู้ใฝ่ธรรมะ ที่ตั้งใจกตัญญูจะบวชทดแทนคุณให้แม่ แต่ทว่าต้องมาทำภารกิจช่วยชาติร่วมกับพลพรรคพี่น้องทหารร่วมสาบานในนาม ‘7 ประจัญบาน’ เสียก่อน

กล่าวได้ว่า ในยุคที่ดาวตลกคาเฟ่ต่างหนีตายจากสถานบันเทิงคาเฟ่สู่วงการโทรทัศน์และภาพยนตร์ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ คือตัวละครที่ทำให้ น้าค่อม ชวนชื่น ได้ฉายแสงและแจ้งเกิดในวงการภายนตร์ไทยอย่างเต็มตัว ความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่อง ‘7 ประจัญบาน’ ทำให้ ค่อม ชวนชื่น มีผลงานการแสดงตามมาอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้น โดยเฉพาะบรรดาหนังในกลุ่มตระกูลของผู้กำกับ ‘ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์’ ทั้ง พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า (ปี พ.ศ. 2548) แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า (ปี พ.ศ. 2549) โหด หน้า เหี่ยว 966 (ปี พ.ศ. 2552) น้ำ ผีนองสยองขวัญ (ปี พ.ศ. 2553) และ ไบค์แมน ศักรินทร์ตูดหมึก (ปี พ.ศ. 2561) ซึ่งนำมาสู่วลีด่าและมีมตลกในตำนานอย่าง “ไอ้สัddd” รวมไปถึงมีมตลกอีกมากมายก่ายกองที่แฟน ๆ ทุกรุ่นทุกช่วงวัยต่างชื่นชอบ จนกลายเป็นดาวตลกที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของยุคสมัย ที่แฟนตลกๆ ต่างนิยมกันเรียก ‘น้าค่อม’

ไม่น่าเชื่อว่า จากตัวละครที่ถือกำเนิดขึ้นด้วยจินตนาการของ ส.อาสนจินดา ‘จุก เบี้ยวสกุล’ จะออกเดินทางจากโลกภาพยนตร์สู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ยาวไกลถึงเพียงนี้ จากตัวละครในหนังกลายเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจจริง ๆ ในวงการนักวาดการ์ตูนไทย ผู้ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นปูชนียบุคคลแห่งวงการการ์ตูนไทยที่ชื่อ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ รวมทั้งยังเป็นบทบาทการ ‘แจ้งเกิด’ ในโลกภาพยนตร์ไทย และกลายเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้แก่ดาวตลกคาเฟ่ ผู้อยู่ในหัวใจและเสียงหัวเราะของคนไทยอย่าง น้าค่อม ชวนชื่น

สรุปคือ จุก เบี้ยวสกุล คือตัวละครที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นโดย ส.อาสนจินดา แต่ได้กลายมาเป็นความชื่นชอบจนทำให้นักวาดการ์ตูนหนุ่มเปลี่ยนนามปากกามาใช้ชื่อตัวองว่า ‘จุก เบี้ยวสกุล’ จนกลายเป็นที่จดจำของแฟน ๆ การ์ตูนไทย และยังเป็นตัวละครแจ้งเกิดให้แก่ น้าค่อม ชวนชื่น ในโลกภาพยนตร์ไทยจนหลายคนจดจำบทบาทของน้าค่อมในฐานะ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ แห่ง 7 ประจัญบาน เช่นกัน

แม้ในตอนท้าย จุก เบี้ยวสกุล หรือ จุลศักดิ์ อมรเวช จะวางดินสอจากโลกนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 เช่นเดียวกับ จุก เบี้ยวสกุล แห่ง 7 ประจัญบาน อย่าง น้าค่อม ชวนชื่น หรือ อาคม ปรีดากุล ที่จากไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564 

และเช่นเดียวกับในตอนจบอันเป็นตำนานของภาพยนตร์ ‘7 ประจัญบาน’ ปี พ.ศ. 2545 ที่ตัวละคร จุก เบี้ยวสกุล จะได้บวชเรียนทดแทนพระคุณแม่ จนผู้เป็นแม่ซาบซึ้งเป็นลมเสียชีวิต ก่อนร่างจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยแรงระเบิดจากบุหรี่ซิการ์ของหมัด เชิงมวย จะพระท่านอุทานว่า “ไอ้จุก แม่มึงขึ้นสวรรค์ไปแล้ว

แต่ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ก็น่าจะยังไม่ตาย 

และการเดินทางของ ‘จุก เบี้ยวสกุล’ ในสังคมไทยก็คงจะยังไม่จบลงเพียงเท่านี้...

 

ภาพ : Nation Photo, ภาพยนตร์ 7 ประจัญบาน, โปสเตอร์ 7 ประจัญบาน และโปสเตอร์ หนึ่งต่อเจ็ด

 

อ้างอิง

หนึ่งเดียว, บู๊แซ่บ : สุดยอดหนังบู๊ระดับตำนาน ภาค 2, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ POPCORN, 2551), 13.

รัฐฐกรณ์ ศิริฤกษ์, ‘7 ประจัญบาน’ หนังบู๊-ฮากลิ่นคาวบอยเลือดไทยที่มาพร้อมกับตัวประกอบในดวงใจ, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.thepeople.co/thought/hard-opinions/51287

หนึ่งต่อเจ็ด (2501), เข้าถึงข้อมูลใน https://thaibunterng.fandom.com/th/wiki/หนึ่งต่อเจ็ด_(2501)
ดูกระแสความนิยม ‘เอลวิส เพรสลีย์’ ในสังคมไทยในช่วงเวลาดังกล่าวได้ใน อิทธิเดช พระเพ็ชร, ประวัติศาสตร์ร็อกแอนด์โรล (ฉบับต้องห้าม) : เมื่อ ‘เอลวิส เพรสลีย์’ จะเกิด แต่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งคุมกำเนิดเพลงร็อกแอนด์โรล, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.the101.world/elvis-presley-in-sarit-thanarats-era/

จุก เบี้ยวสกุล เจ้าชายแห่งนิยายภาพไทย, อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายจุลศักดิ์ อมรเวช เป็นกรณีพิเศษ ณ เมรุวัดธาตุหนองบัว อ.เมือง จ.อุบลราชธานี วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2547,18.

สุชาติ สวัสดิ์ศรี, แด่ “เจ้าชายจุก”, ใน จุก เบี้ยวสกุล เจ้าชายแห่งนิยายภาพไทย,อ้างแล้ว, 118.