‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ การค้นหาตัวเองผ่าน ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’

‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ การค้นหาตัวเองผ่าน ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’

‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ กลับมาอีกครั้งกับ ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’ ซีรีส์สารคดีที่ไม่เพียงพาเราไปเผชิญสงคราม แต่ยังเผยให้เห็นการค้นหาตัวเองในวัยกลางคน การเผชิญหน้ากับความกลัว และการเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสงบ 

KEY

POINTS

เวลา 2-3 ชั่วโมง ยืนหน้ากระจกในโรงแรมที่ห่างจากแนวรบไปแค่ 40 กิโลเมตร ‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ พยายามบอกกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า “โอเค โอเค โอเค” ก่อนจะอัดวิดีโอสั่งเสียไว้ 10 นาที เผื่อเขาไม่ได้กลับมาอีก

นี่คือหนึ่งในช่วงเวลาที่เขาเรียกว่า ‘ความกลัว’ ในกระบวนการทำสารคดี ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’ ซีรีส์ที่ใช้เวลา 3 ปีในการถ่ายทำ และเผยแพร่ในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่เช่นเดียวกับนักสำรวจทุกยุคสมัย ความกลัวกลับกลายเป็นเชื้อเพลิงสำคัญของการทำงาน

“moment นี้มันทำให้งานมันยิ่งมีความหมายมากขึ้น” เขากล่าว

การกลับมาของนักเดินทาง

เส้นทางสู่ ‘Bad Bad World’ ไม่ได้เริ่มจากการวางแผนใหญ่โต แต่เกิดจากจุดที่วรรณสิงห์อธิบายว่าเป็น “ช่วงที่ชีวิตโหวง” เขามีตัวเลือกสองอย่าง กลายเป็นพ่อบ้านที่อยู่เฉย ๆ หรือกลับไปบ้าระห่ำพร้อมกล้องคู่ใจเหมือนเดิม

“ตอนแรกอย่างแรกชนะ คือกะจะเป็นพ่อบ้านแล้ว แต่ด้วยปัจจัยชีวิตหลายอย่างไม่อนุญาต ก็เลยเคว้งว่าเราเป็นใครวะ เราจะเอายังไงต่อกับชีวิต”

ความสับสนในวัยกลางคนนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ การทำสารคดีสงครามจึงไม่ใช่ภารกิจเพื่อสังคมเหมือนที่หลายคนคิด แต่เป็น “การตามหาตัวเองอีกครั้งในวัยกลางคน” เขายอมรับตรงไปตรงมาว่า “เป็นการไปเพื่อเติมเต็มตัวเอง” ไม่ใช่การเสียสละ

‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ การค้นหาตัวเองผ่าน ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’

วิธีที่เขาอธิบายกระบวนการนี้ฟังเหมือนนิยายการผจญภัย “เหมือนคนที่เคยพัง แล้วเจอชิ้นส่วนของตัวเองทีละนิด จนกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม ผ่านการทำงานที่มีคุณค่ากับเรา”

สงครามไม่ใช่เรื่องไกลตัว

สิ่งที่น่าสนใจคือมุมมองของวรรณสิงห์ที่มองสงครามเป็นมากกว่าการปะทะทางทหาร ในสายตาของเขา สงครามมีหลายหน้าตา “มีตั้งแต่สงครามแบบปะทะระหว่างชาติกับชาติ การก่อการร้าย สงครามการเมือง จนกระทั่งสงครามระหว่างรัฐกับผู้คนในรัฐที่ล้มเหลว หรือสงครามระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ”

นี่คือเหตุผลที่โปรเจกต์ของเขาไม่เน้นข่าวสารหรือการเมือง แต่เน้นไปที่ “สตอรี่ของผู้คน ของทหาร ของชาวบ้าน ของคนที่ไม่เคยอยู่ในข่าว” ขณะเดียวกันเขาก็มุ่งมั่นในการสร้างงานภาพ “ทำให้สิ่งเหล่านี้ออกมาดูเป็น art ที่สุด ดูสวยงามที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังชัดเจนว่ามันคือความโหดร้ายของโลกใบนี้”

จากประสบการณ์ที่เขาเห็นมา เขาใช้ประโยคสั้นแต่ทรงพลังสรุปผลกระทบที่แท้จริงของสงคราม “สงครามเหมือนเครื่องหยุดเวลา”

“มันทำให้ทุกอย่างของสังคมที่เผชิญสงครามต้องไป focus แค่ตรงนั้น โอกาสที่เขาจะพัฒนาเรื่องอื่น จะได้เติมเต็มความเป็นสังคม ความเป็นมนุษย์ ความเป็นชาติ ความเป็นอารยธรรม มันโดนหยุดหมด”

อย่างไรก็ตาม ในรัฐกระเหรี่ยงที่เขาไปถ่ายทำ เขากลับได้รับบทเรียนสำคัญจากผู้นำชุมชนที่สู้มายาวนาน 76 ปี คำสอนง่ายแต่ลึกซึ้ง “สู้กันอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องจำให้ได้ด้วยว่าเราเป็นใคร”

ประโยคนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความเข้าใจของเขา “ประโยคนี้กินใจมาก เพราะการต่อสู้ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต คนที่สู้มาอย่างยาวนานเขาตระหนักว่า ต้องจำให้ได้ว่าเขากำลังสู้เพื่อรักษาอะไร”

‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ การค้นหาตัวเองผ่าน ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’

สิ่งที่ไทยควรระวัง

ด้วยประสบการณ์ที่ได้เห็นหลายพื้นที่ความขัดแย้งทั่วโลก วรรณสิงห์เกิดความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทย เขาชี้ให้เห็นสองอันตรายใหญ่ที่เกิดขึ้นเกือบทุกสังคมที่เผชิญความขัดแย้ง

อันตรายแรกคือการแบ่งแยก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออัตลักษณ์รวมหมู่เทคโอเวอร์อัตลักษณ์ส่วนบุคคล ทำให้เราไม่สามารถมองคนนี้เป็นนายเอ นายบี นายซีได้อีก แต่กลายเป็นคำอธิบายแบบรวมกลุ่ม  

อันตรายที่สองคือการหันไปนิยมอำนาจนิยม ในภาวะสงครามต้องระวังว่าผู้คนจะมีความนิยมชมชอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จมากกว่าเดิม เพราะต้องการความชัดเจน ต้องการความแข็งแกร่ง ซึ่งในโมเมนต์แบบนี้มันน่าดึงดูด 

เขาเล่าถึงสิ่งที่เห็นในประเทศต่างๆ ที่เขาเคยไป “ภาพลักษณ์ของศัตรูข้างนอกมีแปะเต็มท้องถนนไปหมด เนื่องจากมีศัตรูจากข้างนอกมารุกรานก็เลยต้องสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้ผู้นำ”

สิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นในไทย แต่เขาเตือนว่าเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวัง

ความสามารถปรับตัวของมนุษย์

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้วรรณสิงห์ประทับใจมากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้คือการค้นพบความสามารถอันน่าทึ่งของมนุษย์ในการปรับตัว “ผมไปในที่ที่โคตร dark ของโลก พบว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวและหา new normal ใหม่ได้เร็วและเก่งมาก”

การเปรียบเทียบที่เขาใช้ทำให้เข้าใจง่าย คือการปรับตัวในช่วงโควิดที่พวกเราเพิ่งผ่านมา “ก่อนหน้านั้นความเป็นจริงเป็นแบบหนึ่ง พอเป็นโควิดปุ๊บ โอโห คุณต้องทักคนด้วยข้อศอก ออกจากบ้านไม่ได้เป็นเวลา 2 ปี แต่เราก็ปรับตัวได้”

สิ่งที่เขาเห็นในพื้นที่สงครามก็เช่นเดียวกัน “สิ่งที่ทำให้พวกเขาสุขได้กลายเป็นสิ่งที่น้อยลงมาก เช่น มีข้าวกิน มีที่นอนที่ดี หรือวันนี้เครื่องบินไม่มาทิ้งระเบิดก็สบายใจแล้ว” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ทุกข์ เขาเน้นย้ำ “อย่าเรียกว่า happy เรียกว่าดีขึ้น”

‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ การค้นหาตัวเองผ่าน ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’

จาก activist สู่นักเล่าเรื่อง

การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่สุดในความคิดของวรรณสิงห์ อาจเป็นการปรับนิยามตัวเองใหม่ จาก “activist ที่เผอิญทำสื่อ” เป็น “คนทำสื่อ” การเปลี่ยนแปลงนี้ฟังดูเล็กน้อย แต่กลับส่งผลมหาศาลต่อสุขภาพจิตของเขา

“ผมจะท้อถ้าผมเป็น activist แต่ตอนนี้ผมเป็นนักทำสารคดี” เขาอธิบายว่าการปรับมุมมองนี้ช่วยให้เขาไม่หมดหวัง “แรงจูงใจคือการได้เรื่องที่มีคุณค่ามา ได้ภาพที่โอโห กูถ่ายสิ่งนี้มาได้ ยิ่งเรื่องมัน impact สูงและ dark มันยิ่งทำให้เรารู้สึกมีไฟในการเล่าเพราะรู้สึกว่ามันสำคัญ”

ที่สำคัญคือเขาเรียนรู้ที่จะ “คงใจ” โดยไม่คาดหวังผลลัพธ์มากเกินไป “ปล่อยให้ผลลัพธ์ของงานเป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ ไม่ได้แปลว่าไม่ตั้งใจ ตั้งใจทำให้เต็มที่ แต่อย่าไปหวังผลเยอะ เดี๋ยวจะหมดหวังตายก่อน”

ประโยคสุดท้ายนี้สะท้อนปรัชญาชีวิตของเขาที่เปลี่ยนไปจากตอนหนุ่ม อย่างชัดเจน

การเรียนรู้ที่จะอยู่เฉย

ในวัย 40 วรรณสิงห์กำลังเรียนรู้ทักษะใหม่ที่อาจฟังดูง่าย แต่สำหรับคนที่เคยบ้าระห่ำมาตลอดชีวิตกลับยากมาก นั่นคือการอยู่เฉย

“การเดินทางทำให้เรา appreciate สิ่งต่าง ๆ แล้วเราตัดสินน้อยลง พอตัดสินน้อยลงก็ไม่มีเรื่องจะไปโกรธใคร ความโกรธโลกนั่นหายไปเยอะ” เขาเล่าถึงผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดของการทำงานในพื้นที่สงคราม

แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เขายอมรับว่ามีความสุขบางอย่างที่กลับยากขึ้น “ถามตัวเองตลอดว่าทำไมต้องไปถึงที่เหล่านั้นเพื่อ fulfill ตัวเอง ทำไมอยู่บ้านไม่ได้ ทำไมอยู่นิ่งไม่ได้”

คำถามนี้นำไปสู่เป้าหมายใหม่ที่ฟังดูเรียบง่าย แต่สำหรับคนอย่างเขาอาจยากที่สุด “ตอนนี้ผมมีไดรฟ์ที่จะเป็นมนุษย์ซึ่งอยู่เฉยได้ ซึ่งเป็นความฝันที่รู้สึกว่าทำได้ มันไม่ได้ยากขนาดนั้น”

“ผมอยากเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่ simple มาก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความหวัง นี่อาจเป็นความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับคนที่เคยเสพความตื่นเต้นจากการเสี่ยงตาย

‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ การค้นหาตัวเองผ่าน ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’

ความหวังในอนาคต

เมื่อพูดถึงอนาคตและคนรุ่นใหม่ วรรณสิงห์แสดงความมั่นใจที่น่าประหลาดใจ “มี และเชื่อว่าเขาจะทำได้ด้วย แต่ทางออกของเขาจะไม่เหมือนกับที่เราคิดมาก่อน” เขาไม่ได้มองคนรุ่นใหม่แบบผิวเผิน แต่สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างจริงจัง

“โลกเปลี่ยนไปเร็วและเด็กฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ โลกค่อย ๆ กลายเป็นของคนอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันโลกก็เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องพึ่งคนอายุน้อยซึ่งยังพร้อมจะเปลี่ยน”

ที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้แค่วางความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่ แล้วพอใจ “แต่ก็ไม่ได้แบบฝากด้วยนะลูก แล้วไปเลย เราก็ทำในส่วนของเรา อะไรที่ช่วยเขาได้เราก็ช่วย อะไรที่ต้องฟังเขาเราก็ฟัง” นี่คือการหาสมดุลระหว่างการถ่ายทอดประสบการณ์และการเปิดใจรับสิ่งใหม่

ความฝันที่ทำได้

ในช่วงท้ายของการสนทนา วรรณสิงห์แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความฝัน ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่สังคมเรามักสอน “ความฝันจะดีถ้ามันเป็นสิ่งที่เราไปถึงได้ ถ้าฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เนี่ย ผมว่าเป็นความทุกข์ในชีวิต”

เขาวิพากษ์วัฒนธรรมที่กดดันให้คนมีความฝันใหญ่โต “มีแรงกดดันว่า ถ้าทำไม่ได้คือความล้มเหลว อันนี้ผมว่าเป็นสิ่งที่สังคมสร้างความกดดันกันขึ้นมา”

ตัวอย่างที่เขายกทำให้เข้าใจง่าย คือการสนทนากับคนขับรถเมล์ที่บอกว่าอาชีพในฝันคือการขับรถเมล์นั่นแหละ “ได้เจอคนทุกวัน ได้ทำงานบริการ ได้ดูแลผู้คน ได้ส่งคนไปถึงจุดหมาย” การค้นพบนี้เปลี่ยนความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับความหมายของ passion “ทุกอย่างเป็น passion ของคนได้จริง ถ้าคนนั้นมี passionในสิ่งนั้น”

‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ การค้นหาตัวเองผ่าน ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’

ข้อความสุดท้าย

‘เถื่อน Travel Bad Bad World’ จบลงด้วยการเป็นมากกว่าสารคดีเกี่ยวกับสงคราม มันกลายเป็นเรื่องราวของการเดินทางค้นหาตัวตนของคนคนหนึ่งในวัยกลางคน ที่ผ่านความมืดมนของโลกแล้วกลับมาพบความหมายใหม่ของการใช้ชีวิต

ข้อความสุดท้ายที่เขาฝากไว้ฟังเรียบง่าย แต่มีน้ำหนัก “หวังว่าเราจะกดดันตัวเองกันน้อยลง แล้วก็กดดันผู้อื่นน้อยลงด้วย ส่วนความหวังคงไม่ต้องพูด ถ้ามี มันดีอยู่แล้ว”

นี่อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องการส่งผ่านผลงานชิ้นนี้ ไม่ใช่การเรียกร้องให้คนเปลี่ยนโลก แต่เป็นการเชิญชวนให้เราเข้าใจโลกและตัวเองมากขึ้น แล้วค่อยเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างสงบ 

 

สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า

ถ่ายภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม