‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

‘พลัง โลกศิลป์’ ผู้รับบท ‘รุ่ยเจี๋ย’ ในสงครามสงด่วน นักสู้และนักแสดงที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง และขับเคลื่อนชีวิตด้วยปรัชญาจีน

KEY

POINTS

  • ‘พลัง โลกศิลป์’ ย้ายไปอยู่ที่เมืองจีนตั้งแต่มัธยมต้น เพราะถนัดการเรียนภาษามากกว่าวิชาอื่น ๆ
  • เขาไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง รักในงานที่ทำ และขับเคลื่อนชีวิตด้วยปรัชญาจีน
  • สงครามส่งด่วน คือ ซีรีส์ที่ทำให้เขากลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง หลังจากต้องรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บอยู่ 9 เดือน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในตัวละครที่ทุกคนตามหาและอยากรู้จักมากที่สุด หลังดู ‘สงครามส่งด่วน’ ออริจินัลจาก Netflix จบ ก็คือ ‘รุ่ยเจี๋ย’ ผู้อยู่เบื้องหลังของระบบเทคโนโลยีทั้งหมดของ ‘Thunder Express’

ด้วยความปากร้าย ด่าหมดแบบไม่สนลูกใคร และจังหวะคอมเมดี้สุดลงตัว ทำให้ตัวละคร ‘รุ่ยเจี๋ย’ เข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้ชมได้อย่างง่ายดาย

โดยคนที่เข้ามารับบท ‘รุ่ยเจี๋ย’ ก็คือ ‘พลัง โลกศิลป์’ นักแสดงที่เป็นนักร้องโอเปร่าที่หลายคนยอมรับความสามารถ และยังคงรักในงานที่เขาทำทุกงาน

แม้จะเคยเผชิญความเจ็บป่วยหนักจนรู้สึกว่า ชีวิตพังทลาย เขาก็ไม่เคยหยุดเรียนรู้ เขาเริ่มฝึกทักษะใหม่ ๆ และกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง  บางครั้งจุดตกต่ำที่สุดก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ได้

ชีวิตของพลังไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่หล่อหลอมด้วยปรัชญาจีนที่เขายึดถือมาตลอด แม้ค่ำคืนจะยาวนานเพียงใด รุ่งอรุณจะมาถึงมาเสมอ

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

The People : ความฝันวัยเด็กของคุณคืออะไร
ผมจําได้ว่า ตอน ป.3 อาจารย์เคยถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร หลายคนก็ตอบกัน นักวิทยาศาสตร์ นักบินอวกาศ นักคณิตศาสตร์ แต่ผมจําได้ ผมตอบไปว่า นักแสดงละครสัตว์ เพราะว่าเป็นคนชอบสัตว์เรา แล้วก็รู้สึกว่าสัตว์มีความน่ารักก็เลยอยากจะแบบใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์ ก็เลยตอบไปอย่างนั้น

The People : แต่ว่าตอนนั้นก็อยู่ที่เมืองไทย?
ใช่ครับ ตอนประถม

The People : จากที่อยากเป็นนักแสดงละครสัตว์ ทำไมถึงเลือกไปเรียนที่จีน

ตอนเรียนประมาณชั้นป.5 - ป.6 ก็เริ่มมีวิชาภาษาจีนเข้ามา เรารู้สึกว่าคะแนนวิชาอื่นไม่โอเค แต่ภาษาจีนโอเคอยู่ ด้านภาษา เราจะเรียนได้เร็ว คะแนนก็ดีขึ้น เลยรู้สึกว่า เราอาจจะมีพรสวรรค์ด้านนี้หรือเปล่า หรือถนัดด้านภาษา ก็เลยอยากจะเปลี่ยนสังคมไปเรียนภาษาจีนที่ปักกิ่ง

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

The People : ไปถึงแล้วเป็นอย่างไร

มันแตกต่าง ตอนแรกคิดว่าน่าจะง่าย น่าจะราบรื่น แต่ที่จริงมันไม่ได้ง่ายเลย อย่างแรก คือการเข้ากับภาษา มันยากจริง ๆ ตอนม.ต้น คนที่เรียนจะมาจากทุกทิศเลย มันจะไม่ใช่จีนกลาง แต่เป็นจีนสำเนียงของที่อื่น ทำให้เราเรียนยาก พอเราไม่ได้ภาษาก็สนทนายาก เวลาคุยอะไรกับเขา เราพูดไม่ถูก พวกเขาก็ไม่เข้าใจ เวลาอยู่กับเพื่อนก็สนทนายาก

อากาศก็แห้ง ต้องปรับตัวเรื่องการกิน สภาพแวดล้อม แล้วก็เด็ก ๆ ทุกคนขยันมาก เขามาจากหลาย ๆ ที่ แต่เขาก็ล้วนมีความสามารถของตัวเอง ทักษะเรื่องดนตรีที่เรียนมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ แต่ผมเพิ่งจะไปเรียนภาษา แต่ทุกคนซออู้ ซออี๊ ผีผา เหมือนมืออาชีพกันหมดเลย ทำให้ผมไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ผมคิดว่าสิ่งที่ยากและต้องใช้เวลาในการปรับตัว

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

The People : เป็นเรื่องยาก แต่คุณผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร
เอาจริง ตอนแรกพอเห็นเพื่อนเก่งขนาดนี้ เราก็หนีเรียนไปเล่นเกม เหมือนหนีสังคม ตอนอยู่ที่ไทยเราก็หนี แต่อยู่ที่นี่ หนีแรงกว่าเดิมอีก หนึ่งเลย คุยกับคนยาก สองเราไม่เก่งเหมือนพวกเขา น่าจะขาดความมั่นใจไปหมดเลย ซึ่งเป็นช่วงที่จะกลับไม่ใช่ ก็ต้องเรียนต่อ มันเป็นช่วงที่ทำใจลำบากและปรับตัวยากเหมือนกัน 

ผมผ่านมาได้เพราะตอน ม.4 ผมเลือกสาขาถูก คือ สาขาขับร้องโอเปร่า อย่างน้อยมันมีความสากล ดูต้นทุนเสียง ดูความสามารถ แป๊บเดียวคุณก็จะรู้ว่า ทำได้หรือเปล่า แล้วผมเรียนสองสามเพลงก็สอบเข้าได้ ทำให้ผมเลือกสาขานี้ เหมือนกลับไปจุดเริ่มต้นที่ทุกคนเริ่มพร้อมกัน แล้วเราก็เห็นว่า ทุกคนความสามารถพอ ๆ กัน บางทีเราก็มีความสามารถที่โดดเด่นกว่าด้วย 

เราก็รู้สึกว่าพอจะหาความมั่นใจ มีกำลังใจกลับมาได้ ตอนเอ็นทรานซ์ เพื่อนผมสอบเข้า 5-6 ปี แต่ปีแรกเราสอบติดอันดับที่ 1 กับอันดับที่ 2 ของประเทศ ทำให้ผมเห็นว่าเราทำได้ 

The People : หลังเรียนจบมหา’ลัย ชีวิตการทำงานของคุณที่จีนเป็นอย่างไร
ทํางานสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับโอเป่ร่าเลย ก็คือผมไปแสดงรายการต่าง ๆ ขึ้นรายการวาไรตี้ รายการตลก รายการร้องเพลงป็อป รายการพูดคุยตลก หรือว่ารายการที่พูดถึงวัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมต่างชาติ เป็นแบบรายการวาไรตี้โชว์ ซึ่งไม่ค่อยแตะโอเปร่า อาจจะมีแค่อย่างเดียวก็คือเวลาแสดงคอมเมดี้ เราจะใช้ทักษะของโอเปร่าในการเล่นคอมเมดี้ 

เอาเพลงบางเพลงที่คนละแนวมาใช้ในการขับร้องโอเปร่า แล้วก็ใช้เทคนิคของโอเปร่ามาใช้ในเพลงป๊อป เพลงโอเปร่ามันจะมีท่อนที่พูดด้วยความดรามาติก แต่เพลงป๊อปไม่ใช้ แต่เราใช้ มันจะดูกลับด้าน แล้วมีความคอมเมดี้ออกมา

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ The People : เคยท้อกับชีวิตที่เราเลือกบ้างไหม
น่าจะไม่ค่อยมี การทํางานเป็นสิ่งที่ทําให้ผมมี energy  ถ้าไม่มีงาน ผมจะท้อมาก 2 อาทิตย์ เดือนนี้ ไม่มีงานเลยสักงาน เป็นสิ่งที่ทําให้ผมรู้สึกเริ่มจะเศร้า ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อยู่ไม่รอดแน่เลย ซึ่งจะทำให้ผมกังวล

The People :  แล้วเราสู้กับความกังวลในใจของเราอย่างไรบ้าง
ก็พยายามหางานให้มากขึ้น ติดต่อผู้กำกับ ช่วงนี้มีงานไหม ผมจะได้มีโอกาสไป หรือไม่ก็เพิ่มทักษะของตัวเอง เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น เพิ่มทักษะการร้องมากขึ้น เขียนคอมเมดี้อะไรมากขึ้น ครั้งหน้าจะมีจะได้มีลูกเล่นใหม่ในการแสดงมากขึ้น

The People :  แทนที่จะแบบจมปลักอยู่กับความเศร้า ก็อัปสกิลให้คนอื่นมองเห็นเรา
ใช่  มันถึงจะหลุดออกมาได้ ถึงจะก้าวต่อไปได้

The People :  เชื่อว่ามีคนที่กำลังพยายามบนเส้นทางของตัวเองอยู่ คุณอยากบอกอะไรกับพวกเขา
เราต้องลองหลาย ๆ อย่าง คุณถึงจะหาสิ่งที่ถนัดหรือโอกาสในชีวิตเจอ ถ้าไม่ทำอะไร มันก็จะไม่มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นเลย  อ่านหนังสือหรือลงเรียนคอร์สอะไรก็ได้ จากสิ่งหนึ่งที่คุณทำมันจะแตกแขนงออกมาเป็นอีกสิ่งแล้วมันจะต้องมีจุดหนึ่งที่เป็นสิ่งที่คุณถนัดหรือทำได้ 

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ The People : สิ่งที่คุณได้เรียนรู้ตลอด 18 ปีของการอยู่เมืองจีนคืออะไร 

หนึ่งคือความขยันนะ สองก็คือการลองทำก่อน กล้าลอง กล้าท้า มันไม่มีเวลาให้คิดเยอะ คือต้องไปลองก่อนแล้วถ้าเกิดมันมีโอกาสหรือว่ามันทําออกมาดี เราก็ค่อยทําทํามันไปเรื่อยๆ 

มันเป็นลักษณะการทำงานของคนจีนเลย อย่างทําสตาร์ทอัปเหมือนกัน ทำไปก่อน แล้วทำไปแก้ปัญหาไป ไม่ใช่อันนี้ต้องกำไรล้วนถึงเริ่มทำ แล้วก็สิ่งที่ติดมาอีกอย่าง คือ พูดไม่เก่ง เวลาทํางานก็ทํางานเลย จะไม่กล้าไปรบกวนคนอื่น แล้วก็เวลาคุยกับคนอื่นก็จะเข้าใจกัน เหมือนเป็นจุดอ่อน 

จริง ๆ ต้องประสานกัน ทำให้มันรอบคอบก่อนแล้วค่อยทำ ของผมคือไม่ใช่ ทำไปก่อนเลย สุดท้ายค่อยว่ากัน 

The People : คุณเองเคยมีช่วงเวลาที่เรากล้าลอง กล้าท้า หรือลองทำไปก่อนบ้างไหม
ทุกอันเลย ตั้งแต่ละครเวที ดราม่าจีนเป็นสิ่งที่ไม่เคยลองแล้วก็ไป พอไปลองแล้ว ถึงรู้ว่าเราทําได้ เราชอบมิวสิคัลเราก็ไม่เคยทํา พอไปลองแล้วก็เลยรู้ว่าโอ๊ะ เราทําได้แล้วเราก็ชอบ แล้วคอมเมดี้ก็เหมือนกันก็ไปลองแล้วถึงรู้ว่าเราชอบ วาไรตี้ต่าง ๆ พูดคุย คุยตลก คุยแบบ improvise  ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทํามาก่อน แล้วมันก็ลงตัวหมด ทุกงานที่ผมทําล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่ผมไม่เคยไปแตะทั้งนั้น

The People : กลัวไหมว่า สิ่งที่เราลองทำจะไม่สำเร็จอย่างที่คิด
แน่นอน เพียงแต่ถ้าเกิดมันไม่สําเร็จก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่สําเร็จก็รู้ว่าเราไม่ถนัด มีตอนหนึ่ง รับงานพิธีกร เราแสดงตลกใช่ไหม ร้องเพลง มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะรีแล็กซ์ ผ่อนคลาย แต่พอรับงานเป็นเป็นพิธีกร ต้องอ่านสคริปต์ทางการมาก ทําให้ผมแบบสั่นเลย รู้เลยว่าตัวเองทําไม่ได้ พูดผิดแค่คําเดียวมันเป็นเรื่องเลย  ผมรู้สึกแบบเหงื่อท่วม ซึ่งครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมรับงานพิธีกร ก็มี ผมก็โอเค งั้นทีหลังไม่รับก็จบ

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่
The People : คุยหรือปลอบตัวเองอย่างไรว่า เราไม่ถนัด แล้วไปลองทำอย่างอื่น
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด เรารู้ก็ดีแล้ว มันมี 2 ประเด็น คือ ถ้าเราชอบ แต่ทำไม่ได้ เราก็จะไปพัฒนาทักษะตัวเองให้ทำได้ แต่เราไม่ชอบ ผมแค่รู้สึกว่า มีสิ่งที่เราทำได้เต็มไปหมดเลย เราก็ไปทำสิ่งนั้น แล้วเราก็ไม่ได้จะเอาสิ่งนั้นเป็นอาชีพ ก็ปล่อยมันไป

The People : เห็นว่าคุณเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอกด้วย ทำไมถึงเลือกเรียนต่อ

ผมทำงานไป 5 ปี ผมถึงกลับมาชอบดนตรีคลาสสิกอีกครั้งหนึ่งแล้วรู้สึกถึงความงดงามในดนตรีคลาสสิกว่า มันคืออะไร แล้วอยากจะกลับไปเรียนรู้มันอีกครั้งนึงแล้วเพิ่มเติม ซึ่งก็เลยไปสอบปริญญาโทที่ CENTRAL CONSERVATORY OF MUSIC  ตอนปี 2017 แล้วผมกลับมาไทย แต่โควิดระบาด ผมก็เลยกลับไปไม่ได้ ตอนนั้นมหา’ลัยก็ให้ให้ทำคอนเสิร์ตของตัวเองแล้วอัดคลิปส่ง ก็เรียนจบตอนอยู่ไทย

เสร็จแล้วก็คิดว่าทำยังไงดี ทํางานไม่ได้ สอนก็ไม่ได้  ไม่มีการแสดง ก็เลยสอบต่อปริญญาเอกที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เอกดุริยางค์ตะวันตก เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ 

The People : เหตุผลที่คุณกลับมาชอบดนตรีคลาสสิคและอยากกลับมารู้จักสิ่งนี้อีกครั้งคืออะไร
ผมว่าดนตรีคลาสสิคเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมากเลย เป็นสิ่งที่เราต้องมีประสบการณ์ชีวิตถึงจะเข้าใจว่ามันกําลังบ่งบอกถึงอะไร เวลาฟังเพลงคุณถึงจะนึกภาพตามได้ ต้องเจอความสุข ความเลว ความร้าย ความทุกข์ ความเศร้า ต้องเจอหลาย ๆ อย่าง และเจอบรรยากาศที่ไม่หมือนกัน ต่าง ๆ เป็นนานาชนิด 

แต่ว่าตอนเด็กเราไม่ไปตีความ เราแค่ฟังเล่น ๆ แล้วเราก็จะรู้สึกว่ามมันน่าเบื่อจังเลย มันต้องผ่านประสบการณ์ของชีวิตมา คุณถึงจะเข้าใจว่าดนตรีคลาสสิคคืออะไร แล้วความสง่างามของมันคืออะไร ตอนเด็กใครจะไปรู้ว่า ความสูงส่ง ความสง่า ความเป็น elegant เพราะมีส่วนหนึ่งเขาเขียนให้กับพระราชวังโดยเฉพาะ มันก็เลยเป็นสิ่งที่ผมสนใจ แล้วคิดว่าที่จริงเรา calm down แล้วไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้อีกที มันอาจจะต่อยอดได้มากขึ้นในอนาคต 

แล้วมันทําให้เราฟังดนตรีแล้วเรารู้สึก โอ้โห เห็นคลื่นทะเล เห็นทุ่งนา เห็นภูเขา มีมุมมองกว้างขึ้น จิตใจที่สงบมากขึ้น แล้วรับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตของเราได้มากขึ้น

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่
The People : สิ่งที่คุณค้นพบในตัวเองตอนที่เราร้องเพลงหรือทํางานด้านดนตรีคืออะไร
ค้นพบคาแรคเตอร์ของตัวเองในในมุมต่างๆ คือ แน่นอนดนตรีมีหลายอารมณ์ หลายลักษณะ หลายรูปแบบ ซึ่งเราชอบแสดงอารมณ์ที่ต่างกันตลอด เราไม่ได้ร้องแค่แนวเดียว พอเราไปร้องอีกแบบหนึ่ง ร้องแจ๊สก็รู้สึกถึงความ relax ของเรา เรามีด้านนี้ เรามีความชิลของเรา พอไปร้องเพลงร็อค เราก็มีความโกรธเหมือนเป็นการดึงคาแรกเตอร์ออกมา 

แล้วเราไปร้องโอเปร่าก็รู้สึกโห เราก็มีความแบบความ elegance ของเรา สิ่งนี้เราไม่ได้ซ้อม ไม่เคยค้นหามาก่อน ความ elegance คุณไปค้นหาที่ไหน ก็ไม่ได้โตจากบ้านเศรษฐี แต่มันส่งมาจากในดนตรี แล้วเวลาแสดงความรู้สึกนี้มาเอง 

มันเหมือนมิติคู่ขนาน มันอยู่ในจิตของคุณ แต่คุณต้องไปดึง มันถึงจะออกมา ถ้าคุณไม่ไปแตะต้องอะไร พวกนี้มันคุณก็จะเป็นคาแรกเตอร์ของคุณในลักษณะแบบนี้ตลอด 

ก็เป็นสิ่งที่ผมค้นพบว่าตัวเองมีคาแรคเตอร์เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ทําให้ผมเห็นว่า  เราเป็นนักแสดงได้ มันเชื่อมกันหมดเลย ทั้งดนตรีกับการแสดง

The People : ตอนนั้นที่กลับมาเมืองไทย เรียนปริญญาโทไปด้วย แล้วคุณทำงานอื่นไปด้วยไหม 

ตอนผมอยู่ไทยแรก ๆ ผมสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ตอนนี้ก็สอนอยู่ที่มหิดล แล้วอย่างที่สอง คือ ร้องเพลงแนวสัญลักษณ์ความสัมพันธ์และมิตรภาพไทย - จีน ผมไม่เคยคิดว่าจะมีงานรูปแบบนี้ แต่ตอนที่ผมกลับมา มีคนติดตามที่ผมไปรายการที่จีน แล้วเห็นว่าผมมีความสามารถเลยชวญมาทำงานด้านนี้

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

The People : คุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘สงครามส่งด่วน’ ได้อย่างไร

พี่วรรณฤดี (พงษ์สิทธิศักดิ์) เขาเห็นผมออกรายการ Take Me Out Thailand ตอนปี 2018 เขาเห็นว่าผมพูดภาษาจีนสำเนียงจีนเลย เขาก็บอกว่า พี่ไก่ (ณฐพล บุญประกอบ) กำลังหาตัว ‘รุ่ยเจี๋ย’ เขาเลยให้ผมไปแคสต์ แล้วช่วงนั้นผมเพิ่งผ่าตัดเสร็จเพราะเอ็นขาหน้าฉีก เป็นช่วงเวลาที่สิ้นหวัง กำลังรักษาตัวรวม ๆ 9 เดือน แต่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นโอกาส ผมก็ทำกายภาพบำบัด จนไปแคสติ้ง เล่นเสร็จ ผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเล่นดี พยายามพูดภาษาจีนให้ดีที่เท่าที่จะทำได้ ให้เขารู้ว่า ผมแม่งโคตรเก่งภาษาจีนเลย แล้วเขาหายไป 2 เดือนเกือบ 3 เดือน เขาโทรศัพท์กลับมาว่า จะให้มา fitting เราดีใจมากเลย อย่างน้อยเราก็ได้งานกลับมา 

The People : ตลอด 9 เดือนที่รักษาตัวอยู่ คุณมีการพูดคุยกับตัวเองอย่างไรให้ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้

ผมไม่ได้อยู่โรงพยาบาล ผมอยู่บ้านคนเดียว 9 เดือน เวลาจะกินข้าว ผมก็สั่งเดลิเวอรี่ สั่งทีเดียว 2 มื้อ แล้วให้ยามเอามาวางไว้หน้าประตู ผมใช้ชีวิตแบบนั้น 

ก้าวมาได้อย่างไร คือ ตอนแรกผมยอมแพ้กับชีวิต ผมไม่เก่ง กูไม่อวดแล้ว จะเอาชีวิตเหรอ เอาไปเลย แต่ก่อนไม่ยอม ตอนนี้ยอมแล้ว แต่ก่อนเหมือนนักสู้ อยากทำอะไรก็ทำได้หมด สามารถทำอะไรได้หมด แต่ครั้งนั้นผมรู้สึกสิ้นหวัง แล้วความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่จนถึงตอนนี้

แต่ตอนกายภาพบำบัด ช่วงเวลานั้นผมใช้เวลาในการศึกษาจิตวิทยา ปรัชญา ความรู้ต่าง ๆ ประวัติศาสตร์จีน เสริมความรู้ตัวเอง ขนาดถึงเวลานั้น เราก็ยังไม่ลืมพัฒนาตัวเองนะ (หัวเราะ) แต่ก็ขอบคุณตัวเองที่ทําอย่างนั้น ทําให้ตัวเองแม่งอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ 

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

ผมไปเห็นปรัชญาของเม่งจื๊อ มีคำหนึ่งที่ทำให้ผมอยู่รอดได้ เขาเขียนว่า ฟ้ากำลังมีภารกิจยิ่งใหญ่ให้คุณ จะทำให้จิตใจคุณแตกสลาย แล้วร่างกายคุณก็แบบเจ๊งบ๊งไปหมดเลย เส้นกระดูกขาดไม่เหลือ ต้องบาดเจ็บ คุณจะทำอะไร ขอบเขตของคุณก็จะถูกกำหนดอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ไปไหนไม่ได้ เวลาทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ คุณต้องผ่านสิ่งนี้ แล้วถ้าคุณผ่านไปได้ สิ่งมหัศจรรย์ถึงจะเกิดขึ้น ผมก็แปะไว้หน้าคอม

ตอนแคสติ้งมา ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ไม่น่าเชื่อ มองหน้าจอคอมแล้วทำกายภาพบำบัด ค่อย ๆ ก้มทีละนิด จากนิดเดียว จนตอนหลังทำได้มากขึ้น ทำทุกวัน ตอนแรกหมอก็ให้ทำ แต่เราสิ้นหวัง จนไม่ทำแล้ว เพราะทำกายภาพมันเจ็บมากนะ ตอนทำต้องฝืนเจ็บ แต่ต้องทำ ก็ทำไปเรื่อยๆ จนเดินได้ แล้วถึงไปแคสติ้ง

จิตวิทยา ปรัชญา ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมผ่านพ้นช่วงสิ่งนั้นมาได้ เพราะปรัชญาหลายอย่างที่ทําให้ผมคิดออก คิดได้กว้างขึ้น จิตวิทยาทําให้ผมค้นคว้าตัวเอง กลับไปหาจิตลึก ๆ ของตัวเองว่า ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ คุยกับตัวเอง สุดท้ายทำให้เข้าใจตัวเอง ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ 

The People : การยอมรับตัวเองมันมีความยากง่ายอย่างไรบ้าง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้
เวลาที่เรารับสิ่งที่ดีของเราได้ เราก็ต้องเตรียมตัวรับสิ่งที่ไม่ดีหรือเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวเรา ซึ่งส่วนใหญ่ก็รับไม่ได้ มันก็เป็นปกติของมนุษย์ อย่างเช่น รับไม่ได้ว่าคนอื่นมาว่าเรา เราขี้เกียจจริงได้ แต่ถ้าคุณมาว่าเราขี้เกียจ ฉันไม่เอา ฉันโกรธ ผมก็ต้องยอมรับว่าขี้เกียจจริง เราแม่งไม่ขยันจริง ถ้าเราขยันมากกว่านี้มันอาจจะเก่งกว่านี้หรือดีกว่านี้ แต่เราต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น

แล้วบางอย่างเราก็ไม่ได้แบบมีพรสวรรค์ขนาดนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ผมยอมรับปมด้อยของตัวเองทั้งหมด ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยยอมรับ แต่ก่อนเราต้องเฉิดฉายส่องประกายให้ทุกคนรู้สึกว่า โอโห ออร่าพลังบวกเต็มจอผมเล่นตลกไง ผมก็ทําอย่างนั้นตลอด ทําให้คนรู้สึกว่า คนนี้ต้องแฮปปี้ สนุกสนาน 

บางทีทำงานหนัก แล้วเขาเห็นผมสีหน้าไม่ดี มีคนถามว่าทำไมคุณดูไม่ตลก ในจอคุณเป็นคนตลก พลังบวกคุณล่ะ เราก็ต้องยอมรับว่า เราก็มีอารมณ์หงุดหงิดเหมือนกันนะ  เราไม่จำเป็นต้องทําให้ทุกคนมาชอบเรา ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ ถ้าคนไม่ชอบเรา โอเคได้ เรายอมรับ ซึ่งเป็นช่วงที่แบบไม่ต้องตลกแล้ว ถ้าเขาไม่ชอบก็เรื่องของเขา นี่คือตัวผม ปกติก็ผมก็เป็นแบบนี้ ผมไม่ต้องทำให้คุณรู้สึกว่าผมตลกตลอดเวลา แม้ว่าผมจะเล่นตลกได้ 

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

The People : กลับมาที่สงครามส่งด่วน บุคลิกของ ‘รุ่ยเจี๋ย’ มีความใกล้เคียงกับ ‘พลัง โลกศิลป์’ อย่างไร

ความ mad ผมมีอยู่แล้ว ผมเอามาใช้กับรุ่ยเจี๋ย แต่เป็นสิ่งผมเหนื่อยที่สุด เพราะเราไม่ได้ mad ตลอดเวลา ต่อมา คือ ความมุ่งมั่นในการทำงาน เป็นสิ่งที่ผมมีอยู่แล้ว รุ่ยเจี๋ยก็เป็นอย่างนั้น งานที่ตัวเองถนัดที่สุด ตัวเองต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้ดีที่สุด เหมือนผมร้องเพลงโอเปร่า ผมก็เชื่อว่าผมเล่นได้ดีที่สุด อีกจุดหนึ่ง คือ การเชื่อใจคนอื่น  ทําไมสุดท้ายรุ่ยเจี๋ยถึงมีความอ่อนนุ่มขึ้นมาในจิตใจ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาและผมมี และผมคิดว่ามันสำคัญมากด้วย การเชื่อใจ การใส่ใจคนอื่น แล้วเชื่อว่าคนอื่นเชื่อในตัวเอง มันเป็นการร่วมมือที่ใช้จิตใจกัน ไม่ใช่แค่ใช้เหตุผลอย่างเดียว ตอนแรกเขาอาจจะด่าไปนู่นไปนี่ แต่จริง ๆ แล้วเขามีความจริงใจอยู่ลึก ๆ 

The People : ถ้าตอนนี้รุ่ยเจี๋ยยังทำงานอยู่ใน Thunder Express คุณคิดว่าเขาจะเป็นอย่างไร 

ผมคิดว่าเขาน่าจะเปลี่ยนไป เพราะตอนจบเขาได้เรียนรู้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต คือ ‘มิตรภาพ’ เขาเห็นไอ้ตี๋เล็กเป็นเพื่อนแท้ เป็นเพื่อจากใจ เขาเห็นมิตรภาพนี้ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ เขาอาจจะไม่ด่าเหมือนแต่ก่อนด่าแทงใจ เขาอาจจะดุ แต่ไม่เหมือนเดิม แล้วเขาจะปั้นลูกน้องที่เขาเชื่อใจที่สุดให้ได้ เพราะเขาปั้นลีนุกซ์ไม่สำเร็จ แต่เขาอยากทำสิ่งนี้ให้สำเร็จแน่นอน แต่ต้องใช้ความเชื่อมั่นในตัวลูกน้อง 

บทเรียนของเขากับลีนุกซ์เป็นบทเรียนที่ดีเลยที่ทำให้เขาสูญเสียสิ่งนั้นไป แล้วถ้าเขาทำอีก คงไม่เหมือนเดิม เขาจะทำงานเก่งเหมือนเดิม วิธีการด่าลูกน้องยังคงอยู่ แต่เขาจะใส่ใจลูกน้องมากขึ้น ส่วนกับสันติคงเป็นมิตรภาพตลอดชาติ

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่
The People : คําว่ามิตรภาพทํางานกับตัวละครรุ่ยเจี๋ยอย่างไรบ้าง
เพราะว่าเขาต้องเชื่อมั่นในคนคนหนึ่ง เขาถึงจะทำงานได้อย่างเต็มที่หรือทุ่มทุกอย่างได้ อย่างเคน เขาไม่เชื่อมั่น ไม่ต้องเริ่มเลย โดนด่าไปเลย ไม่มีโอกาสเลย เขาถึงเป็นคนที่ไม่ได้เห็นแค่ความสามารถอย่างเดียว เขาต้องเห็นความจริงใจของคุณ คุณมีความพิเศษอะไรที่ทำให้เขาเห็นว่า คุณเป็นคนที่ผมเชื่อได้ มีความบ้า รุ่ยเจี๋ยถึงเชื่อแล้วยอมทำ แล้วต้องเห็นความสามารถของคุณด้วยระหว่างการทํางาน ถ้าคุณสามารถ proof ได้โอเค เค้าก็จะทุ่มเต็มที่เข้าไป

The People : คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้

ผมเป็นเกียรติและภูมิใจมาก หลังจากซีรีส์ฉาย ผมรู้สึกว่ามันคือเข็มนาฬิกาแห่งพรหมลิขิต มันเริ่มหมุนตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่บนเตียงแล้ว ตอนที่อยู่ในจุดพีค  สิ้นหวัง ยอมแพ้กับชีวิต มีโทรศัพท์นี้มา แล้วผมรับที่จะทำ ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับภารกิจนี้ แล้วฟื้นฟูตัวเอง จนผมไปแคสต์ ไปเล่น ทุ่มเททุกอย่างหลังจากนั้นผมรอคอยสิ่งนี้ เริ่มมีความเชื่อมั่นว่า มันอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตผมได้ หรือว่าอาจทําให้ผมมั่นใจในการใช้ชีวิตได้ ผมค่อย ๆ กลับไปเล่นโอเปร่า สอนนักเรียนเหมือนเดิม ทํางานของตัวเองต่อ 

วันนั้นหลังฉาย ผมนึกสิ่งนี้ขึ้นได้ ที่จีนเขาว่ากันว่า เวลาคุณตก อยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด คุณก็จะเด้งขึ้นไปอีกฝั่งหนึ่งได้  ซึ่งจุดนั้นไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ โดยเข็มนาฬิกายังไม่หยุดเดิน เพราะฉะนั้นเข็มนาฬิกา ยังเดินอยู่ต่อไป แต่มันยังเพิ่งเดินไม่นานเอง ทําให้ผมรู้สึกว่าผมยังสามารถสร้างผลงานที่ดีได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านดนตรี การแสดงละครเวที และมิวสิคัล

สิ่งนี้ทำให้ชีวิตของผมกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วผมจะยึดสิ่งนี้แล้วเดินไปพร้อมกับเข็มนาฬิกาให้มันหมุนไปเรื่อย ๆ  แล้วทําสิ่งที่มีความสร้างสรรค์และผลงานที่ดีงามมากขึ้นไปเรื่อย ๆ  

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

The People : การทำงานที่ไทยกับจีนมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ที่จีน ทุกอย่างหมุนเร็ว วงการบันเทิงก็เหมือนกัน ทุกคนตรงเวลามาก แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ทำเสร็จก็แยกย้ายกลับบ้านเป็นระบบทํางานแบบเน้นประสิทธิภาพล้วน แต่พอทํางานที่ไทย อย่างเรื่องสงครามส่งด่วน ความเป็นมืออาชีพไม่แพ้กัน แต่ของไทยเป็นกันเองมากกว่า แบบอบอุ่น ทำให้รู้สึกเหมือนทุกคนในกองเป็น ครอบครัวกัน 

ถ้าลึกลงไปหน่อย ผมคิดว่าวงการบันเทิงไทยพื้นที่ในการแสดงความคิดสร้างสรรค์ได้มากกว่า ซึ่งแตกประเด็นได้อย่างหลายอย่าง มองว่า อุตสาหกรรมบันเทิงไทย เช่น หนัง ซีรีส์ เพราะจีนชอบคอนเทนต์จากไทย  คิดว่าอุตสาหกรรมไทยน่าจะไปได้ไกลมาก ได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย แล้วพัฒนาไปด้วยกัน

The People : สิ่งที่คุณได้เรียนรู้ตลอดชีวิตที่ผ่านมาคืออะไร

ตลอดเวลาที่ร้องเพลงหรือแสดงก็ตาม ผมว่าการค้นหาจิตใจลึก ๆ ของเราเป็นบทเรียนชั่วชีวิตเลยจนถึงตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่ ปีที่แล้ว ผมจะอยู่บนเตียง ผมก็ยังทําสิ่งนี้อยู่ มันเป็นการตระหนักรู้ตัวเองในเชิงลึก กล้าเผชิญหน้ากับจิตใต้สํานึก ค้นหาทั้งสิ่งดีสิ่งไม่ดี ทั้งด้านที่ควรยอมรับได้หรือด้านที่คุณตัวเองไม่สามารถยอมรับได้หรือคุณเองก็คาดไม่ถึง

แล้วที่สำคัญ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกอยากเห็นสิ่งใหม่ ๆ ความอยากรู้อยากเห็นที่เหมือนเด็กน้อยหายไป มมันสําคัญที่สุดเลย เพราะว่าผมเกือบสูญเสียไปแล้วครั้งหนึ่งไง

‘พลัง โลกศิลป์’ เมื่อชีวิตถึงจุดตกต่ำ เราอาจค้นพบจุดเริ่มต้นครั้งใหม่

The People : ในมุมมองของคุณ ชีวิตคืออะไร
ชีวิตเป็นหนทางสู่การค้นหาตัวเอง ค้นพบปัญหาของตัวเองให้เจอ ผ่านการตระหนักรู้ในตนเอง แล้วเลือกใช้ชีวิตให้มีคุณค่าในแบบของตัวเอง อาจจะไม่ต้องเป็นสิ่งที่อะไรที่ยิ่งใหญ่ แบบสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ แต่คุณต้องทําสิ่งนั้นด้วยความรัก

The People : อยากบอกอะไรกับตัวเองที่สู้ให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

ที่จริง ถ้าอยากจะบอกกับตัวเองก็คือ จนถึงวันนี้ ในโซเชียลของผม จะมีตัวภาษาจีนเขียนอยู่ 长夜难眠但终归破晓 (cháng yè nán mián dàn zhōng guī pò xiǎo) คือ แม้ค่ำคืนจะเงียบงัน ยาวนาน แต่รุ่งอรุณก็จะมาถึงในที่สุดเป็นสิ่งที่ผมเขียนไว้บอกตัวเอง แล้วก็เป็นสิ่งที่ผมเคยผ่านมา

แล้วที่จีนก็มีคำหนึ่งที่ใช้บ่อย คือ 是金子总会发光 (shì jīnzi zǒng huì fāguāng) ถ้าหากเรามีความความสามารถ สักวันหนึ่งเราจะเปล่งประกายเหมือนทองคำ ทองคำที่เฉิดฉายส่องสว่าง เพชรแท้ไม่มีวันเสื่อมสูญ ทองแท้ไม่มีวันหมอง ซึ่งช่วงนี้มีหลายคนมาบอกผม แม้แต่เพื่อนคนไทยก็บอกเหมือนกัน เขาเห็นความสามารถของผม แต่เสียดายที่ไม่มีพื้นที่ให้แสดงออก ซึ่งผมก็อยากทำอะไรมากขึ้น 

The People : ถ้าสามารถพูดเป็นคำสั้น ๆ จะบอกว่าอะไร

ขอบคุณที่ปีนออกมาจากหลุมศพอีกครั้งหนึ่ง 

ภาพ : Netflix