10 มิ.ย. 2568 | 16:46 น.
KEY
POINTS
‘สงครามส่งด่วน’ เป็นซีรีส์สัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จ ทะยานขึ้นอันดับ 1 หมวดรายการโทรทัศน์ และพุ่งขึ้นอันดับ 4 ของ Netflix ทั่วโลก (ข้อมูลวันที่ 4 มิถุนายน 2568)
ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้สปอตไลท์ของผู้ชมสาดส่องมายังผู้กำกับ นักแสดงนำ นักแสดงสมทบ และทีมงานที่อยู่เบื้องหลังทุกคน
หนึ่งในนั้น คือ ‘แก๊ปโบ้’ สิระ สิมมี ผู้รับบทไรเดอร์ที่อิมพอร์ตจากเชียงราย ขายเก่ง บริการทุกระดับประทับใจ และเป็นเพื่อนรักของ ‘สันติ แซ่ลี’ แม้ในจอ เขาจะเป็นคนที่ตลก เข้าจังหวะคอมเมดี้แบบเข้าเอง ตบเอง แต่นอกจอ เขาคือนักแสดงและผู้กำกับที่พกเรื่องเล่าไว้มากมาย
เขาคือชายที่ลองทำมาหลายอย่าง กล้าออกจากเส้นทางเดิม เพื่อไปลองสิ่งใหม่ ๆ เพราะเขาเชื่อว่า ทุกคนต่างสู้บนเส้นทางของตัวเอง บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด เพราะทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ในชีวิตต่างเป็นบทเรียนให้เราเติบโต
The People : ตอนเด็ก ๆ คุณฝันอยากเป็นอะไร
เราชอบคอมพิวเตอร์ จริง ๆ อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ เขียนเว็บ ทำเกม ทำรายการข่าวคอม ข่าวด้านไอทีจนขึ้นม.4 เราเรียนภาษาซีไม่รู้เรื่อง แล้วรู้สึกท้อ คิดเอาเองว่า เราควรรู้ เพราะมันเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง เลยล้มเลิกความคิด ไม่เรียนสายคอมฯ แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อ
The People : ตอนนั้นรู้สึกเหมือนหลงทางหรือเคว้งไหมว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไรต่อ
ตอนแรกเราอยากเข้าวิศวะคอม ดูคะแนน แล้วก็ลดลงมา งั้นเป็นวิทยาการคอมพิวเตอร์ ไอซีที ก็คิดมาเรื่อย ๆ จนขึ้นม.6 รู้สึกว่าต้องยื่นอะไรสักอย่าง เลยย้อนกลับไปคิดตอนทำรายการข่าวคอม ตอนนั้นตัดต่อ คิดว่าก็คงมีงานทำแหละมั้ง ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน แต่ก็เรียน ๆ ไปก่อน สุดท้ายเลยยื่นสายนิเทศฯ หมดเลย
The People : หลังจากสอบติด คุณเคยถามตัวเองไหมว่า เรียนจบนิเทศมาแล้ว อยากทำงานอะไร
ตอนเรียน ถ้ามีงานกลุ่ม เราจะบอกว่า ตัดต่อแล้วกัน ด้วยเหตุผลว่า ไม่ต้องยุ่งกับคนเยอะมาก แล้วตอนไปช่วยงานรุ่นพี่ เราได้ยินว่า คนเป็นผู้กำกับได้เงินเยอะเหรอ ทดไว้ในใจว่า ‘อันนี้ กูอยากเป็น’ ชีวิตเราน่าจะมีข้าวกินแหละ แล้วก่อนเรียนจบ มีพี่คนหนึ่งชวนไปทำงานตัดต่อ ก็เลยทำมาเรื่อย ๆ
The People : จากทำงานตำแหน่งตัดต่อ แล้วข้ามมาทำงานสาย Creative ได้อย่างไร
ความบังเอิญ คือ สิ่งที่เราอยากทำมาก ๆ คือ สารคดี แล้วโปรดักชันเฮาส์ที่เราไปสมัครตัดต่อ มันคือเฮาส์ที่ทำสารคดี เพราะเราค้นพบว่า เราก็มีวิธีการบางอย่างที่อยากจะเล่าเรื่องในแบบของเรา แต่พอเข้าไป เขาก็พูดว่า ปีนี้ เราจะมาทำโฆษณากัน แต่ก็ทำไป เพราะสุดท้ายผู้กำกับที่ได้เงินที่เราเจอตอนนั้นเขาก็ทำโฆษณา
แต่ระหว่างทาง เราก็อยากทำสารคดีอยู่เลยไปสมัครเวิร์คช็อปของพี่ไก่ (ณฐพล บุญประกอบ) หลังจากจบเวิร์กช็อป เพื่อนให้ไปช่วยทำงานแนวกึ่ง ๆ สารคดี แต่ในใจเรา คือ อยากทำหนังเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาก ๆ ก็เปิดเพจชวนคนมาดู แล้วก็ต้องมีคอนเทนต์ ซึ่งตอนนั้นคิดไม่ออก แต่มือถือเราพัง เลยคิดว่างั้นจะเล่าเรื่องมือถือที่พังแล้วกัน เลยเป็นคลิปชื่อ ‘กู๊ดบายไอโฟน 7’ ซึ่งช่วงนั้นคลิปมันไวรัลในระดับหนึ่ง ผนวกกับอีกงานหนึ่งที่มันออนต่อต่อกันเลย เอเจนซี่คงเห็นต่อ ๆ กันแล้วเห็นว่า น่าจะกํากับได้ เขาก็เลยเริ่มยื่นโอกาสให้ลองกํากับดู
The People : สิ่งที่ยากของการทำโฆษณาคืออะไร
ตอนเราเป็นคนดู เคยคิดว่า โห ห่วย ถ้าเป็นกูนะ กูจะทำแบบนี้ พอทำจริง ทำไม่ได้ มันมีหลายปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เราคิดว่า สิ่งที่ยากในการทำโฆษณาคือการบาลานซ์ ความต้องการของเรากับเขา (ลูกค้า) ที่อาจจะไม่เหมือนกัน ถึงแม้เราจะอยากให้แบรนด์เขาดีเหมือนกัน แต่ความเชื่อในแบบของเรากับในแบบของเขาอ่ะ มันอาจจะไม่เหมือนกัน
The People : ที่ผ่านมา คุณทำงานมาหลายอย่าง งานเหล่านั้นทำให้คุณเรียนรู้อะไรบ้าง
เราอยากเป็นผู้กำกับ แต่ไม่รู้ว่าต้องมีทักษะอะไรบ้าง แล้วระหว่างทำงานตัดต่อหรือกำกับ เรามีรับงานนอก เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ เป็นโปรดิวเซอร์มิวสิกวิดีโอ ทำแคสต์ติ้ง แต่มันทำให้เราเห็น process จริง ๆ แล้วคิดแบบคนทำงานตำแหน่งนั้นจริง ๆ
เราอาจจะไม่เคยคิดว่า การทํา tape casting มันมีความลําบากยังไงจนเราไปทําเอง ถึงรู้ว่า เรื่องเสียงมีผลมากเลย แสดงว่าตอนเลือกสถานที่ทำเทปแคสต์ต์ก็มีผล มันทำให้เราสนใจรายละเอียดแต่ละอย่างของงานมากขึ้น เรารู้สึกว่า ถ้าจะทําหนังทําอะไรสักอย่างให้เก่ง ต้องทําไปเรื่อย ๆ มันต้องมีงานที่ไม่ดี มันต้องมีงานที่กลาง ๆ แล้วมันก็ต้องมีงานที่ดีมาก ๆ
The People : หลายคนไม่กล้าทำสิ่งที่ไม่ถนัด เขาควรคุยกับตัวเองอย่างไร
เราเชื่อว่ามันมี 2 แบบ หมายถึง แบบแรกคือ ถ้าเรารู้และมั่นคงมาก ๆ ว่าเราชอบสิ่งนี้จริง ๆ จะทําตําแหน่งเดียวเป็นแบบ specialist ด้านนี้ไปเลยก็เอาเลยเว้ย แต่ว่าในอีกแบบหนึ่งอะ เราคิดเสมอว่า มันไม่จําเป็นต้องเป็นคนที่เก่งที่สุด หมายความว่าในแวบแรกที่เราเป็นตอนตัดต่อตอน ม.2 ตอนนั้นมึงก็ตัดไม่เป็นป่ะ งานแรกที่ตัดออกมา มันก็ไม่ได้เวิร์คขนาดนั้น อาจจะมีบางคนก็ได้ที่ตัดงานแรกแล้วเวิร์ค ก็ยินดีด้วย แต่ไม่ใช่กู
ขณะเดียวกัน สมมติ เราทําแคสต์ครั้งแรกแล้วเวิร์คสุด ๆ ก็ยินดีกับตัวเองเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีอะไรการันตีว่า การทําครั้งแรกมันจะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค แต่มันมีอะไรการันตีแน่ ๆ คือการทําทุกอย่างของมึง มันต้องมีครั้งแรก
แล้วตอนเด็ก ๆ เรื่องนี้มันไม่เคยมีปัญหา แต่พอเราโตขึ้น มันอาจจะเป็นเรื่องอายุ ประสบการณ์ ความแก่ ที่อาจจะรู้สึกว่ามันผิดไม่ได้ เราเข้าใจว่ามันยากมากในการจะคุยกับตัวเองว่าผิดได้ ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่า อยากให้ลองนะ เพราะไม่จําเป็นต้องเก่งที่สุด ไม่จําเป็นต้องดีที่สุดตลอดเวลา ไม่งั้นแม่งก็ไม่มีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นเลย
The People : แล้วคุณเจอสิ่งที่ตัวเองลองไปทำแล้วชอบบ้างไหม
เราชอบทําหลายอย่างมากเลย หรือถ้าให้แปลมันคือสมาธิสั้นวะ เราเคยเล่นหนังเรื่องเพื่อน (ไม่) สนิท แล้วมีพี่เขาเห็นในหนัง ชวนไปเขียนหนังสือกับ Salmon Books เราแค่ยึดว่า เราอยากพูดอะไร อยากบอกอะไร แล้วบอกผ่านแบบไหนดี เราแค่อยากสื่อสารแมสเสจเนี่ยเอาแบบที่เราเชื่อเองว่ามันเหมาะกับฟอร์มนี้ที่สุด
The People : การที่เราเชื่อในเรื่องเล่าของเรามันเป็นอย่างไร
เราอยากพูดโดยที่รู้ว่ามันเป็นความคิดเห็นหนึ่งที่เราเชื่อหรือสนใจ บางอันเราคิดเอง บางอันเรารู้สึกว่า ความเห็นนี้มันน่าสนใจมาก แล้วอยากรู้ว่ามันดีอย่างที่คิดหรือเปล่า มันจะได้มีการ discuss หรือถกเถียงบางอย่าง ซึ่งมันอาจจะทําให้เราได้ความคิดใหม่ก็ได้นะ สิ่งที่พูดไปอาจผิดก็ได้ แต่เราเชื่อว่าการได้ถกเถียงกันจะทำให้คนรับสารเข้าใจมากขึ้น
The People : แล้วจากคนทำงานโฆษณาเข้ามาเป็นนักแสดงเรื่องสงครามส่งด่วนได้อย่างไร
พี่แคสต์ติ้งชวนไป เราก็แค่ไป โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นหนังของใคร ซีนที่เราแคสต์ คือ ซีนเปิดตัวที่ถือท่อมาตะโกนถามว่า ‘ไอ้สัตว์ มึงสันติใช่ไหม ไอ้เหี้ย’ แล้วตัวละครนี้มันน่าจะไม่ได้โผล่มาแค่ซีนเดียว เพราะมันทักทายตัวละครที่น่าจะเป็นตัวเอก ก็เลยสงสัยว่า ทั้งเรื่อง มึงพูดอะไรอยู่วะ
The People : แล้วพอมาเล่นจริง ๆ เข้าใจเลยไหมว่า เรื่องนี้กำลังพูดอะไร
ใช่ แบบเริ่ม ๆ คิด ย้อนกลับไปว่าไอ้ที่พูดไป มึงเป็นตัวกวนส้นตีนนะ
The People : สงครามส่งด่วนประสบความสำเร็จมาก ๆ คุณรู้สึกอย่างไร
รู้สึกดีใจมาก เพราะเรารู้สึกว่าทุกองค์ประกอบในงานหนึ่งมันสําคัญ เช่น นักแสดงสมทบทุกคนแม่งสําคัญมากเลย เพราะทุก ๆ คนตั้งใจมากเลย นักแสดงสมทบมักจะถูกละเลยหลายกรณี หลาย ๆ เวทีให้รางวัล นักแสดงสมทบเขาไม่เคยได้พูด speech เขาอาจจะอยากพูดก็ได้นะ
อย่างน้อยบทสาววิศวะคอม นักบัญชี นักช็อต เขามีโอกาสได้พูดอะไรบางอย่างในสิ่งที่เขาอาจจะอยากพูดเหมือนกัน หรือมันเป็นความตั้งใจของเขา บางทีอาจจะเป็นความฝันของเขาที่อยากประกอบอาชีพเป็นนักแสดง ซึ่งก็ไปพันกับเรื่องความยากอีกว่า แล้วเราสามารถประกอบอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพเพื่อทํามาหากินเลี้ยงชีพเราได้เหรอ
เราเลยดีใจมาก ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่มันทําให้นักแสดงทุกคนจากเรื่องนี้ถูกพูดถึง รวมไปถึงทีมงานทุกคนสนใจกันหมดเลย โห ทีมอาร์ตแม่งอย่างงั้นเลยเหรอวะ แล้วนี่เพลงเค้าทํากันอย่างนี้ เขาวาดตรงนี้ ออกแบบแบบนี้เลยหรอวะ เพราะจริง ๆ ทุกคนตั้งใจทําอยู่แล้ว ทีมอาร์ตจะตายแล้ว ทําไปกี่หมื่นกล่อง เราเลยดีใจที่ทุก ๆ ส่วนและทุกองค์ประกอบมันมันถูกพูดถึง
The People : ในเรื่องเป็นที่จดจำเรื่องการเข้าจังหวะตลก ตัวจริงเป็นคนตลกไหม
จริง ๆ กูเป็นอินโทรเวิร์ตนะ ทำ MBTI มาได้ INFP ผมโทษสื่อ ผมดูตลกเยอะเกินไป แล้วเวลาว่าผมได้ยินอะไรสักอย่างนึงผมก็อดไม่ไหวที่ผมจะต้องไปตอบเขา อย่างนั่งอยู่ ได้ยินคำแปลก ๆ จะหวนคำในหัวเองก่อนที่สีเหลืองจะฮิต เวลาได้ยินสีเหลืองมันก็มีเยลโล่อยู่ในหัว สื่อหล่อหลอมผมให้เป็นแบบนี้
The People : สิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดการเติบโตของคุณคืออะไร
ไม่มีอะไรเป็นแบบในสื่อที่เห็น หมายถึงสิ่งที่เราเห็นผ่านสื่อมันไม่ได้จริงร้อยเปอร์เซนต์ เรารู้สึกว่า อยากเป็นแบบคมสัน จะไปบุกตะลุย ระหว่างทางเขาอาจจะมีเรื่องราวเยอะกว่านั้น ซึ่งเราไม่ได้รู้ทั้งหมด หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิท เราก็ยังไม่ได้รู้ทุกอย่างเลย สิ่งที่รู้ทุกอย่างมากที่สุด คือ ตัวมึงเอง
สิ่งที่เราอยากสื่อ คือ เวลาเราเห็นอะไรสักอย่างแล้วอยากเป็นแบบนั้น แต่เป็นไม่ได้แล้วเศร้า จริง ๆ อาจจะอยู่ในเส้นทางเดียวกันก็ได้ หมายถึง อย่างเช่น สมมติเราอยากเป็นนักแสดง เห็นมาริโอ้ไปเดินสยามแล้วเจอแมวมองแล้วก็ไดไปแสดง แล้วเราเดินสยามตั้งนาน ไม่มีคนสนใจ รู้สึกว่าทำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเราทำต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะสร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมาก็ได้
หรือว่าอาจจะแค่มีคนมาสัมภาษณ์ในติ๊กตอกแล้วไวรัลเลยก็ได้ หรือไปเรียนการแสดงแล้วได้งาน วิธีมันอาจจะต่างกัน ซึ่งมันไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเห็นหรอก เพราะเส้นทางของแต่ละคนไม่มีทางเหมือนกันเลย
The People : แล้วเส้นทางของคุณเป็นแบบไหน
เหมือนทางในซอยในกรุงเทพที่ตัดมั่วๆ ที่ไม่ได้มีผังเมืองแล้วเพิ่งมาคิดผังเมืองทีหลัง ซอยลาดพร้าว30 เข้าไป ถ้าเป็นแท็กซี่ค่าไปส่งกลางคืน คือมึงหลอกกูไปฆ่า เป็นทางที่ตัดไปเรื่อยๆอ่ะ ตัดถนนใหม่ไปเรื่อยๆ
The People : ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
เพราะมันอาจจะเจออะไรก็ได้
ภาพ : ศศิดิศ ศศิสกุลพร / NETFLIX