03 ก.ย. 2568 | 17:23 น.
KEY
POINTS
เวลา 2-3 ชั่วโมง ยืนหน้ากระจกในโรงแรมที่ห่างจากแนวรบไปแค่ 40 กิโลเมตร ‘วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล’ พยายามบอกกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า “โอเค โอเค โอเค” ก่อนจะอัดวิดีโอสั่งเสียไว้ 10 นาที เผื่อเขาไม่ได้กลับมาอีก
นี่คือหนึ่งในช่วงเวลาที่เขาเรียกว่า ‘ความกลัว’ ในกระบวนการทำสารคดี ‘เถื่อน Travel: Bad Bad World’ ซีรีส์ที่ใช้เวลา 3 ปีในการถ่ายทำ และเผยแพร่ในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่เช่นเดียวกับนักสำรวจทุกยุคสมัย ความกลัวกลับกลายเป็นเชื้อเพลิงสำคัญของการทำงาน
“moment นี้มันทำให้งานมันยิ่งมีความหมายมากขึ้น” เขากล่าว
เส้นทางสู่ ‘Bad Bad World’ ไม่ได้เริ่มจากการวางแผนใหญ่โต แต่เกิดจากจุดที่วรรณสิงห์อธิบายว่าเป็น “ช่วงที่ชีวิตโหวง” เขามีตัวเลือกสองอย่าง กลายเป็นพ่อบ้านที่อยู่เฉย ๆ หรือกลับไปบ้าระห่ำพร้อมกล้องคู่ใจเหมือนเดิม
“ตอนแรกอย่างแรกชนะ คือกะจะเป็นพ่อบ้านแล้ว แต่ด้วยปัจจัยชีวิตหลายอย่างไม่อนุญาต ก็เลยเคว้งว่าเราเป็นใครวะ เราจะเอายังไงต่อกับชีวิต”
ความสับสนในวัยกลางคนนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ การทำสารคดีสงครามจึงไม่ใช่ภารกิจเพื่อสังคมเหมือนที่หลายคนคิด แต่เป็น “การตามหาตัวเองอีกครั้งในวัยกลางคน” เขายอมรับตรงไปตรงมาว่า “เป็นการไปเพื่อเติมเต็มตัวเอง” ไม่ใช่การเสียสละ
วิธีที่เขาอธิบายกระบวนการนี้ฟังเหมือนนิยายการผจญภัย “เหมือนคนที่เคยพัง แล้วเจอชิ้นส่วนของตัวเองทีละนิด จนกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม ผ่านการทำงานที่มีคุณค่ากับเรา”
สิ่งที่น่าสนใจคือมุมมองของวรรณสิงห์ที่มองสงครามเป็นมากกว่าการปะทะทางทหาร ในสายตาของเขา สงครามมีหลายหน้าตา “มีตั้งแต่สงครามแบบปะทะระหว่างชาติกับชาติ การก่อการร้าย สงครามการเมือง จนกระทั่งสงครามระหว่างรัฐกับผู้คนในรัฐที่ล้มเหลว หรือสงครามระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ”
นี่คือเหตุผลที่โปรเจกต์ของเขาไม่เน้นข่าวสารหรือการเมือง แต่เน้นไปที่ “สตอรี่ของผู้คน ของทหาร ของชาวบ้าน ของคนที่ไม่เคยอยู่ในข่าว” ขณะเดียวกันเขาก็มุ่งมั่นในการสร้างงานภาพ “ทำให้สิ่งเหล่านี้ออกมาดูเป็น art ที่สุด ดูสวยงามที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังชัดเจนว่ามันคือความโหดร้ายของโลกใบนี้”
จากประสบการณ์ที่เขาเห็นมา เขาใช้ประโยคสั้นแต่ทรงพลังสรุปผลกระทบที่แท้จริงของสงคราม “สงครามเหมือนเครื่องหยุดเวลา”
“มันทำให้ทุกอย่างของสังคมที่เผชิญสงครามต้องไป focus แค่ตรงนั้น โอกาสที่เขาจะพัฒนาเรื่องอื่น จะได้เติมเต็มความเป็นสังคม ความเป็นมนุษย์ ความเป็นชาติ ความเป็นอารยธรรม มันโดนหยุดหมด”
อย่างไรก็ตาม ในรัฐกระเหรี่ยงที่เขาไปถ่ายทำ เขากลับได้รับบทเรียนสำคัญจากผู้นำชุมชนที่สู้มายาวนาน 76 ปี คำสอนง่ายแต่ลึกซึ้ง “สู้กันอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องจำให้ได้ด้วยว่าเราเป็นใคร”
ประโยคนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความเข้าใจของเขา “ประโยคนี้กินใจมาก เพราะการต่อสู้ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต คนที่สู้มาอย่างยาวนานเขาตระหนักว่า ต้องจำให้ได้ว่าเขากำลังสู้เพื่อรักษาอะไร”
ด้วยประสบการณ์ที่ได้เห็นหลายพื้นที่ความขัดแย้งทั่วโลก วรรณสิงห์เกิดความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทย เขาชี้ให้เห็นสองอันตรายใหญ่ที่เกิดขึ้นเกือบทุกสังคมที่เผชิญความขัดแย้ง
อันตรายแรกคือการแบ่งแยก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออัตลักษณ์รวมหมู่เทคโอเวอร์อัตลักษณ์ส่วนบุคคล ทำให้เราไม่สามารถมองคนนี้เป็นนายเอ นายบี นายซีได้อีก แต่กลายเป็นคำอธิบายแบบรวมกลุ่ม
อันตรายที่สองคือการหันไปนิยมอำนาจนิยม ในภาวะสงครามต้องระวังว่าผู้คนจะมีความนิยมชมชอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จมากกว่าเดิม เพราะต้องการความชัดเจน ต้องการความแข็งแกร่ง ซึ่งในโมเมนต์แบบนี้มันน่าดึงดูด
เขาเล่าถึงสิ่งที่เห็นในประเทศต่างๆ ที่เขาเคยไป “ภาพลักษณ์ของศัตรูข้างนอกมีแปะเต็มท้องถนนไปหมด เนื่องจากมีศัตรูจากข้างนอกมารุกรานก็เลยต้องสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้ผู้นำ”
สิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นในไทย แต่เขาเตือนว่าเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวัง
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้วรรณสิงห์ประทับใจมากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้คือการค้นพบความสามารถอันน่าทึ่งของมนุษย์ในการปรับตัว “ผมไปในที่ที่โคตร dark ของโลก พบว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวและหา new normal ใหม่ได้เร็วและเก่งมาก”
การเปรียบเทียบที่เขาใช้ทำให้เข้าใจง่าย คือการปรับตัวในช่วงโควิดที่พวกเราเพิ่งผ่านมา “ก่อนหน้านั้นความเป็นจริงเป็นแบบหนึ่ง พอเป็นโควิดปุ๊บ โอโห คุณต้องทักคนด้วยข้อศอก ออกจากบ้านไม่ได้เป็นเวลา 2 ปี แต่เราก็ปรับตัวได้”
สิ่งที่เขาเห็นในพื้นที่สงครามก็เช่นเดียวกัน “สิ่งที่ทำให้พวกเขาสุขได้กลายเป็นสิ่งที่น้อยลงมาก เช่น มีข้าวกิน มีที่นอนที่ดี หรือวันนี้เครื่องบินไม่มาทิ้งระเบิดก็สบายใจแล้ว” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ทุกข์ เขาเน้นย้ำ “อย่าเรียกว่า happy เรียกว่าดีขึ้น”
การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่สุดในความคิดของวรรณสิงห์ อาจเป็นการปรับนิยามตัวเองใหม่ จาก “activist ที่เผอิญทำสื่อ” เป็น “คนทำสื่อ” การเปลี่ยนแปลงนี้ฟังดูเล็กน้อย แต่กลับส่งผลมหาศาลต่อสุขภาพจิตของเขา
“ผมจะท้อถ้าผมเป็น activist แต่ตอนนี้ผมเป็นนักทำสารคดี” เขาอธิบายว่าการปรับมุมมองนี้ช่วยให้เขาไม่หมดหวัง “แรงจูงใจคือการได้เรื่องที่มีคุณค่ามา ได้ภาพที่โอโห กูถ่ายสิ่งนี้มาได้ ยิ่งเรื่องมัน impact สูงและ dark มันยิ่งทำให้เรารู้สึกมีไฟในการเล่าเพราะรู้สึกว่ามันสำคัญ”
ที่สำคัญคือเขาเรียนรู้ที่จะ “คงใจ” โดยไม่คาดหวังผลลัพธ์มากเกินไป “ปล่อยให้ผลลัพธ์ของงานเป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ ไม่ได้แปลว่าไม่ตั้งใจ ตั้งใจทำให้เต็มที่ แต่อย่าไปหวังผลเยอะ เดี๋ยวจะหมดหวังตายก่อน”
ประโยคสุดท้ายนี้สะท้อนปรัชญาชีวิตของเขาที่เปลี่ยนไปจากตอนหนุ่ม อย่างชัดเจน
ในวัย 40 วรรณสิงห์กำลังเรียนรู้ทักษะใหม่ที่อาจฟังดูง่าย แต่สำหรับคนที่เคยบ้าระห่ำมาตลอดชีวิตกลับยากมาก นั่นคือการอยู่เฉย
“การเดินทางทำให้เรา appreciate สิ่งต่าง ๆ แล้วเราตัดสินน้อยลง พอตัดสินน้อยลงก็ไม่มีเรื่องจะไปโกรธใคร ความโกรธโลกนั่นหายไปเยอะ” เขาเล่าถึงผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดของการทำงานในพื้นที่สงคราม
แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เขายอมรับว่ามีความสุขบางอย่างที่กลับยากขึ้น “ถามตัวเองตลอดว่าทำไมต้องไปถึงที่เหล่านั้นเพื่อ fulfill ตัวเอง ทำไมอยู่บ้านไม่ได้ ทำไมอยู่นิ่งไม่ได้”
คำถามนี้นำไปสู่เป้าหมายใหม่ที่ฟังดูเรียบง่าย แต่สำหรับคนอย่างเขาอาจยากที่สุด “ตอนนี้ผมมีไดรฟ์ที่จะเป็นมนุษย์ซึ่งอยู่เฉยได้ ซึ่งเป็นความฝันที่รู้สึกว่าทำได้ มันไม่ได้ยากขนาดนั้น”
“ผมอยากเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่ simple มาก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความหวัง นี่อาจเป็นความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับคนที่เคยเสพความตื่นเต้นจากการเสี่ยงตาย
เมื่อพูดถึงอนาคตและคนรุ่นใหม่ วรรณสิงห์แสดงความมั่นใจที่น่าประหลาดใจ “มี และเชื่อว่าเขาจะทำได้ด้วย แต่ทางออกของเขาจะไม่เหมือนกับที่เราคิดมาก่อน” เขาไม่ได้มองคนรุ่นใหม่แบบผิวเผิน แต่สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างจริงจัง
“โลกเปลี่ยนไปเร็วและเด็กฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ โลกค่อย ๆ กลายเป็นของคนอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันโลกก็เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องพึ่งคนอายุน้อยซึ่งยังพร้อมจะเปลี่ยน”
ที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้แค่วางความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่ แล้วพอใจ “แต่ก็ไม่ได้แบบฝากด้วยนะลูก แล้วไปเลย เราก็ทำในส่วนของเรา อะไรที่ช่วยเขาได้เราก็ช่วย อะไรที่ต้องฟังเขาเราก็ฟัง” นี่คือการหาสมดุลระหว่างการถ่ายทอดประสบการณ์และการเปิดใจรับสิ่งใหม่
ในช่วงท้ายของการสนทนา วรรณสิงห์แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความฝัน ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่สังคมเรามักสอน “ความฝันจะดีถ้ามันเป็นสิ่งที่เราไปถึงได้ ถ้าฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เนี่ย ผมว่าเป็นความทุกข์ในชีวิต”
เขาวิพากษ์วัฒนธรรมที่กดดันให้คนมีความฝันใหญ่โต “มีแรงกดดันว่า ถ้าทำไม่ได้คือความล้มเหลว อันนี้ผมว่าเป็นสิ่งที่สังคมสร้างความกดดันกันขึ้นมา”
ตัวอย่างที่เขายกทำให้เข้าใจง่าย คือการสนทนากับคนขับรถเมล์ที่บอกว่าอาชีพในฝันคือการขับรถเมล์นั่นแหละ “ได้เจอคนทุกวัน ได้ทำงานบริการ ได้ดูแลผู้คน ได้ส่งคนไปถึงจุดหมาย” การค้นพบนี้เปลี่ยนความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับความหมายของ passion “ทุกอย่างเป็น passion ของคนได้จริง ถ้าคนนั้นมี passionในสิ่งนั้น”
‘เถื่อน Travel Bad Bad World’ จบลงด้วยการเป็นมากกว่าสารคดีเกี่ยวกับสงคราม มันกลายเป็นเรื่องราวของการเดินทางค้นหาตัวตนของคนคนหนึ่งในวัยกลางคน ที่ผ่านความมืดมนของโลกแล้วกลับมาพบความหมายใหม่ของการใช้ชีวิต
ข้อความสุดท้ายที่เขาฝากไว้ฟังเรียบง่าย แต่มีน้ำหนัก “หวังว่าเราจะกดดันตัวเองกันน้อยลง แล้วก็กดดันผู้อื่นน้อยลงด้วย ส่วนความหวังคงไม่ต้องพูด ถ้ามี มันดีอยู่แล้ว”
นี่อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องการส่งผ่านผลงานชิ้นนี้ ไม่ใช่การเรียกร้องให้คนเปลี่ยนโลก แต่เป็นการเชิญชวนให้เราเข้าใจโลกและตัวเองมากขึ้น แล้วค่อยเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างสงบ
สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ถ่ายภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม