04 ต.ค. 2568 | 11:30 น.
KEY
POINTS
ในประเทศไทย มีเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ถูกผลักให้ออกจากระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเพราะปัญหาความยากจน การไม่มีอุปกรณ์เรียนออนไลน์ในช่วงการระบาดของโควิด 19 หรือแม้แต่การก้าวพลาดจนต้องเข้าไปอยู่ในสถานพินิจ ณ จุดหนึ่งในชีวิต เมื่อพวกเขาพลาดโอกาสทางการศึกษาไป สิ่งที่พวกเขาสูญเสียไม่ใช่เพียงห้องเรียน แต่คืออนาคต ความมั่นคง และโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าในระยะยาว
ความจริงนี้สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทย การศึกษาในความหมายเดิมเข้าถึงได้ง่ายสำหรับ ‘กลุ่มบน’ ทว่ากลับทิ้ง ‘กลุ่มล่าง’ เอาไว้ข้างหลัง ช่องว่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงสถิติในรายงาน แต่คือความจริงที่ทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยต้องไปอยู่ใน ‘ถนนสีเทา’ ทั้ง ๆ ที่มันอาจไม่ต้องเป็นเช่นนั้นเลย หากว่าโอกาสทางการศึกษาของพวกเขาไม่หลุดมือไปในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต
คำถามสำคัญคือ หากโรงเรียนแบบที่เราคุ้นเคยไม่สามารถตอบโจทย์เด็กทุกคนได้จริง แล้ว ‘โรงเรียน’ ควรมีความหมายอย่างไรในโลกยุคปัจจุบัน? โครงการ ‘เพราะทุกที่คือโรงเรียน’ ที่ริเริ่มโดย ‘กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา’ หรือ ‘กสศ.’ จึงพยายามพลิกคำตอบนี้ ผ่านความร่วมมือกับศูนย์การเรียนปัญญากัลป์และ KFC ประเทศไทย เปลี่ยนร้านอาหารให้กลายเป็นห้องเรียน และเชื่อมการทำงานจริงเข้ากับหน่วยกิตการศึกษา เพื่อให้เด็ก ๆ มีโอกาสกลับมาจบ ม.ปลาย ขณะเดียวกันก็มีรายได้และทักษะอาชีพติดตัวไปด้วย
ในบทความนี้ The People จะพาไปสำรวจทั้งภาพรวมของปัญหาเชิงโครงสร้าง เรื่องราวของเด็กนักเรียนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ไปจนถึงการสร้างสรรค์หลักสูตรการศึกษาแบบยืดหยุ่นผ่านโครงการเพราะทุกที่คือโรงเรียนที่ร่วมกับภาคเอกชนเปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้เป็นห้องเรียน ควบคู่กับประสบการณ์จริงของผู้เรียนและผู้พัฒนาหลักสูตร เพื่อให้เห็นชัดว่า ‘การศึกษาที่ยืดหยุ่น’ ทำงานอย่างไร และสามารถพาเราไปไกลได้เพียงไหน
“การศึกษาที่ควรจะต้องให้โอกาสคนเท่าเทียมกัน
ตอบโจทย์ชีวิตแต่ละคนได้
และทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเราเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน”
แม้ระบบการศึกษาไทยจะถูกพูดถึงเรื่องการปฏิรูปมาอย่างยาวนาน แต่ก็ยากจะปฏิเสธว่าปัญหาวงจรของความเหลื่อมล้ำที่ทำให้เด็กจากครอบครัวยากจนหรือผู้ที่ขาดโอกาสทางสังคมถูกผลักให้ห่างออกไปเรื่อย ๆ ก็ยังคงมีอยู่ และปัญหาเหล่านั้นย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเขาเหล่านั้นในระยะยาว
‘ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ’ ที่ปรึกษากรรมการบริหาร กสศ. มองว่า ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันยังเดินหน้าของการสร้างความเหลื่อมล้ำ สร้างความแตกต่าง และทำให้กลุ่มคนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ขาดโอกาสมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ของความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ไม่ใช่เพียงคะแนนสอบที่ต่ำกว่าหรือการขาดวุฒิการศึกษา แต่ยังนำไปสู่การผลักเด็กจำนวนมากเข้าสู่วงจรสีเทาของสังคม เช่น โอกาสในตลาดแรงงานที่น้อยลงหรือแม้แต่การเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม
ปัญหาไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่ ‘ความรักดี’ หรือ ‘สำนึก’ ของเด็กนักเรียน แม้นักเรียนบางคนจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อจำกัดของครอบครัว อาทิเช่น การต้องการเลี้ยงตัวเองหรือครอบครัว ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กนักเรียนเหล่านั้นต้องแบ่งสรรเวลาในการเรียนไปทำงาน นอกจากนั้นก็ยังมีในเรื่องของการเข้าถึงการศึกษา โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด 19 ที่ทำให้การเรียนการสอนมีการเปลี่ยนแปลงและต้องเรียนจากทางบ้านที่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ท หรือสมาร์ทโฟน ซึ่งอาจกลายเป็น ‘กำแพง’ ในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กหลายคน
“ในขณะที่คนกลุ่มบนได้รับโอกาสมาก ก็ยิ่งไปไกล ยิ่งสร้างฐานะและความร่ำรวยมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งห่าง — 16 เท่า 18 เท่า และยังส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น”
นอกจากนั้น ศ.ดร.สมพงษ์ ยังชี้ให้เห็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ซ้ำเติมกัน เช่น ความยากจนที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น การขาดโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ระบบครอบครัวที่เปราะบาง และปัญหาพ่อแม่วัยใส ปัจจัยเหล่านี้หากไม่ได้รับการแก้ไขผ่านการศึกษาและการลดความเหลื่อมล้ำ ก็จะยิ่งทำให้สังคมไทยเผชิญปัญหาหนักขึ้นอีกหลายเท่าในอนาคต
สิ่งที่สะท้อนชัดคือ การศึกษาของไทยยังไม่สามารถ ‘ตอบโจทย์ชีวิต’ ของเด็กทุกคนได้ ศ.ดร.สมพงษ์ ย้ำว่าการศึกษาที่ควรจะเป็นนั้น “ต้องให้โอกาสคนเท่าเทียมกัน ตอบโจทย์ชีวิตแต่ละคนได้ และทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเราเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหลื่อมล้ำ ไม่มีใครดีกว่าใครเกินไป”
ดังนั้น ปัญหาของระบบการศึกษาไทยไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน หากแต่อยู่ที่โครงสร้างทั้งระบบที่ยังคงผลิตซ้ำความเหลื่อมล้ำอย่างต่อเนื่อง และนี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไม ‘การศึกษาที่ยืดหยุ่น’ (Flexible Education) จึงกลายเป็นหนึ่งในหนทางแก้ไขที่อาจจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ และมอบโอกาสให้เด็กนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม
ในชีวิตของเด็กจำนวนมากที่หลุดจากระบบการศึกษา โอกาสที่พวกเขาจะได้กลับมามีชีวิตที่ดีกว่าในอนาคตดูเหมือนจะน้อยลงเรื่อย ๆ แต่สำหรับ ‘อาทิตย์’ หรือ ‘มีชัย แซ่ลี้’ หนึ่งในนักเรียนที่เคยต้องออกจากโรงเรียนในช่วงโควิด 19 เพราะไม่มีอุปกรณ์การเรียนออนไลน์
อาทิตย์เล่าว่า หลังจากที่เขาหยุดเรียนในช่วงโควิด 19 เขาต้องไปทำงานรับจ้างในอาชีพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานก่อสร้างและหนักงานปั๊มน้ำมัน เพื่อช่วยเหลือครอบครัว แต่การใช้ชีวิตในช่วงนั้นทำให้เขารู้สึกหมดหวัง อาทิตย์ได้บรรยายว่า “ตอนนั้นผมเป็นคนไม่มีอนาคตเลยครับ จากตอนนั้นที่ผมผิดพลาด จนกระทั่งผมได้มาเจอกับโครงการนี้”
จนกระทั่งเขาได้เข้าร่วมโครงการของ KFC สาขา Homework พัทยา ซึ่งไม่เพียงแต่ให้โอกาสเขากลับมาเรียน จนถึงการได้รับวุฒิ ม.ปลาย แต่ยังทำให้เขาได้ทักษะการทำงานที่มั่นคง จากเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาและต้องดิ้นรนเพื่อหาทางชีวิต เขากลับมาเป็นคนที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ผ่านงานที่ทำอีกทั้งยังสามารถเดินหน้าต่อไปในระบบการศึกษาได้เหมือนกับนักเรียนคนอื่น ๆ
โอกาสที่อาทิตย์ได้รับไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการให้การศึกษาหรือการทำงานที่ร้าน KFC เพียงเท่านั้น แต่มันคือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต และการคืนความหวังให้กับเด็กที่เคยถูกทิ้งจากระบบ ซึ่งโครงการนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าเด็กที่หลุดจากการศึกษาไม่จำเป็นต้องจบลงในชีวิตที่มืดมน พวกเขาสามารถกลับมาเดินบนเส้นทางที่ดีได้หากได้รับโอกาสที่ถูกต้อง
การให้โอกาสนักเรียนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและเรียนรู้ทักษะอาชีพที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานนั้น จึงเป็นหนึ่งในทางออกที่ช่วยให้พวกเขากลับมามีศักดิ์ศรีและมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
การสร้างโอกาสให้กับเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษานั้นไม่ใช่เพียงการนำพวกเขากลับเข้าสู่ห้องเรียนอีกครั้ง แต่ยังต้องหาวิธีในการทำให้การเรียนรู้มีความหมายและสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ โครงการ ‘เพราะทุกที่คือโรงเรียน’ จึงถือกำเนิดขึ้นมา โดยร่วมมือกับ KFC ประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนร้านอาหารให้กลายเป็น ‘ห้องเรียน’ ที่ไม่เพียงแต่สอนทักษะการบริการและการทำงานในร้านอาหาร แต่ยังสามารถเชื่อมต่อการทำงานจริงเข้ากับหน่วยกิตการศึกษา
หลักสูตรนี้ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นเพียงการฝึกงานทั่วไป แต่เป็นการเรียนรู้ที่มีโครงสร้างและเป้าหมายที่ชัดเจน โดยมุ่งหมายให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ทักษะที่มีความต้องการในตลาดแรงงาน รวมถึงการทำงานเป็นทีม การบริหารจัดการเวลา และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็ก ๆ สามารถพัฒนาทักษะที่สำคัญไปพร้อมกับการเรียนจนถึงการจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย
‘ปริมประภา สุวรรณพรม’ ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาหลักสูตรกล่าวว่า การเรียนที่ร้าน KFC ทำให้การศึกษาไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น “ห้องเรียนที่แท้จริงสามารถอยู่ในทุกที่ ทุกเวลาที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และฝึกฝนสิ่งใหม่ ๆ” นอกจากนั้น อาจารย์ปริมยังเสริมว่า การที่ KFC ยินดีเข้าร่วมในโครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับเด็กที่ถูกทิ้งจากระบบการศึกษา ให้ได้กลับมามีทางเลือกในชีวิตอีกครั้ง
โครงการนี้ยังช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่า ภาคเอกชนสามารถมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาการศึกษาได้จริง เมื่อทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อผลักดันการศึกษาในรูปแบบที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าเด็กจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเขาจะมาในฐานะนักเรียนในห้องเรียนหรือทำงานอยู่ในร้าน KFC ทุกที่ก็สามารถเป็นโรงเรียนได้ และทุกเด็กสามารถมีโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตได้เช่นกัน
การเรียนการสอนในโครงการนี้ไม่ใช่การเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการฝึกทักษะจากการทำงานจริงในร้าน KFC โดยเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้จาก 3 สถานีหลัก ได้แก่ การบริการลูกค้า (Front of House), การทำอาหารในครัว (Kitchen Operations), และ การจัดการหลังบ้าน (Back of House) ซึ่งแต่ละสถานีมีการฝึกฝนทักษะที่จำเป็นสำหรับงานบริการในร้านอาหาร
นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้ทักษะการทำงานที่สำคัญ เช่น การจัดการเวลา การทำงานเป็นทีม และการพัฒนาทักษะการสื่อสารที่ใช้ในงานบริการ เมื่อนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการผ่านการฝึกทักษะในแต่ละสถานีและสะสมชั่วโมงการทำงานแล้ว พวกเขาจะได้รับ หน่วยกิตการศึกษา ที่สามารถนำไปใช้ในการจบการศึกษาและสร้างโอกาสในอนาคตได้
จากร้านอาหาร KFC ที่มักจะเห็นเป็นแค่สถานที่ทำงานหรือบริการลูกค้า กลับกลายเป็น ‘ห้องเรียน’ ที่เต็มไปด้วยโอกาสในการเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น ที่ไม่เพียงทำให้นักเรียนสามารถเลี้ยงดูตัวเองในขณะที่เรียนหนังสือด้วยได้ แต่ยังทำให้พวกเขาเข้าใจชีวิตผ่านการทำงานมากกว่าเดิม
โครงการ เพราะทุกที่คือโรงเรียน ไม่เพียงแค่สร้างโอกาสให้กับเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา แต่ยังช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคมในเรื่องการศึกษาแบบยืดหยุ่น ที่ไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดในห้องเรียน อีกทั้งยังยืนยันให้เห็นว่า เมื่อเราร่วมมือกัน ทุกพื้นที่สามารถเป็นพื้นที่การเรียนรู้ได้จริง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในส่วนของผลลัพธ์ที่เห็นชัดที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงชีวิตของนักเรียน ที่เข้าร่วมโครงการ อย่างกรณีของ น้องอาทิตย์ ที่เคยหลุดจากระบบการศึกษา ตอนนี้กลับมามีชีวิตที่มั่นคงขึ้น โดยไม่เพียงแค่ได้รับวุฒิการศึกษา แต่ยังสามารถทำงานเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อีกด้วย การที่เขาได้ทั้งการเรียนและการทำงานไปพร้อม ๆ กัน ทำให้เขามองเห็นอนาคตที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
อาจารย์ปริม ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ กล่าวถึงการที่โครงการนี้สามารถทำให้เด็ก ๆ กลับมามีโอกาสใหม่ว่า “การที่เด็กได้ทำงานจริงแล้วเชื่อมต่อกับการเรียนรู้ ทำให้พวกเขาไม่เพียงแค่ได้รับทักษะการทำงาน แต่ยังสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้อย่างเต็มที่”
ไม่เพียงแค่นักเรียนเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ ภาคเอกชนอย่าง KFC ประเทศไทย ก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการศึกษาในรูปแบบใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียนแบบดั้งเดิม ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า “ถ้าเราสามารถเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ที่หลุดจากระบบได้เรียนรู้จากการทำงานจริง ก็จะทำให้เขาได้ทักษะที่สามารถนำไปใช้สร้างอนาคตได้จริง”
แม้โครงการนี้จะยังเป็นโมเดลที่ใหม่ แต่ก็เป็นการสร้างต้นแบบที่สามารถขยายผลไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ ในอนาคตภาคเอกชนและรัฐสามารถร่วมมือกันเพื่อผลักดันการศึกษาในรูปแบบนี้ให้เข้าถึงเด็กที่ต้องการโอกาสมากขึ้น และสะท้อนให้เห็นว่าความช่วยเหลือจากภาคเอกชนไม่เพียงแค่เป็นการคืนกำไรสู่สังคม แต่เป็นการช่วยเหลือและทำให้ผู้คนในสังคมมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม
จากที่เห็นชัด ๆ ในโครงการนี้ นักเรียนที่ได้รับโอกาสกลับมาเรียนและทำงานในเวลาเดียวกัน สามารถเปลี่ยนชีวิตจากเดิมที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ให้กลายเป็นความมั่นคงในชีวิตได้ ดังนั้น ความเป็นไปได้ของการศึกษาในรูปแบบนี้ไม่ได้มีแค่การเปลี่ยนชีวิตของเด็ก ๆ แต่ยังเป็นการสร้างสังคมที่มีโอกาสเท่าเทียมกันมากขึ้นในอนาคต
เรื่องราวของ ‘ห้องเรียน KFC’ สะท้อนภาพให้เห็นว่าการศึกษาที่แท้จริงนั้นอาจไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในตำราหรือห้องเรียนเสมอไป เพราะไม่ว่าจะการเข้าใจชีวิตหรือการทำงานก็ล้วนเป็นรากฐานที่สำคัญของการศึกษาไม่แพ้กับวิชาการ และเมื่อใส่ ‘ความยืดหยุ่น’ ลงไป ก็จะเป็นการทำให้การศึกษาภายในประเทศสามารถโอบกอดเด็กนักเรียนอีกมากมายโดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ว่าสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวก และสร้างโอกาสให้กับชีวิตผู้คนได้มากเพียงไหน