18 ก.ย. 2568 | 14:54 น.
KEY
POINTS
เบื้องหลังแสงไฟเวทีหมอลำที่สว่างไสว และเสียงกลอนลำที่ก้องกังวาน คือ แรงงานราว 300-400 คนประกอบด้วยคนหลากหลายวัย ตั้งแต่เด็กถึงวัยทำงาน ทำหน้าที่ส่งความสนุกและรอยยิ้มให้กับผู้ชมหน้าเวที
และเด็ก ๆ ที่อยู่ในคณะหมอลำหลายคน ก็เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตนอกระบบการศึกษา หมายถึง พวกเขาเลือกออกจากโรงเรียน เพื่อมาดูแลครอบครัว ต้องทำงานก่อน แล้วทิ้งการเรียนไว้ข้างหลัง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มูลนิธิปัญญากัลป์ ร่วมมือกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และมหาวิทยาลัยทางภาคอีสาน ทำหลักสูตร ‘หมอลำศึกษา’ ภายใต้แนวคิด ‘เพราะทุกที่คือโรงเรียน’ ใช้ศิลปะพื้นบ้านมาเป็นเครื่องมือดึงนักเรียนกลับสู่ห้องเรียนอีกครั้ง
The People จึงร่วมกับ กสศ. ถ่ายทอดเรื่องราวในห้องเรียนหมอลำที่เต็มไปด้วยความหวัง ความรักในเสียงเพลง และความม่วนที่เด็กทุกคนเป็นคนสร้างบรรยากาศเหล่านั้นด้วยตัวพวกเขาเอง
ที่สำคัญ เด็ก ๆ ไม่ต้องเลือกระหว่างการเรียนกับความฝัน เพราะในห้องเรียนแห่งนี้พวกเขาทำทั้งสองอย่างได้พร้อมกัน
“ตอนนี้หนูก็ทำงาน แต่ต้องมาอบรม 5 วัน ที่ทำงานบอกว่า ถ้าไปอบรม ก็ลาออกไปเลย หนูก็เลือกลาออกมาเรียน เพราะหนูคิดว่าการเรียนมันจะต่อยอดอนาคตเราไปได้อีกไกล”
เสียงของ ‘หยก’ ปิยพร ฟองลม นักเรียน ‘หลักสูตรหมอลำศึกษารุ่นที่ 1’ เพราะเธอ คือหัวหน้าครอบครัวที่อยากนำวุฒิการศึกษาไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย
ปี 2567 ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนอายุ 3-24 ปี ที่หลุดออกจากระบบการศึกษาจำนวน 880,463 คน อาจเป็นเพราะชีวิตของพวกเขาต้องทำมาหากิน บางคนเป็นเสาหลักครอบครัว ทำให้ต้องทิ้งการเรียนไว้ข้างหลัง
สำหรับภาคอีสาน ส่วนหนึ่งเด็ก ๆ ที่หลุดออกจากระบบการศึกษาไป ก็คือ แรงงานสำคัญที่ทำงานอยู่ในวงหมอลำ ศูนย์รวมความบันเทิงของชาวบ้านที่สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 6,615 ล้านบาท และเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่กำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยให้ก้าวไปข้างหน้า
ข้อมูลจากมูลนิธิปัญญากัลป์ที่ลงสำรวจสมาชิกวงหมอลำ 250 คน ใน 29 คณะของภาคอีสาน พบว่า 12.5% ยังไม่จบการศึกษาภาคบังคับ (ม.3) และอีก 30% ยังไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ม.6)
ห้องเรียนหมอลำจึงเกิดขึ้น เพื่อให้ดึงเด็กนักเรียนกลับสู่ห้องเรียนอีกครั้ง
ห้องเรียนที่เด็ก ๆ จะสามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย และมีวุฒิการศึกษาเพื่อนำไปต่อยอดอาชีพของตัวเองในอนาคตได้
นอกจาก ‘หยก’ ก็ยังมีเด็กนักเรียนจากหลักสูตรหมอลำศึกษาที่ตัดสินใจเข้ามาเรียน เพราะคิดว่าห้องเรียนหมอลำทำให้พวกเขาได้ทำสิ่งที่รักไปพร้อมกับการเก็บหน่วยกิต สามารถเทียบวุฒิ และเป็นไม้ต่อที่จะทำให้เขาสามารถเดินไปถึงเป้าหมายในชีวิตที่ตั้งไว้ได้
เริ่มจาก ‘ต้นหลิว’ นิพัทธ์ สะตะ แดนเซอร์ของวงหมอลำอีสานนครศิลป์ที่มีปัญหากับโรงเรียนจนต้องออกจากกลางคัน อยากมีวุฒิการศึกษาให้พ่อแม่ภูมิใจ
รวมถึง ‘ฮักแพง’ วรัญญาภรณ์ วันทา ศิลปินหมอลำที่เลือกลาออกระหว่างเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แต่ก็เข้ามาเรียน เพราะคิดว่าการศึกษาจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เธอทำความฝันการเป็นศิลปินหมอลำให้เป็นจริงได้
ขณะเดียวกันในมุมมองของ ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ประธานมูลนิธิปัญญากัลป์และเครือข่ายการศึกษายืดหยุ่น กสศ. ผู้จัดทำหลักสูตรหมอลำศึกษาที่มองเห็นปัญหาของเด็กนอกระบบในวงหมอลำ มองว่า การศึกษาของห้องเรียนหมอลำจะทำให้นักเรียนสนุกในบรรยากาศห้องเรียนที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง
“ผมว่าการศึกษาลักษณะนี้จะช่วยเด็กได้มาก โดยเฉพาะเด็กที่อยู่หลังเลนส์สายตาที่ครูมองเห็นในชั้นเรียนช่วยเด็กกลุ่มนั้นให้กลับเข้ามาซึมซับกับบรรยากาศการเรียนรู้ที่มันมีสีสัน เป็นการเรียนรู้ที่ดึงความเป็นมนุษย์ของเขาออกมาอีกครั้งหนึ่ง ให้เขาสนุกกับการเรียนรู้”
ห้องเรียนหมอลำ คือ การถอดองค์ประกอบของ ‘หมอลำ’ ออกมาเป็นรายวิชาต่าง ๆ เชื่อมโยงกับประสบการณ์จริงของผู้เรียนที่อยู่ในวงการหมอลำอยู่แล้ว
ทั้งหมดเริ่มต้นจากการทำงานร่วมกับคณะหมอลำ ส่งตัวแทนผู้ทำหลักสูตรไปชักชวนเด็ก ๆ อายุระหว่าง 16-24 ปี จบการศึกษาระดับชั้น ม.3 ที่ทำงานอยู่ในวงหมอลำเข้าเรียนในหลักสูตร
โดยพวกเขาจะใช้เวลาเรียน 1 ฤดูกาล หรือประมาณ 1 ปี เริ่มจากเรียนออนไลน์ โดยครูจะอัปโหลดสื่อการสอนและโจทย์ประจำสัปดาห์ สื่อสารผ่านกลุ่มเฟสบุ๊กที่มีครูและนักเรียน เพื่อส่งงานในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อเขียน ภาพถ่าย หรือคลิปวิดีโอ และวัดผลครั้งสุดท้ายผ่านการเข้าค่าย และทำการแสดงหมอลำนิพนธ์
ประธานมูลนิธิปัญญากัลป์และเครือข่ายการศึกษายืดหยุ่น กสศ. เล่าให้ฟังว่า เหตุผลที่เด็ก ๆ หลายคนตัดสินใจเข้ามา เพราะถือเป็นพื้นที่ที่ทำให้นักเรียนมาเจอการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่จะทำให้เขามองเห็นภาพหมอลำกว้างขึ้นที่ไม่ได้มีเพียงนักร้อง แต่ยังเต็มไปด้วยตำแหน่งงานมากมายที่เขาสามารถเป็นได้
“ถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้น้อง ๆ ทดลองเรียน ให้มาลองเจอกับคุณครู มาเจอกับตัวเนื้อหารายวิชาที่มันรู้สึกว่า แค่เดินวัดขนาดเวที หรือบอกให้ได้ว่าองค์ประกอบของชุดที่เหมาะกับการขึ้นแสดงแต่ละประเภทเป็นอย่างไร แบบนี้ก็นับเป็นการเรียนด้วยเหรอ
“เขาก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่แล้ว มันอยู่ในวิถีชีวิตของเขาอยู่แล้ว มันอยู่ในการทำงานของพวกเขาอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจเข้ามา”
หมอลำศึกษาจึงไม่ใช่แค่หลักสูตรการเรียนรู้ แต่เป็นพื้นที่การเติบโตและพื้นที่ความม่วนที่ทำให้เด็ก ๆ สามารถทำในสิ่งที่รักและเดินก้าวออกจากกรอบเดิม ๆ ของตัวเอง
ตอนเรียนก็ได้ร้อง ได้รำ ได้เจอเพื่อนในวงการเดียวกัน ตอนพักก็ได้เป็นตัวเองเต็มที่ บางคนก็ลองเป็นศิลปินบนเวทีโดยมีเสียงเชียร์ของเพื่อนอยู่ข้างหน้า มีกระเป๋าเป็นพวงมาลัยคล้องคอ
ดังนั้นห้องเรียนแห่งนี้ จึงเป็นที่ซึ่งเสียงหมอลำกลายเป็นเครื่องมือพาเยาวชนค้นพบศักยภาพ และความหมายใหม่ ๆ ของการเรียนรู้ในชีวิตจริง
หมอลำ คือ ศิลปวัฒนธรรมของชาวอีสานที่ถูกสานต่อจากรุ่นสู่รุ่น เช่นเดียวกับ ‘ต้นหลิว’ ที่เป็นลูกชายของพ่อแม่ที่ทำงานในวงหมอลำ และอยากให้หมอลำเป็นเวทีที่มอบความบันเทิง และแต่งแต้มด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่
“หมอลำนิวเจน คือ ความสร้างสรรค์ ความเป็นเด็กสมัยใหม่ ที่เอามาปรับให้เป็นวงหมอลำแบบใหม่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น มีโชว์แบบเลิศ” ต้นหลิวบอก
อย่างที่บอกว่า ช่วงเวลาสำคัญหลักสูตรหมอลำศึกษา ก็คือ การให้เด็ก ๆ มาเข้าค่ายเสริมศาสตร์ สานศิลป์ สืบภูมิปัญญาหมอลำ ลองเรียนกับอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านหมอลำ ตั้งแต่ทฤษฎีไปจนถึงภาคปฏิบัติ และแสดงหมอลำจริง ๆ
ถึงจะมีเวลาไม่มากนัก แต่เด็ก ๆ ก็ตั้งใจเต็มที่ นำเรื่องราวของตัวเองมาถ่ายทอดผ่านบทกลอนและท่ารำอันสวยงาม ทั้งเรื่องชีวิตการเป็นหมอลำ การที่ความฝันของพวกเขาเปล่งประกายอีกครั้ง รวมถึงการได้เข้ามาเรียนในหลักสูตรนี้
เมื่อวันแสดงมาถึง ม่านเวทีค่อย ๆ เปิดออก นักเรียนในหลักสูตรแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างงดงาม นั่นคือช่วงเวลาที่ไม่ต่างจากความฝัน และยังเป็นบทพิสูจน์สำคัญที่ทำให้เราได้เห็นศักยภาพอันโดดเด่น จนเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะก้าวยืนบนเวทีหมอลำได้อย่างสง่างามต่อไป
บนเวทีนั้น ไม่เพียงแต่ผู้ชมจะได้สัมผัสความงดงามของหมอลำ แต่ผู้แสดงเองก็ค้นพบตัวตน คุณค่าและความเชื่อมั่นในตัวเองว่า พวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของวงการหมอลำ
ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่บอกว่า นักเรียนทุกคนกำลังจะเรียนจบเร็ว ๆ นี้ พอมองกลับไป ‘หยก’ ก็ขอบคุณตัวเองที่เลือกเรียนจนมาถึงวันที่เธอกำลังจะมีวุฒิชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อไปยื่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตั้งเป้าหมายไว้
“ก็คิดว่าจะนำวุฒิตรงนี้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย อยากเป็นครูนาฏศิลป์ ขอบคุณตัวเองที่เลือกมาเรียนในตรงนี้แล้วจะจบ ม. 6 ในเร็ว ๆ นี้ค่ะ
ฮักแพงก็บอกว่า หลักสูตรนี้เป็นประโยชน์กับเธอและเพื่อน ๆ ที่ทำงานในคณะหมอลำที่ไม่ค่อยมีเวลาเรียน แต่หลักสูตรนี้ทำให้ทุกคนสามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนที่ผ่านมา
“มันดีกับหนูแล้วก็กับเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่อยู่ในวงการนี้ ซึ่งไม่มีเวลาเรียนเลย แต่เรามาเรียนตรงนี้ เราก็จะทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยได้”
หลักสูตรหมอลำศึกษา เกิดขึ้นจากความร่วมมือของมูลนิธิปัญญากัลป์ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คณะหมอลำ รวมถึงมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในภาคอีสาน
สำหรับ กสศ. นี่คือโครงการที่ ศ. ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร กสศ. บอกว่า ห้องเรียนหมอลำสามารถทำให้เด็กคนหนึ่งสามารถทำสิ่งที่เขารักไปพร้อมกับการเรียนได้
“หลักสูตรนี้มันจะเป็นต้นแบบสำคัญเลยว่า เต้นไป กินไป รำไป เรียนไป มันจะยากลำบากยังไง แต่คุณประสบความสำเร็จ คุณมีวุฒิการศึกษา แล้วคุณเรียนต่อได้ ได้โอกาสกลับมาอีกครั้ง”
ส่วน ‘เฮียหน่อย’ สุชาติ อินทร์พรหม หนึ่งในผู้ก่อตั้งหมอลำคณะอีสานนครศิลป์ และสาวน้อยลำเพลินโชว์ ที่คอยสนับสนุนความรู้ สถานที่ ชุดการแสดง ๆ ของนักเรียนในหลักสูตรหมอลำศึกษา บอกว่า การอยู่ในวงการหมอลำมา 5 ปี เห็นเด็ก ๆ ที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ทำให้เขาเชื่อว่า การศึกษาจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้หมอลำนิวเจนอยู่ในอาชีพนี้ได้อย่างยั่งยืน
“ผมอยากให้น้อง ๆ ทุกคน ต่อให้หมดเวลา หมายถึงว่าด้วยวัยด้วยไฟของตัวเองกับหมอลำหมดไป แต่เขามีอาชีพที่ยั่งยืนต่อยอดรอเขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ได้ที่เขาชอบ ที่เขาสร้างสรรค์
“เมื่อไหร่ที่มีการศึกษาอยู่กับตัวเขา มันจะเป็นอาวุธที่ไม่มีใครเอาคืนจากเขาได้ และเขาก็จะมีอาชีพที่ยั่งยืน แล้วก็เลี้ยงปากเลี้ยงท้องเขาไปแบบมั่นคง”
นอกจากนี้ ความอ่อนช้อยของการรำ เสียงร้องอันทรงพลังและเอกลักษณ์ของนักเรียนหมอลำศึกษารุ่นที่ 1 ทำให้ ศ. ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ค้นพบคำตอบการศึกษาที่ไม่จำเป็นต้องเรียนเพื่อสอบ แต่เป็นการหยิบภูมิปัญญาที่เด็ก ๆ รู้จักมาประยุกต์เป็นหลักสูตรวิชาที่ตอบโจทย์ชีวิต
“การเอาภูมิปัญญามาทำเป็นหลักสูตร เราจะพบการศึกษาที่เป็นของแท้มากขึ้น เราจะมีศาสตร์และมีองค์ความรู้ที่เป็นของเราเอง ที่ไม่ใช่แค่ฝึกฝน แต่เป็นอาชีพที่ทำให้มีรายได้
“หมอลำศึกษาทำให้บทบาทหน้าที่ของ กสศ. มันสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก เราคงไม่จำกัดอยู่แค่การหาเด็กแล้วต่อไป แต่เราจะทำให้มันมีคุณค่าและความหมาย”
เพราะแท้จริงแล้ว หลักสูตรหมอลำศึกษาไม่เพียงพาเด็ก ๆ ให้เดินต่อบนเส้นทางการเรียนรู้ แต่ยังพาให้ความฝันที่เคยเงียบงันได้กลับมาเปล่งเสียงอีกครั้ง ด้วยท่วงทำนองที่เป็นของพวกเขาเอง และยังคงดังต่อไปในอนาคต
นักเรียนในห้องเรียนหมอลำ ประจำปีการศึกษา 2568 ถือเป็นนักเรียนรุ่นแรกที่ใช้เวลาตลอด 1 ฤดูกาลในการทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย และพัฒนาทักษะของตัวเองจนได้ขึ้นเวทีหมอลำที่พวกเขาสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง
ดร.ศุภชัย ในฐานะคนที่ขับเคลื่อนงานนี้ตั้งแต่วันแรกบอกว่า เป้าหมายของหลักสูตร คือ การให้นักเรียนที่ตัดสินใจเข้ามาเรียนจบด้วยความหวังว่า การศึกษาจะทำให้ชีวิตของพวกเขามีทางเลือกมากขึ้น
“เราอยากเห็นเด็กกลุ่มนี้จบการศึกษา เมื่อใดก็ตามที่เขายังมีแรงอยู่ ยังมีพละกำลังในการลุกขึ้นมาเต้น มาร้อง มารำ เขายังหารายได้ได้ เขาอาจจะไม่ได้โฟกัสเรื่องการศึกษาหรือการเรียนรู้ แต่วันหนึ่งที่เขาหมดแรง โอกาส หรือทางเลือกในชีวิตของเขาจะน้อยมาก เราอยากเห็นการไปต่อของเขา ส่วนหนึ่งวุฒิการศึกษามันทำให้โอกาส หรือทางเลือกมีมากขึ้น”
ดังนั้น ก้าวต่อไปของหลักสูตรหมอลำศึกษา ดร.ศุภชัยมองว่า ไม่ใช่แค่การทำงานกับผู้เรียน แต่ต้องทำงานกับวงหมอลำให้เขาเข้าใจและช่วยสนับสนุนให้เด็ก ๆ อยากเข้ามาเรียนหลักสูตรนี้มากขึ้น
“ก้าวต่อไป เราก็วางแผนไว้ว่าจะลงไปที่วงหมอลำทุกวง เพื่อที่จะประชาสัมพันธ์โครงการนี้ แล้วก็สร้างการรับรู้ให้กับผู้บริหารวง รวมถึงน้องที่เป็นสมาชิกในวงในการที่จะขยับโอกาสนี้ให้มันกว้างยิ่งขึ้น
“เราก็คิดว่าความสำเร็จของรุ่นที่ 1 จะเป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นแรงผลักดันให้น้อง ๆ วงอื่น ๆ เข้ามาเป็นนักเรียนในรุ่นที่ 2 เพิ่มมากยิ่งขึ้น”
และที่สำคัญ เขายังบอกอีกว่า การทำหลักสูตรนี้ คือความสุขที่สุด เพราะเขาเองก็เรียนรู้ไปพร้อมกับนักเรียนทุกคน ดวงตาที่เปล่งประกาย เสียงหัวเราะ และความมุ่งมั่นของนักเรียนทุกคน คือแรงใจสำคัญที่ทำให้ ดร.ศุภชัย รวมถึงภาคีต่าง ๆ ไม่หยุด และทำงานนี้ต่อไป
“ผมมองว่าเด็ก ๆ กลุ่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เรารู้สึกว่า อย่าพึ่งท้อ หรืออย่าพึ่งหยุดกับการทำงานนี้ ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคใด ๆ เสียงหัวเราะ รอยยิ้มของพวกเขา มันคือแรงใจ ที่ทำให้เราขยับงานนี้อย่างต่อเนื่อง”
เพราะการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ แม้แต่บนเวที ‘หมอลำ’ ที่เสียงดนตรี กลอนลำ และแสงไฟ กลายเป็นอีกหนึ่งบทเรียนและประสบการณ์สำคัญที่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้ก้าวเดินตามเส้นทางและอนาคตที่พวกเขาเลือกเอง