เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

กรมชลประทานเดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน โดยเน้นการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ การตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อนและอาคารชลประทาน และการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ

KEY

POINTS

 

เมื่อสายฝนพรั่งพรูลงมาที่ภาคเหนือของประเทศไทยในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ภาพของถนนที่ถูกตัดขาด ผู้คนที่ติดอยู่ภายในบ้านไม่มีทางออก และพื้นที่ที่ถูกน้ำกลืนหายไปทั้งชุมชน กลายเป็นภาพความสะเทือนใจที่ไม่อาจลืมเลือน โดยเฉพาะจังหวัดน่าน ซึ่งปีนี้ประสบภัยน้ำหลากรุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา 

นักวิชาการเรียกฝนครั้งนี้ว่า ‘รีเทิร์นพีเรียด 1,000 ปี’ ซึ่งหมายถึงโอกาสเกิดที่น้อยนิดเพียง 0.1% แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันนำมาซึ่งความเสียหายมหาศาล

ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นไม่เพียงท้าทายความสามารถในการฟื้นตัวของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น หากยังแสดงให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนในพื้นที่ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  ซึ่งหน่วยงานภาครัฐต่างร่วมกันเข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้น รู้สึกอุ่นใจท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้น แน่นอนว่า คำถามที่ผุดขึ้นในใจของพวกเขาคงหนีไม่พ้นว่า “หน่วยงานรัฐพร้อมรับมือมากแค่ไหน”

นี่คือสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้เลย โดยเฉพาะต่อหลักด้านการบริหารจัดการน้ำอย่าง กรมชลประทาน ซึ่งเป็นด่านหน้าของการวางแผน ป้องกัน และลดผลกระทบจากอุทกภัยในทุกภูมิภาค

แต่เบื้องหลังของการดำเนินการ ไม่ว่าจะตรวจวัดระดับน้ำ ความแข็งแรงของเขื่อน หรือความพร้อมของเครื่องมือเครื่องจักร และแผนผังการบริหารจัดการ ทุกอย่างล้วนมี ‘คน’ ที่ยืนหยัดอยู่กับภารกิจนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลางฤดูฝน กลางดึก หรือใจกลางความทุกข์ของประชาชน พวกเขาไม่ได้ทำงานเพียงตามหน้าที่ แต่ขับเคลื่อนทุกมาตรการด้วยหัวใจ

เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

The People มีโอกาสต่อสายตรงถึง ‘วรพจน์ เพชรนรชาติ’ รองอธิบดีฝ่ายบริหาร กรมชลประทาน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเตรียมรับมือครั้งนี้ เพื่อเปิดแผน 9 มาตรการสำคัญในการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือปีนี้ ทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และปฏิบัติการภาคสนาม ที่ไม่ได้หวังแค่ ‘จัดการน้ำ’ แต่ต้องการสร้าง ‘ความมั่นใจ’ ให้กับพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ว่ารัฐพร้อมอยู่เคียงข้างในยามวิกฤติ

ทั้งหมดนี้ คือความมุ่งมั่นภายใต้แนวคิด ‘RID UNITED’ ที่กรมชลประทานเดินหน้าเพื่อยกระดับการบริหารจัดการน้ำให้เป็นระบบ สร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ 20 ปี (2561–2580) และวิสัยทัศน์องค์กรอัจฉริยะเพื่อความมั่นคงด้านน้ำภายในปี 2580

และเหนืออื่นใด บทสนทนานี้ คือเครื่องยืนยันว่าในทุกวิกฤติ ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่ง พร้อมลงมือทำ อย่างสุดกำลัง เพื่อให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน

เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

ศิลปะแห่งการบริหารจัดการน้ำ

ความท้าทายของกรมชลประทานไม่ได้หยุดอยู่แค่การควบคุมน้ำให้ไหลลงสู่แม่น้ำ แต่คือการรับมือความไม่แน่นอนของธรรมชาติ เพื่อให้ทุกชีวิตอยู่กับน้ำได้อย่างมั่นคง โดยการจะทำให้ทุกอย่างอยู่ใน ‘การควบคุม’ ได้นั้น วรพจน์ได้เล่าถึงเบื้องหลังของ 9 มาตรการรับมือฤดูฝน 2568 ที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และผ่านมติคณะรัฐมนตรี โดยย้ำว่า นี่คือการวางระบบที่ลงมือทำได้จริง 

ทุกมาตรการเริ่มต้นจากพื้นฐานของความพร้อม ตั้งแต่การเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เหมาะสมกับปริมาณฝนที่ตกจริง ตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน อาคารชลประทาน และเครื่องจักรให้พร้อมใช้งาน รวมถึงเร่งเคลียร์ทางน้ำให้โล่งก่อนฤดูฝนมาถึง ด้วยการขุดลอกคลอง กำจัดวัชพืช และสิ่งกีดขวางในลำคลอง โดยเฉพาะคลองระบายน้ำสายหลักที่เป็นโครงช่ายของการระบายน้ำในหลายพื้นที่

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าทุกเครื่องมือ คือ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่น และภาคประชาชน เพราะจากแนวโน้มสภาพภูมิอากาศที่ผันผวน ทุกพื้นที่ในประเทศมีความเสี่ยงต่ออุทกภัยไม่แตกต่างกัน และการสื่อสารเชิงรุกคือด่านป้องกันชั้นแรกได้ดีที่สุด

ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ตามคำประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทานได้วิเคราะห์ข้อมูลล่วงหน้า และพบว่า เฉพาะภาคเหนือเพียงภาคเดียว มีจุดเสี่ยงน้ำท่วมมากถึง 443 จุด นั่นหมายความว่า หากไม่มีการวางแผนที่แม่นยำและครอบคลุม ความเสียหายอาจเกิดได้อีก

เมื่อได้พื้นที่เสี่ยงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 

"การเตรียมพร่องอ่างเก็บน้ำและวางแผนจัดสรรน้ำ จะมีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว สำหรับแผนระยะสั้น เราใช้ข้อมูลฝนปัจจุบันและข้อมูลคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 3-7 วัน วันจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ มาวางแผนว่าจะต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนหรือไม่ และหากจำเป็นจะต้องระบายมากน้อยเพียงใด เพื่อให้มีพื้นที่รองรับน้ำใหม่ที่จะไหลเข้ามา"

"แต่ที่ซับซ้อนกว่านั้น คือแผนระยะยาว" เขากล่าวต่อ 

"เนื่องจากอ่างเก็บน้ำของเราเป็นแบบอเนกประสงค์ (Multipurpose) คือต้องใช้ป้องกันน้ำท่วมและเก็บกักน้ำไว้สำหรับฤดูแล้งปีหน้าด้วย ดังนั้น ณ วันนี้ (สิงหาคม 2568) เราต้องคาดการณ์ปริมาณน้ำไปจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เพื่อวางแผนการระบายให้สมดุล"

"เราไม่สามารถระบายน้ำทิ้งในช่วงหน้าฝนทั้งหมดได้ เพราะต้องสำรองเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งเป้าหมายของเราคือการรักษาระดับน้ำในอ่างให้อยู่ที่ประมาณ 80% เมื่อสิ้นสุดฤดูฝน ตามมติของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)ซึ่งเราใช้หลักการที่เรียกว่า 'Rule Curve' เป็นเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำสูงสุด-ต่ำสุดในแต่ละช่วงของปี และใช้ 'Dynamic Operation Curve' ซึ่งเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ละเอียดขึ้น เพื่อคาดการณ์สถานการณ์และตัดสินใจในสภาวะจริง"

กรมชลประทานไม่ได้มองเพียงแค่น้ำในเขื่อน แต่ยังมองไปถึงการบูรณาการกับวิถีชีวิตของเกษตรกรและใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วย  

“เรามีการปรับปฏิทินการเพาะปลูกในบางพื้นที่ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ 'ทุ่งบางระกำโมเดล' ที่จังหวัดพิษณุโลก เราจะสนับสนุนให้เกษตรกรทำนาเร็วขึ้น เพื่อให้เก็บเกี่ยวได้ทันก่อนช่วงน้ำหลาก จากเดิมเตรียมพื้นที่ไว้ 265,000 ไร่ ปีนี้ (2568) เราจะกันพื้นที่ไว้ 327,000 ไร่ จะถูกใช้เป็นพื้นที่ชะลอน้ำหรือแก้มลิงธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดผลกระทบในพื้นที่ท้ายน้ำได้อย่างมาก” 

ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าน้ำต้องอยู่กับคน และคนต้องอยู่กับน้ำได้  ไม่ใช่แค่การป้องกัน แต่คือการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากการขุดลอกคลองและกำจัดวัชพืช ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเปรียบเสมือนกิจวัตรประจำวันแล้ว วรพจน์ยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในโลกปัจจุบัน เพื่อให้สามารถคาดการณ์ปริมาณน้ำได้แม่นยำมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

“เรามีระบบโทรมาตร ซึ่งเป็นสถานีวัดระดับน้ำ ปริมาณน้ำ และปริมาณฝนอัตโนมัติ 631 สถานีทั่วประเทศ คอยส่งข้อมูลกลับมาที่ส่วนกลางแบบเรียลไทม์ สถานีที่อาจเคยได้ยินชื่อเช่น C2 ที่นครสวรรค์ หรือ M7 ที่อุบลราชธานี ก็คือส่วนหนึ่งของระบบนี้ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้โดยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ที่เราพัฒนาขึ้น เพื่อคาดการณ์ให้แม่นยำที่สุด ไม่ใช่แค่จะท่วมหรือไม่ แต่เพื่อตอบคำถามว่าน้ำมาวันไหน ท่วมมากน้อยเพียงใดและจะลดลงเมื่อไหร่”

เบื้องหลังตัวเลข ข้อมูล และระบบอัตโนมัติ คือการทำงานหนักของคนจำนวนมากทั้งในพื้นที่และเบื้องหลัง บางคนยืนอยู่ริมคลอง บางคนเฝ้าอ่างเก็บน้ำ บางคนขุดลอกคูคลองทุกวันโดยไม่มีชื่อปรากฏในข่าว

ทั้งหมดนี้ ทำด้วยเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือเพื่อให้พร้อมรับมือในทุกวิกฤติ เพื่อลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

เปิดปฏิบัติการจาก ‘คน’ สู่ ‘เครื่องจักร’

เมื่อภัยพิบัติเข้าไม่ตามฤดูกาล และฝนไม่ตกตรงเวลาเหมือนสมัยก่อน ความพร้อมจึงไม่ใช่คำสวยหรูที่อยู่ในแผนปฏิบัติงาน แต่เป็นการเตรียมการที่ต้องเกิดขึ้นจริงในพื้นที่

“เราเตรียมความพร้อมทั้งเครื่องจักรและบุคลากรไว้อย่างเต็มที่ ทั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รถบรรทุกน้ำ รถแบคโฮไปจนถึงสะพานสำเร็จรูป (สะพานเบลีย์) ถูกกระจายไปประจำอยู่ที่ศูนย์เครื่องจักรกล 8 แห่งทั่วประเทศ ในพื้นที่เสี่ยงสูง เราจะนำเครื่องมือไปติดตั้งรอไว้ล่วงหน้าเลย เพราะเมื่อเกิดเหตุพร้อมกันหลายจุด การเคลื่อนย้ายจะใช้เวลานาน”

คำว่า ‘พร้อม’ ของกรมชลประทานจึงไม่ได้หมายถึงแค่มีเครื่องจักรครบ แต่หมายถึงความสามารถในการเคลื่อนย้าย บุคคลากรและเครื่องจักรเครื่องมือโดยการประสานงานอย่างรวดเร็วแบบไร้รอยต่อ“เรายังสามารถโยกย้ายกำลังและเครื่องจักรข้ามภาค เช่น ช่วงนี้ภาคเหนือมีปัญหา เราอาจดึงเครื่องจักรจากภาคใต้มาช่วยก่อน พอถึงปลายปีที่ภาคใต้เข้าสู่ฤดูฝน เราก็ย้ายกลับไปช่วยเหลือกันได้และ มีการช่วยเหลือกัน แชร์เครื่องจักรเครื่องมือกัน เพื่อให้คล่องตัวแล้วก็รวดเร็วในการเข้าสู่พื้นที่”

แม้จะดูเหมือนทุกอย่างวางแผนอย่างรอบด้าน แต่สิ่งที่วรพจน์ยังคงกังวลใจไม่น้อยคือ เรื่องของการตรวจสอบความมั่นคงของคันกั้นน้ำ ทำนบ และพนังกั้นน้ำ เนื่องจากผนังกั้นน้ำบางแห่งเป็นเพียงแค่ถนน หรือคันดิน ทำให้ยากต่อการตรวจสอบความแข็งแรง

“ในส่วนของพนังกั้นน้ำจะเป็นคันถนน คันดินต่าง ๆ บางแห่งก็มีอายุการใช้งานที่นานแล้ว ส่วนบางที่ก็เป็นคันตามธรรมชาติ ก็อาจจะมีการชำรุดเสียหายได้ แต่เราก็พยายามเสริมความแข็งแรงให้ได้เยอะที่สุดโดยเฉพาะจุดเสี่ยงเราก็จะไปเสริมความแข็งแรง เช่น นำกระสอบทรายมาเสริมทำเป็นคันดินเล็ก ในอนาคตเราก็มีแผนพัฒนาที่จะพัฒนาเป็นคันคอนกรีตถาวรเช่นกัน ซึ่งตรงนี้กรมชลประทานต้องอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่พื้นที่บริเวณนั้น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งเราก็ร่วมบูรณาการร่วมกันโดยตลอด”

เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

ถึงจะมีแผนพร้อมเพียงใด แต่สิ่งที่กรมชลประทานยอมรับเสมอ คือ ‘ธรรมชาติ’ ไม่เคยอยู่ในการควบคุม โดยเฉพาะในยุคของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาส (Climate change)“เรื่องของอากาศมันเป็นเรื่องของโลก ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นอากาศไทย อากาศประเทศเพื่อนบ้าน มันก็คืออากาศของโลกใบเดียวกันนี่แหละ ของเราจะเป็นมหาสมุทรแปซิฟิกครึ่งหนึ่ง มหาสมุทรอินเดียครึ่งหนึ่ง เราก็จะใช้ผลการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำมาเตรียมตัวเฝ้าระวัง”

“เนื่องจากว่าปรากฏการณ์ climate change ทำให้พฤติกรรมของฝนเปลี่ยนไป เช่น ฝนอาจจะตกกระจุก ตกในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งตรงนี้ทำให้การบริหารจัดการน้ำค่อนข้างยาก เพราะถ้าดูสถิติจะเห็นว่าปริมาณฝนภาพรวมทั้งปีใกล้เคียงค่าปกติ แต่มาดูในช่วง 1 เดือน หรือ 1 สัปดาห์ กลายเป็นว่าฝนตกมากกว่าหรือหนักกว่าปกติ”

“ยกตัวอย่างของปีที่แล้วแม่สายก็หนัก ปีนี้ที่น่านก็หนักไม่แพ้กัน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าจะใช้ข้อมูลทั้งระยะสั้น และระยะยาวซึ่งเราใช้คาดการณ์ไปถึง 6 เดือนข้างหน้าเตรียมการณ์ไว้แล้ว แต่ climate change ทำให้รับมือได้ยากขึ้น” 

และกรณีล่าสุดที่จังหวัดน่าน ซึ่งถูกมองว่าเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบพันปี วรพจน์เองก็จับตาใกล้ชิด โดยใช้ข้อมูลจากสถานีโทรมาตรมาตรวจดูระดับความลึกของน้ำ ซึ่งจะตั้งอยู่ตลอดแนวทางเดินน้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จุดชุมชน และปลายน้ำ เพื่อคาดการณ์สถาการณ์น้ำให้ผู้เกี่ยวข้องได้แจ้งเตือนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ดังนั้นกรมชลประทานจะรู้ล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำอยู่ตลอดเวลา

“อย่างสถานี N1 ของจังหวัดน่าน ก็จะผ่านที่อำเภอท่าวังผา จากนั้นจึงไหลมาที่อำเภอเมือง ต่อจากอำเภอเมืองก็เป็นอำเภอเวียงสา เราจะรู้ล่วงหน้า และเฝ้าระวังต่อไป เพราะโดยปกติน้ำจะไหลจากบนพื้นดินลงสู่ลำคลองต่าง ๆ จากคลองก็ลงสู่แม่น้ำ ในแม่น้ำเราก็มีสถานีวัดระยะน้ำเป็นช่วงๆอีก เราก็จะทราบล่วงหน้า แต่บางจุดที่มีความลาดชันของพื้นที่ เราก็จะประสานเพื่อให้ีมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าข้อมูลเหล่านี้ถูกนำเข้าระบบแบบจำลองเพื่อคาดการณ์และตัดสินใจอย่างแม่นยำ

“กรมชลประทานเรียกว่าเป็นระบบคาดการณ์ โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาคาดการณ์น้ำ ณ จุดต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันเราสามารถคาดการณ์ได้ประมาณ 3–7 วันล่วงหน้า”

แม้ไม่ใช่ผู้ประกาศเตือนภัยโดยตรง แต่กรมชลประทานมีบทบาทเบื้องหลังสำคัญ โดยเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่กระบวนการสื่อสาร ร่วมกับหน่วยงานอื่นอย่างเป็นระบบ

“กรมชลประทานไม่มีหน้าที่แจ้งเตือนโดยตรง ข้อมูลตรงนี้เราจะส่งไปทางกระทรวงมหาดไทย ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสารธารณภัย ปัจจุบันมีการทำระบบเซลล์บรอดคาสต์ (Cell Broadcast) ซึ่งเริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง 9 หน่วยงานหลัก ที่ได้ลงนาม MOU และตกลงร่วมกันกำหนด SOP (Standard Operating Procedure) เพื่อให้แต่ละหน่วยแจ้งเตือนภัยได้ทันต่อเหตุการณ์

"ข้อดีของเซลล์บรอดคาสต์ คือ สามารถแจ้งเตือนได้ตรงจุด เฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงเท่านั้นที่จะได้รับข้อความ ทำให้การแจ้งเตือนมีความน่าเชื่อถือและไม่สร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง แม้ว่าอาจจะยังมีข้อจำกัดกับประชาชนที่ยังเข้าไม่ถึงสมาร์ทโฟน แต่ก็นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบเตือนภัยของประเทศ"

เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

บริหารน้ำ - รักษาศรัทธา

แม้กรมชลประทานจะมีเทคโนโลยีที่วิเคราะห์ปริมาณฝนได้ล่วงหน้า และมีระบบเฝ้าระวังระดับประเทศแต่ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำงานร่วมกับชุมชน

“ชุมชนรู้ดีที่สุด” คือคำยืนยันจากวรพจน์ ซึ่งสะท้อนแนวทางที่กรมชลประทานยึดมั่นมาโดยตลอด นั่นคือ การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

ด้วยเหตุนี้ กรมชลประทานจึงจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ ผ่านโครงการชลประทานจังหวัดและโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากว่า 177 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งต้องรับมือทั้งสภาพภูมิประเทศที่ซับซ้อนและปริมาณฝนที่ผันผวนในทุกฤดูกาล เครือข่ายนี้ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางแจ้งเตือน  หากยังทำหน้าที่แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน พร้อมเปิดรับข้อเสนอแนะในการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารจัดการน้ำร่วมกัน

เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

“กรมชลประทานทำงานร่วมกับประชาชนมาโดยตลอด หากประชาชนต้องการอะไรเพิ่มเติม เขาจะบอกกับเราเสมอ เช่น อยากได้อ่างเก็บน้ำเพิ่ม หรือตรงนี้ยังไม่มีอาคารระบายน้ำ ถ้ามีก็จะช่วยชุมชนได้มาก โครงการในพื้นที่จะรวบรวมแล้วเสนอขึ้นมา จากนั้นกรมจะจัดสรรงบประมาณ ออกแบบ ตรวจสอบ และพิจารณาความเหมาะสมทางวิศวกรรมต่อไป”

แน่นอนว่าแต่ละพื้นที่อาจมีความต้องการไม่ตรงกัน บางแห่งอาจไม่ได้ต้องการโครงการพื้นฐานอะไรมาก เพียงแค่ต้องการโอกาสในการ ‘รู้ล่วงหน้า’ ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถเตรียมรับมือได้อย่างเหมาะสม ด้วยเหตุนี้กรมชลประทานจึงมุ่งมั่นพัฒนาระบบการคาดการณ์น้ำและพยากรณ์น้ำส่งต่อข้อมูลให้ผู้เกี่ยวข้องใช้รับมือต่อสถาฯการณ์ที่เกิดขึ้น ระบบเซลล์บรอดคาสต์จึงเกิดขึ้นมา เพื่อตอบรับ ‘เสียง’ ของประชาชน

แม้การพัฒนาและรับมือจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งของการทำงานในพื้นที่ก็คือ เสียงสะท้อนที่เจ้าหน้าที่ต้องเผชิญในทุกฤดูน้ำ 

“เสียงสะท้อนที่ได้รับมีทั้งด้านบวกและด้านลบ เป็นเรื่องปกติของการทำงาน” วรพจน์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา 

“เราเข้าใจและตระหนักถึงความทุกข์ร้อนของประชาชน จึงมุ่งมั่นแก้ปัญหาวิกฤตน้ำแม้จะไม่สามารถหยุดน้ำท่วมได้ทั้งหมด แต่เมื่อเราทำให้น้ำลดเร็วขึ้น หรือแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน ก็จะช่วยชีวิตและทรัพย์สินของเขาได้มากขึ้น และนี่จะเป็นส่วนสำคัญ ที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างมหาศาล”

จึงไม่แปลกที่ความร่วมมือระหว่างกรมชลประทานและชุมชน จะไม่ใช่แค่เรื่องของข้อมูลหรือเทคโนโลยี แต่คือการสร้าง ‘ศรัทธา’ ที่ต้องไหลไปในทิศทางเดียวกันกับสายน้ำ และแน่นอนว่าแผน 9 มาตรการรับมือฤดูฝนที่กรมชลประทานนำมาปฏิบัติ ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับทุกความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

เพราะนี่คือข้อมูลที่ได้รับจากบทเรียนภาคสนาม โดยเหล่าเจ้าหน้าที่ผู้ทุ่มเทเพื่อประชาชน ลงไปเก็บรวบรวมในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพสภาพน้ำไปจนถึงแผนการระบายน้ำข้ามจังหวัด โดยมีศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติเป็นแม่งานในการสรุปแผนและขับเคลื่อนนโยบายร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในช่วงปลายปีหลังฤดูฝนสิ้นสุดลง

การจัดลำดับความสำคัญจึงเป็นภารกิจที่ละเอียดอ่อน เพราะในความเป็นจริง ‘ทุกพื้นที่ล้วนสำคัญ’ กรมชลประทานจึงพิจารณาตามความรุนแรงของปัญหา และความจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละจุด ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ต้องรับมืออย่างเข้มข้นในปีนี้ ส่วนพื้นที่ภาคอื่นๆรวมถึงพื้นที่ EEC ก็ยังต้องเผ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง “แม้เหตุการณ์น้ำหลากในภาคเหนือจะคลี่คลายลง แต่ประเทศไทยยังอยู่ในฤดูฝน ซึ่งจะประมาทไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว” วรพจน์ย้ำ

ในเรื่องความปลอดภัยของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ วรพจน์ยืนยันว่ามีการตรวจสอบดูแลอย่างต่อเนื่อง ทุกเขื่อนยังคงอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และเจ้าหน้าที่ทุกคนยังปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน คุมเข้มสถานการณ์น้ำภาคเหนือ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน

“กรมชลประทานยินดีรับฟังทุกข้อเสนอแนะ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาให้ฤดูฝนปีนี้ผ่านพ้นไปด้วยกัน หรือหากต้องกระทบ ก็ให้กระทบน้อยที่สุด และฟื้นตัวได้เร็วที่สุด”

นี่คือภาพของการบริหารจัดการน้ำที่ไม่เพียงเป็นเรื่องของระบบหรือเทคโนโลยี แต่คือการบริหารจัดการที่มี ‘รัฐ’ เป็นศูนย์กลาง และพร้อมฝ่าทุกวิกฤติไปกับประชาชน 

สำหรับประชาชนที่พบปัญหาในพื้นที่ สามารถติดต่อกรมชลประทานได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโครงการชลประทานจังหวัด โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา สายด่วน 1460 ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำตลอด 24 ชั่วโมง หรือผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เพจเฟซบุ๊ก SWOC RID  และเว็บไซต์ของกรมชล https://wmsc.rid.go.th/