‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ นักแสดงหญิงที่รักในเสียงตัวเอง และเชื่อว่า เราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบความสำเร็จของใคร

KEY

POINTS

  • ‘เดียร์น่า ฟลีโป’ บอกว่า การเข้ามาอยู่ในวงการเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อกันอย่างลงตัว
  • วันนี้เธอรักตัวเอง เชื่อว่าต่างมีนิยามความสำเร็จในแบบของตัวเอง 
  • นอกจากเป็นนักแสดง เธอยังเป็นเจ้าของร้านผ้าไทยที่อยากสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่มาหลงรักเสน่ห์ผ้าไทย

“ทุกอย่างมันคือประสบการณ์”

ตลอดเวลาที่ใช้เวลาในวงการบันเทิง เดียร์นา ฟลีโป นักแสดงสาวลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศสมองว่า ทุกอย่างคือประสบการณ์ 

เพราะเธอเลือกที่จะเดินไปอย่างช้า ๆ อย่างมั่นคง และเคารพเส้นทางที่ตัวเองเลือกเสมอ ถึงมันจะผิดพลาด ไม่เป็นตามที่หวัง นั่นคือบทเรียนที่ทำให้เธอเติบโต 

ขณะเดียวกัน สิ่งที่เธอยึดเป็นหลักคิดมาตลอด ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ก็คือ ‘การรักตัวเอง’ มองที่ตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับความสำเร็จของใคร เพราะบนเส้นทางชีวิตที่ดูแสนยาวไกล ทุกคนต่างใช้ความพยายามสร้างความสำเร็จของตัวเองขึ้นมากันทั้งนั้น

สำหรับเดียร์น่า เธอก็อดทนและใช้เลือดความเป็นนักสู้จนกลายเป็นนักแสดงผู้บาลานซ์งานและชีวิตตัวเองได้ดี  อีกทั้งเป็นหวังว่าจะเป็นคนที่มีความสุขในทุกก้าวที่ตัวเองเลือกในอนาคต

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

The People : เห็นว่าคุณเป็นเด็กกิจกรรม คุณทำกิจกรรมอะไรบ้าง

ทุกเทศกาลของโรงเรียน วันคริสต์มาส  ดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์ เดินขบวนถือป้าย ทุกอย่างที่เป็นการแสดง เราจะได้ทำตลอดเลย 

The People : การเป็นเด็กกิจกรรมส่งผลต่อตัวคุณในวันนี้อย่างไร 

มันทําให้เรากล้าแสดงออก กล้าคุย กล้าถาม กล้าที่จะสงสัย เข้ากับคนได้ง่ายขึ้น ทําให้เราปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์ เข้าสังคมได้ง่ายขึ้น  

The People : แล้วการแสดงเข้ามาในชีวิตคุณตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนแรกไม่ได้คิดเลยว่าจะได้เป็นนักแสดง แต่ก็รู้สึกว่ามันดูมีช่องทาง ตอนอายุ 15 เราไปประกวด young presenter ของเซ็นทรัลอุดรฯ ชนะ แล้วก็ชนะ รู้สึกว่าเราทําได้  

แล้วพออายุประมาณ 18 บังเอิญไปเจอพี่เอ ศุภชัย เขาก็เลยเหมือนเดินเข้ามาทาบทามเรา ขอเบอร์ เผื่อว่ามีงานก็เรียกไปแคส แคสอยู่ 2 รอบ ก็คือได้ละครเรื่องแรก มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่จังหวะมันได้พอดี 

เพราะตอนเรียนม.6 กำลังจะสอบเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ พอจะย้ายเข้ามาก็ได้ละครพอดีเหมือนเป็นจิ๊กซอว์ที่ถูกต่อมาพอดีเลยได้เข้าวงการ 

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

The People : พอเข้ามาในวงการจริง ๆ เป็นอย่างที่คิดไหม

เราคิดว่ามันห่างกับเรามาก เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัด  เวลาเรามองเข้ามา เราก็จะเห็นแต่ทีวี มีดาราคนนั้นคนนี้  ก็รู้สึกว่าตื่นเต้นมากที่จะได้มาเจอดารา ตอนเด็กมันคิดแค่นั้น มันก็เป็นภาพที่ดูสวยงาม 

แต่จริง ๆ มันไม่ง่ายอย่างที่เราคิด ต้องแข่งกับตัวเอง  พัฒนาตัวเองตลอดเวลาทั้ง ในเรื่องของการแสดง การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคมที่เปลี่ยนไปในทุก ๆ งาน ทุก ๆ เรื่อง ก็ทําให้เรามีเลือดนักสู้มากขึ้น 

เราต้องโตมากกว่าอายุที่เราเป็น ต้องตรงต่อเวลา ต้องมีความรับผิดชอบ แบ่งเวลาให้เป็น เพราะว่าเราเรียนด้วยทํางานด้วย แล้วเดียร์เป็นคนที่รักในการเรียน อยากเรียนจบพร้อมเพื่อน ๆ ก็ตั้งใจบาลานซ์ 2 อย่าง ทํางานไปด้วย เรียนไปด้วยให้มันได้ กดดันเหมือนกัน แต่พอผ่านมาได้ รู้สึกภูมิใจมากที่เราสามารถเรียนจบพร้อมเพื่อนได้ ด้วยเกรดที่ดีแล้วก็ทํางานควบคู่กันไปได้

การเข้ามาในวงการก็ถือเป็นโอกาสที่ดีควรคว้าไว้ เพราะมันก็ไม่ได้แปลว่าจะมีโอกาสแบบนี้เข้ามาหาเราบ่อย ๆ

The People : จากเด็กธรรมดาก้าวเข้ามาในวงการ คุณต้องปรับตัวมากน้อยแค่ไหน

จริง ๆ เดียร์ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ เพราะเราอยู่ง่ายกินง่าย ปรับตัวยังไง ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไป ตอนที่เข้ามากรุงเทพฯ​ 2 ปีแรก เดียน์อยู่บ้านพี่เอ ศุภชัย เพราะฉะนั้นก็จะโดนสอนมาให้รู้วิธีการอยู่ในสังคมในวงการให้ถูกต้อง แล้วก็ให้เหมาะสมประมาณนั้น ก็เลยรู้สึกว่าเราโชคดีตรงนี้ล่ะค่ะ ที่เราเริ่มต้นในจุดที่ผู้ใหญ่เอ็นดูมาก ๆ 

แล้วละครเรื่องแรกของเดียร์ พี่แอน ทองประสมเป็นผู้จัด เขาก็รักเดียร์เหมือนน้อง รักเหมือนลูก ทุกวันนี้ เรายังนัดกินข้าว เป็นพี่สาวน้องสาวที่ผูกพันแล้วก็ขอบคุณมาก ๆ 

เพราะจริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีแค่เดียร์ที่ไปแคสละครของพี่แอน มีหลายคนมาก ๆ แต่เราได้รับการถูกเลือก แล้วเป็นละครเรื่องแรกที่ทำให้คนรู้จักเราจริง ๆ เรื่อง ‘สามีตีตรา’ ถือว่าโชคดีมาก แล้วก็ขอบคุณในความโชคดีนั้น เลยพยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่และพัฒนาตัวเองในทุก ๆ เรื่อง

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น The People : ทำไมการเข้ามาในวงการ คุณถึงมีเลือดนักสู้มากขึ้น

ตอนเด็ก เราไม่ได้คิดอะไร เราคิดแค่ว่า ตั้งใจเรียน ไปเรียนพิเศษ เรียนให้เก่ง เพื่อที่จะสอบให้ได้ แต่พอเรามาเป็นนักแสดง มันต้องไฟท์ ต้องสู้ และต้องเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เรียนรู้สังคม 

แล้วเดียร์จากที่บ้านมาอยู่คนเดียว ไปมหา’ลัยเอง ตอนนั้นยังไม่มีรถ ก็ขึ้นรถเมล์ไปเรียน เพราะอยากประหยัด ไม่อยากขึ้นแท็กซี่ ก็เรียกได้ว่ามันเป็นการเรียนรู้ชีวิต แต่เดียร์ชอบมันทําให้เรารู้สึกว่าเราสามารถทําอะไรก็ได้ด้วยตัวเราเอง เราแกร่ง เราไม่กลัว เรากล้าที่จะเรียนรู้ ไปไหนคนเดียวได้ กินข้าวคนเดียวได้ 

มันเป็นการฝึกของที่บ้านด้วย ที่เขาเลี้ยงให้เราช่วยเหลือตัวเองได้ เราจะไม่ต้องพึ่งพาใครเลย มันยิ่งทําให้เรารู้สึกว่าทําได้ทุกอย่าง ก็เป็นทักษะที่ดี แล้วการที่แม่กล้าปล่อยให้เดียร์ได้ลองทํา มันทําให้เราเรียนรู้ชีวิตเข้มแข็ง ไม่กลัว อยู่กับความเป็นจริง แค่ทํา ทําไม่ได้ ก็เริ่มใหม่

ก็ได้ใช้ชีวิตพอสมควร ถือว่าได้เรียนรู้โลกที่มันกว้างขึ้น แล้วก็กล้าที่จะทําอะไรคนเดียวได้หลายอย่างมาก ๆ

The People : แต่หลายคนกลัวที่จะทำอะไรคนเดียว

เดียร์ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย เดียร์รู้สึกชิวมาก รู้สึกว่ามันเป็นการให้เวลาที่กับตัวเอง เราต้องอยู่ให้ได้ เพราะเดียร์มองว่าคงไม่มีใครที่จะมาอยู่กับเราได้ตลอดชีวิตหรอก แล้วชีวิตเราจะไปขึ้นกับคนอื่นเหรอ ถ้าเราอยากกินอะไรเราควรจะได้กินสิ แค่นั้นเอง 

เดียร์สามารถไปเที่ยวคนเดียวได้ ไปยุโรปคนเดียวก็ไปมาแล้ว ไปอยู่โฮมสเตย์คนเดียว เดียร์เป็นคนไม่กลัวอะไรจริง ๆ ทุกคนก็ถามว่า กล้าไปได้ยังไง เดียร์มองว่าถ้าเรารอบคอบ วางแผนมาดี เหมือนรู้ในที่ที่เราจะไป มันก็เป็นการเรียนรู้ชีวิต 

แล้วเดียร์รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เลย เราเชื่อเสียงตัวเอง แล้วเรามองว่า ถ้าเราไม่ทํา แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ไป ถ้าเรามัวแต่รอคนนั้นคนนี้ เพราะบางที เพื่อนเราทำงานออฟฟิศ มันไม่มีคนที่จะมาว่างตรงกับเรา  ก็ไปคนเดียวก็ดี ทําทุกอย่างคนเดียวได้

บางทีเลิกเรียนจากมหา’ลัยก็แวะกินข้าวคนเดียว แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีเพื่อน มีเพื่อน แต่บางทีเพื่อนไม่ว่าง เดินห้างคนเดียวก็ชอบมาก เพราะว่าอยากจะซื้อของนานแค่ไหนก็ไม่มีคนบ่น มันเป็นแบบนั้น 

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

The People : นักแสดงเป็นอาชีพที่มาพร้อมความคาดหวัง เราจำเป็นต้องทำตามสิ่งที่คนอื่นคิดไหม

จริง ๆ อาชีพนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของคนอื่นค่อนข้างเยอะเหมือนกัน แต่เดียร์ก็ค่อนข้างชัดเจนในจุดยืนของตัวเองว่า เราเคารพในการเลือกของตัวเอง เราจะไม่ฝืนตัวเองในแบบที่ทุกคนอยากให้เราเป็น เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา เราก็จะเป็นในแบบที่เราเป็นและพยายามพัฒนาให้มันดีขึ้นในแบบที่เราจะไปถึง เพราะว่าสุดท้ายแล้วเราจะไม่มีความสุขและมันจะไม่ยั่งยืน เดียร์เลือกที่จะค่อย ๆ ไป แต่มั่นคงดีกว่า

The People : แสดงว่าเชื่อแล้วก็เคารพในการตัดสินใจว่าสิ่งที่เราทํามันดีที่สุดแล้ว

เดียร์มองว่าตัวเดียร์เองก็ใช้ชีวิตอยู่ในความพอดี เรายังโชคดีมาก ๆ ที่ตอนนี้ก็เป็นฟรีแลนซ์ แต่ก็ยังมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ ยังมีคนนึกถึง แล้วเราก็รู้สึก appreciate กับสิ่งที่เราได้รับมาก ๆ บางทีคนอาจจะไม่ต้องนึกถึงเราแล้วก็ได้ เพราะว่าเราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร หรือเป็นตัวเลือกเบอร์ต้น ๆ แต่เรามีงานตลอดเราอยู่ได้ อยู่แบบสบายด้วยซ้ํา มันก็เพียงพอเพียงแล้วสําหรับตอนนี้

เดียร์รู้สึกว่า เราบาลานซ์ชีวิตได้ดีมาก ๆ  ทั้งสุขภาพใจ ชีวิตส่วนตัวหรือการทํางานมัน healthy มาก เวลามันทํางาน ไปกอง มันแฮปปี้ เพราะทุกอย่างมันไม่ได้หักโหมจนเกินไป 

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

The People : คุณมีวิธีการบาลานซ์ระหว่างงานกับชีวิตอย่างไร 

เรื่องละคร เดียร์จะเลือกอันที่เหมาะสมกับเรา แล้วเราสามารถแตะบทนั้นถึง จะดูเลยว่า เราเล่นบทนี้แล้วเราจะทําให้คนเชื่อเราได้ไหม ถ้าคิดว่าทําได้ มันท้าทาย ก็รับเลย แต่ก็จะรับประมาณปี 1-2 เรื่อง แต่ถ้ารู้สึกว่า อันนี้อาจจะยังไม่ใช่เรามาก แล้วเคยเล่นประมาณนี้ไปแล้วที่มันค่อนข้างซ้ําซ้อน อาจจะขอไม่รับ  ก็จะสามารถมีสิทธิ์ในการเลือกได้มากขึ้น เมื่อก่อนจะเลือกอะไรไม่ได้เลย ต้องรับตลอด แต่พอโตขึ้นก็สามารถมีสิทธิ์ในการเลือกอะไรได้มากขึ้น ก็รู้สึกดีนะ มันเป็นอะไรที่สบายใจ

The People : เหมือนเราเลือกที่จะปฏิเสธมากขึ้น

ใช่ เมื่อก่อนพอปฏิเสธ เราจะกังวลว่า เราจะดูเป็นคนที่ไม่น่ารักรึเปล่า แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เหมือนโลกมันเปิดกว้างขึ้น เขาก็เข้าใจแล้วว่า อ๋อ เพราะอะไรน้องถึงไม่รับ น้องอาจจะไม่ว่าง คิวไม่ได้จริง ๆ หรือหนักไม่มีเวลาทําการบ้าน

The People : เหตุผลที่ทำให้คุณอยู่ในบนเส้นทางนี้มาได้นานถึง 11 ปีคืออะไร

การปรับตัว การอยู่ง่าย กินง่าย และการเป็นตัวเอง ถ้าเราปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ ทุกคนก็อยากร่วมงานด้วย เพราะมองภายนอก วงการบันเทิงเหมือนสวยหรู แต่จริง ๆ แล้วกว่าจะได้ผลงานแต่ละงานออกมา มันผ่านหยาดเหงื่อ ความเหนื่อย ความลําบาก ถ้าเราไม่มีความอดทน เราไม่มีทางอยู่ได้นานเลย เราจะรับไม่ได้เลย

แต่เป็นเพราะว่าเราเข้าใจ อดทน แล้วบางทีก็ต้องมีความสู้ด้วย เพราะเราทําผลงานเรื่องนี้ไป ไม่ได้แปลว่าจะ success บางเรื่องอาจจะเฟลก็ได้ แต่เราต้องมองว่าทุกอย่างที่พลาดไป มันเป็นการสั่งสมประสบการณ์ สอนให้เราเก่งขึ้นและดีขึ้น

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

The People : เท่าที่ฟังมา เดียร์น่าจะเป็นคนที่คุยกับตัวเองอยู่ตลอดไหม เพื่อเช็คว่าตัวเราต้องการอะไร 

ก็มีคุยนะคะ พยายามจะแนะนําทุกคนที่เป็นนักแสดงใกล้ ๆ ตัว เดียร์ไม่อยากให้ทุกคนเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วด้อยค่าตัวเอง เราควรจะมองในสิ่งที่เราได้รับโอกาสเหล่านั้นมาว่าเราโชคดีมากแค่ไหน 

มันคือการให้เห็นคุณค่าตัวเอง ไม่อยากให้มองว่าตอนนี้เราไม่ได้เท่าคนนั้นคนนี้ เรามองแค่ว่า  ที่เรามาถึงตรงนี้ได้  เราก็เก่งมากแล้วนะ  เราทําทุกอย่างได้ดีในทุก ๆ ก้าวแล้วเราควรจะ appreciate ในสิ่งที่เราทําและภูมิใจในตัวเองดีกว่าที่จะเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

แล้วมันเป็นพลังลบให้ตัวเองด้วย เป็นคนที่อยากให้พลังบวกกับคนอื่นมากกว่า อยากให้คนอยู่รอบข้างเราแล้วมีความสุขสนุกสนาน ไม่อยากให้ toxic  ทํางานก็เครียดแล้วชีวิตจะต้องมานั่งปวดหัวอีก พยายามตัดออก อะไรที่มันเป็นพลังลบ ก็ไม่ดู ไม่เสพ

The People : แต่ก็ยากเหมือนกันนะ

มันยาก แต่ต้องพยายามดึงสติตัวเองว่า  เราอ่านเยอะแล้ว ไม่เอาดีกว่า ช่างมัน หรือเจอคอมเมนต์แย่ ๆ คอมเมนต์ลบ ให้คิดไว้ก่อน อันดับแรกเลยว่าเขาไม่รู้จักอะไรเราเลย คนที่รักเรามีตั้งเยอะ ทําไมเราไม่มองย้อนกลับไปถึงคนที่รักเรา เราไปรู้สึกแย่กับคอมเมนต์ที่ว่าเราประมาณ 3-4 คอมเมนต์ อันนั้นเขาชนะแล้วนะ เขาอยากให้เห็น อยากให้เศร้า นั่นคือสิ่งที่เค้าต้องการ  เพราะฉะนั้นเราต้องไม่รู้สึกอะไร อ่านแล้วยิ้มไปเถอะ

The People : สิ่งที่วงการบันเทิงมอบให้ชีวิตของคุณคืออะไร

ให้โอกาสเรามีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะจริง ๆ ในวงการบันเทิง เดียร์ยังคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าเดียร์ไม่ได้เข้าวงการบันเทิง ตอนนี้เดียร์จะทำอะไรอยู่ โอกาสมันเป็นสิ่งที่สําคัญมาก พอเราได้รับโอกาสที่ดีมาก ๆ แล้วเราสามารถต่อยอดได้ เรามีหน้าที่การงานที่ดี มีคนรอบข้างที่น่ารักมาก ๆ มีผู้ใหญ่ที่เอ็นดู มีทรัพย์ที่เลี้ยงดูตัวเองได้ รู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่มีค่าแล้วก็ยิ่งใหญ่มาก ๆ 

ยังมีอีกหลายคนที่เขาอยากมาอยู่ตรงจุดนี้ แต่ในเมื่อเรามาอยู่ตรงนี้แล้ ก็ควรจะทําให้เต็มที่ ให้ดีที่สุด ให้คนรอบข้างที่อยู่ด้วยรู้สึกสบายใจและอยากร่วมงานกับเราที่สุด

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

The People : แล้วในศาสตร์ของการแสดง จุดไหนที่ยังทำให้คุณเลือกที่จะทำงานนี้มาจนถึงวันนี้ 

มันก็เป็นความท้าทายในทุก ๆ โปรเจกต์ที่เริ่มต้นใหม่ มันมีทั้งความเครียด ความกดดันแน่ ๆ  เพราะว่าทุกคนคาดหวังแน่นอนตามบทบาทหน้าที่ของเรา แต่รู้สึกว่าเวลาที่เราทําฉากที่ยาก ๆ ได้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะผ่านไยังไง แต่พอผ่านไปได้ มันสะใจที่ทำได้ มันแตะถึงจุดที่เราอยากจะแสดงออกมาให้ได้แล้ว มันเป็นความท้าทายในอาชีพของเรา 

มันรู้สึกสนุกด้วย เวลาเห็นคนดูมีความสุขแล้วเขาชื่นชมเรา เรารู้สึกมีความสุขไปด้วย เรารู้สึกแฮปปี้แล้วเป็นพลังที่ดีให้เราอยากทําผลงานนี้ต่อไปเรื่อย ๆ 

ตราบใดที่ยังมีคนดูอยู่ เดียร์ตั้งใจทําทุกอย่าง ทุกโปรเจกต์ที่ได้มาอย่างเต็มที่ที่สุด เพราะรู้สึกว่ากว่าจะได้โอกาสมามันก็ไม่ง่ายแล้ว เราก็อยากให้ผู้กํากับหรือทุกคนที่ดูเห็นความตั้งใจ แล้วก็มีความสุขในการรับชมด้วย

The People : มาถึงละครเรื่องล่าสุด ‘ผาแดงนางไอ่’ ละครเรื่องนี้มีเรื่องราวอย่างไร  

ผาแดงนางไอ่ จริง ๆ เป็นตํานานที่สืบทอดมายาวนานมาก เป็นเรื่องความรักระหว่างคนกับพญานา ที่เป็นกลายเป็นโศกนาฏกรรม ทําให้เมืองล่ม เป็นละครที่โรแมนติก แล้วก็มีความดราม่าเข้มข้นมาก ๆ 

The People : ความท้าทายของการรับบท  ‘เจ้าหญิงไอ่คำ’ ในละครเรื่องนี้คืออะไร 

จริง ๆ เรื่องนี้มันมีหลากพบหลายชาติมาก แน่นอนตัวละครแต่ละตัวก็ไม่เหมือนกัน เจ้าหญิงไอ่คําก็จะมีคาแรคเตอร์แบบเจ้าหญิง อ่อนไหวง่าย พอมาเป็นตัวละครปัจจุบันก็จะมีความเข้มแข็งมากขึ้น คือเราต้องแยกคาแรคเตอร์แต่ละตัวให้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลย 

แล้วก็เรื่องภาษาอีสานด้วยที่ต้องพูดในพาร์ทพีเรียด ก็ไม่ง่ายเลย ตัวเดียร์เป็นคนอุดรฯ ก็จริง แต่ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอีสานก็จะต้องทำการบ้านหนักขึ้นไปอีก นอกจากเรื่องอารมณ์ที่ต้องเอาให้อยู่แล้ว ภาษาห้ามเพี้ยนด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย แถมกิจกรรมแต่ละฉากในเรื่อง  ฉากแอ็กชัน ต้องโหนสลิง มีถ่ายใต้น้ํา มีการฝึกรํา ฝึกเล่นเครื่องดนตรีด้วย

The People : สิ่งที่อยากให้คนดูติดตามชมละครเรื่อง ‘ผาแดงนางไอ่’ คืออะไร

ผาแดงนางไอ่เป็นตํานานที่เดียร์รู้สึกว่าสนุก แล้วเราเอากลับมาเล่าได้อย่างละเอียด ลึกซึ้งมาก ๆ อะไรที่คนดูเคยได้รู้ แต่เราอาจจะใส่บางอย่างเข้าไปอีกที่คุณคาดไม่ถึง แล้วก็เป็นเรื่องราวความรักของคนกับพญานาค เป็นรักสามเศร้าที่ทุกคนต้องเอาใจช่วยแน่

แล้วก็ให้ข้อคิดในเรื่องของการปล่อยวาง อยู่กับความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบัน เราตั้งใจทุ่มเทเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฉาก การถ่ายทําค อสตูม เสื้อผ้าชุดผ้าไทยทุกอย่าง เราตั้งใจทุ่มเทเกินความคาดหวังแน่นอน โปรดักชั้นก็ดีมาก คุณจะได้เห็นอีกระดับหนึ่งของละครไทย 

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

The People : นอกจากเล่นละครแล้ว คุณก็ทำธุรกิจด้วย เหตุผลของการเปิดร้านผ้าไทยคืออะไร

ผ้าไทยที่บ้านทำอยู่แล้ว เราก็อยากสานต่อ เพราะเรามองว่ามี potential พอที่จะทำให้คนรุ่นใหม่หันมาเห็นเสน่ห์ของผ้าไทยได้มากขึ้น แล้วก็รู้สึกว่ามันน่ารักและอยากส่งเสริมความเป็นไทย อยากสร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย และมองว่าธุรกิจผ้าไทยเป็นอะไรที่ยั่งยืนได้ 

The People : จุดเด่นของร้านผ้าไทย ‘ชานเรือนนาข่า’ คืออะไร

ร้านเป็นของที่บ้านอยู่ที่ตลาดพระนา อุดรธานี เป็นร้านแรกและร้านเดียว มีผ้าไหม ผ้าฝ้ายย้อมครามที่หมักโคลนธรรมชาติ เอกลักษณ์ คือ ชาวบ้านทำมือทั้งหมด มันจะมีตำหนิด้วยธรรมชาติ ขี้ไหมบนผ้าไหม เป็นเสน่ห์ที่พอฝรั่งมา เขาจะรู้เลยว่า อันนี้เป็นงานคราฟต์ที่มีคุณค่ามาก ๆ

แต่ละผืนมันสวย มีเสน่ห์ สีจะไม่มีทางซ้ํากันเลย เวลาที่ลูกค้ามาอยากได้สีนี้ เราบอกยากมาก เพราะมันคือการย้อมสี แต่ละครั้งมันอาจจะเพี้ยนไปนิดนึง ต้องขอคนที่รับได้

แล้วก็พอมาใส่ผ้าไทย เดียร์ก็รู้สึกว่า ใส่แล้วมันดูแดูวัยรุ่นอยู่นะ ไม่ได้ดูแก่ เราพยายามจะลบภาพทุกคนที่คิดว่าไม่เอา ไม่อยากใส่ผ้าถุง ฉันยังไม่แก่ แต่มันไม่ใช่เลย เราใส่แล้วมันสามารถเสริมบุคลิกเราได้ด้วยซ้ํา เวลาเราไปวัดหรือไปสถานที่ที่มีความเป็นไทยหรือมีความศักดิ์สิทธิ์ผู้ใหญ่ที่เห็นเราใส่ผ้าไทยทุกคน คือสวยมาก จะเดินเข้ามาทักเข้ามาชื่นชม คงจะหายากที่จะมีเด็กรุ่นใหม่บส่งเสริม หรือว่าอนุรักษ์ความเป็นไทยอยู่

The People : อยากบอกอะไรกับคนที่ยังไม่กล้าใส่ผ้าไทย

จริง ๆ  ลองจากอะไรที่ง่ายๆ เล็กๆก่อนก็ได้ ไม่จําเป็นต้องเริ่มจากผ้าถุง อาจจะเริ่มจากชุดที่มันมีความประยุกต์ทันสมัยให้มันเข้ากับตัวเอง ดูเป็นตัวเรามากที่สุด ไม่ต้องฝืนตัวเอง แล้วค่อย ๆ ซึมซับไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้ว่าจริง ๆ เราก็มีผ้าไทยที่มันตอบโจทย์แล้วก็แมทช์กับความเป็นเราได้ 

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น

The People : เห็นว่าตอนนั้นลิซ่าเองก็ใส่ด้วย อยากให้เล่าถึงโมเมนต์นั้นหน่อย

ตอนนั้นมันเร็วมาก แค่คุยกันว่าจะไปอยุธยา เดียร์ก็ถามเขาว่าจะใส่ชุดอะไรดี เขาก็เลยถามกลับว่า มีแนะนำไหม เดียร์ก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวตัดไว้ให้เผื่อ ๆ ถ้าใส่แล้วไม่มั่นใจก็ไม่เป็นไร ใส่อะไรก็ได้ที่รู้สึกเป็นตัวเอง

ปรากฏว่าพอใส่แล้วเขามั่นใจ เขาก็เลยใส่ผ้าไทยที่เราตัดมาจริง ๆ แล้วก็ใส่ทั้งแก๊งเลย เราไม่ได้คาดหวังอะไรว่าเค้าจะใส่ไหม เราตัดให้ด้วยความด้วยความรัก 

The People : ลิซ่าได้บอกไหมว่า เขาใส่แล้วรู้สึกอย่างไร

เขาก็บอกว่า ใส่สวยมาก ใส่สบายมากเลย  มันสบาย มันนิ่มมาก แต่เขาไม่เคยใส่ แล้วพอเขาได้ใส่แล้วเวลาคนชมก็เลยคิดว่า น้องเองก็น่าจะภูมิใจนะที่ทุกคนเห็นแล้วก็ชื่นชม

The People : นอกจากเปิดร้านผ้าไทยแล้ว คุณก็เปิดร้านขนมด้วย

คนที่ชอบขนมอยู่แล้ว แล้วก็ชอบเอามากองถ่าย เวลาที่เรามีขนมที่เป็นของเราเอง เวลาจะเอาไปฝากใครก็รู้สึกสะดวกสบายด้วย แล้วก็จริง ๆ ทำขนมมาตั้งแต่ตอนช่วงก่อนโควิดเลย แล้วก็ขายดีมาก ทําแค่ออนไลน์อย่างเดียว แต่ตอนนี้ก็มาเปิดร้านร้านชานมไข่มุกควบคู่ไปกับร้านขนม แล้วก็ทำร้านหมูกระทะด้วย

The People : ช่วงแรกที่ทำร้านขนม คุณทำเองด้วยไหม

แรก ๆ เข้าไปทําเองเลยกับพาร์ตเนอร์อีกคนหนึ่ง ไปเรียนกับเขาจนรู้สึกว่าพี่ทําอร่อยมากเลย เรามาทําด้วยกันเถอะ แต่ช่วงหลัง ๆ เรายุ่งมาก เขาก็เลยทำหลังบ้านเป็นหลัก ส่วนเราก็พีอาร์ หลัง ๆ แทบไม่ได้เข้าครัวเลย  เข้าไปช่วยเค้าทําจนช่วงหลัง ๆ เขาจะทำหลังบ้านเป็นหลัก ส่วนเราก็จะเป็นฝ่ายพีอาร์ด้านหน้าแทน

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น
The People : สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการทําขนมคืออะไร

เหนื่อยมาก แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ทําให้เราเรียนรู้ว่า เราเหมาะกับ position อะไร บางทีเราอาจจะไม่เหมาะกับหลังบ้านก็ได้ เราควรจะเอาศักยภาพเรามี การเป็นคนหน้าบ้านหรือเป็นการโปรโมท PR ทําออกมาให้มันได้ดีที่สุด ซึ่งก็สําเร็จนะคะ 

ทําให้รู้ว่าเราจะไม่หยุดสู้ ต่อให้มีอะไรเข้ามา ฉันก็จะหาทางอื่นเอาตัวรอดให้ได้ เขาเรียกเป็นความจนมันน่ากลัว อะไรก็ได้ที่ได้เงิน เดียร์ทําหมด ไม่ว่าจะเป็น การขายเสื้อผ้า โละเสื้อผ้าปีละครั้ง ไลฟ์สดทําเอง ทําระบบหลังบ้าน คือไม่เกี่ยงงานไม่ยากจนจริง ๆ (หัวเราะ)

The People : แล้วสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจล่ะ

การที่เราได้ลงมือทําเอง ส่วนใหญ่มันจะ success แต่เราต้องยอมรับความเสี่ยง ถ้าเราไม่ success ไม่เป็น ไร มันคือประสบการณ์ของเรา แต่ต้องยอมรับให้ได้ว่า เงินก้อนนี้ที่เราจะเอาไปลงทุน ถ้าเราเสียไป รับได้ ไหม เดียร์จะถามตัวเองตลอด ถ้ารับได้ก็ปล่อย  เดียร์จะไม่ถามหาผลกําไรอะไรทั้งสิ้น ถ้ามันไปต่อไม่ได้จริง ๆ ก็แค่ยอมรับและเข้าใจว่า เออ ไม่เป็นไรมันก็แค่สิ่งหนึ่งที่เราตัดสินใจพลาดไป

The People : คุณคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา  ชีวิตมอบบทเรียนอะไรให้กับคุณ

เรียนรู้ว่าจริง ๆ แล้วชีวิตมันมีขึ้นมีลงมันเป็นเรื่องปกติ เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราเติบโตไปอีกเท่าไหร่ แต่เดียร์เข้าใจตัวเองประมาณหนึ่ง เดียร์ไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยานเยอะ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องขึ้นสุด หรือต้องดังค้ำฟ้า ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น 

ถ้าเป็นจังหวะชีวิตของเรา  ถ้ามันได้ก็โอเค เราก็ยินดียอมรับ แล้วก็คงรู้สึก appreciate กับสิ่งที่ได้ แต่ถ้าเราไปไม่ถึง ไม่เป็นไร เราก็ไม่เคยกดดันตัวเอง เรามองว่าทุกวันนี้เราก็โชคดีมากแล้ว นะที่เรายังมีคนรู้จัก  ยังมีคนทักทายเรา ยังมีงานเข้ามาตลอด

เหมือนเราต้องคิดไว้เลยว่า วันนี้เรายังอยู่ในวงการได้ แต่มันต้องมีวันที่เราค่อย ๆ ลง หรือว่าอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าเดิม แล้วก็ต้องรู้วิธีการยอมรับ อยู่กับปัจจุบัน เตรียมรับมือและมองหาสิ่งอื่นที่เราสามารถทําได้เพื่อเข้ามาแทนงานหลักตรงนี้

The People : ค่อย ๆ เตรียมใจว่า วันนั้นมันจะมาถึง 

บทบาทอาจจะเปลี่ยน ถ้าวันหนึ่งเรามีครอบครัว แน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนอยู่แล้ว เราก็หาวิธีลงให้ให้มีความสุขดีกว่าแล้วก็ให้มันตอบโจทย์ในการใช้ชีวิตของเรา ใช้ชีวิตมีความสุข แล้วก็บาลานซ์ให้ดี

‘เดียร์น่า ฟลีโป’ เราเก่งมากและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น The People : วันนี้ความสุขของเดียร์น่าคืออะไร 

มีความสุขกับสิ่งง่าย ๆ  รอบตัว แค่วันหยุด ได้พักอยู่บ้านก็รู้สึกมีความสุข มันอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น ตอนนี้มีความสุขกับแค่ได้กินอาหารอร่อยก็มีความสุขแล้ว มันเป็นความสุขที่เดียร์ไม่ได้โหยหาอะไรแล้ว แค่รู้สึกว่าทุกวันนี้ เรามาถึงจุดที่มีความสุขแล้ว  เมื่อก่อนอาจจะไม่มีความสุข มีความเครียดหลาย ๆ อย่าง แต่พอโตขึ้น เริ่มจับทางชีวิตได้มากขึ้น และเริ่มเห็นแนวทางของตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่าเราเจอความสุขแล้ว

แค่กับทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ก็ดีมากแล้ว อยู่กับปัจจุบันแหละแล้วก็มีความสุขกับคนรอบตัว สิ่งรอบตัวเล็ก ๆ ที่ทุกคนทําให้ และ appreciate กับทุกคนที่ให้สิ่งดี ๆ กลับมาให้เรา

The People :  อยากให้อวยพรถึงตัวเองในอีก 5 ปี ข้างหน้า

ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คิดว่าตัวเองน่าจะบาลานซ์ ความสุขได้ดี มีความสุขกับสิ่งที่เลือกทํา เพราะว่าถ้า 5 ปีในอนาคต มองย้อนกลับมก็คงจะไม่รู้สึกเสียใจกับอะไรเลย เพราะว่าเราทําเต็มที่ในทุก ๆ ก้าวเลย และมีความสุขในทุกๆก้าว จริงๆ 

ขอให้มีความสุขในสิ่งที่เลือกทําแล้วก็ทําให้ดีที่สุดในเวอร์ชั่นของตัวเองที่ทําได้