กรมชลประทาน กับ 9 มาตรการฝ่าฝน พร้อมรับมือวิกฤติน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน

กรมชลประทาน กับ 9 มาตรการฝ่าฝน พร้อมรับมือวิกฤติน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน

กรมชลประทานประกาศใช้ 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 ตามแนวทางของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือวิกฤติน้ำ

KEY

POINTS

 

“บทบาทของกรมชลประทาน คือพัฒนาแหล่งน้ำ จัดการน้ำให้เพียงพอสำหรับการเพาะปลูก ช่วยให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวได้ทันเวลา ไปจนถึงป้องกันและบรรเทาน้ำท่วม น้ำแล้ง พร้อมเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน สิ่งเหล่านี้ คือภารกิจที่สำคัญของกรมชลประทาน” 

‘เดช เล็กวิชัย’ รองอธิบดีฝ่ายบำรุงรักษา กรมชลประทาน กับ อุดมการณ์อันแน่วแน่เป็นเข็มทิศนำทางในการทำงาน ที่ต้องหนักแน่น ตอบสนองรวดเร็ว ต่อการบริหารจัดการและแก้ไขวิกฤตการณ์น้ำ 

นับตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ 

หลังจากนั้นเพียงหนึ่งวัน เว็บไซต์กรมชลประทานได้ประกาศ ‘แผนบริหารจัดการน้ำท่วมช่วงฤดูฝน’ 

เรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่สอดประสานกันได้อย่างลงตัว รับรู้ถึงความตั้งใจ ของหน่วยงานแห่งนี้ที่พร้อมเผชิญหน้า ร่วมบรรเทาปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำ 

ทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรมชลประทานในการยืนหยัดเคียงข้างประชาชนตามนโยบาย “RID UNITED” ภายใต้แนวคิด “ร่วมกันสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน” โดยเดินหน้ายกระดับการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบผ่านการปฏิบัติตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์กรมชลประทาน 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ภายใต้วิสัยทัศน์ “กรมชลประทานเป็นองค์กรอัจฉริยะ ที่มุ่งสร้างความมั่นคงด้านน้ำ (Water Security) เพื่อเพิ่มคุณค่าการบริการภายในปี 2580”

กรมชลประทาน กับ 9 มาตรการฝ่าฝน พร้อมรับมือวิกฤติน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน

กรมชลกับความพร้อมรับมือน้ำท่วม

“สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน กรมชลประทานได้กำชับให้สํานักงานชลประทานที่ 1-17และสำนักเครื่องจักรกล เดินหน้าปฏิบัติตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ตามแนวทางของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ กนช. อย่างเคร่งครัด”

“ทั้งเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด บริหารน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เหมาะกับฝนที่ตกจริง ตรวจสอบเขื่อนและอาคารชลประทานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน รวมถึงเตรียมเครื่องสูบน้ำ เครื่องจักร และเคลียร์ทางน้ำให้ไหลสะดวก ด้วยการเร่งกําจัดวัชพืช สิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยเฉพาะคลองระบายน้ำ หรือคลองส่งน้ําสายหลักที่ใช้ในการระบายน้ําให้เสร็จก่อนฝนจะมา และที่สำคัญ คือการประสานงานกับจังหวัดและหน่วยงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพราะจากแนวโน้มสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ในทุกพื้นที่อาจได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม น้ำหลาก ได้เสมอ” เดช เล็กวิชัย เล่าถึงภาพรวมของแผนบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูฝนปี 2568 

“และเราจะต้องเร่งดำเนินมาตรการอย่างรอบด้าน เพื่อบรรเทาความเสียหายและลดผลกระทบจากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นให้กระทบน้อยที่สุด”

เพียงแค่เริ่มบทสนทนา ก็ทำให้เห็นถึงความตั้งใจในการจัดการน้ำของกรมชลประทาน ก่อนจะอธิบายเสริมว่า แผนบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูฝนนั้น ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างละเอียดโดยคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จนออกมาเป็น 9 มาตรการ เพื่อเป็นการป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยที่อาจส่งผลต่อประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์และตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน้าที่ของกรมชลประทาน คือ การนำมาปฏิบัติใช้ให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ “มาตรการแรกของเราคือ ‘การชี้เป้า’ จากการที่เรารู้ว่าลักษณะฝนจะเป็นอย่างไร เราก็นำเรื่องมาตรการในเรื่องของการชี้เป้าว่าพื้นที่ใดเป็นจุดเสี่ยง 

“ซึ่งทั้งหมดนี้ ยังไม่เกิดภัยนะ” เขาย้ำ 

“กรมชลประทานมีสํานักงานชลประทานที่ 1-17 ซึ่งทำหน้าที่ดูแลบำรุงรักษาและบริหารจัดการน้ำในเขตพื้นที่ชลประทานกระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ได้มีการวิเคราะห์พื้นที่จุดเสี่ยง ที่อาจจะเกิดอุทกภัยไว้ประมาณ 1,652 จุด” 

ใช่แล้ว, ฟังไม่ผิด 1,652 จุด  โดยมีโครงการชลประทานที่ทำหน้าที่ดูแล เฝ้าติดตามน้ำอย่างระแวดระวัง  เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนและบริหารจัดการน้ำเข้าสู่ระบบชลประทานต่อไป “เมื่อเราวิเคราะห์จุดเสี่ยงแล้ว กรมชลประทานเองก็มีการวางแผน ว่าจะต้องบริหารคน บริหารเครื่องมือ เครื่องจักร รวมถึงบริหารอาคารชลประทาน อย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ตรงนี้คืออีกหนึ่งมาตรการในแผนบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูฝนของปีนี้ (2568)”

กรมชลประทาน กับ 9 มาตรการฝ่าฝน พร้อมรับมือวิกฤติน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน

เดชได้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดว่า หากเรารู้จุดเสี่ยงในพื้นที่ก่อน เช่น เชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา จะเกิดน้ำท่วม ก็ระดมเครื่องสูบน้ํา เครื่องผลักดันน้ําไปติดตั้งล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้เกิดเหตุแล้วจึงนำเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ เข้าไปในพื้นที่ หากเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทันการณ์

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการตรวจสอบความมั่นคงของอาคารชลประทาน คันกั้นน้ำ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานก่อนที่ฝนจะมา ซึ่งกรมชลประทานโดยโครงการชลประทานทั้งประเทศได้ทำการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ  และจะดำเนินการเสร็จสิ้น ก่อนฤดูฝนจะมาเยือนทุกปี“เราได้จัดส่งวิศวกรและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อนและอาคารชลประทานต่างๆ ตรวจเช็คว่ามีความพร้อมใช้งาน และเราก็มีการตรวจสอบตัวอาคารหลัก ที่ใช้ในการบริหารจัดการน้ํา ทั้งหมดประมาณ 3,354 แห่ง และอาคารบังคับน้ําทั้งหมดประมาณ 110,000 แห่งให้มีความพร้อมในการใช้งาน หรือแม้แต่คลองระบายน้ำต่าง ๆ คลองส่งน้ําอีกประมาณ 70,000 แห่ง ให้มีความพร้อมใช้งานเช่นกัน”

เขายังอธิบายอีกว่า กรมชลประทานมีการปรับเกณฑ์การระบายน้ำในอ่าง หรือเรียกว่าเป็นการพร่องน้ำ เพื่อรอรับปริมาณน้ำฝน ให้สามารถรับน้ำได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในบางพื้นที่จะมีความต้องการกักเก็บน้ำมาก ตัวอย่างเช่น บริเวณเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 

กรมชลประทาน กับ 9 มาตรการฝ่าฝน พร้อมรับมือวิกฤติน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน

“เราตรวจสอบพบว่า พื้นที่ตรงนี้ต้องการกักเก็บน้ำ ไม่กลัวน้ำล้นอ่าง แต่กลัวน้ำไม่เต็มอ่าง  ซึ่งแนวทางการบริหารจัดการน้ำกรมชลประทาน เราพยายามจัดการน้ำในอ่างเพื่อกักเก็บน้ำในฤดูฝนให้เต็มที่มากที่สุด โดยการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำ ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่ออุทกภัยในพื้นที่ท้ายอ่างให้มากที่สุดด้วยเช่นกัน”

และอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือพื้นที่ลุ่มต่ำ ‘บางระกำ’ ที่อยู่แถวพิษณุโลก และรับน้ําหลากจากแม่น้ํายม ปัจจุบันได้มีการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 325,000 ไร่ ก็เพาะปลูกข้าวเต็มพื้นที่แล้ว คาดว่าจะเก็บเกี่ยวได้ก่อนวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ซึ่งอุทกภัย แถวลุ่มน้ํายมส่วนใหญ่ จะมาประมาณปลายเดือนสิงหาคมหลังจากนั้น พื้นที่ลุ่มต่ําตรงนี้ จะกลายเป็นช่องว่าง ใช้ในการรองรับปริมาณน้ำหลากเพื่อบรรเทาอุทกภัยให้กับพื้นที่ตอนล่างต่อไป

“ผมว่าเพราะเรารู้ว่ามันจะเกิดพื้นที่ไหนก่อน เพราะการระดมเครื่องมือ เครื่องจักร ในแต่ละครั้งต้องมีการวางแผนว่าจะเกิดจุดเสี่ยงขึ้นตรงไหน หากเริ่มจากภาคเหนือก็จะไล่มาตั้งแต่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา พอเสร็จตรงนั้น ก็ต้องย้ายมา สุโขทัย แพร่ และมาน่าน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับร่องมรสุมที่พาดผ่าน ณ ตรงนั้น เช่น ช่วงนี้พาดผ่านภาคเหนือตอนบน อีสานตอนบนอยู่ จากนั้นเราก็ต้องเร่งระบายลงแม่น้ำโขง และก็ต้องดูด้วยว่าแม่น้ำโขงน้ำมารึยัง ถ้าน้ำมาเยอะ ก็ระบายยาก ฉะนั้นช่วงเวลาที่น้ำโขงยังไม่สูงกว่าน้ำในประเทศ เราก็ต้องเร่งระบายน้ำออกไปให้ได้มากที่สุด” กรมชลประทาน กับ 9 มาตรการฝ่าฝน พร้อมรับมือวิกฤติน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน

“สถานการณ์อุทกภัยจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ภาคเหนือ ช่วงต้นฤดูฝน ต่อเนื่องมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในช่วงกลางปี ประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม น้ำจากภาคเหนือจะเริ่มลงมาสู่ภาคกลาง เช่น ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ แล้วจึงไปเกิดบริเวณภาคใต้ในช่วงปลายปี” เขาอธิบาย

“กรมชลประทานวางแผนเป็นตอน ๆ ตอนที่ 1-2 อยู่ที่ภาคเหนือ ตอน 3-4 อยู่ภาคอีสาน ตอน 5-6 ภาคกลาง และตอน 7-8 ปิดท้ายที่ภาคใต้ ครบ 8 ตอนภายในหนึ่งปีต่อฤดูฝน ลักษณะการโฟกัสก็จะเป็นลักษณะนี้ ”

เมื่อถามถึงพื้นที่ที่รับมือได้ยากทั้ง ๆ ที่มีข้อมูลครบถ้วนมีจุดไหนบ้างไหม เดชตอบทันทีว่า “แม่น้ำยม” เพราะเป็นแม่น้ำสายหลักเพียงสายเดียวของประเทศ ที่ไม่มีเขื่อนหรือแหล่งเก็บกักน้ำต้นทาง

“หากฝนตกที่ อ.ปง อ.เชียงม่วน จ.พะเยา น้ำจะผ่าน จ.แพร่ และถึง จ.สุโขทัย อย่างรวดเร็ว ภายใน 2 – 3 วัน โดยไม่มีเขื่อน ไม่มีแก้มลิง ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ แม้จะมีแนวคิดผันน้ำจากแม่น้ำยมไปแม่น้ำน่าน แต่โครงสร้างยังไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องพัฒนาเร่งด่วน ทั้งนี้พยายามแก้ไขปัญหาโดย การขยายทุ่งบางระกำให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับน้ำได้มากขึ้น”

อีกพื้นที่ที่น่าเป็นห่วง คือบริเวณลุ่มน้ำภาคกลางตอนล่าง ตั้งแต่ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา สุพรรณบุรี ปทุมธานี 

“บริเวณนี้เป็นลุ่มน้ำ ไม่จำเป็นต้องมีน้ำเหนือไหลลงมา แค่ฝนตกในพื้นที่เองก็น้ำท่วมขังแล้ว การระบายน้ำก็ทำได้ลำบาก เพราะพื้นที่ราบและลักษณะคล้ายแอ่งกระทะ ต้องใช้การสูบน้ำช่วยตลอดเกือบทุกปี”

ส่วนภาคใต้ก็เผชิญปัญหาน้ำหลากเช่นกัน โดยเฉพาะตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไปถึงนราธิวาส ที่ฝนตกเกือบตลอดทั้งปี “ภาคใต้ไม่ท่วมขังยาวแบบภาคกลาง แต่น้ำจะมาเร็วเป็นน้ำหลาก บางทีครึ่งวันก็ผ่านไปแล้ว การจัดการจึงไม่ใช่การสร้างเขื่อนหรือผันน้ำ แต่เป็นเรื่องของระบบแจ้งเตือน ถ้าคนรู้ล่วงหน้า จะเก็บของหนีได้ทัน แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่มีเวลารับมือเลย ฉะนั้นตรงนี้ ก็เป็นจุดเฉพาะของแต่ละพื้นที่ แต่ละภาค แต่ละจังหวัดต่างกันไป”

กรมชลประทาน กับ 9 มาตรการฝ่าฝน พร้อมรับมือวิกฤติน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน  และจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเพื่อให้รับมือกับสถานการณ์น้ำที่เปลี่ยนแปลงเร็วและรุนแรงมากขึ้นในแต่ละปี กรมชลประทานได้ร่วมมือกับ ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติผ่านเซลล์บรอดคาสต์ (Cell Broadcast) ซึ่งเริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง 9 หน่วยงานหลัก ที่ได้ลงนาม MOU และตกลงร่วมกันกำหนด SOP (Standard Operating Procedure) เพื่อให้แต่ละหน่วยแจ้งเตือนภัยได้ทันต่อเหตุการณ์

แม้ระบบแจ้งเตือนจะก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่เดชก็ไม่ปฏิเสธว่าระบบนี้ยังมีข้อจำกัด

“เราห่วงมากว่าไม่ใช่ทุกคนมีมือถือ หรือรับสัญญาณได้ บางคนไม่ได้เปิดดู หรืออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ เราจึงเริ่มมีการหารือกันว่า จะขยายการแจ้งเตือนไปยังกลุ่มอื่น เช่น ลูกหลานที่อยู่ในต่างจังหวัด อาจได้รับข้อความเพื่อจะได้โทรไปแจ้งพ่อแม่ที่บ้านเกิด หรือมีระบบสำรองอื่นรองรับด้วย”

เมื่อคุยกับ 'เดช เล็กวิชัย' จบลง สิ่งที่ได้กลับมาเป็นความมั่นใจว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของธรรมชาติ ความท้าทายของการทำงานเชื่อมโยงหลายหน่วยงาน หลายจังหวัด และต้องบริหารจัดการทั้งหมดให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กรมชลประทาน คือหนึ่งในแนวหน้าที่ ยังคงพยายามอย่างหนัก ในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมุ่งบรรเทาความเสียหายจากน้ำให้ลดลงได้มากที่สุด

แน่นอนว่า ความสำเร็จของการจัดการน้ำไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และ ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น  ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างระบบการจัดการน้ำที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกคน