13 ส.ค. 2568 | 18:30 น.
KEY
POINTS
เมื่อสายฝนพรั่งพรูลงมาที่ภาคเหนือของประเทศไทยในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ภาพของถนนที่ถูกตัดขาด ผู้คนที่ติดอยู่ภายในบ้านไม่มีทางออก และพื้นที่ที่ถูกน้ำกลืนหายไปทั้งชุมชน กลายเป็นภาพความสะเทือนใจที่ไม่อาจลืมเลือน โดยเฉพาะจังหวัดน่าน ซึ่งปีนี้ประสบภัยน้ำหลากรุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา
นักวิชาการเรียกฝนครั้งนี้ว่า ‘รีเทิร์นพีเรียด 1,000 ปี’ ซึ่งหมายถึงโอกาสเกิดที่น้อยนิดเพียง 0.1% แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันนำมาซึ่งความเสียหายมหาศาล
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นไม่เพียงท้าทายความสามารถในการฟื้นตัวของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น หากยังแสดงให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนในพื้นที่ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหน่วยงานภาครัฐต่างร่วมกันเข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้น รู้สึกอุ่นใจท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้น แน่นอนว่า คำถามที่ผุดขึ้นในใจของพวกเขาคงหนีไม่พ้นว่า “หน่วยงานรัฐพร้อมรับมือมากแค่ไหน”
นี่คือสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้เลย โดยเฉพาะต่อหลักด้านการบริหารจัดการน้ำอย่าง กรมชลประทาน ซึ่งเป็นด่านหน้าของการวางแผน ป้องกัน และลดผลกระทบจากอุทกภัยในทุกภูมิภาค
แต่เบื้องหลังของการดำเนินการ ไม่ว่าจะตรวจวัดระดับน้ำ ความแข็งแรงของเขื่อน หรือความพร้อมของเครื่องมือเครื่องจักร และแผนผังการบริหารจัดการ ทุกอย่างล้วนมี ‘คน’ ที่ยืนหยัดอยู่กับภารกิจนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลางฤดูฝน กลางดึก หรือใจกลางความทุกข์ของประชาชน พวกเขาไม่ได้ทำงานเพียงตามหน้าที่ แต่ขับเคลื่อนทุกมาตรการด้วยหัวใจ
The People มีโอกาสต่อสายตรงถึง ‘วรพจน์ เพชรนรชาติ’ รองอธิบดีฝ่ายบริหาร กรมชลประทาน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเตรียมรับมือครั้งนี้ เพื่อเปิดแผน 9 มาตรการสำคัญในการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือปีนี้ ทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และปฏิบัติการภาคสนาม ที่ไม่ได้หวังแค่ ‘จัดการน้ำ’ แต่ต้องการสร้าง ‘ความมั่นใจ’ ให้กับพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ว่ารัฐพร้อมอยู่เคียงข้างในยามวิกฤติ
ทั้งหมดนี้ คือความมุ่งมั่นภายใต้แนวคิด ‘RID UNITED’ ที่กรมชลประทานเดินหน้าเพื่อยกระดับการบริหารจัดการน้ำให้เป็นระบบ สร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ 20 ปี (2561–2580) และวิสัยทัศน์องค์กรอัจฉริยะเพื่อความมั่นคงด้านน้ำภายในปี 2580
และเหนืออื่นใด บทสนทนานี้ คือเครื่องยืนยันว่าในทุกวิกฤติ ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่ง พร้อมลงมือทำ อย่างสุดกำลัง เพื่อให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน
ความท้าทายของกรมชลประทานไม่ได้หยุดอยู่แค่การควบคุมน้ำให้ไหลลงสู่แม่น้ำ แต่คือการรับมือความไม่แน่นอนของธรรมชาติ เพื่อให้ทุกชีวิตอยู่กับน้ำได้อย่างมั่นคง โดยการจะทำให้ทุกอย่างอยู่ใน ‘การควบคุม’ ได้นั้น วรพจน์ได้เล่าถึงเบื้องหลังของ 9 มาตรการรับมือฤดูฝน 2568 ที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และผ่านมติคณะรัฐมนตรี โดยย้ำว่า นี่คือการวางระบบที่ลงมือทำได้จริง
ทุกมาตรการเริ่มต้นจากพื้นฐานของความพร้อม ตั้งแต่การเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เหมาะสมกับปริมาณฝนที่ตกจริง ตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน อาคารชลประทาน และเครื่องจักรให้พร้อมใช้งาน รวมถึงเร่งเคลียร์ทางน้ำให้โล่งก่อนฤดูฝนมาถึง ด้วยการขุดลอกคลอง กำจัดวัชพืช และสิ่งกีดขวางในลำคลอง โดยเฉพาะคลองระบายน้ำสายหลักที่เป็นโครงช่ายของการระบายน้ำในหลายพื้นที่
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าทุกเครื่องมือ คือ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่น และภาคประชาชน เพราะจากแนวโน้มสภาพภูมิอากาศที่ผันผวน ทุกพื้นที่ในประเทศมีความเสี่ยงต่ออุทกภัยไม่แตกต่างกัน และการสื่อสารเชิงรุกคือด่านป้องกันชั้นแรกได้ดีที่สุด
ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ตามคำประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทานได้วิเคราะห์ข้อมูลล่วงหน้า และพบว่า เฉพาะภาคเหนือเพียงภาคเดียว มีจุดเสี่ยงน้ำท่วมมากถึง 443 จุด นั่นหมายความว่า หากไม่มีการวางแผนที่แม่นยำและครอบคลุม ความเสียหายอาจเกิดได้อีก
เมื่อได้พื้นที่เสี่ยงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
"การเตรียมพร่องอ่างเก็บน้ำและวางแผนจัดสรรน้ำ จะมีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว สำหรับแผนระยะสั้น เราใช้ข้อมูลฝนปัจจุบันและข้อมูลคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 3-7 วัน วันจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ มาวางแผนว่าจะต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนหรือไม่ และหากจำเป็นจะต้องระบายมากน้อยเพียงใด เพื่อให้มีพื้นที่รองรับน้ำใหม่ที่จะไหลเข้ามา"
"แต่ที่ซับซ้อนกว่านั้น คือแผนระยะยาว" เขากล่าวต่อ
"เนื่องจากอ่างเก็บน้ำของเราเป็นแบบอเนกประสงค์ (Multipurpose) คือต้องใช้ป้องกันน้ำท่วมและเก็บกักน้ำไว้สำหรับฤดูแล้งปีหน้าด้วย ดังนั้น ณ วันนี้ (สิงหาคม 2568) เราต้องคาดการณ์ปริมาณน้ำไปจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เพื่อวางแผนการระบายให้สมดุล"
"เราไม่สามารถระบายน้ำทิ้งในช่วงหน้าฝนทั้งหมดได้ เพราะต้องสำรองเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งเป้าหมายของเราคือการรักษาระดับน้ำในอ่างให้อยู่ที่ประมาณ 80% เมื่อสิ้นสุดฤดูฝน ตามมติของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)ซึ่งเราใช้หลักการที่เรียกว่า 'Rule Curve' เป็นเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำสูงสุด-ต่ำสุดในแต่ละช่วงของปี และใช้ 'Dynamic Operation Curve' ซึ่งเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ละเอียดขึ้น เพื่อคาดการณ์สถานการณ์และตัดสินใจในสภาวะจริง"
กรมชลประทานไม่ได้มองเพียงแค่น้ำในเขื่อน แต่ยังมองไปถึงการบูรณาการกับวิถีชีวิตของเกษตรกรและใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วย
“เรามีการปรับปฏิทินการเพาะปลูกในบางพื้นที่ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ 'ทุ่งบางระกำโมเดล' ที่จังหวัดพิษณุโลก เราจะสนับสนุนให้เกษตรกรทำนาเร็วขึ้น เพื่อให้เก็บเกี่ยวได้ทันก่อนช่วงน้ำหลาก จากเดิมเตรียมพื้นที่ไว้ 265,000 ไร่ ปีนี้ (2568) เราจะกันพื้นที่ไว้ 327,000 ไร่ จะถูกใช้เป็นพื้นที่ชะลอน้ำหรือแก้มลิงธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดผลกระทบในพื้นที่ท้ายน้ำได้อย่างมาก”
ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าน้ำต้องอยู่กับคน และคนต้องอยู่กับน้ำได้ ไม่ใช่แค่การป้องกัน แต่คือการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นอกจากการขุดลอกคลองและกำจัดวัชพืช ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเปรียบเสมือนกิจวัตรประจำวันแล้ว วรพจน์ยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในโลกปัจจุบัน เพื่อให้สามารถคาดการณ์ปริมาณน้ำได้แม่นยำมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“เรามีระบบโทรมาตร ซึ่งเป็นสถานีวัดระดับน้ำ ปริมาณน้ำ และปริมาณฝนอัตโนมัติ 631 สถานีทั่วประเทศ คอยส่งข้อมูลกลับมาที่ส่วนกลางแบบเรียลไทม์ สถานีที่อาจเคยได้ยินชื่อเช่น C2 ที่นครสวรรค์ หรือ M7 ที่อุบลราชธานี ก็คือส่วนหนึ่งของระบบนี้ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้โดยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ที่เราพัฒนาขึ้น เพื่อคาดการณ์ให้แม่นยำที่สุด ไม่ใช่แค่จะท่วมหรือไม่ แต่เพื่อตอบคำถามว่าน้ำมาวันไหน ท่วมมากน้อยเพียงใดและจะลดลงเมื่อไหร่”
เบื้องหลังตัวเลข ข้อมูล และระบบอัตโนมัติ คือการทำงานหนักของคนจำนวนมากทั้งในพื้นที่และเบื้องหลัง บางคนยืนอยู่ริมคลอง บางคนเฝ้าอ่างเก็บน้ำ บางคนขุดลอกคูคลองทุกวันโดยไม่มีชื่อปรากฏในข่าว
ทั้งหมดนี้ ทำด้วยเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือเพื่อให้พร้อมรับมือในทุกวิกฤติ เพื่อลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
เมื่อภัยพิบัติเข้าไม่ตามฤดูกาล และฝนไม่ตกตรงเวลาเหมือนสมัยก่อน ความพร้อมจึงไม่ใช่คำสวยหรูที่อยู่ในแผนปฏิบัติงาน แต่เป็นการเตรียมการที่ต้องเกิดขึ้นจริงในพื้นที่
“เราเตรียมความพร้อมทั้งเครื่องจักรและบุคลากรไว้อย่างเต็มที่ ทั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รถบรรทุกน้ำ รถแบคโฮไปจนถึงสะพานสำเร็จรูป (สะพานเบลีย์) ถูกกระจายไปประจำอยู่ที่ศูนย์เครื่องจักรกล 8 แห่งทั่วประเทศ ในพื้นที่เสี่ยงสูง เราจะนำเครื่องมือไปติดตั้งรอไว้ล่วงหน้าเลย เพราะเมื่อเกิดเหตุพร้อมกันหลายจุด การเคลื่อนย้ายจะใช้เวลานาน”
คำว่า ‘พร้อม’ ของกรมชลประทานจึงไม่ได้หมายถึงแค่มีเครื่องจักรครบ แต่หมายถึงความสามารถในการเคลื่อนย้าย บุคคลากรและเครื่องจักรเครื่องมือโดยการประสานงานอย่างรวดเร็วแบบไร้รอยต่อ“เรายังสามารถโยกย้ายกำลังและเครื่องจักรข้ามภาค เช่น ช่วงนี้ภาคเหนือมีปัญหา เราอาจดึงเครื่องจักรจากภาคใต้มาช่วยก่อน พอถึงปลายปีที่ภาคใต้เข้าสู่ฤดูฝน เราก็ย้ายกลับไปช่วยเหลือกันได้และ มีการช่วยเหลือกัน แชร์เครื่องจักรเครื่องมือกัน เพื่อให้คล่องตัวแล้วก็รวดเร็วในการเข้าสู่พื้นที่”
แม้จะดูเหมือนทุกอย่างวางแผนอย่างรอบด้าน แต่สิ่งที่วรพจน์ยังคงกังวลใจไม่น้อยคือ เรื่องของการตรวจสอบความมั่นคงของคันกั้นน้ำ ทำนบ และพนังกั้นน้ำ เนื่องจากผนังกั้นน้ำบางแห่งเป็นเพียงแค่ถนน หรือคันดิน ทำให้ยากต่อการตรวจสอบความแข็งแรง
“ในส่วนของพนังกั้นน้ำจะเป็นคันถนน คันดินต่าง ๆ บางแห่งก็มีอายุการใช้งานที่นานแล้ว ส่วนบางที่ก็เป็นคันตามธรรมชาติ ก็อาจจะมีการชำรุดเสียหายได้ แต่เราก็พยายามเสริมความแข็งแรงให้ได้เยอะที่สุดโดยเฉพาะจุดเสี่ยงเราก็จะไปเสริมความแข็งแรง เช่น นำกระสอบทรายมาเสริมทำเป็นคันดินเล็ก ในอนาคตเราก็มีแผนพัฒนาที่จะพัฒนาเป็นคันคอนกรีตถาวรเช่นกัน ซึ่งตรงนี้กรมชลประทานต้องอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่พื้นที่บริเวณนั้น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งเราก็ร่วมบูรณาการร่วมกันโดยตลอด”
ถึงจะมีแผนพร้อมเพียงใด แต่สิ่งที่กรมชลประทานยอมรับเสมอ คือ ‘ธรรมชาติ’ ไม่เคยอยู่ในการควบคุม โดยเฉพาะในยุคของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาส (Climate change)“เรื่องของอากาศมันเป็นเรื่องของโลก ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นอากาศไทย อากาศประเทศเพื่อนบ้าน มันก็คืออากาศของโลกใบเดียวกันนี่แหละ ของเราจะเป็นมหาสมุทรแปซิฟิกครึ่งหนึ่ง มหาสมุทรอินเดียครึ่งหนึ่ง เราก็จะใช้ผลการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำมาเตรียมตัวเฝ้าระวัง”
“เนื่องจากว่าปรากฏการณ์ climate change ทำให้พฤติกรรมของฝนเปลี่ยนไป เช่น ฝนอาจจะตกกระจุก ตกในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งตรงนี้ทำให้การบริหารจัดการน้ำค่อนข้างยาก เพราะถ้าดูสถิติจะเห็นว่าปริมาณฝนภาพรวมทั้งปีใกล้เคียงค่าปกติ แต่มาดูในช่วง 1 เดือน หรือ 1 สัปดาห์ กลายเป็นว่าฝนตกมากกว่าหรือหนักกว่าปกติ”
“ยกตัวอย่างของปีที่แล้วแม่สายก็หนัก ปีนี้ที่น่านก็หนักไม่แพ้กัน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าจะใช้ข้อมูลทั้งระยะสั้น และระยะยาวซึ่งเราใช้คาดการณ์ไปถึง 6 เดือนข้างหน้าเตรียมการณ์ไว้แล้ว แต่ climate change ทำให้รับมือได้ยากขึ้น”
และกรณีล่าสุดที่จังหวัดน่าน ซึ่งถูกมองว่าเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบพันปี วรพจน์เองก็จับตาใกล้ชิด โดยใช้ข้อมูลจากสถานีโทรมาตรมาตรวจดูระดับความลึกของน้ำ ซึ่งจะตั้งอยู่ตลอดแนวทางเดินน้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จุดชุมชน และปลายน้ำ เพื่อคาดการณ์สถาการณ์น้ำให้ผู้เกี่ยวข้องได้แจ้งเตือนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ดังนั้นกรมชลประทานจะรู้ล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำอยู่ตลอดเวลา
“อย่างสถานี N1 ของจังหวัดน่าน ก็จะผ่านที่อำเภอท่าวังผา จากนั้นจึงไหลมาที่อำเภอเมือง ต่อจากอำเภอเมืองก็เป็นอำเภอเวียงสา เราจะรู้ล่วงหน้า และเฝ้าระวังต่อไป เพราะโดยปกติน้ำจะไหลจากบนพื้นดินลงสู่ลำคลองต่าง ๆ จากคลองก็ลงสู่แม่น้ำ ในแม่น้ำเราก็มีสถานีวัดระยะน้ำเป็นช่วงๆอีก เราก็จะทราบล่วงหน้า แต่บางจุดที่มีความลาดชันของพื้นที่ เราก็จะประสานเพื่อให้ีมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าข้อมูลเหล่านี้ถูกนำเข้าระบบแบบจำลองเพื่อคาดการณ์และตัดสินใจอย่างแม่นยำ
“กรมชลประทานเรียกว่าเป็นระบบคาดการณ์ โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาคาดการณ์น้ำ ณ จุดต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันเราสามารถคาดการณ์ได้ประมาณ 3–7 วันล่วงหน้า”
แม้ไม่ใช่ผู้ประกาศเตือนภัยโดยตรง แต่กรมชลประทานมีบทบาทเบื้องหลังสำคัญ โดยเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่กระบวนการสื่อสาร ร่วมกับหน่วยงานอื่นอย่างเป็นระบบ
“กรมชลประทานไม่มีหน้าที่แจ้งเตือนโดยตรง ข้อมูลตรงนี้เราจะส่งไปทางกระทรวงมหาดไทย ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสารธารณภัย ปัจจุบันมีการทำระบบเซลล์บรอดคาสต์ (Cell Broadcast) ซึ่งเริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง 9 หน่วยงานหลัก ที่ได้ลงนาม MOU และตกลงร่วมกันกำหนด SOP (Standard Operating Procedure) เพื่อให้แต่ละหน่วยแจ้งเตือนภัยได้ทันต่อเหตุการณ์
"ข้อดีของเซลล์บรอดคาสต์ คือ สามารถแจ้งเตือนได้ตรงจุด เฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงเท่านั้นที่จะได้รับข้อความ ทำให้การแจ้งเตือนมีความน่าเชื่อถือและไม่สร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง แม้ว่าอาจจะยังมีข้อจำกัดกับประชาชนที่ยังเข้าไม่ถึงสมาร์ทโฟน แต่ก็นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบเตือนภัยของประเทศ"
แม้กรมชลประทานจะมีเทคโนโลยีที่วิเคราะห์ปริมาณฝนได้ล่วงหน้า และมีระบบเฝ้าระวังระดับประเทศแต่ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำงานร่วมกับชุมชน
“ชุมชนรู้ดีที่สุด” คือคำยืนยันจากวรพจน์ ซึ่งสะท้อนแนวทางที่กรมชลประทานยึดมั่นมาโดยตลอด นั่นคือ การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
ด้วยเหตุนี้ กรมชลประทานจึงจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ ผ่านโครงการชลประทานจังหวัดและโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากว่า 177 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งต้องรับมือทั้งสภาพภูมิประเทศที่ซับซ้อนและปริมาณฝนที่ผันผวนในทุกฤดูกาล เครือข่ายนี้ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางแจ้งเตือน หากยังทำหน้าที่แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน พร้อมเปิดรับข้อเสนอแนะในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารจัดการน้ำร่วมกัน
“กรมชลประทานทำงานร่วมกับประชาชนมาโดยตลอด หากประชาชนต้องการอะไรเพิ่มเติม เขาจะบอกกับเราเสมอ เช่น อยากได้อ่างเก็บน้ำเพิ่ม หรือตรงนี้ยังไม่มีอาคารระบายน้ำ ถ้ามีก็จะช่วยชุมชนได้มาก โครงการในพื้นที่จะรวบรวมแล้วเสนอขึ้นมา จากนั้นกรมจะจัดสรรงบประมาณ ออกแบบ ตรวจสอบ และพิจารณาความเหมาะสมทางวิศวกรรมต่อไป”
แน่นอนว่าแต่ละพื้นที่อาจมีความต้องการไม่ตรงกัน บางแห่งอาจไม่ได้ต้องการโครงการพื้นฐานอะไรมาก เพียงแค่ต้องการโอกาสในการ ‘รู้ล่วงหน้า’ ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถเตรียมรับมือได้อย่างเหมาะสม ด้วยเหตุนี้กรมชลประทานจึงมุ่งมั่นพัฒนาระบบการคาดการณ์น้ำและพยากรณ์น้ำส่งต่อข้อมูลให้ผู้เกี่ยวข้องใช้รับมือต่อสถาฯการณ์ที่เกิดขึ้น ระบบเซลล์บรอดคาสต์จึงเกิดขึ้นมา เพื่อตอบรับ ‘เสียง’ ของประชาชน
แม้การพัฒนาและรับมือจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งของการทำงานในพื้นที่ก็คือ เสียงสะท้อนที่เจ้าหน้าที่ต้องเผชิญในทุกฤดูน้ำ
“เสียงสะท้อนที่ได้รับมีทั้งด้านบวกและด้านลบ เป็นเรื่องปกติของการทำงาน” วรพจน์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เราเข้าใจและตระหนักถึงความทุกข์ร้อนของประชาชน จึงมุ่งมั่นแก้ปัญหาวิกฤตน้ำแม้จะไม่สามารถหยุดน้ำท่วมได้ทั้งหมด แต่เมื่อเราทำให้น้ำลดเร็วขึ้น หรือแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน ก็จะช่วยชีวิตและทรัพย์สินของเขาได้มากขึ้น และนี่จะเป็นส่วนสำคัญ ที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างมหาศาล”
จึงไม่แปลกที่ความร่วมมือระหว่างกรมชลประทานและชุมชน จะไม่ใช่แค่เรื่องของข้อมูลหรือเทคโนโลยี แต่คือการสร้าง ‘ศรัทธา’ ที่ต้องไหลไปในทิศทางเดียวกันกับสายน้ำ และแน่นอนว่าแผน 9 มาตรการรับมือฤดูฝนที่กรมชลประทานนำมาปฏิบัติ ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับทุกความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
เพราะนี่คือข้อมูลที่ได้รับจากบทเรียนภาคสนาม โดยเหล่าเจ้าหน้าที่ผู้ทุ่มเทเพื่อประชาชน ลงไปเก็บรวบรวมในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพสภาพน้ำไปจนถึงแผนการระบายน้ำข้ามจังหวัด โดยมีศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติเป็นแม่งานในการสรุปแผนและขับเคลื่อนนโยบายร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในช่วงปลายปีหลังฤดูฝนสิ้นสุดลง
การจัดลำดับความสำคัญจึงเป็นภารกิจที่ละเอียดอ่อน เพราะในความเป็นจริง ‘ทุกพื้นที่ล้วนสำคัญ’ กรมชลประทานจึงพิจารณาตามความรุนแรงของปัญหา และความจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละจุด ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ต้องรับมืออย่างเข้มข้นในปีนี้ ส่วนพื้นที่ภาคอื่นๆรวมถึงพื้นที่ EEC ก็ยังต้องเผ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง “แม้เหตุการณ์น้ำหลากในภาคเหนือจะคลี่คลายลง แต่ประเทศไทยยังอยู่ในฤดูฝน ซึ่งจะประมาทไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว” วรพจน์ย้ำ
ในเรื่องความปลอดภัยของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ วรพจน์ยืนยันว่ามีการตรวจสอบดูแลอย่างต่อเนื่อง ทุกเขื่อนยังคงอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และเจ้าหน้าที่ทุกคนยังปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
“กรมชลประทานยินดีรับฟังทุกข้อเสนอแนะ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาให้ฤดูฝนปีนี้ผ่านพ้นไปด้วยกัน หรือหากต้องกระทบ ก็ให้กระทบน้อยที่สุด และฟื้นตัวได้เร็วที่สุด”
นี่คือภาพของการบริหารจัดการน้ำที่ไม่เพียงเป็นเรื่องของระบบหรือเทคโนโลยี แต่คือการบริหารจัดการที่มี ‘รัฐ’ เป็นศูนย์กลาง และพร้อมฝ่าทุกวิกฤติไปกับประชาชน
สำหรับประชาชนที่พบปัญหาในพื้นที่ สามารถติดต่อกรมชลประทานได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโครงการชลประทานจังหวัด โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา สายด่วน 1460 ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำตลอด 24 ชั่วโมง หรือผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เพจเฟซบุ๊ก SWOC RID และเว็บไซต์ของกรมชล https://wmsc.rid.go.th/