17 ก.ค. 2568 | 18:13 น.
KEY
POINTS
หากคุณเติบโตมากับเพลง ‘ไม่แน่ใจ’ หรือ ‘กะโปโล’ คุณอาจคิดว่านี่คือเรื่องราวของศิลปินหญิงที่เคยดังแล้วจางหายไปตามกาลเวลา แต่บทสัมภาษณ์นี้จะบอกคุณว่า ‘นิโคล เทริโอ’ ไม่เคยหายไปไหนเลย เธอยัง ‘คงอยู่’ ด้วยความ ‘มุ่งมั่น’ และ ‘ตั้งใจ’ เหมือนที่ผ่านมา
นิโคลไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงสู่ความสำเร็จ แต่ทุกก้าวที่เธอเดิน จากเด็กขี้อายที่ชอบร้องคาราโอเกะ ไปจนถึงการยืนบนเวทีนับพัน ได้สะสม ‘พลัง’ ที่ทำให้เธอกลับมายืนได้ใหม่ในทุกครั้งที่ชีวิตผลักเธอลง ความดังที่พุ่งทะยานแบบข้ามคืนไม่เคยทำให้เธอลืมตัว และความเจ็บปวดก็ไม่เคยทำให้เธอลืมเสียงของหัวใจตัวเอง
นี่ไม่ใช่เพียงบทสัมภาษณ์ของนักร้องหญิงคนหนึ่ง หากแต่คือบทเรียนว่าความสำเร็จไม่ใช่เป้าหมายเดียวในชีวิต หากคุณกำลังล้ม เหนื่อย หรือไม่แน่ใจในตัวเอง ลองเปิดใจให้บทสนทนานี้
คำสามคำที่ ‘นิโคล เทริโอ’ เลือกใช้เพื่อบอกเล่าตัวตนของเธอ เมื่อถูกเราขอให้สรุปตัวเองด้วยคำสามคำ คำตอบที่ออกมากลับไม่ใช่คำคุณศัพท์แบบที่เราคาดหวัง แต่เป็นประโยคสั้น ๆ ที่ฟังดูเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความหนักแน่นอย่างประหลาด
“มันเป็นคำที่พิเศษสำหรับตัวเราเอง เพราะแปลว่า เรายังอยู่ในจุดที่เราอยากอยู่ เรายังได้ทำในสิ่งที่รักอยู่ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในวงการมานานแล้ว แต่เราก็ยังมองหาอะไรบางอย่างที่จะทำให้เรามีพื้นที่อยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ”
คำว่า “ฉัน ยัง อยู่” จึงกลายเป็นมากกว่าแค่คำตอบในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ มันเป็นการประกาศของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดอยู่ในวงการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความเข้าใจในตัวเองและความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าต่อไป
“ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ๆ ค่ะ” นิโคลเล่าด้วยรอยยิ้ม เสียงของเธอมีความอบอุ่นเมื่อพูดถึงความทรงจำในวัยเด็ก “ชอบมาดอนน่า, วิทนีย์ ฮิวสตัน อะไรแบบนั้นค่ะ” ศิลปินระดับโลกเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจแรกที่หล่อหลอมจิตวิญญาณดนตรีของเธอ การฟังเพลงของนักร้องหญิงที่มีเสียงทรงพลังทำให้นิโคลเริ่มฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้ยืนบนเวทีเช่นกัน
“แต่เป็นคนขี้อาย ก็จะแอบร้องคาราโอเกะ” ความขัดแย้งในตัวตนของเธอเริ่มปรากฏตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หัวใจที่รักเพลงแต่กลับเป็นคนขี้อาย การร้องเพลงจึงเป็นกิจกรรมส่วนตัวที่เธอทำอยู่ในห้องคนเดียว คาราโอเกะเป็นเพื่อนคู่ใจที่ทำให้เธอได้ระบายความรู้สึกผ่านเสียงเพลง
เส้นทางอาชีพของเธอเต็มไปด้วยความบังเอิญ เนื่องด้วยคุณพ่อทำงานสถานีวิทยุ จึงทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับไมค์และการอ่านข่าวตั้งแต่อายุยังน้อย การทำงานของพ่อกลายเป็นบันไดขั้นแรกที่พาเธอเข้าสู่โลกของการสื่อสาร
“พอโตขึ้น เค้าก็หาเสียงผู้หญิงมาอ่านข่าวภาษาอังกฤษ ซึ่งเราก็อ่านภาษาอังกฤษได้ ก็เลยได้ไปอ่านข่าวที่สถานีวิทยุค่ะ” ทักษะภาษาอังกฤษที่มีอยู่กลายเป็นโอกาสทอง การอ่านข่าวทำให้เธอคุ้นเคยกับไมค์และการใช้เสียงในการสื่อสาร ประสบการณ์นี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการร้องเพลง แต่กลับเป็นการฝึกฝนความมั่นใจในการใช้เสียง
นิโคลในตอนนั้นอาจไม่เคยคิดเลยว่าเส้นทางนี้จะพาเธอมาสู่จุดที่มีเพลงฮิตติดหูคนทั้งประเทศ ชีวิตวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงและการสื่อสารกำลังสั่งสมประสบการณ์ที่จะกลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการเป็นศิลปินในอนาคต
“ความฝันคืออยากเป็นนักร้อง แต่ก็คิดว่าคงไม่ได้เป็นหรอก เพราะไม่ได้ไปประกวดเวทีไหนเลย จนเรียนหนังสือจบ แต่เพราะชอบร้องเพลง ก็เลยร้องคาราโอเกะ แล้วเทปดันไปถึงทางแกรมมี่ เค้าก็เลยเรียกไป” ความฝันที่ดูเหมือนไกลเกินเอื้อมกำลังจะกลายเป็นจริง
เมื่อทางแกรมมี่เรียกตัว นิโคลไม่รอช้าที่จะพุ่งตรงเข้าหาโอกาส โดยหนีบเอาคุณแม่ไปด้วย
“ไปกับคุณแม่ค่ะ ตื่นเต้นมาก ปากแห้ง เหงื่อออกตลอดเวลา จำได้ว่าอยู่ที่ล็อบบี้ ก็เจอทุกคนที่เราเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้าอย่าง พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ก็เกือบเป็นลม เพราะเราชอบทุกเพลงที่พี่ดี้เขียน”
“วันนั้นร้องเพลง ‘ขอเพียงที่พักใจ’ ของ ‘มาลีวัลย์ เจมีน่า’ ค่ะ”
หลังผ่านการออดิชัน นิโคลต้องเผชิญบททดสอบครั้งสำคัญ นั่นคือการร้องเพลงประกอบละคร ‘เงามรณะ’ ของค่าย ‘Exact’
“เป็นเพลงทดสอบค่ะ ผ่านหรือไม่ผ่านก็อยู่ที่เพลงนี้เลย” ความสำคัญของเพลงนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเพลงเท่านั้น แต่เป็นการทดสอบว่านิโคลจะสามารถเข้าถึงหัวใจผู้ฟังได้หรือไม่ เพลงนี้เป็นเสมือนประตูบานแรกที่จะเปิดเส้นทางสู่ความเป็นนักร้องอย่างแท้จริง
เธอย้อนความทรงจำวันอัดเพลงด้วยน้ำเสียงจริงจังปนขำ “ร้องกันตั้งแต่บ่ายสองถึงตีสอง ร้องจนแบบ โอ๊ย ตายแน่ ไม่ได้เป็นนักร้องแน่เลย” การบันทึกเพลงที่ใช้เวลายาวนานแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความพิถีพิถันของทีมผลิต แต่สำหรับนิโคลแล้ว มันเป็นการทดสอบความอดทนและความมุ่งมั่นในการเป็นนักร้อง
ช่วงหนึ่งนิโคลเล่าถึงความกดดันในห้องอัด ที่โปรดิวเซอร์คุยกันหลังไมค์ว่าเธอร้องยังไม่ดี ทำให้เธอใจเสียมาก ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับนักร้องมือใหม่ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความคาดหวังของผู้ผลิต และเธอก็เกือบจะยอมแพ้แล้ว
ในที่สุด พอถึงท่อนที่ว่า “ฉันยินดีตัดใจจากเธอ” เธอจึงเปล่งเสียงออกมาทั้งน้ำตา และนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะอินเนอร์ที่ออกมานั้นดันเข้ากันได้ดีกับความหมายเพลง
สุดท้าย เพลงนี้ก็ขึ้นอันดับหนึ่งทั่วประเทศ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ใคร ๆ เริ่มพูดถึง ‘นิโคล เทริโอ’
“ตอนนั้นอยากได้ลุคแบบพี่ติ๊นา เพราะดูอินเตอร์มาก ก็คิดว่าฉันจะต้องสวยแน่ ใส่วิก มีบู๊ต กระโปรงสั้น” นิโคลเล่าถึงช่วงเวลาที่ฟุ้งฝันอยากจะเป็นเหมือนซูเปอร์สตาร์ที่เธอชื่นชอบ ในระหว่างการเตรียมตัวออกอัลบั้มแรก
แต่แล้วภาพที่เธอคิดไว้ก็ไม่ตรงกับโปรดิวเซอร์ “พี่ดี้บอกว่า นิกกี้ต้องไม่สวย นิกกี้ต้องน่ารัก เพราะพี่ติ๊นาไม่ใช่ตัวกี้ กี้ผมสั้น แล้วก็ดูโก๊ะ ๆ เบอะ ๆ ซึ่งก็คือตัวเราจริง ๆ” คำแนะนำของนิติพงษ์ ห่อนาค กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ การที่เขาเห็นถึงเอกลักษณ์ที่แท้จริงของนิโคลทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในวงการเพลงไทย
อัลบั้ม ‘กะ-โป-โล-คลับ’ จึงเกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างตัวตนของศิลปินกับวิสัยทัศน์ของโปรดิวเซอร์ คำว่า ‘กะ-โป-โล’ กลายเป็นชื่อที่ติดหูและจดจำได้ง่าย ภาพลักษณ์ของสาวผมสั้นที่ใส่ฮู้ด พร้อมด้วยความโก๊ะ ๆ ที่แฝงไว้ด้วยความน่ารักกลายเป็นจุดขายที่ไม่เหมือนใคร
ความพิเศษของ ‘กะ-โป-โล-คลับ’ ไม่ได้อยู่ที่ความแปลกใหม่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การที่นิโคลสามารถนำเสนอตัวตนที่แท้จริงของเธอผ่านภาพลักษณ์นี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ การที่เธอไม่ต้องเสแสร้งหรือบังคับตัวเองให้เป็นคนอื่นทำให้ความน่ารักและความโก๊ะของเธอส่องประกายออกมาได้อย่างแท้จริง
“จำได้เลยว่าวันที่ MV กะโปโล ออก วันนั้นเป็นวันสงกรานต์ กี้อยู่ที่พัทยา ตอนกลางวันยังเดินพัทยาแบบไม่มีใครรู้จักเลยค่ะ ไม่มีใครมาสาดน้ำ ไม่โดนแป้งเลย” ภาพของการเป็นคนธรรมดาที่เดินในงานเทศกาลโดยไม่มีใครจำได้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าทึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปเพียงข้ามคืน ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“แต่พออีกวันนึง เดินถนนเดิมเลยค่ะ กลายเป็นว่า ทุกคนรู้จักหมด!” การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วป็นสิ่งที่หลายคนในวงการเพลงฝันถึง แต่เมื่อเกิดขึ้นจริงแล้ว กลับเป็นความตกใจและความไม่พร้อมมากกว่า ความดังที่มาแบบกะทันหันทำให้เธอต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วกับบทบาทใหม่ในฐานะบุคคลที่มีชื่อเสียง
ท่ามกลางความโด่งดังที่พุ่งทะยาน นิโคลยอมรับว่าเธอต้องใช้เวลาปรับตัวกับภาพลักษณ์ใหม่และการถูกจับจ้อง “บางคนอาจจะชินกับการมีคนมารุมล้อม แต่เราจะเขิน ๆ หน่อย ไม่ได้ไม่ชอบนะคะ แต่จะรู้สึกว่าต้องปรับตัวหน่อยนึง เพราะเราเป็นคนขี้อาย” ความขัดแย้งระหว่างตัวตนส่วนตัวกับบทบาทสาธารณะเป็นสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้ที่จะจัดการ
การปรับตัวจากคนธรรมดาสู่คนมีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีนิสัยขี้อายตั้งแต่เล็ก การที่ทุกคนจับตาดูและคอยติดตามความเคลื่อนไหวทำให้เธอรู้สึกกดดัน แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่ได้เกลียดชังหรือปฏิเสธความดังที่เกิดขึ้น เพราะมันเป็นผลมาจากการที่ผู้คนรักและชื่นชอบผลงานของเธอ
“ก็ตกใจมากค่ะ เพราะกี้เป็นคนขี้อายอยู่แล้ว ถึงจะชอบแสดงนะ แต่พอลงจากเวทีปุ๊บก็จะกลับเข้าสู่โหมดขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกเลย” ความขัดแย้งในตัวตนของนิโคลเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก การเป็นคนที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งที่เต็มไปด้วยความมั่นใจบนเวที และอีกด้านหนึ่งที่ขี้อายและเก็บตัวเมื่ออยู่ในชีวิตจริง
“บนเวทีมันเหมือนมีสวิตช์อะไรบางอย่างที่ทำให้ทำได้ แต่พอลงมาก็จะเป็นอีกโหมดนึง”
อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ที่เห็นบนเวทีไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากความฝืนทน แต่เป็นการหยิบเอาส่วนหนึ่งของตัวเธอเองออกมา “มันก็คือสิ่งที่เป็นตัวกี้อยู่แล้ว เค้าแค่หยิบเอาสิ่งนั้นออกมา อย่างคำว่า ‘กะโปโล’ ที่พี่ดี้ตั้ง ก็มาจากความโก๊ะ ๆ ของเรา”
การปรับตัวระหว่างสองโหมดนี้เป็นทักษะที่เธอต้องเรียนรู้และพัฒนาไปเรื่อย ๆ ในแง่ดีคือทำให้เธอสามารถรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ได้ในขณะที่ยังสามารถทำงานในวงการบันเทิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ทุกอย่างเหมือนมัน sync กัน ถ้ามันดี มันก็ดีไปเลย แต่ถ้ามันไม่เวิร์ก มันก็จะพังหมดเลย” นิโคลเปิดเผยความจริงที่หลายคนอาจไม่เคยคิดถึงเกี่ยวกับการเป็นคนดัง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดพลาด ผลกระทบจะลุกลามไปถึงทุกด้านของชีวิต
“ทุกอย่างคูณร้อยคูณพัน จากเรื่องเล็ก ๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่น มีแฟนก็กลายเป็นข่าว หรือถ้าซิงเกิลออกมาแล้วไม่โอเค ไม่ขึ้นชาร์ต คนก็จะบอกว่า ‘มึงเป็นอะไรเนี่ย’ แบบนั้นเลย” ชีวิตของคนดังไม่มีเรื่องเล็กหรือเรื่องส่วนตัว ทุกการกระทำถูกขยายและตีความจนกลายเป็นข่าวใหญ่ได้ การมีความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือแม้แต่การออกผลงานที่ไม่เป็นที่ถูกใจคนฟังก็สามารถส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและอาชีพได้
การใช้ชีวิตในสังคมที่ทุกคนจับตาดูเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับชื่อเสียง นิโคลไม่ได้บ่นหรือต่อต้านสถานการณ์นี้ แต่เธอเรียนรู้ที่จะรับมือและปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริง
วิธีที่นิโคลใช้บาลานซ์ตัวเองให้ไม่ล่องลอยไปตามความดังและข่าวลือคือ “กี้จะไม่เชื่อใน ‘ความสำเร็จ’ มันก็เลยช่วยเวลา fail เราจะไม่ดิ่งลงไปเยอะ ถ้าเรา ‘ride the wave’ ขึ้นไปสุด พอวันนึงมันลงมา เราก็จะตกหนักมาก เราเลยพยายามอยู่ตรงกลางให้ได้มากที่สุด” การมีความคิดที่สมดุลและไม่ให้ความสำเร็จขึ้นไปหัวเป็นภูมิปัญญาที่เธอเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
“วิธีการป้องกันตัวเองคือ เราไม่อินกับ ‘ความโด่งดัง’ มากนัก เราไม่เชื่อว่านั่นคือความจริง เราทำงานก็เพื่องาน มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเรา” การแยกแยะระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เธอสามารถดำรงตัวในวงการได้อย่างยั่งยืน เธอเข้าใจดีว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ไม่ถาวรและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
‘มีค่ะ’ เธอรับอย่างตรงไปตรงมา เมื่อถูกถามว่ามีครั้งไหนที่รู้สึกเฟลหนัก ๆ บ้างหรือเปล่า
นิโคลเล่าเรื่องราวในช่วงที่ทำอัลบั้ม ‘พันธุ์ดุ’ ที่ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อโปรโมเตอร์ผู้ซึ่งเป็นเสมือนเสาหลักในชีวิตการทำงานของเธอ เสียชีวิตกะทันหัน “ตอนนั้นโปรโมเตอร์ของกี้เสียชีวิตในอุบัติเหตุ ข้ามคืนเลยค่ะ ตอนนั้นกำลังทำอัลบั้ม พันธุ์ดุ อยู่ แล้วก็กำลังเริ่มทำอัลบั้มสากลด้วย” การสูญเสียคนสำคัญในทีมงานไม่ใช่เพียงแค่ความเสียใจส่วนตัว แต่ยังส่งผลกระทบต่อการทำงานและอนาคตของโปรเจกต์ที่กำลังดำเนินอยู่
ความสูญเสียครั้งนั้นเหมือนทำให้งานทั้งหมดเสียสมดุล “การทำงานของอัลบั้ม พันธุ์ดุ ก็เสียศูนย์กันหมด เพราะเราขาดโปรโมเตอร์หลัก มันเลยกลายเป็นการทำงานแบบมึน ๆ งง ๆ”
“เราทุกคนดิ่งจริง ๆ ค่ะ แล้วกี้รู้สึกว่าเราคือ product ถ้างานมันดี มันจะช่วยทุกคนได้” ทว่าเมื่อผลงานออกมา ก็กลับไม่เปรี้ยงอย่างที่ทุกคนคาดหวัง
บทเรียนที่ลึกซึ้งที่สุดที่เธอได้รับจากเหตุการณ์นี้คือ “You cannot fake it. You have to be okay.” ประโยคนี้กลายเป็นหลักการสำคัญที่เธอใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงาน การแสร้งว่าตัวเองโอเค ขณะที่ภายในไม่โอเค เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในระยะยาว
“ถ้าข้างในเราไม่โอเค มันจะโชว์ออกมาหมดเลย ไม่มีอะไรในโลกที่จะกลบสิ่งนั้นได้ ต่อให้เราหลอกตัวเอง บอกว่าโอเคนะ แต่จริง ๆ ข้างในไม่โอเค งานมันจะฟ้องหมด” ความจริงใจกับตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะงานศิลปะไม่สามารถซ่อนเร้นความรู้สึกที่แท้จริงของผู้สร้างได้ โมเมนต์ดิ่งที่สุดของเธอจึงไม่ได้เป็นแค่ความผิดหวังในงาน แต่เป็นการเผชิญหน้ากับความจริงใจในตัวเองที่ไม่สามารถหลอกใครได้
เมื่อถูกถามว่าเคยคิดอยากเลิกร้องเพลงไปเลยไหม? นิโคลไม่ปิดบังความรู้สึกนั้น “ตอนนั้นเลยค่ะ วันนั้นเลย มันยากมาก... มันหนักทุกอย่าง ไม่อยากมองตัวเองในกระจกเลย แต่ก็ต้องออกทีวี ให้สัมภาษณ์ ร้องเพลงขึ้นเวที ทั้ง ๆ ที่ข้างในไม่โอเค”
เมื่อถามถึงแรงจูงใจที่ทำให้นิโคลยังคงเดินหน้าต่อในวงการนี้ แม้จะเจอเรื่องหนัก ๆ เธอตอบอย่างจริงใจ “อือ... โอกาส ที่มันยังมีให้กี้เสมอค่ะ” การที่ยังมีโอกาสในการทำงานและสร้างสรรค์ผลงานเป็นพลังใจสำคัญ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสในการประกอบอาชีพที่ตัวเองรัก
“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพราะอะไร เหมือนมีอะไรบางอย่างช่วยอยู่ พระเจ้า หรืออะไรก็ตาม” ความเชื่อในสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์หรือพลังแห่งจักรวาลเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้หลายคนสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ สำหรับนิโคลแล้ว การที่ยังมีโอกาสกลับมาทำงานในวงการแม้จะเคยล้มเหลวหรือผ่านช่วงเวลาที่แย่ที่สุดแล้ว เป็นสิ่งที่เธอมองว่าเป็นของขวัญจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เธอย้อนถึงช่วงเวลาที่เคยเลิกทำงานจริง ๆ เพื่อเลี้ยงลูกที่บ้านอย่างเดียว แล้วก็รู้สึกโอเคมาก ๆ การได้เป็นแม่เต็มเวลาและใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทำให้เธอได้พักผ่อนจากความเครียดในวงการ ช่วงเวลานี้เป็นการรีเซ็ตตัวเองและได้ทำความรู้จักกับตัวตนในมิติใหม่ที่ไม่ใช่ ‘นิโคล เทริโอ’ แต่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีครอบครัวและใช้ชีวิตเรียบง่าย
“แต่พอวันหนึ่งมันก็มีโอกาสเข้ามา สปอนเซอร์ แคมเปญ ที่ทำให้เรากลับมา” การกลับมาสู่วงการไม่ได้เป็นแผนที่วางไว้ล่วงหน้า แต่เป็นโอกาสที่เดินทางมาหาเธอเอง เมื่อมีข้อเสนองานที่น่าสนใจ เธอจึงตัดสินใจลองกลับมาดูอีกครั้ง
นอกจากเพลง นิโคลยังได้ลองงานแสดง ทั้งละครเวที มิวสิคัล เล่นหนังและซีรีส์ การขยายขอบเขตของงานไม่ได้เป็นเพียงการหารายได้เพิ่มเติม แต่เป็นการพัฒนาตัวเองและค้นหาความสามารถใหม่ ๆ ที่อาจจะซ่อนอยู่ในตัว
“แล้วตอนนี้พอพักจากการแสดง กี้ก็กลับมาที่เพลงอีก”
ปัจจุบัน นิโคล หรือพี่กี้ ยังคงทำงานในวงการเพลงกับ ‘Ninja Perfection’ อย่างต่อเนื่อง เธอยังคงมีความสดใสและความสนุกสนานในการทำงาน ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ แต่เป็นการทำงานด้วยความรักและความหลงใหล
เมื่อพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของวงการเพลงตั้งแต่ยุคที่เพลงยังเป็นเทป ซีดี จนถึงยุคสตรีมมิ่ง นิโคลเล่าถึงการปรับตัวของตัวเอง เธอยังต้องเรียนร้องเพลงและทำงานกับคนรุ่นใหม่
ที่น่าสนใจคือ ลูกชายของเธอ ‘น้องทิกเกอร์’ ได้กลายมาเป็นครูสอนร้องเพลงให้กับเธอด้วย
แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้ลูกชายเดินตามรอยตัวเองในวงการเพลง แต่นิโคลก็ภูมิใจที่ทิกเกอร์ได้ทำในสิ่งที่รัก เธอไม่เคยบังคับเขา และมองว่าสิ่งแวดล้อมในครอบครัวก็มีส่วนช่วย
“เพราะทิกเกอร์เกิดในบ้านที่ทั้งพ่อและแม่เป็นนักร้อง เขาเลยคุ้นเคยกับสิ่งนี้”
เธอบอกด้วยว่าทิกเกอร์เป็นเด็กขี้อายเหมือนเธอ แต่พอขึ้นเวที เขาก็แสดงได้เต็มที่
เมื่อถามถึงบทบาทของความเป็นแม่ นิโคลเล่าว่า สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอคือการได้เห็นลูกมีความสุข “ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร ไม่ต้องดัง ไม่ต้องเป็นนักร้อง ขอแค่เขามีความสุข แค่นั้นพอ”
นอกจากนี้ นิโคลยังได้ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานในวงการบันเทิงให้กับลูกชายสุดที่รักว่า ต้องไม่หลงกับความดังที่มาแล้วก็ไป
“กี้บอกเขาว่า อย่าไปยึดติดกับ fame ต้องโฟกัสที่งาน” คำสอนนี้มาจากประสบการณ์ของเธอเองที่ผ่านช่วงเวลาขึ้น-ลง ในวงการมาแล้ว
จากเด็กสาวขี้อายที่ชอบร้องเพลงคนเดียวในห้อง กลายเป็นนักร้องที่มีเพลงฮิตติดหูคนทั้งประเทศ จากนั้นก็ต้องเจอกับการดิ่งลงและการสูญเสียคนสำคัญ แต่แล้วก็ได้ลุกขึ้นมาใหม่ด้วยความเข้าใจตัวเองที่ลึกซึ้งขึ้น
‘นิโคล เทริโอ’ วันนี้ ไม่ได้เป็นแค่ความทรงจำในอดีต แต่เป็นศิลปินที่ยังคงมี ปัจจุบัน และ อนาคต เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าการ “การยังอยู่” ในวงการเพลงไม่ได้หมายถึงการยืนนิ่งในจุดเดิม แต่เป็นการเคลื่อนที่ ปรับตัว เรียนรู้ และเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง